สาเหตุที่มาเรื่อง การเนรเทศนางจันท์เทวี(แม่พระสังข์)


    เรื่องสังข์ทองนั้น มีอยู่ ๒ ฉบับด้วยกัน คือ จากเรื่องสุรรณสังขชาดกที่อยู่ในปัญญาสชาดก และฉบับบทละคอนนอกของพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งเนื้อหาทั้ง ๒ ฉบับนี้ มีรายละเอียดแตกต่างกันในหลายจุด ทว่าในช่วงหลายสิบปีมานี้ กลับมีการนำข้อมูลของทั้ง ๒ ฉบับมา"มั่ว"ปนกัน จนทำให้ผู้อ่านหลายรุ่นที่ผ่านมาได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนส่งผลให้การตีความเนื้อหาได้ผิดเพี้ยนไป

ตั้งแต่ต้นเรื่องมา มีอยู่หลายฉบับที่ระบุว่า บิดาของพระสังข์ทองซึ่งเข้าใจกันว่า คือ ท้าวยศวิมล ในฉบับบทละคอนนอก มีมเหสี ๒ นาง แต่ตามข้อมูลจริงนั้น บิดาของพระสังข์ทองที่มีมเหสี ๒ นาง คือ พระเจ้าพรหมทัตพระองค์หนึ่ง ซึ่งอยู่ใน เรื่องสุรรณสังขชาดก ไม่ใช่ฉบับบทละคอนนอกแต่อย่างใด ส่วนข้อมูลในฉบับบทละคอนนอก จะมีรายละเอียดของเนื้อหามากกว่า จึงได้นำมาวิเคราะห์ ดังนี้

มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวยศวิมลไอศวรรย์

ไร้บุตรสุดวงศ์พงศ์พันธุ์ วันหนึ่งนั้นไปเลียบพระนคร

ราษฏรร้องว่าให้หาบุตร พระทรงภุชร้อนจิตดังพิษศร

มิได้เสวยสรงสาคร นั่งนอนร้อนใจใช่พอดี

ประชาชนจนจิตไม่คิดหวัง ยิ่งประดังพลุกพล่านทั้งกรุงศรี

เวทนาเป็นพระยาสมบัติมี มาไร้ที่โอรสยศไกร

จึงดำรัสตรัสเล่ามเหสี ถ้วนถี่ชี้แจงแถลงไข

เจ้ามาช่วยพี่คิดนะดวงใจ ค้นคว้าหาไปดูตามบุญ

บวงสรวงซ่องเซทุกเวลา รักษาศีลด้วยช่วยอุดหนุน

ถ้วนทุกนางในให้พร้อมมูล เกลือกบุญของใครได้สร้างมา

เมื่อนั้น มเหสีมิได้คิดอิจฉา

คำนับรับราชบัญชา พระอย่าระคางหมางใจ

จะพึ่งพ่อขอฝากดวงชีวัน หาคิดเกียดกันฉันทาไม่

ตามแต่กุศลของใคร ให้สิ้นสงสัยพระทัยปอง

เรื่องของเรื่องเริ่มต้นที่ ท้าวยศวิมลออกตรวจพระนครในวันหนึ่ง แล้วถูกประชานชเรียกร้องให้พระองค์มีบุตรไว้สืบบัลลังก์ต่อไป ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ท้าวยศวิมลต้องคิดหนักเพราะ ประชาชนจนจิตไม่คิดหวัง ที่ประชาชนจนจิตอาจเป็นเรื่องของความไม่มั่นคงในบัลลังก์ รึท้าวท่านอาจเครียดเพราะคิดว่าประชาชนหาว่าตนไม่มีน้ำยาก็ได้ ท้าวท่านคงเครียดมากจนถึงขั้นที่กินไม่ลงอาบน้ำไม่ได้ นั่งนอนไม่สบาย จึงเล่าเรื่องนี้ให้พระมเหสีของตนฟังเพื่อให้ช่วยหาทางออก ซึ่งมเหสีองค์นี้มีชื่อว่าอะไรก็ยังไม่ทราบ มเหสีจึงแนะนำให้ทำพิธีบวงสรวงเหล่าเทวดาฟ้าดินพร้อมกับเหล่านางใน(ที่ถวายตัวแล้ว)โดยที่มเหสีมิได้คิดอิจฉาและยังบอกอีกว่า เรื่องของการจะได้บุตรนี้เกลือกบุญของใครได้สร้างมา คือ ใครจะมีบุตรให้ท้าวท่านก็ได้ แล้วแต่บุญของใครที่ได้ทำมา แม้ไม่ใช่ตัวนางเองที่ให้บุตรนางก็ไม่เคยคิดอิจฉาใคร(มเหสีองค์นี้ใจกว้างน่าดู นางคงเห็นความมั่นคงของบ้านเมืองมาก่อนความมั่นคงในตำแหน่งของตัวเอง)

ฟังนาฏ พิศวาสในน้ำคำสนอง

สั่งท้าวนางในดังใจปอง ให้แต่งของบูชาบรรณาการ

พลบค่ำย่ำแสงสุริยา ยกมาเตรียมไว้ในสถาน

บอกเหล่าสาวศรีบริวาร สั่งการให้ทั่วทุกตัวนาง

จัดแจงแต่งเครื่องบูชา ธูปเทียนชวาลาต่างต่าง

ทุกวันทุกเวรอย่าเว้นว่าง นอนปรางค์ข้างที่เราทุกคน

หลังจากนั้น พระมเหสีจึงได้สั่งให้แต่งของบูชาบรรณาการเตรียมไว้ในสถานที่อันสมควร และกำชับให้เหล่านางในทั้งหลายสักการะบูชาขอบุตรทุกๆวันอย่าได้ขาด ถึงขั้นสั่งให้นางกำนัลทั้งหลายนอนในพระปรางค์ใกล้ๆกันเพื่อที่จะได้ทำการสักการะพร้อมเพรียงกันทุกวันคืนด้วย

เมื่อนั้น ภูวไนยมีพระทัยขวายขวน

เห็นนางในนอนทั่วทุกตัวคน ตรัสบอกยุบลสนทนา

ดูก่อนเหล่านางทั้งหลาย เราหมายมุ่งมาดปรารถนา

จำนงจะประสงค์ลูกยา ไม่เห็นแก่หน้าฉันทาใคร

ชวนกันตั้งจิตพิษฐาน บนบานตามชอบอัชฌาสัย

ใครเกิดบุตรายาใจ เวียงชัยจะให้แก่ลูกรัก

ตรัสพลางทางเข้าแท่นที่ ชวนพระมเหสีมีศักดิ์

บวงสรวงเทวาสุรารักษ์ ในห้องทองสุรศักดิ์ตำหนักชัย

ประเด็นของเรื่อง เริ่มต้นตรงนี้ ตรงที่ ท้าวยศวิมลดันประกาศออกมาก่อนว่า ใครเกิดบุตรายาใจ เวียงชัยจะให้แก่ลูกรัก จุดนี้เองที่ทำให้นางในหลายคนเริ่มตั้งความหวังขึ้นในใจ เพราะเพียงแค่ให้บุตรแก่ท้าววท่านได้ ก็จะได้เป็นถึงพระมารดาของพระราชา แต่ท้าวท่านก็ไม่ได้กีดกันความเชื่อของนางในคนไหน จึงรับสั่งว่า บนบานตามชอบอัชฌาสัย ใครมีความเชื่อความศรัทธาในสิ่งใดก็บวงสรวงกันไป ไม่มีการบังคับใดๆทั้งสิ้น ส่วนตัวท้าว่านกับพระมเหสีเองนั้น บูชาพระเสื้อเมือง ถือศีล ๕ ทุกวัน และปฏิบัติตามหลักทศธรรม(ทศพิธราชธรรม) มิได้ขาด

จนถึงคราวที่เทพบุตรจากดาวดึงส์จะจุติลงมา ท้าวยศวิมลจึงเกิดนิมิตขึ้น ดังนี้

เมื่อนั้น ท้าวยศวิมลฝันว่า

วันเมื่อจะได้พระลูกยา เข้าที่นิทราในราตรี

ฝันเห็นเป็นเทพสังหรณ์ ทินกรจะใกล้ไขสี

สะดุ้งตื่นฟื้นพลันทันที จำได้ถ้วนถี่ในนิมิต

พอรุ่งสางสว่างสุริยง สระสรงทรงเครื่องไพจิตร

ออกท้องพระโรงชัยอำไพพิศ สถิตบัลลังก์กระจังทอง

เสนาข้าเฝ้าก็กราบกราน จึงมีโองการสารสนอง

กับโหรผู้ใหญ่ดังใจปอง ท่านจงตรึกตรองดูในสุบิน

ฝันว่าอาทิตย์ฤทธิรงค์ ตกลงตรงพักตร์ข้างทักษิณ

ดาวน้อยพลอยค้างอยู่กลางดิน เราผินพักตร์ฉวยเอาด้วยพลัน

มือซ้ายได้ดวงดารา มือขวาคว้าได้สุริย์ฉัน

แล้วหายไปแต่พระสุริยัน ต่อโศกศัลย์ร่ำไรจึงได้คืน

สักสามยามหย่อนค่อนรุ่ง เราสะดุ้งคว้าหาผวาตื่น

ดีร้ายทายตามอย่ากล้ำกลืน ตาหมี่นโหราจงว่าไป

บัดนั้น ยอดโหราหามีเสมอไม่

คิดคูณหารดูรู้แจ้งใจ ภูวไนยจะเกิดบุตรา

จึงทูลทายทำนายตามสุบิน ว่าพระปิ่นนางในฝ่ายขวา

จะทรงครรภ์พระราชบุตรา บุญญาธิการมากมี

แต่จะพลัดพรากไปจากวัง ภายหลังจึงจะคืนกรุงศรี

ดาราคือพระบุตรี จะเกิดที่สนมอันควร

ฝันว่าพระทรงโศกา จะได้ชมลูกยาเกษมสรวล

ทายตามสุบินสิ้นกระบวน ถี่ถ้วนจงทราบพระบาทา

จากผลของการทำนายของโหรเฒ่า แสดงว่า พระมเหสีนั้นไม่ได้มีบุตรให้ท้าวยศวิมล(นางอาจมีลูกไม่ได้ด้วยซ้ำ แสดงว่าท้าวท่านยังมีน้ำยาอยู่) แต่บุตรและธิดาของท้าวท่านนั้น จะเกิดจากสนมนางใน โดยบุตรนั้นจะได้จากนางในฝ่ายขวา ส่วนธิดาจะได้จากนางสนมอันสมควร ท้าวท่านยินดีมาก จึงบอกว่า แม้นเหมือนท่านว่าจะรางวัล ถ้าแม่นจริงก็มีรางวัลจะให้แน่นอน จากนั้นจึงกลับเข้าวังในแจ้งให้พระมเหสีทราบ เมื่อนางทราบแล้วจึงทำทีเรียกรวมนางสนมทั้งหลายแล้ว ลองสอบถามดูอาการของแต่ละนาง จึงพบว่า

จึงเห็นจันเทวีพระสนม เนื้อนมครัดเคร่งเร่งสงสัย

แจ้งว่ามีครรภ์มั่นแม่นใจ จัดแจงแต่งให้นางเทวี

นางใดที่ไม่มีครรภ์ แก้ฝันเห็นของก็หมองศรี

ก้มเกล้ากราบลาพระจักรี จันทาเทวีก็ลีลา

จากข้อมูลในจุดนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เดิมทีนั้น นางจันท์เทวีมีตำแหน่งเป็นพระสนมฝ่ายขวาไม่ใช่พระมเหสีแต่อย่างใด และที่สำคัญพอรู้ว่าคนที่ตั้งครรภ์คือ นางจันท์เทวี นางสนมหลายคนที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ต่างก็ผิดหวังไปตามๆกัน โดยเฉพาะ นางสนมที่ชื่อว่า จันทา

ฝ่ายนางจันทามาถึงห้อง เศร้าหมองตรองจิตคอยอิจฉา

อาบเอิบกำเริบด้วยโภคา ผ่านฟ้าว่าใครมีครรภ์

สมบัติจะยกให้ลูกครอง มีสองต้องคิดผิดผัน

ท่านมียศศักดิ์จะรักกัน ลูกเต้าเหล่านั้นจะหมองมัว

ที่ไหนจะได้พระบุรี สาวศรีจะชวนกันยิ้มหัว

ยิ่งตรึกยิ่งตรองยิ่งหมองมัว จึงเรียกนางแม่ครัวเข้าห้องใน

สาวศรีเจ้าจงเอ็นดูเรา เบี้ยข้าวเงินทองจะกองให้

จงช่วยปิดงำอำไว้ เอาทองไปให้แก่โหรา

เขียนหนังสือลับกำชับสั่ง เราหวังไว้ใจเจ้าหนักหนา

ถอดแหวนสั่งให้มิได้ช้า นี่ข้าถึงใจให้พลาง

บัดนั้น สาวใช้ได้กินสินจ้าง

เคารพนบนอบแล้วตอบพลาง ลูกแล้วอย่าหมางระคางใจ

สู้ตายจะตายด้วยแม่เจ้า ลูกเล่าหาพีงผู้ใดไม่

แม่ได้ดีลูกนี้จะดีใจ ลากห่อทองได้ใส่แหวนมา

ดูแล้ว นางจันทาคงมาจากตระกูลขุนนางไม่ก็ตระกูลที่มั่งคั่งมาก นางจึงได้มีเงินทองมากมายจนวางแผน"ซื้อตัว"ข้าราชบริพารทั้งหลายได้ เริ่มจากการซื้อตัวแม่ครัวของวังก่อนเพื่อให้นำหนังสือลับไปมอบให้โหรเฒ่า การที่นางเริ่มจากการซื้อตัวแม่ครัวก่อนนั้น น่าจะเป็นเพราะว่า พวกแม่ครัวต้องเข้านอกออกในวังหลวงไปหาซื้อวัตถุดิบนำมาทำอาหารในวังอยู่บ่อยๆ ฉะนั้นแม่ครัวจึงมีโอกาสที่จะส่งหนังสือลับของนางได้มากกว่าและเร็วกว่าข้าราชบริพารตำแหน่งอื่นๆในวังโดยไม่ถูกสงสัยนั่นเอง นับว่านางเองก็ฉลาดในการวางแผนอยู่ไม่น้อยเลย

มาถึงซึ่งบ้านโหรเฒ่า จู่เข้าไปได้ในเคหา

ไหว้แล้วแก้ทองของจันทา คุณแม่ให้มาแต่ในวัง

ว่าคุณตายาใจปรานีด้วย จงช่วยให้สมอารมณ์หวัง

จงเห็นไมตรีให้จีรัง แล้วยื่นหนังสือให้มิได้ช้า

บัดนั้น โหรใหญ่สงสัยเป็นหนักหนา

รับเอาหนังสือที่มือมา ใส่แว่นตาดูก็รู้ความ

นิ่งนึกตรึกตรองอยู่ในใจ โลภเห็นแต่จะได้ไม่เกรงขาม

แม้นภูมิรับกลับความ ทองคำสามชั่งจะคืนไป

ถ้ากูแก้ไขนางจันทา เงินตราห้าชั่งนั้นจะได้

จึงว่ากับสาวศรีด้วยดีใจ พอแก้ไขได้เป็นไรมี

แลเหลียวเปลี่ยวคนที่บนเรือน อิดเอื้อนจะใคร่ประสมศรี

สาวใช้เจ้าเข้าไปในที่ วานหยิบบุหรี่ที่ริมเตียง

สาวใช้อดสูก็รู้เท่า ไฮ้คุณตาเจ้าช่างกล่าวเกลี้ยง

ใครจะเข้าไปถึงในเตียง ข้าวของรายเรียงจะหายไป

สะบัดมือได้แล้วไหว้ลา อย่านะฉันหาอะไรไม่

จึงวิ่งผลุนหนีพลันทันใด มายังวังในไปแจ้งความ

ตาโหรเฒ่านี่ก็ใช่ย่อย นอกจากโลภแล้วยังจะตัณหากลับอีก คุยกันไม่ทันไรก็จะหลอกแม่ครัวเข้าห้องซะแล้ว ดีที่นางไหวตัวทันก่อน จากข้อมูล หากตาโหรรับคำในหนังสือ นางจันทาก็จะให้มัดจำทองไว้ก่อน ๓ ชั่ง และถ้าทำตามแผนสำเร็จเมื่อไหร่ ก็จะได้ทองทั้งหมดรวม ๕ ชั่ง และยังมีเกร็ดประวัติศาตร์เบาๆอยู่อีกเรื่อง คือ การใช้แว่นสายตานั้น มีมาตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ ๒ แล้ว(แต่อาจมีมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยนี้ก็เป็นได้) หลังจากนางแม่ครัวกลับไปแจ้งนางจันทาว่าซื้อตัวโหรหลวงได้แล้ว ก็ตัดบทกลับมาที่ นางจันท์เทวี ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ว่า

เมื่อนั้น มเหสีโฉมฉินปิ่นห้าม

ค่อยเพียรรักษาพยายาม พระครรภ์โฉมงามได้สิบเดือน

จวนใกล้ฤกษ์พานาที นาภีใหญ่น้อยก็คล้อยเคลื่อน

ระดมลมเส้นก็เต้นเตือน ลูกน้อยคล้อยเคลื่อนเลื่อนลง

เจ็บครรภ์กระสันขึ้นทุกที พ่างเพียงชีวีจะผุยผง

ร้องเรียกแสนสาวเหล่าอนงค์ มาพร้อมล้อมองค์นางเทวี

เรียกพลางทางป่วนครวญครรภ์ ช่วยกันเร็วเร็วนางสาวศรี

องค์สั่นยัยยุดทรุดอินทรีย์ มเหสีโอดโอยโรยแรง

จากข้อมูลนี้จะเห็นว่า ตอนนี้ นางจันท์ได้รับตำแหน่งเป็นพระมเหสีเรียบร้อยแล้ว ส่วนพระมเหสีองค์ก่อนหายไปไหนนั้น คำตอบก็น่าจะเป็นว่า นางได้ถอดยศตำแหน่งเดิมแล้วกลับไปอาศัยที่บ้านเกิดอย่างเงียบๆ(เพราะนางเป็นคนนิสัยดีมากๆ คงไม่โดนประทานยาพิษหรอกนะ) เมื่อถึงกำหนดคลอด นางจันท์เทวีจึงจัดแจงเรียกนางกำนัลร่วมแสนคน(!?!)แต่จะมีกี่แสนตรงนี้เราเองก็ไม่ทราบ เข้ามาช่วยเหลือประคองนางเข้าห้องเตรียมทำการคลอด นางกำนัลบางส่วนก็ไปแจ้งให้ท้าวยศวิมงทราบเรื่องและทูลเชิญมาติดตามสถานการณ์

เมื่อนั้น ท้าวยศวิมลเร่งผ่องใส

จะได้เห็นลูกน้อยกลอยใจ ในวันนี้แล้วแก้วตา

รีบไปด้วยไร้โอรส พระทรงยศแสนโสมนัสสา

นางในใครรู้ก็ตรูมา โฉมนางจันทาก็ตามไป

นางจันทาเองก็คงรอเวลานี้อยู่เช่นกัน จึงขอตามไปดูด้วยเพื่อให้ง่ายต่อการวางแผนขั้นต่อไป(ไม่รู้ว่า๑๐เดือนที่ผ่านมานี้นางขยายอิทธิพลในวังหลวงได้ขนาดไหน ไม่รู้นางซื้อตัวขุนนางไว้ได้สักกี่คนแล้ว)

เมื่อนั้น มเหสีป่วนปั่นพระครรภ์เจ้า

มิได้วายว่างบางเบา เจ็บราวกับเขาผูกคร่าร้า

เป็นกรรมตามทันมเหสี จะจากที่สมบัติวัตถา

ยามปลอดก็คลอดพระลูกยา กุมารากำบังเป็นสังข์ทอง

ตรงนี้น่าจะเป็นการดลใจให้เหล่านางกำนัลมองไปในจุดอื่นไม่ให้ความสนใจตัวพระสังข์ และในชั่วพริบตาที่ปลอดจากสายตาเหล่านางกำนัลนั้น พระสังข์ก็คลอดออกมาและกำบังเป็นสังข์ทอง แต่ทำไมต้องกำบังตัวด้วย ทำไมไม่คลอดออกมาดีๆให้คนอื่นๆเห็นกันไปเลยว่ามีบุญขนาดไหน? เหตุที่พระสังข์จำเป็นต้องกำบังกายซ่อนอยู่ในหอยสังข์นั่นก็น่าจะเป็นเพราะ นางกำนัลที่เข้ามาช่วยเหลือและที่มีอยู่ร่อม(หลัก)พันคนในวังหลวงนั้น ไม่รู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นมิตรรึศัตรูกับนางจันท์เทวี หากพระสังข์คลอดออกมาเป็นร่างคนแล้วถูกสลับตัวกับขอนไม้รึลูกสัตว์ จนนางจันท์เทวีถูกกล่าวหาว่าคลอดลูกออกมาเป็นขอนไม้เหมือนที่นางสุวิญชามเหสีของโดนกล่าวหามันจะไปกันใหญ่ เพราะดูแล้วท้าวยศวิมลท่าทางจะเป็นคนเครียดง่ายกับเรื่องเล็กๆน้อยๆซะด้วย(แต่พอคลอดออกมาเป็นหอยสังข์แบบนี้กลับทำให้ท้าวท่านเครียดหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก) แต่พอมองอีกมุมหนึ่ง การคลอดออกมาเป็นหอยสังข์แบบนี้ พวกที่คิดจะสลับตัวเด็กก็คงผิดแผนเพราะคาดไม่ถึง ตกใจจนต่อไม่ถูกแน่นอน

มเหสีตระหนกอกสั่น สาวสรรค์หวั่นไหวทั้งในห้อง

ผ่านฟ้าดังเลือดตานอง แตรสังข์แซ่ซ้องประโคมพลัน

พระทัยวาบสำเนียงเสียงศรี ภูมีขับเหล่านางสาวสรรค์

ภูมินทร์เพียงจะสิ้นชีวัน อับอายสาวสรรค์กำนัลใน

จึงตรัสแก่องค์มเหสี เจ้าพี่เราจะคิดเป็นไฉน

ไม่พอที่จะเป็นก็เป็นไป เมื่อหาลูกไม่ก็ทุกข์ทน

อุตส่าห์บนบานศาลกล่าว ครั้นมีมาเล่าไม่เป็นผล

อับอายไพร่ฟ้าข้าคน พี่จะใคร่กลั้นชนม์ให้พ้นอาย

นางจันท์เทวีพอได้ยินดังนั้น ดังถูกใครตัดเศียรเด็ดกระเด็นหาย ก็ฟูมฟายร้องไห้ขอให้ท้าวยศวิมลใช้พระขรรค์ที่พกติดตัวมาฆ่านางเสีย ตายเสียอยู่ขายบาทบงสุ์ ระหว่างที่ยื้อกันอยู่นี้เอง นางจันทาได้โอกาสก็เข้ามาสมทบ

เมื่อนั้น จันทาได้ช่องต้องประสงค์

กับโหรดูรู้กันไว้มั่นคง ครั้นเข้าเฝ้าองค์พระทรงชัย

ทูลว่าอนาถประหลาดจิต ข้าคิดพิศวงสงสัย

ลูกคนเป็นหอยน่าน้อยใจ หาเยี่ยงอย่างไม่แต่ก่อนมา

มีครรภ์เหมือนกันก็พรั่นตัว ดีชั่วก็ยังกังขา

เดิมว่าโหรทายทำนายมา แต่แรกชายาจะทรงครรภ์

ว่าโอรสนั้นจะมีบุญ ได้เพ็ดทูลไว้ตามทำนายฝัน

เข้าไฟให้หายโรคัน แล้วทรงธรรม์ตรัสถามเนื้อความดู

ฟังคำ ผลกรรมจะพรากจากคู่

แยบคายภายในมิได้รู้ จริงอยู่โหรทายทำนายมา

ว่าจะมีท้องทั้งสองนั้น แม่นมั่นจริงจังดังปากว่า

เคยได้นับถือลือชา ลูกยามาเป็นเช่นนี้ไป

จริงแล้วจะถามความ ก่อน ให้แน่นอนว่าเห็นเป็นไฉน

จึงให้ทรามชมบรรทมไฟ คลาไคลออกท้องพระโรงพลัน

ให้หาโหราเข้ามาเฝ้า พระเจ้าตรัสถามเนื้อความฝัน

เดิมทายโฉมยงว่าทรงครรภ์ ก็แม่นมั่นเหมือนคำจำนรรจา

เหตุไรลูกน้อยเป็นหอยสังข์ พลาดพลั้งบิดเบือนไม่เหมือนว่า

จะเป็นชายทายทูลว่าบุญญา ถ้อยคำท่านว่านั้นผิดไป

ให้ดูแลหมายว่าจริงจัง เลือดตากูดังจะย้อยไหล

เป็นเหตุเภทพาลประการใด โหราว่าไปอย่าอำพราง

บัดนั้น โหรใหญ่ได้กินสินจ้าง

สมจิตคิดไว้จะให้นาง พลัดพรากจากปรางค์ไปทางไกล

ทำค้นตำรามาดูแล บิดเบือนเชือนแชแก้ไข

แล้วทูลพระองค์ผู้ทรงชัย ทายไว้มิใคร่จะคลาดคลา

เพราะบ้านเมืองร้ายต้องกลายกลับ พระองค์ว่ากับโอรสา

เป็นกรรมตามทันกัลยา แม้นพระบุตราเป็นมนุษย์

จะเลิศเรืองเฟื่องฟุ้งงทั้งกรุงไกร เคราะห์ร้ายกลายไปเสียสิ้นสุด

บ้านเมืองก็จะล่มโทรมทรุด ม้วยมุดฉิบหายวายปราณ

แม้นขับไล่ไปไกลบุรี ธานีจะเย็นเกษมศานต์

อย่าไว้พระทัยให้เนิ่นนาน เพลิงกาฬจะเผาเอาพารา

นางจันทาทำทีอ้างคำทายโหรเฒ่าและแกล้งหวังดีให้ส่งนางจันท์ไปนอนอยู่ไฟรักษาตัวก่อน แล้วตัวเองก็ตามประกบท้าวยศวิมลออกไปดูว่าโหรเฒ่าทำตามแผนที่หลอกสร้างเหตุการณ์ว่าเกิดเหตุอาเพทเพื่อขับไล่นางออกจากวังรึไม่ ตอนนี้อิทธิพลในวังหลวงของนางจันทาได้แผ่ขยายออกไปพอสมควรแล้วแน่นอน หลังจากได้ฟังคำทำนายของหรเฒ่าท้าวท่านก็เข้าไปหานางจันท์ด้วยความเครียดจนน้ำตาไหล

ครั้นถึงจึงทิ้งพระองค์ลง บอกพลางทางทรงกันแสงไห้

โอ้กรรมเราทำไว้ปางใด จะไกลกันไปแล้วนะแก้วตา

มิพอที่จะเป็นก็มาเป็น เกิดเข็ญเพราะลูกเสน่หา

โหรทายร้ายนักเจ้าพี่อา ว่าแก้วกัลยาเป็นกาลี

อยู่ไปจะได้แค้นเคือง บ้านเมืองจะยับต้องขับหนี

พี่จะขาดใจม้วยด้วยเทวี ไม่มีความผิดสักนิดเลย

แสนสงสารนักด้วยรักใคร่ จะจากกันฉันใดได้เฉยเฉย

อยู่อยู่ดีดีเจ้าพี่เอย ไม่รู้ตัวเลยจะจากกัน

ฟังเอยฟังสาร ดังคนผลาญชีวาให้อาสัญ

นางตระหนกตกใจดังไฟกัลป์ อกสั่นขวัญหนีไม่มีใจ

สวมสอดกอดบาทของผัวแก้ว ข้อนทรวงเข้าแล้วก็ร้องไห้

เมียให้ฆ่าฟันให้บรรลัย รักใคร่เมตตาไม่ฆ่าตี

หรามันว่าเป็นคำสอง พ่อตรองให้ควรถ้วนถี่

ขับไล่ไม่มาฆ่าตี เหมือนม้วยชีวีไปจากกัน

ร่ำพลางนางเกลือกเสือกกาย ดังจะวายชีวาด้วยโศกศัลย์

ซบพักตร์กับตักพระทรงธรรม์ หวาดหวั่นนิ่งไปไม่พาที

เอะเอยเอะน้องแก้ว ผิดแล้วองค์เย็นดังเป็นผี

ร้องไห้นิ่งไปไม่พาที อยู่บนตักพี่ไม่หายใจ

แต่ก็ดูเหมือนนางจันท์จะเริ่มระแคะระคายบ้างแล้ว พอรู้ว่าโหรกลับคำทำนายจึงขอให้ท้าวยศวิมลคิดตรองให้ดีก่อน เพราะจะไล่รึฆ่าก็ไม่แตกต่างกัน ถ้าแบบนั้นนางก็ขอตายซะดีกว่า ทั้งสองยื้อกันไปมาจนสลบทั้งสองคน นางจันทาเห็นดังนั้นก็ตามเข้ามาประกบอีก

เมื่อนั้น จันทาแสนกลคนขยัน

เห็นสองสลบทบทับกัน ผันผินรินน้ำกุหลาบมา

ชโลมองค์ทรงทาทั้งสองศรี ค่อยได้สมประดีที่โหยหา

แล้วโลมเล้ากล่าวคำด้วยหยาบช้า เคราะห์กรรมทำมาจะโทษใคร

โหรเล่าใช่เขาจะชั่วช้า เคยนับถือมาแต่ไหนไหน

จำไปให้สิ้นเคราะห์ภัย เกลือกไปเคราะห์นั้นจะบรรเทา

ไม่ม้วยดับชีพสูญหาย มิใช่ล้มตายอะไรเล่า

แต่พอเคราะห์นั้นค่อยบรรเทา แล้วเราจึงรับกันกลับมา

ชะรอยตาโหรเฒ่านี้จะมาดีแตกเอาตอนแก่ เพราะนางจันทาเองก็บอกว่า โหรเฒ่านี้ก็นับถือมาตั้งนานแสดงว่าแต่ก่อนคงไว้ใจได้ นางจันทาจึงเอาเครดิตนี้มาอ้างว่า ไหนๆคำทำนายก็มาตามนี้แล้ว ก็ควรส่งตัวนางจันท์ออกจากเมืองไปซะก่อนเหมือนการแก้เคล็ด เมื่อหมดเคราะห์เมื่อไหร่ค่อยไปรับตัวกลับมาอีกที(แต่ไอ้ที่ว่าจะพ้นเคราะห์เมื่อไหร่นี่ไม่ยักกะรู้แฮะ)

เมื่อนั้น พระฤาสายค่อนคลายที่โหยหา

ได้ฟังถ้อยคำนางจันทา ตรึกตราสะท้อนถอนใจ

เห็นจริงไม่กริ่งถ้อยคำ ด้วยเวรากรรมมาทำให้

จึงมีวาจาว่าไป เจ้าเอาใจด้วยช่วยจัดแจง

ให้องค์นงเยาว์เจ้าไป กิน ทรัพย์สินเงินทองของแห้ง

สั่งเสนาในให้จัดแจง เรือแผงม่านวงให้จงดี

ส่งไปให้พ้นขอบเขต จะเนรเทศยอดรักมเหสี

ตรัสพลางดูนางแล้วโศกี ภูมีเมินอายนางจันทา

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรเป็นศัตรู ไม่รู้ว่ามีใครถูกนางจันทาซื้อตัวไปแล้วบ้าง การส่งนางออกจากวังโดยเร็วที่สุดภายใต้คำสัง่เนรเทศก็น่าจะเป็นทางออกที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับนางจันท์และพระสังข์ในช่วงนั้นแล้วก็เป็นได้ แต่ทว่า ท้าวยศวิมลคงจะช้ากว่านางจันทาไปหลายก้าวซะแล้ว เพราะว่า

เมื่อนั้น นางจันทาตัวคิดริษยา

ดีใจรับสั่งบังคมลา ทำเช็ดน้ำตาแล้วคลาไคล

มิได้จัดแจงแต่งของ เงินทองข้าวปลาไม่หาให้

กระซิบสั่งสาวศรีที่ร่วมใจ เอาเงินไปให้แก่เสนา

ว่าเอ็นดูด้วยช่วยเรา พาเอานางไปอย่าไว้หน้า

ไกลคนพ้นแดนพารา เสนาฆ่าเสียให้วอดวาย

สุดแต่อย่าให้มันครองวัง ปิดความกำบังให้สูญหาย

จะทดแทนคุณให้มากมาย เจ้าอย่าแพร่งพรายให้ใครฟัง

เสร็จสรรพกลับเข้าปราสาทศรี ทูลความตามที่รับสั่ง

เงินทองของกินสิ้นยัง เตรียมแล้วพร้อมพรั่งทั้งนาวา

บัดนี้ไพร่ฟ้าข้าเมือง ลือเลื่องฮึกฮักหนักหนา

มันจะกลุ้มรุมกันทั้งพารา โกรธว่าจะพาให้ยากเย็น

ว่าช้าไปมิใคร่จะจากวัง มันจะพังบ้านเมืองเคืองเข็ญ

น้ำตาข้าน้อยพลอยกระเด็น กรรมเวรเป็นไปทุกสิ่งอัน

ฟังข่าว พระร้อนเร่าฤทัยไหวหวั่น

หลงกลด้วยกรรมาตามทัน สำคัญว่าจริงทุกสิ่งไป

พินิจพิศพักตร์อัคเรศ คลอเนตรสะท้อนถอนใจใหญ่

จะออกปากก็คับอับใจ ด้วยความรักใคร่ชายา

ครั้นจะมิให้เจ้าไปเล่า ร้อนเร่าด้วยคำจันทาว่า

บ่ายเบื้อนเยื้อนออกวาจา เจ้าแก้วตาของพี่ผู้มีกรรม

เจ้าเคยพรากสัตว์ให้พลัดคู่ เวรมาชูชุบอุปถัมภ์

แม้นมีกรรมไม่ไปใช้กรรม ไพร่ฟ้ามันจะทำย่ำยี

มิใช่พี่ไม่รักน้อง ร่วมห้องอกสั่นกันแสงศรี

ไม่ยับดับสูญบุญมี เคราะห์ดีสิ้นกรรมจะเห็นกัน

ตรัสพลางดูนางมิใคร่ได้ ชลนัยน์ไหลรินแล้วผินผัน

เดินเข้าห้องแก้วแพรวพรรณ รูดพันม่านทองเข้าโศกา

ดูๆไปแล้ว ท้าวยศวิมลนี่เป็นคนหูเบาน่าดูเหมือนกัน แค่นางจันทายุนิดหน่อยว่าประชาชนจะลุกฮือตามคำโหรก็ถือเอาเป็นจริง ไม่ได้ทำการตรวจสอบรึออกมาดูด้วยตัวเอง ปกติคงไม่ได้ออกตรวจเมืองเองนัก คงอ่านเอาจากฎีกาที่พวกขุนนางเขียนมาถวายซะมากกว่า เป็นไปได้ว่า ท้าวยศวิมลคงได้เป็นราชาตามสิทธิ์สืบทอดแต่ความสามารถคงไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ พอไม่รู้จะพูดอะไรก็ไปว่าพระมเหสีมีกรรมเก่าต้องไปเพื่อใช้กรรมซะงั้น(โยนไปให้เรื่องของกรรมซะอย่างงั้น)

เมื่อนั้น มเหสีตีทรวงไห้โหยหา

พ่างเพียงจะสิ้นชีวา โศกาไม่เป็นสมประดี

ครั้นจะอ้อนวอนผ่อนผัน ทรงธรรม์ก็เมินดำเนินหนี

ทุกข์แค้นแสนโศกโศกี พระพันปีหนีเมียเสียว่าไร

มีกรรมจำจากพระบาทแล้ว น้องแก้วหาขัดขืนไม่

จะขอผัดผ่อนต่อนอนไฟ มิให้ช้านักสักเจ็ดวัน

แต่พอให้แห้งเหือดเลือดลม จะซุกซมซ่อนไปในไพรสัณฑ์

พ่อไม่ขึ้งโกรธโทษทัณฑ์ เหตุไรไม่ทันบัญชา

ว่าพลางนางข้อนทรวงไห้ เพียงขาดใจม้วยด้วยโหยหา

เหล่ากำนัลไม่กลั้นน้ำตา ชวนกันโศการิมแท่นทอง

นางจันท์คิดจะขออยู่ไฟให้ครบ ๗ วันก่อน พอเลือดลมเดินสะดวกนางเองก็คิดจะหลบเข้าป่าเองเหมือนกัน แต่ไม่ทันขอท้าวยศวิมลก็ชิ่งหนีไปซะก่อน นางจันทาจึงต้องรีบเข้ามาจัดการก่อนที่จะมีใครเปลี่ยนใจ

เมื่อนั้น จันทาตัวดีไม่มีสอง

สมจิตคิดไว้ดังใจปอง ได้ช่องให้หน้าแล้วว่าไป

กับนางสาวศรีที่ร่วมคิด ว่ารับสั่งทรงฤทธิ์เป็นใหญ่

ให้พาโฉมยงเจ้าลงไป มอบองค์ส่งให้แก่เสนี

ช้าไปไพร่ฟ้าจะขึ้งโกรธ จะคุมโทษโลภแย่งเอากรุงศรี

ตามบุญตามกรรมของเทวี ช้าไปบูรีจะมีภัย

บัดนั้น สาวใช้ผู้ร่วมอัชฌาสัย

รู้กันในกลยลใน ลอบเข้าไปใกล้นางชายา

ทูลว่าภูมินทร์ปิ่นเกล้า อาวรณ์ร้อนเร่าหนักหนา

ด้วยกลัวไพรีจะบีฑา เตือนมาให้พาแม่คลาไคล

จะมีโทษแต่ข้าน้อย ดับความโศกสร้อยละห้อยไห้

มีกรรมจำเป็นเข็ญใจ อย่าให้ข้าไทต้องภัยโพย

นางจันทาอ้างรับสั่งของฝ่าบาทให้เร่งนำตัวพระมเหสีไปส่งให้เสนาที่ท่าเรือ โดยอ้างเรื่องการลุกฮือของประชาชนเข้ามาขู่ซ้ำ ฝ่ายคนสนิทนางจันทาก็แกล้งเข้าไปใกล้พระมเหสีแล้วทูลว่า ตอนนี้ท้าวยศวิมลกำลังร้อนใจเรื่องการลุกฮือ จึงเตือนมาให้พระมเหสีรีบไป หากช้าตัวกำนัลทั้งหลายอาจถูกลงโทษได้ ด้วยว่าไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะตนเป็นเหตุ ถึงแม้จะยังเสียใจอยู่ แต่พระมเหสีก็รีบไปในทันที

ว่าพลางยกเอาลูกน้อย น้ำเนตรหยดย้อยดังฝอยฝน

ร้องทูลพระองค์ทรงสกล น้องคนมีกรรมจะขอลา

ดูรูปจำร่างเสียยังแล้ว พระแก้วจะไม่ได้เห็นหน้า

จะไม่คืนคงอย่าสงกา มิได้รองฝ่าพระบาทไป

สิ่งใดเมียได้พลาดพลั้ง แต่หลังให้ขัดอัชฌาสัย

เมียขอสมาอาภัย อย่าได้เป็นเวราเลย

ให้พ่ออยู่ยืนได้หมื่นปี โรคาอย่ามีพ่อคุณเอ๋ย

ไม่เยี่ยมม่านทองดูน้องเลย ทำเฉยเสียได้ไม่นำพา

นิ่งได้ให้เขามาสั่งเสีย ตัดเมียเสียได้ไม่ดูหน้า

ว่าแล้วนางแก้วบังคับลา สาวใช้ซ้ายขวาก็ตามไป

ค่อยอยู่เถิดเจ้านางสาวศรี บุญน้อยแล้วมิอยู่ด้วยได้

ข้าได้เรียกขานวานใช้ อภัยอย่าได้เป็นกรรมกัน

ว่าพลางนางอุ้มลูกยา จันทาพยักหน้านางสาวสรรค์

เดินทรงโศกามาพลัน กำนัลจันทาก็พาไป

ขนาดจะไปอยู่แล้ว นางยังมีกะใจอวยพรแถมค่อนขอดท้าวยศวิมลอีก แต่ดูแล้วพื้นฐานนางน่าจะเป็นคนดีมาก ขนาดที่สาวใช้ซ้ายขวาจะตามไปด้วย นางยังไม่ยอมให้ไปแต่ขอให้ทั้งสองอยู่ในวังต่อ(คงกลัวว่าตามไปจะลำบาก)แถมยังขอโทษขอโพยสาวใช้ที่เคยเรียกใช้งานอีก พระมเหสีนี้เกรงใจไปซะทุกคนจริงๆ

บัดนั้น เสนีที่ร่วมอัชฌาสัย

รับเอาโฉมงามทรามวัย สาวใช้ขึ้นไปยังในวัง

กินเหล้าเมาโป้งโฉงเฉง ไม่เกรงไม่ขวยด้วยโอหัง

เชิญแม่มาไปให้พ้นวัง รับสั่งจะช้าอยู่ว่าไร

ทำให้คนยากลำบากด้วย คราวรวยหาทักรู้จักไม่

ที่มีปัญญาก็ว่าไป นี่พูดอะไรไม่ต้องการ

ว่าพลางเชิญนางลงนาวา มิช้าบ่ายบากจากสถาน

ทางสิบห้าวันกันดาร พ้นบ้านไกลที่ไม่มีคน

จากข้อมูลนี้ ดูเหมือนว่า พระมเหสีองค์นี้จะไม่มีอิทธิพลในวังหลวงเลย เป็นได้ว่าเดิมทีนางไม่อยู่ในตระกูลที่ร่ำรวยนัก ขนาดเสนาที่เมาแล้วยังทักว่า คราวรวยหาทักรู้จักไม่ เหมือนๆว่าอยากจะได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาจากนางบ้าง แสดงว่านางคงไม่กว้างขวางเหมือนนางจันทาที่เที่ยวจ่ายเที่ยวอุดเขาไปทั่ว แต่เสนาที่มีปัญญาก็ท้วงว่าพูดจาเพ้อเจ้อไม่เข้าท่า แล้วจึงเชิญนางลงเรือ(น่าจะเป็นท่าเรือในวังนั่นแหละ) เดินทางถึง ๑๕ วัน ก็ถึงถิ่นห่างไกลไร้ผู้คน

ครั้นถึงจึงส่งนางเทวี ดูน่าปรานีระเหระหน

เสนีที่ได้กินสินบน ขัดสนด้วยคนเขามากมาย

จะฆ่าเทวีก็มิได้ มารยาว่าไปดังใจหมาย

ไหนไหนไม่พ้นเป็นคนตาย จะลองดาบกรายเล่มนี้ดู

เพื่อนกันช่วยฉุดยุดไว้ ผิดไปไม่ได้อย่าจู่ลู่

ตามกรรมตามเวรนางโฉมตรู จู่ลู่จะพากันวุ่นวาย

ไม่คิดถึงตัวกลัวกรรม เวรามาทำเองง่ายง่าย

ถึงชั่วดีเล่าเป็นเจ้านาย จะทำผิดคิดร้ายก็ไม่ดี

กลับไปบ้านเราจะดีกว่า ว่าพลางทางลานางโฉมศรี

ที่ใจเมตตาปรานี บ้างข้าวของมีก็ให้ทาน

แล้วออกนาวาคลาไคล ดูไปใจหายน่าสงสาร

ฝ่ายว่าเสนีที่เป็นพาล งุ่นง่านไม่ไหว้ไม่ลาใคร

แต่แผนนางจันทาในคราวนี้ไม่เป็นไปตามคาด ด้วยว่านอกจากเสนาที่รับเงินมาแล้ว ยังมีเสนาคนอื่นๆตามมาด้วยจึงไม่อาจฆ่านางได้ แต่ก็ยังคิดแผนแกล้งบอกเพื่อนเสนาว่า ไหนๆก็คงไม่รอดเพราะเข้าป่าไปคนเดียวแบบนี้ ตนอยากจะลองดาบดูซะหน่อย(เลว!) แต่พวกเสนาคนอื่นก็พากันฉุดยั้งไว้ด้วยเห็นว่าไม่สมควรอย่างแรง แต่ด้วยเห็นว่ามันเมาอยู่เลยไม่คิดจะถือเอาเรื่องเอาราวอะไร เสนาดีๆที่สงสารก็ให้อาหารนางติดตัวเป็นเสบียงก่อนจะจากลา แต่ไอ้คนเมาก็ไม่ยอมไหว้ลาอยู่ดี หลังจากได้เสบียงแล้วนางจันท์เทวีก็ขึ้นจากท่าน้ำแต่ก็ยังไม่มีจุดหมายให้ไปอยู่ดี

เดินพลางทางอุ้มลูกพลาง เห็นทุกข์แม่บ้างพ่อสังข์เอ๋ย

บุกป่าฝ่าไพรแม่ไม่เคย เพราะกรรมทรามเชยเจ้าเกิดมา

เป็นคนหรือจะได้มาเป็นเพื่อน มีเหมือนไม่มีโอรสา

ทั้งนี้เพราะอีจันทา กับอ้ายโหรามันรู้กัน

ทั้งอีสาวศรีมันร่วมใจ มันเร่งรัดให้แม่ผายผัน

ทั้งอ้ายเสนาจะฆ่าฟัน อัศจรรย์ใจแม่นี้แน่แล้ว

พระร่วมห้องของน้องยังอาลัย เหตุไรไม่เกรงทูลกระหม่อมแก้ว

พ่อหลงกลมนตร์มันแน่แล้ว เดินพลางนางแก้วก็โศกี

เสียงเสือแรดช้างกวางทราย ใจหายอกสั่นขวัญหนี

เล็ดลอดกอดลูกเข้าโศกี เทวีอุ้มสังข์ดำเนินไป

ดูท่า นางจันท์เทวีเองก็รู้แผนของนางจันทาและผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดนะ แต่คงหาหลักฐานไม่ได้ พรรคพวกในวังก็ไม่มีเลยไม่รู้จะต่อกรยังไง พอเดินทางนานๆนางไม่รู้จะทำอะไรก็คุยให้ลูกฟังไปเรื่อยเปื่อย

เดินมา สุริยาร้อนแรงแสงใส

แลเห็นบ้านป่าพนาลัย โฉมยงดีใจเข้าไปพลัน

พบสองเฒ่าปลูกถั่วงา นางนั่งวันทาขมีขมัน

ฝ่ายว่าสองราดูหน้ากัน ยายถามตานั้นทันใด

ตานี่ดีร้ายจะไม่ตรง มั่นคงกูคิดหาผิดไม่

นัดแนะกันมาหรือว่าไร ตาเอาใจออกนอกกัน

น้อยหรือนั่นรูปร่างอย่างกินนร ยายค้อนตาผัวจนตัวสั่น

ฝ่ายตาโกรธยายเอาไม้รัน มึงเห็นสำคัญด้วยอันใด

คราวลูกคราวหลานก็ไม่ว่า มันบ้าอย่าถือแม่ข้าไหว้

มาแต่ตำบลหนใด บอกให้แจ้งใจยายตา

นางจันท์เทวีนี่ก็เกือบทำเขาบ้านแตก เดินมาเรื่อยจนกระทั่งพบบ้านป่าหลังหนึ่ง เลยเดินเข้าไปไหว้เขาซะเฉยเลย ทางยายเองแก่แล้วก็ยังจะใจร้อนไม่ทันถามความอะไรก็หาว่าตาแกนอกใจนัดแนะกันพาอีหนูเข้าบ้าน ตาแกได้ยินก็โมโหเลยสวนกลับไปว่า นางจันท์เทวีนี่ก็รุ่นลูกรุ่นหลานเข้าไปแล้วคิดอะไรไม่เข้าท่า แล้วหันมาบอกกับนางจันท์เทวีไม่ให้คิดมากแล้วก็รับไหว้นางตอบ

นางเล่าแต่ต้นจนปลาย ตายายพาไปยังเคหา

จัดเหย้าเรือนให้มิได้ช้า ด้วยความเมตตาปรานี

เมื่อนั้น โฉมจันท์กัลยามารศรี

อยู่ด้วยยายตาได้ห้าปี ยากแค้นแสนทวีทุกเวลา

ครั้นค่ำตักน้ำตำข้าว ครั้นรุ่งเช้าเจ้าเข้าป่า

เก็บผักเที่ยวหักฟืนมา กัลยาค้าขายได้เลี้ยงตัว

อุ้มเอาลูกน้อยหอยสังข์ สุดกำลังแม่แล้วพ่อทูลหัว

เลี้ยงไว้ว่าจะได้เป็นเพื่อนตัว ทูนหัวไม่ช่วยแม่ด้วยเลย

เนื้อเย็นเป็นคนนะลูกแก้ว ห้าหกขวบแล้วนะลูกเอ๋ย

กำดัดจะภิรมย์ชมเชย ลูกเอ๋ยจะเบาทุเลาแรง

นางมิได้เอนองค์ลงนิทรา สุรียารุ่งรางสว่างแสง

วางลูกไว้ไปจัดแจง ลากแผงออกวางที่กลางดิน

เอาข้าวออกตากแล้วฝากยาย จับหาบผันผายเข้าไพรสิณฑ์

เที่ยวเก็บผักหญ้าเป็นอาจิณ โฉมฉินซอนซนด้นมา

หลังจากนางจันท์เทวีเล่าที่มาให้สองตายายฟัง ทั้งสองจึงจัดแจงสถานที่ให้นางอยู่ด้วย จนเวลาผ่านไป ๕ ปี กิจวัตรหลักๆของนางก็มีการตักน้ำ ตำข้าว ตากข้าว(คงไล่มอด) เข้าป่าเก็บผักเก็บฟืนไปขาย(ไม่รู้ว่านางเป็นคนเอนไปขายเองรึตายายเป็นคนไปขาย แต่ดูท่าตายายจะเป็นคนไปขายซะมากกว่า เพราะถ้านางไปขายเองคงโดนเก็บไปนานแล้ว) เช้าวันหนึ่งนางก็เอาข้าวออกมาตากตามปกติแล้วฝากยายให้ช่วยดูก่อนที่จะเข้าป่าไปเก็บของป่าขาย

มาจะกล่าวบทไป เทพไทสิงสู่อยู่พฤกษา

สงสารนางจันท์กัลยา เจ้ามาเหนี่อยยากลำบากกาย

เทพบุตรจุติมาบังเกิด กำเนิดผิดพ้นคนทั้งหลาย

บุญญาธิการนั้นมากมาย จะล้ำเลิศเพริศพรายเมื่อปลายมือ

ถึงจะตกน้ำก็ไม่ไหล ตกในกองกูณฑ์ไม่สูญชื่อ

จะได้ผ่านบ้านเมืองเลื่องลือ อึงอื้อดินฟ้าบาดาล

คู่สร้างกับนางรจนา มารดาจะสุขเกษมศานต์

นิ่งไว้จะยากลำบากนาน กุมารซ่อนตนจะดลใจ

จึงบันดาลให้เป็นไก่ป่า กินข้าวมารดาหาช้าไม่

ขันก้องร้องตีกันมี่ไป คุ้ยเขี่ยข้าวให้กระจายดิน

หลังจากผ่านมา ๕ ปี พวกเทพารักษ์ในต้นไม้แถวบ้านตายายเห็นท่าไม่ค่อยดี จำต้องมีการกระตุ้นซะหน่อย ถ้าปล่อยไว้คงเจริญยาก จึงพากันแปลงเป็นไก่ป่าไปกินข้าวที่นางจันท์ตากไว้(อ้าว แล้วยายล่ะเขาฝากข้าวไว้แล้วตัวหายไปไหน? เป็นไปได้ว่านางอาจถูกพวกเทวาไก่ป่าสะกดให้หลับรึถูกดลใจให้ออกไปที่อื่นก่อน จงปล่อยให้ไก่ป่าจำแลงยกพวกลงมาขุ้ยเขี่ยอย่างสนุกสนานต่อไป)

เมื่อนั้น พระสังข์ซ่อนอยู่ก็รู้สิ้น

พระแม่ไปป่าเป็นอาจิณ ในจิตคิดถวิลทุกเวลา

จะใคร่ออกช่วยพระแม่เจ้า สงสารผ่านเกล้าเป็นหนักหนา

เหนื่อยยากลำบากกายา กลับมาจนค่ำแล้วร่ำไร

ไม่ว่าลูกน้อยเป็นหอยปู อุ้มชูชมชิดพิสมัย

พระคุณล้ำลบภพไตร จะออกให้เห็นตัวก็กลัวการ

ไก่ป่าพาฝูงมากินข้าว ของพระแม่เข้าอยู่ฉาวฉาน

คุ้ยเขี่ยเรี่ยรายทั้งดินดาน พระมารดามาเห็นจะร่ำไร

เยี่ยมลอดสอดดูทั้งซ้ายขวา จะเห็นใครไปมาก็หาไม่

ออกจากสังข์พลันทันใด ฉวยจับไม้ได้ไล่ตี

กอบเก็บข้าวหกที่ตกดิน ผันผินลอยลับขยับหนี

เหลืยวดูผู้คนชนนี จะหนีเข้าสังข์กำบังตน

หุงข้าวหาปลาไว้ท่าแม่ ดูแลจัดแจงทุกแห่งหน

ช่วยขับไก่ป่าประสาจน สาละวนเล่นพลางไม่ห่างดู

ฝ่ายพระสังข์เอง เฝ้าดูพฤติกรรมนางจันท์เทวีมาตลอดเวลา ๕ ปี ก็เข้าใจดีถึความลำบาก แต่ครั้นจะออกไปให้เห็นตัวก็กลัวจะมีปัญหา เพราะหากมีคนพบเห็นตัวมากจนเกินไปอาจทำให้เกิดข่าวลือกันว่า องค์รัชทายาทและพระมเหสียังมีชีวิตอยู่ และมีการตามสืบข่าว ซึ่งสิ่งที่พระสังข์กลัวคือฝ่ายปกป้องรึฝ่ายทำลายที่จะเป็นฝ่ายพบตนก่อน แต่ด้วยฝูงเทวาไก่ป่าออกมาแกล้งรังควานแบบนี้ พระสังข์ก็กลัวว่านางจันท์เทวีต้องมาเหนื่อยเก็บเศษข้าวที่ไก่ป่าทำหกหล่นไว้และเห็นว่าปลอดคนแล้ว จึงจำต้องออกมาไล่ไปเสียตามแผนของเหล่าเทวา แต่ไหนๆก็ออกมาแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลาจึงทำอาหารเตรียมไว้ให้ซะเลย(คงเคยเห็นตอนเขาทำอาหารมั่งละน่า ไม่ก็นางจันท์เทวีอาจเคยเล่าให้ฟังก็ได้ เพราะนางชอบเล่าโน่นเล่านี่ให้ลูกฟังอยู่แล้ว) พอทำอาหารเสร็จก็เลยถือโอกาสนั่งเล่นด้วยเลย เพราะยังไม่เคยออกมาซะที แต่พระสังข์นี่ก็แปลก ชอบทำอะไรหลบๆซ่อนๆ ตอนเด็กก็ชอบซ่อนตัวในหอยสังข์ โตมาก็ยังชอบซ่อนตัวในรูปเงาะอีก

เมื่อนั้น พระมารดานึกในพระทัยอยู่

คิดถึงลูกน้อยหอยปู เดินไปสักครู่แล้วจู่มา

เก็บได้ฟืนผักเผือกมัน สารพันกินได้ที่ในป่า

ใส่หาบหาบเดินดำเนินมา ไม่ช้าครู่หนึ่งก็ถึงเรือน

จึงเห็นลูกแก้วแววไว ลูกใครคนนี้ไม่มีเหมือน

มานั่งเล่นอยู่ประตูเรือน พักตร์ดังดวงเดือนเลื่อนลอย

พระสังข์แลเห็นชนนี แล่นหนีตกใจเข้าในหอย

ประหวั่นพรั่นใจมิใช่น้อย เศร้าสร้อยคอยฟังพระมารดา

มารดรวางหาบตามติด เห็นผิดเปิดห้องมองหา

รีบร้นค้นดูกุมารา กัลยาไม่เห็นประหลาดใจ

หรือว่าผีเรือนเป็นเพื่อนร้อน แกล้งหลอกหลอนเล่นเป็นไฉน

จึงสาบสูญกายหายไป คิดวนเวียนในพระทัยนาง

ข้าวปลาสุกสรรพเก็บปิด เห็นผิดเร่งคิดอางขนาง

โฉมตรูมาดูข้าวพลาง แล้วนางมาถามตายาย

ไม่กินข้าวปลาอาหาร เยาวมาลย์รำพึงคะนึงหมาย

คอยดูให้รู้แยบคาย อุ้มเอาลูกชายไม่สงกา

พินิจพิศดูแล้วทูนเกศ น้ำเนตรหลั่งไหลทั้งซ้ายขวา

จวนรุ่งพุ่งแสงพระสุรียา ทำเป็นไปหาสาแหรกคาน

ลงจากกระท่อมแล้วด้อมมอง ค่อยย่องแอบไม้ไม่ไกลบ้าน

แอบซ่อนมองดูอยู่ช้านาน นงคราญกลั้นไว้ไม่พูดจา

ทางนางจันท์เทวีออกมาหาของป่าเกิดคิดถึงลูกขึ้นมาจึงรีบกลับมาเรือน จึงพบพระสังข์นั่งเล่นอยู่ที่ประตูเรือน ทางพระสังข์พอเห็นนางจันท์เทวีก็รีบหนีกลับเข้าหอยสังข์ นางจันท๋เทวีเห็นดังนั้นจึงรีบตามเข้ามาค้นดูในเรือนจนทั่วก็ไม่เจอตัว ทีแรกก็นึกว่าเป็นผีบ้านผีเรือนออกมาหลอก แต่พอเห็นอาหารที่เตรียมไว้เสร็จสรรพถามตายายก็ไม่รู้เรื่อง จึงมั่นใจว่าเป็นลูกของตน พอรุ่งเช้านางก็วางแผนทำทีออกไปหาของป่าตามปกติแต่แอบย้อนกลับมาเฝ้าดูอยู่ห่างๆ

เมื่อนั้น พระกุมารเยี่ยมหอยแลหา

ไม่แจ้งว่าองค์พระมารดา แฝงฝาคอยอยู่ไม่รู้กาย

สงัดเงียบผู้คนไม่พูดจา เล็ดลอดออกมาแล้วผันผาย

นั่งที่นอกชานสำราญกาย เก็บกรวดทรายเล่นไม่รู้ตัว

มารดาซ่อนเร้นเห็นพร้อมมูล อุแม่เอ๋ยพ่อคุณทูนหัว

ซ่อนอยู่ในสังข์กำบังตัว พ่อทูนหัวของแม่ประหลาดคน

ย่างเข้าในห้องทับจับได้ไม้ ก็ต่อยสังข์ให้แหลกแตกป่น

พระสังข์ตกใจดังไฟลน จะหนีเข้าหอยตนก็จนใจ

เมื่อนางจันท์เทวีเห็นพระสังข์ออกมานั่งเล่นเก็นหินเก็บกรวดตามประสา นางก็แอบลอบเข้าไปในเรือนคว้าไม้มาทุบหอยสังข์จนแตก พระสังข์รู้เข้าก็ตกใจแต่ทำอะไรไม่ได้จึงตัดพ้อมารดาว่า

สวมสอดกอดบาทพระมารดา ซบเกศาพลางทางร้องไห้

แม่ต่อยสังข์แตกแหลกไป ร่ำไรเสียดายไม่วายคิด

เหมือนแม่ฆ่าลูกให้ม้วยมรณ์ มารดรไม่รักแต่สักนิด

พระแม่ต่อยสังข์ดังชีวิต จะชมชิดลูกนี้สักกี่วัน

นางจันท์เทวีจึงอธิบายให้ลูกฟังว่า

ฟังเอยฟังลูกว่า พระมารดาเสียวใจไหวหวั่น

กอดจูบลูบเนตรเกศกรรณ ร่วมวันขวัญตาพ่อว่าไย

สิ้นเคราะห์สิ้นกรรมทำมา ลูกยาอย่าว่าแม่เสียวไส้

ตกทุกข์ได้ยากลำบากใจ เพราะอ้ายหอยสังข์มันจังฑาล

มันมาหุ้มห่อเอาพ่อไว้ ทำไมให้โหรามันว่าขาน

บิตุรงค์หลงกลอีคนพาล ไม่ช้าไม่นานจะคืนวัง

ยากเย็นเห็นหน้ากันแม่ลูก อย่าพันผูกโศกสร้อยถึงหอยสังข์

รักใคร่มันไยไม่จีรัง หอยสังข์เช่นนี้มีถมไป

ว่าพลางนางเรียกยายตา เล่ากิจจาแจ้งแถลงไข

ตั้งแต่เบื้องต้นจนปลายไป ทั้งสองสงสัยไม่เชื่อนาง

บัดนั้น ตายายให้คิดอางขนาง

พากันเข้าไปในทับนาง แลเห็นรูปร่างกุมารา

ตะลึงขึงแข็งไปทั้งตัว ทูนหัวน่ารักเป็นหนักหนา

พ่อคุณเป็นบุญของยายตา เกิดมายังไม่ได้ยินเลย

พึ่งพบพึ่งเห็นเป็นเที่ยงแท้ ลูกของเจ้าแน่หรือแม่เอ๋ย

บุญหนักศักดิ์ใหญ่กระไรเลย พ่อเอ๋ยรูปร่างช่างสร้างมา

ชั่วปู่ชั่วย่าชั่วตายาย ล้มตายไม่เห็นเป็นหนักหนา

กอดจูบลูบไล้ทั้งยายตา สองราเกษมเปรมปรีดิ์

หลังจากปลอบพระสังข์เสร็จแล้ว นางก็ออกมาบอกตายาย แต่ทั้งสองยังไม่เชื่อจึงตามนางเข้าไปดูในเรือน ด้วยกำเนิดอันแปลกประหลาดของพระสังข์นั้นทำให้ทั้งสองตายถึงกับเอ่ยปากว่า เกิดมายังไม่เคยพบเคยเห็น ย้อนขึ้นไปชั่วปู่ย่าตายายก็ยังไม่เคยเจอนับเป็นบุญตาที่ตนได้พบเห็น(สองตายายนี้เองก็คงจะไม่มีลูกละนะ)

เมื่อนั้น ท้าวยศวิมลหมองศรี

ไสยาสน์เหนืออาสน์รูจี คิดถึงมเหสีที่จากไป

ยกหัตถ์พาดพักตร์พูนเทวษ น้ำเนตรอาบหมอนถอนใจใหญ่

โอ้เจ้างามทรามกอดยอดจิตใจ เจ้าจะเป็นฉันใดไม่รู้เลย

จะตกระกำลำบากยากเย็น หรือวอดวายตายเป็นนะน้องเอ๋ย

หลายปีมิได้ข่าวเจ้าเลย น้องเอ๋ยจะด้นไปหนใด

ลูกเสียเมียช้ำไปจากร่าง โอ้กรรมตามล้างแต่ปางไหน

ครวญคร่ำกำสรดสลดใจ มิได้สระสรงคงคา

โอ้จันท์เทวีเจ้าพี่เอ๋ย ทรามเชยเคยเคียงเรียงหน้า

เช้าเย็นเคยเห็นกันมา เคยร่วมนิทราทุกราตรี

เห็นแต่ที่นอนหมอนเปล่า ขวัญข้าวของผัวเอาตัวหนี

เคยล้อมพร้อมหน้าทุกนารี แก้วพี่หนีกายไปหายองค์

กอดเอาหมอนนางพลางพิลาป ชลนัยน์ไหลอาบดังโสรจสรง

เจ้าจะเป็นฉันใดที่ในดง กอดหมอนแนบองค์เข้าร่ำไร

ทางฝ่ายท้าวยศวิมลเอง แม้จะผ่านไปแล้วถึง ๕ ปีแต่ก็ยังคิดกังวลถึงนางจันท์เทวีมาตลอด ตำแหน่งพระมเหสีท้าวท่านก็ไม่ได้ตั้งใครขึ้นมาใหม่ คาดว่าคงจะปล่อยว่างไว้เพื่อรอนางจันท์เทวีกลับมา แต่ที่น่าแปลกใจคือ ท้าวยศวิมลกลับไม่รู้เลยว่าตลอดเวลา ๕ ปีนี้นางจันท์เทวีเป็นตายร้ายดียังไง ก็เป็นไปได้ว่า ท้าวท่านคงถูกปิดหูปิดตามาตลอด ถามข้าราชบริพารทีไรก็ตอบแต่ไม่รู้ไม่เห็นท่าเดียว นางจันท์าคงขยายอิทธิพลซื้อตัวขุนนางทั้งนอกในได้มากพอดูแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถซื้อตำแหน่งพระมเหสีได้(แต่พฤติกรรมท้าวท่านนี่ก็แปลก เวลาเครียดๆก็ไม่ยอมอาบน้ำ หลายทีแล้วนะ)

จากข้อมูลทั้งหมด(ท่าอ่านกันไหว)จะพบว่า ปัญหาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการแย่งชิงบัลลังก์ มีการใช้อิทธิพลจากฝ่ายในเข้าแทรกแซงทางการเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องการตบตีแย่งผู้ชายอย่างที่มาตรฐานละครน้ำเน่าบ้านเราชอบทำป้อนให้เด็กดู นางจันท์เทวีไม่มีพรรคพวกอิทธิพลมาต่อกรคานอำนาจกับอิทธิพลของนางจันทาเทวี แต่นางคงมีความสามารถด้านการครัวและงานฝีมือสูงมาก เห็นได้จากการที่นางสามารถแกะฟักเป็นเรื่องราวถวายพระสังข์ในตอนท้ายเรื่องได้ ซึ่งมุขโครงเรื่องที่ฝ่ายในสร้างอิทธิพลตั้งกลุ่มแบ่งฝักฝ่ายแย่งบัลลังก์กันทำนองนี้ ในปัจจุบันจะพบได้มากละครซีรี่ย์ย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์ของเกาหลีซะมากกว่า

หมายเลขบันทึก: 649267เขียนเมื่อ 1 สิงหาคม 2018 16:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 สิงหาคม 2018 16:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท