เท่าที่จำได้บันทึกนี้จะเล่าชีวิตตอนเป็นเด็กในฤดูแห่งความสุข ช่วงนี้อากาศจะหนาวเย็นเป็นหน้าเกี่ยวข้าวที่พ่อแม่และพี่ๆจะไปเก็บเกี่ยวกันทุกวัน เด็กๆอย่างผู้เขียนจะติดสอยห้อยตามไปวิ่งไล่จับตั๊กแตน จับปู จับเขียด เก่งหน่อยก็อาจจะได้กบที่ขุดรูจำศีลแล้วกลบปิดฝารูทิ้งร่องรอยให้รู้ว่ามีกบ ผู้ใหญ่เรียกดินที่คล้ายฝาปิดรูนี้ว่า "ไงกบ" นอกนั้นก็จะมีพวกปลาที่หลงติดอยู่กับน้ำที่แห้งกรังเหลือพอดิ้นให้เราจับได้ง่ายเรียกว่า "ปลาข่อน" ไม่ว่าจะเป็นปลาดุก ปลาหมอ ปลาช่อน ก็เป็นอาหารอันโอชะสำหรับมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นยามแลงเลยทีเดียว
พวกเด็กๆจะมีความสุขที่ได้ตัดลำข้าวมาเป็นปี่ เป่าปิดเปิดรูให้มีเสียงแตกต่างด้วยความไพเราะ ผู้ใหญ่ใจดีจะทำโหวตให้หมุนเป่าดัง วู๊ดโหวดๆ ไม่เหน็ดไม่เหนื่อยกันทั้งวัน ตกเย็นพี่เขยปล่อยว่าวขึ้นรับลมหนาวโยกโย้ส่ายไปมาอยู่หัวนา ที่พวกเรารวมตังกันอาบน้ำสระฝ่ายด้วยความหนาวสั่น ผู้เขียนกระโดจ๋อมลงไปทีเดียวต้องรีบว่ายขึ้นฝั่งเข้าผิงไฟที่พี่สาวก่อไว้ข้างเถียงนา
การนอนนาของพวกเราเด็กๆ พ่อจะทำซุ้มอยู่ข้างๆกองข้าวที่เกี่ยวเสร็จจะนำมากองรวมเป็นกองใหญ่ๆเรียก "ลอมข้าว " นาใครมีมากทำข้าวได้ดีลอมข้าวจะใหญ่มาก มองเห็นตั้งตระหง่านอวดชาวบ้านที่ผ่านไปมา หลังรวมเสร็จแล้วก็รอนวดข้าวหรือ"ตีข้าว" ตีเสร็จก็รวมกองข้าวเปลือกไว้ตวงใส่กระสอบด้วยปี้บตวงข้าวว่าปีนี้ผลผลิตได้มากน้อยเพียงใด
เด็กๆอย่างผู้เขียนตอนนั้นไม่สนใจผลผลิตว่าจะได้มากน้อยแค่ไหนหรอก เอาแต่กระโดดเล่นกองฟางหรือกองเฟืองกับเพื่อนๆด้วยความสนุก ไม่รู้สึกคันคายเลยสักน้อย การตีข้าวทำให้ได้พบเจอเพื่อนๆที่ตามพ่อแม่มาช่วยกันตีข้าว แต่ละบ้านจะมาช่วยกันอย่างนี้เรียกว่า "ลงแขกตีข้าว" ถ้าช่วยกันเกี่ยวข้าวก็เรียกว่า "ลงแขกเกี่ยวข้าว" อาหารการกินจะพิเศษสุดในรอบปีจะมีตั้งแต่ต้มไก่ ลาบเป็ดลาบไก่ ลาบวัว ขาดไม่ได้ก็ส้มตำ อร่อยๆท่ามกลางกองฟางจะคายจะคันก็ช่างมันส่วนพวกผู้ใหญก็สนุกครึกครื้นไปกับน้ำขาว หรือ"เหล้าโท" พูดคุยกันออกรสออกชาติหลังตีข้าวเสร็จสรรพ
ชีวิตการนอนนาจะสิ้นสุดลงหลังตีข้าวเสร็จ แต่ความสนุกของผู้เขียนไม่สิ้นสุดอยู่แค่นั้น บันทึกหน้าจะนำภาพชีวิตช่วงการเอาข้าวขึ้นเล้ามาเล่าให้ฟัง โปรดรออ่านกันนะครับ
...............
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต...Google
เห็นภาพ..และ..ความสุข ในความทรงจำได้ดีทีเดียว เจ้าค่ะ..คุณพ.แจ่มจำรัส..
ชอบ ๆ ๆ ๆ ๆ ชอบมากค่ะ กลิ่นละไอฟางเข้าจมูกมาทีเดียว อิ อิ