เศรษฐกิจสมัยอยุธยา
ความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างการมีแหล่งน้ำจำนวนมากดินมีความอุดมสมบูรณ์เพราะเกิดจากการทับถมของดินตะกอนแม่น้ำซึ่งเหมาะสำหรับการทำนาทำให้อาณาจักรอยุธยาเป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญนอกจากนี้การมีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมกับการค้าขายกับเมืองต่างๆ ที่อยู่ภายในตามเส้นทางแม่น้ำและการค้าขายกับภายนอกทางเรือสำเภาทำให้เศรษฐกิจอยุธยามีพื้นฐานสำคัญอยู่ที่การเกษตรและการค้ากับต่างประเทศ ต่อมาได้พัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1. เศรษฐกิจในสมัยอยุธยาเป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพที่ขึ้นอยู่กับเกษตรกรรมเช่นเดียวกับสุโขทัย
พื้นฐานทางเศรษฐกิจของอยุธยาคือการเกษตร มีวัตถุประสงค์ในการผลิตเพื่อบริโภคภายในอาณาจักรตามลักษณะเศรษฐกิจแบบพอยังชีพแต่อาณาจักรอยุธยาได้เปรียบกว่าอาณาจักรสุโขทัยในด้านภูมิศาสตร์เพราะอาณาจักรอยุธยาตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำอันกว้างใหญ่ แม่น้ำสำคัญคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำลพบุรีซึ่งมีน้ำตลอดปีสำหรับการเพาะปลูกพืชที่สำคัญคือ ข้าว รองลงมาได้แก่ พริกไทย หมาก มะพร้าว อ้อย ฝ้าย ไม้ผลและพืชไร่อื่น ๆ ลักษณะการผลิตยังใช้แรงงานคนและแรงงานสัตว์เป็นหลักด้วยเหตุดังกล่าวอาณาจักรอยุธยาจึงได้ทำสงครามกับรัฐใกล้เคียงเพื่อครอบครองแหล่งทรัพยากรและกวาดต้อนผู้คนเพื่อนำมาเป็นแรงงานสำคัญของบ้านเมือง
ราชอาณาจักรอยุธยาได้ทำนุบำรุงการเกษตรด้วยการจัดพระราชพิธีต่าง ๆ เพื่อให้เป็นสิริมงคลและบำรุงขวัญชาวนาให้มีกำลังใจเช่นพระราชพิธีพิรุณศาสตร์เป็นพิธีขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีการสร้างสิริมงคลให้กับชาวนาและแจกพันธุ์ข้าวเป็นพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเป็นพิธีลงมือจรดคันไถเป็นครั้งแรกเพื่อเป็นการเตือนว่าถึงเวลาทำนาแล้ว
อาณาจักรอยุธยาไม่ได้สร้างระบบการชลประทานเพื่อส่งเสริมการเกษตรเนื่องจากมีแหล่งน้ำเพียงพอส่วนการขุดคลองทำขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางการคมนาคมเพื่อประโยชน์ทางยุทธศาสตร์และการระบายน้ำตอนหน้าน้ำเท่านั้น
แม้ว่าอาณาจักรอยุธยาการเพาะปลูกยังเป็นแบบดั้งเดิมต้องพึ่งพาแรงงานคนและธรรมชาติเป็นหลักแต่สภาพภูมิศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีเหลือเป็นจำนวนมากผลผลิตทางการเกษตรเป็นสินค้าที่นำไปขายให้ชาวต่างประเทศนำรายได้มาสู่อาณาจักรดังปรากฏหลักฐานว่าอยุธยาเคยขายหมากให้จีน อินเดีย และโปรตุเกส ฝ้ายและมะพร้าวให้ญี่ปุ่นและมะละกาในสมัยอยุธยาตอนปลายได้ขายข้าวให้ฮอลันดาฝรั่งเศส มลายู มะละกา ชวา ปัตตาเวีย ลังกา จีน ญี่ปุ่น การเกษตรจึงเป็นรากฐานสำคัญทางเศรษฐกิจของอยุธยาและมีส่วนในการเสริมสร้างราชอาณาจักรอยุธยาให้เจริญรุ่งเรืองมาตลอดเวลา 417 ปี
2. อาณาจักรอยุธยาเป็นศูนย์กลางทางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เนื่องจากทำเลที่ตั้งของอาณาจักรอยุธยาเอื้ออำนวยต่อการค้ากล่าวคือศูนย์กลางอาณาจักรตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสมกับการค้าทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักรกล่าวคือกรุงศรีอยุธยามีแม่น้ำล้อมรอบทั้ง 3 ด้าน คือ แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้อยุธยาใช้เส้นทางทางน้ำติดต่อกับแว่นแคว้นที่อยู่ภายในได้สะดวกเช่น สุโขทัย ล้านนา ล้านช้าง นอกจากนี้ที่ตั้งของราชธานีที่อยู่ไม่ห่างไกลปากน้ำหรือทะเลทำให้อยุธยาติดต่อค้าขายทางเรือกับต่างประเทศที่อยู่ห่างไกลได้สะดวกและเมื่ออาณาจักรมีความเข้มแข็งสามารถควบคุมการค้ารอบชายฝั่งทะเลอันดามันและโดยรอบอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งที่พ่อค้าต่างชาติเดินทางมาค้าขายได้ทำให้อยุธยาสามารถทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางในการติดต่อค้าขายระหว่างจีนญี่ปุ่นกับพ่อค้าต่างชาติอื่น ๆ กรุงศรีอยุธยาจึงเป็นศูนย์กลางที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บทบาทสำคัญของอยุธยาทางการค้ามี 2 ประการคือเป็นแหล่งรวมสินค้าประเภทของป่าที่ต่างชาติต้องการและเป็นศูนย์กลางการค้าส่งผ่านคือกระจายสินค้าจากจีนและอินเดียสู่ดินแดนตอนในของภูมิภาค เช่น ล้านนา ล้านช้างและส่งสินค้าจีนไปยังดินแดนต่าง ๆ ในมหาสมุทรอินเดียและรวบรวมสินค้าจากดินแดนตอนในและจากดินแดนต่าง ๆ ในอินเดียไปขายต่อให้จีน
สินค้าประเภทของป่า ได้แก่ สัตว์ป่าและผลผลิตจากสัตว์ป่า ไม้ เช่น ไม้ฝาง ไม้กฤษณา ไม้จันทร์หอม และพืชสมุนไพร เช่น ลูกกระวาน ผลเร่ว กำยาน การบูร เป็นต้น สินค้าเหล่านี้ได้จากดินแดนภายในอาณาจักรอยุธยาและดินแดนใกล้เคียงผ่านทางระบบมูลนายโดยแรงงานไพร่จะเป็นผู้หาแล้วส่งมาเป็น "ส่วย" แทนแรงงานที่จะต้องมาทำงานให้รัฐบางส่วนได้มาด้วยการซื้อหาแลกเปลี่ยนกับราษฎรและอาณาจักรเพื่อนบ้านแต่ส่วนใหญ่มาจากการเกณฑ์ส่วยจากหัวเมืองภายในอาณาจักรโดยเฉพาะในรัชสมัยพระบรมไตรโลกนาถที่ปฏิรูปการปกครองหัวเมือง ทำให้การเกณฑ์ส่วยรัดกุมมากกว่าเดิม และส่วนหนึ่งมาจากเมืองประเทศราชของอยุธยานอกจากของป่าแล้วสินค้าออกยังได้แก่พริกไทย ดีบุก ตะกั่ว ผ้าฝ้าย และข้าวส่วนสินค้าเข้าได้แก่ ผ้าแพร ผ้าลายทอง เครื่องกระเบื้อง ดาบ หอก เกราะ ฯลฯ
การค้ากับต่างประเทศในสมัยอยุธยาส่วนใหญ่เป็นการส่งเรือสำเภาไปค้าขายกับดินแดนต่าง ๆ ที่สำคัญคือการค้ากับจีนภายใต้การค้าในระบบบรรณาการ ที่จีนถือว่าไทยเป็นเมืองขึ้นของจีนแต่อยุธยาเห็นว่าเป็นประโยชน์ทางการค้า เพราะทุกครั้งที่เรือของอยุธยาเดินทางไปค้าขายกับจีนจะนำ "ของขวัญ" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากป่า เช่น นกยูง งาช้าง สัตว์แปลกๆ กฤษณา กำยาน เป็นต้น เป็นเครื่องราชบรรณาการไปถวายให้จักรพรรรดิจีนซึ่งจีนจะมอบของตอบแทนเช่น ผ้าไหม เครื่องลายครามชซึ่งเป็นสินค้าราคาแพงเป็นการตอบแทนเรือสินค้าที่นำสินค้าไปค้าขายก็จะถูกละเว้นภาษีและได้รับการอนุญาตให้ค้าขายกับหัวเมืองต่างๆ ของจีนได้
นอกจากนี้อยุธยายังค้าขายกับหัวเมืองมลายู ชวา อินเดีย ฟิลิปปินส์ เปอร์เซีย และลังกา การค้าส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยพระมหากษัตริย์เจ้านาย และขุนนางมีการค้าเอกชนบ้างโดยพวกพ่อค้าชาวจีนดำเนินการลักษณะการค้ากับต่างประเทศในสมัยอยุธยาตอนต้นยังเป็นการค้าแบบเสรีพ่อค้าต่างชาติยังสามารถค้าขายกับราษฎรได้โดยตรงไม่ต้องผ่านหน่วยงานของรัฐบาลแต่ก็มีลักษณะการผูกขาดโดยทางอ้อมในระบบมูลนาย
หลังรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ. 2034-2072) การค้ากับต่างประเทศได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเพราะอยุธยาเริ่มมีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตก เริ่มตั้งแต่ชาติโปรตุเกสในพ.ศ. 2054 ต่อมาใน พ.ศ. 2059 อยุธยาได้ทำสัญญาทางพระราชไมตรีทางการค้ากับโปรตุเกสเป็นฉบับแรกที่อยุธยาทำกับประเทศตะวันตกจากนั้นก็มีชาติฮอลันดา (พ.ศ. 2142) สเปน (พ.ศ. 2141) อังกฤษในรูปบริษัทอินเดียตะวันออกบริษัทการค้าของฮอลันดาเรียกว่า V.O.C. ส่วนบริษัทการค้าของอังกฤษ เรียกว่า E.J.C. และฝรั่งเศสในสมัยพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231)
การค้ากับต่างประเทศเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ. 2091-2111) มีการตรากฎหมายหลายฉบับเกี่ยวกับการค้าและจัดระบบผูกขาดทางการค้าให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้นคือมีการกำหนดสินค้าต้องห้ามซึ่งเป็นสินค้าที่รัฐบาลโดยพระคลังสินค้าเท่านั้นที่จะผูกขาดซื้อขายสินค้าขาเข้า ได้แก่ ปืนไฟ กระสุนดินดำและกำมะถัน ส่วนสินค้าขาออก ได้แก่ นอระมาด งาช้าง ไม้กฤษณา ไม้จันทร์ ไม้หอม และไม้ฝาง ซึ่งต่อมาการค้าผูกขาดของรัฐได้เข้มข้นมากขึ้นสินค้าบางประเภท เช่น ถ้วยชาม ผ้าแดง ซึ่งเป็นสินค้าในชีวิตประจำวันก็เป็นสินค้าผูกขาดด้วยและมีการจัดตั้ง "พระคลังสินค้า" ให้รับผิดชอบดูแลการค้าผูกขาดของรัฐบาลพระคลังสินค้าจึงเป็นหน่วยงานสำคัญในระบบเศรษฐกิจไทยในสมัยอยุธยาสืบต่อมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในปลายสมัยอยุธยา "ข้าว" ได้กลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญแทนที่สินค้าจากป่า เนื่องจากเกิดทุพภิกขภัยอย่างรุนแรงในประเทศจีนชาวจีนจึงขอให้พ่อค้าอยุธยานำข้าวไปขายให้จีนโดยลดภาษีให้นอกจากนี้อยุธยายังขายข้าวให้ฮอลันดา ฝรั่งเศส หัวเมืองมลายู มะละกา ชวา ปัตตาเวีย ญวน เขมร มะละกา ลังกา และญี่ปุ่น การค้ากับต่างประเทศจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจอยุธยาซึ่งนำความมั่งคั่งให้กลุ่มผู้ปกครองได้แก่ พระมหากษัตริย์ เจ้านาย และขุนนางอย่างมหาศาล
3. รายได้ของอยุธยามาจาก
1) รายได้ในระบบมูลนาย แรงงานจากไพร่ถือเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญรัฐบาลได้เกณฑ์แรงงานจากไพร่ในระบบเข้าเดือนออกเดือนหรือปีละ 6 เดือนมาทำงานให้รัฐเช่น การสร้างกำแพงเมือง ขุดคลอง สร้างวัด สร้างถนนเป็นต้นไพร่ที่ไม่ต้องการทำงานให้รัฐก็สามารถจ่ายสิ่งของที่รัฐต้องการ เช่น มูลค้างคาว สินค้าป่า เรียกว่า "ส่วย" แทนการเกณฑ์แรงงานได้ส่วยเหล่านี้รัฐจะนำไปเป็นสินค้าขายยังต่างประเทศต่อไป
2) รายได้จากภาษีอากร ภาษีอากรในสมัยอยุธยามีดังนี้
ส่วยคือ สิ่งของหรือเงินที่ไพร่หลวงจ่ายให้รัฐทดแทนการถูกเกณฑ์มาทำงานโดยรัฐจะเป็นผู้กำหนดว่าท้องถิ่นใดจะส่งส่วยประเภทใดเช่นส่วยดีบุกส่วยรังนก ส่วยไม้ฝาง ส่วยนอแรด ส่วยมูลค้างคาว เป็นต้น
อากรคือ เงินที่เก็บจากผลประโยชน์ที่ราษฎรประกอบอาชีพได้เช่น การทำนา จะเสียอากรค่านา เรียกว่า "หางข้าว" ให้แก่รัฐ เพื่อรัฐจะได้เก็บไว้เป็นเสบียงอาหารสำหรับกองทัพผู้ที่ทำสวนเสียอากรค่าสวนซึ่งคิดตามประเภทและจำนวนต้นไม้แต่ละชนิดนอกจากนี้ยังรวมถึงการได้รับสิทธิจากรัฐบาลในการประกอบอาชีพ เช่น การอนุญาตให้ขุดแร่ การอนุญาตให้เก็บของป่า การอนุญาตให้จับปลาในน้ำการอนุญาตให้ต้มกลั่นสุราเป็นต้น
จังกอบคือ ค่าผ่านด่านขนอนทั้งทางบกและทางน้ำโดยเรียกเก็บตามยานพาหนะที่บรรทุกสินค้าเช่น เรือสินค้าจะเก็บตามความกว้างของปากเรือตามอัตราที่กำหนด จึงเรียกว่า ภาษีปากเรือ ส่วนพ่อค้าแม่ค้าในท้องถิ่นมักเก็บในอัตราสิบชักหนึ่ง
ฤชาคือ เงินที่รัฐเรียกเก็บจากการให้บริการจากราษฎรเช่น การออกโฉนด หรือเงินปรับไหมที่ผู้แพ้คดีต้องจ่ายให้ผู้ชนะ เงินค่าธรรมเนียมนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เงินพินัยหลวง"
ไม่มีความเห็น