แรกเริ่มเดิมทีคิดว่าตนเอง..ยังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องนี้ เพราะหากพิจารณาจริงๆ...เพิ่งเริ่มเรียนได้ไม่นาน
ประมาณเดือนกว่า..ที่เริ่มฝึกตามการระลึกรู้ทางกาย...
พี่ทาน...คือ ครูที่สอนเรื่องนี้..แรกๆ ดิฉันก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร
เพราะโดยส่วนใหญ่จะฝึกสติจาก...นั่งอาณาปานสติและวิปัสสนา...
แต่ด้วยความที่เป็นคน...ค่อนข้างให้โอกาสตนเอง..และเกิดคำถาม จึงอยากลองปฏิบัติดู
...
พี่ทาน เป็นสถาปนิกที่ศึกษา..เรื่องภายใน ...และเป็นครูสอน
และเป็นการปฏิบัติที่สัมพันธ์กับการใช้ชีวิต...ประจำวัน
พี่ทานมองว่า..ดิฉันค่อนข้างมี activity ค่อนข้างมาก...จึงแนะว่ากะปุ๋มควรลองฝึกแบบนี้ดูไหม..
เพราะโดยทั่วไปก็เป็นคนชอบออกกำลังกายอยู่แล้ว..และวิธีนี้ค่อนข้างจะเหมาะกับ "คนทำงาน"
กายาคตาสติ...ผ่านการวิ่ง เดิน จะทำให้ได้สมาธิมาก ซึ่งถ้าการเคลื่อนไหวเร็ว และตามระลึกรู้ได้เร็ว...จะมี "พลัง"
ซึ่งหากโดยทั่วไป...อย่างเช่นการปฏิบัติธรรมใน "วัด"..เป็นการตามสติช้าๆ...ซึ่งเป็นการทำซ้ำๆ
ก็จะได้ความละเอียด แต่ไม่ค่อยได้พลัง..แต่จะได้ประโยชน์ในระยะยาว ...
กายาคตาสติผ่านการวิ่ง...สิ่งที่เกิดขึ้นแต่ละวันจะไม่เหมือนเดิม
มีการเปลี่ยนแปลง ให้เราสังเกต..เปรียบเทียบ และหาคำตอบอยู่ตลอดเวลา...จะส่งผลให้เกิด "ปัญญา"...
ซึ่งบางครั้งการทำซ้ำ..ช้า..จะไม่ค่อยเกิดปัญญาแต่จะเกิดความชำนาญ และความละเอียด
...
การเคลื่อนไหวที่เกิดนี้...ตามจริตของตนที่ครูสอน...หรือที่เรียกว่า "ตามครู" จะผ่าน
ฝ่าเท้า
ต้นขา
หน้าท้อง
หน้าอก
แรกๆ...ตามการเคลื่อนไหวที่ฝ่าเท้า...จากนั้นค่อนเคลื่อนไปต้นขา...หรือหน้าท้อง..และก็พิจารณา...
หรือว่า..หากที่เราเหนื่อยและควบคุมการหายใจไม่ได้ ... ก็ให้เคลื่อนมาที่ "หน้าอก"...
ในการฝึกครั้งแรก ดิฉันต้องมาปรับท่าวิ่งใหม่ให้ถูกต้อง...รวมถึงการฝึกการหายใจ
พี่ทานแนะนำว่า...บางคนนั้นวิ่งด้วยท่าที่ไม่ถูกต้อง ตลอดชีวิต...เช่น...วิ่งเหมือนคนแบกทุกข์ไปด้วย...
ครูต้องคอยแก้ไขให้ตลอดเวลา...ทุกครั้งที่ฝึก ดังนั้นการฝึกนี้..ครูจึงเสมือน trainer ที่คอยเฝ้าดู...ให้ดำเนินไปอย่างเหมาะ...
พี่อึ่งอ๊อบคะ...
กะปุ๋มเพิ่งกลับมาจากไปวิ่งคะ...วันนี้ก่อนไปฝนตก
และรู้สึกขี้เกียจ...จึงโทรไปหาครูคะ...
ท่านบอกขี้เกียจก็ต้องไป...ไปสักนิดก็ยังดี...
จึงฝืนใจตนเองไปคะ...แต่พอไปแล้ว...
สภาวะจิต...เริ่มปรับ...และเริ่มออกวิ่งตามระลึกรู้...
ได้ครบรอกตามกำหนด...จึงเริ่มผ่อนคลาย...ตามระลึกรู้จากการเดิน...
...
วันนี้มีสิ่งรบกวนจากสภาวะภายนอกร่างกาย...คือ ก่อนไป...แน่นท้องมากเพราะคิดว่าจะไม่ไปจึงไปทำน้ำผลไม้ปั่นดื่ม...แต่พอดื่มเสร็จฝนหยุดตก...ครูพี่ทานบอกให้ไป...เราจึงไปเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง...
...
เกิดการพิจารณา..วันนี้กำหนดตามรู้มาที่หน้าท้อง...ตลอดเพราะรู้สึกเหมือนจะจุกเสียด...ตามรู้สภาวะการณ์...จนได้ตามเป้าหมาย...จึงเกิดปิติยิ่ง...
^__^
ตอนนี้รอคุยกับพี่อึ่งอ๊อบนะคะ..กับการฝึก
กะปุ๋ม
เป็นความรู้ที่ดีมาก ขอบคุณมากที่เอามาเล่าให้ฟัง จะลองทำตามดูครับ เผื่อจะได้ผลอย่างคุณกะปุ๋มทำบ้าง
สวัสดีคะ...ดร.แสวง..
เป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยคะที่อาจารย์แวะมาเยี่ยมเยือน...
วันนี้...ตอนกะปุ๋มเริ่มวิ่ง ไม่ได้วอร์มอัพร่างกาย...ดีพอ ออกเริ่มวิ่งเลย...ความรู้สึกครั้งแรกอยู่ที่ฝ่าเท้า สักพักเริ่มปวดต้นขา...ค่อยๆ ย้ายความรู้สึกไปที่ต้นขาตามระลึกรู้...ไปเรื่อยๆ...แต่วิ่งไปสักพักลืมสังเกตลมหายใจตนเองว่า...ได้ตามจังหวะหรือไม่ เพราะกำลังฝึกหาใจ จึงย้ายมาตรวจจับที่การเคลื่อนไหวของทรวงอก...สังเกตการยกตัวของทรวงอกและจังหวะการหายใจ...ตามรู้ไปเรื่อยๆ...จนได้ที่จากที่ท้องแน่นจากการดื่มน้ำผลไม้ปั่นเข้าไปก่อนหน้านี้...ทำให้เริ่มทีอาการคล้ายจะจุกเสียด...จึงย้ายความระลึกรู้มาที่หน้าท้อง...เฝ้าสังเกต...ไปเรื่อยๆ...อย่างเข้าใจ นิ่งๆ...มอง พิจารณาความเป็นไป...เรื่อย เรื่อย...จนอาการดังกล่าวคลายลง...จึงย้ายการพิจารณามาที่การหายใจอีกครั้ง...จนได้ครบรอบ...
...
วิธีการนี้...นอกจากตามการระลึกรู้แล้ว...ท่าวิ่งก็มีส่วนสำคัญ...ช่วงแรกของการเรียน "ครูพี่ทาน" ให้กะปุ๋มลองวิ่งตามเด็ก...เล็กไป...เรียนรู้และสัมผัสพลัง...จากนั้นก็จัดท่า เริ่มตั้งแต่ฝ่าเท้าที่กระทบพื้น...การใช้สะโพกเคลื่อนไหว...การตั้งตัว-ทรงตัว...และการเงยหน้าและทิ้งระดับสายตา...ตลอดจนการวางแขน...
...
จากนั้น...เริ่มเปลี่ยนการเคลื่อนไหว...วิ่งแบบสบายๆ...เคลื่อนไหวอย่างอิสระบ้าง...และสลับกับการวิ่งสปีดเพื่อกระตุ้นสารเอ็นโดรฟินหลั่ง...
...
จะนำความทยอยเล่า...ไปเรื่อยๆ คะ...
รู้สึกดีใจคะ...ที่ได้แบ่งปัน
ขอบคุณอาจารย์มากนะคะที่แวะมา
^___^
กะปุ๋ม
กะปุ๋มคะ
เมื่อก่อนจะใช้การเดินเร็ว และปล่อยอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบข้าง
ปล่อยใจ...ให้กับธรรมชาติที่อยู่รอบตัว
ปล่อยใจ....ให้กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว
ปล่อยใจ....ให้รับกับความสุขที่ก่อเกิดอยู่รอบ ๆ
ได้เรียนรู้จากกะปุ๋มถึงการวิ่ง
ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะเกิดสติ สมาธิ จากการวิ่ง
............วันนี้พี่เริ่มการวิ่งด้วยอารมณ์ขุ่นมัว จากการทำงาน........เริ่มวิ่งด้วยน้ำตา......แต่ความตั้งมั่นยังอยู่.......กำหนดสติ กำหนดจิต ตั้งมั่นอยู่ที่เท้า.....เริ่มวิ่ง......วิ่ง......วิ่ง......นึกถึงทุกย่างก้าวที่ฝ่าเท้า......ที่เท้า.....แต่ก็ยังมีสิ่งเข้ามารบกวนจิตใจ...ภาพการทำงานที่ผ่านมาวันนี้มันสลัดไม่ออก....พยายาม.....พุ่งจิตไปที่ฝ่าเท้า.....ที่ฝ่าเท้า......สลับการวิ่งกับเดินเร็ว เพื่อให้กำหนดรู้.....แต่มันสลัดความกังวลในใจที่เกิดขึ้นไม่ได้.....แต่ก็ดีใจที่เริ่มรู้สึกเบาที่เท้า.....เพราะการวิ่งได้สักระยะ......จะเริ่มเบา......จึงดึงจิตให้มานึกถึงต้นขา......ดึงอย่างไรก็มีความรู้สึกว่ามันไม่มา....นึกได้แต่ฝ่าเท้า....งาน.....ฝ่าเท้า.....งาน.....จนทำให้ใจเต้นแรงกว่าที่เป็น......จึงพยายามกำหนดลมหายใจ โดยการหายใจเข้าลึก...ลึก...ลึก.....สลับการวิ่งกับเดินเร็ว.....รู้สึกดีขึ้น......น้ำตาค่อยจางหาย.....แต่รู้สึกว่าดึงสิ่งที่อยู่ในใจสลัดทิ้งไม่ได้.....กำหนดจิตให้คิดตามในสิ่งที่ตัวเองพยายามสื่อไม่ได้ ....แต่....อย่างน้อยยังได้เริ่มต้น....อย่างน้อยยังได้เริ้มที่ฝ่าเท้า...แม้จะพยายามดึงให้ถึงต้นขา...หน้าท้อง...ไม่ได้.....แต่ยังได้กำหนดลมหายใจ และปรับให้นิ่งให้มีสติร่วมกับการวิ่งและเดินได้....มหัศจรรย์จริง ๆ .....ไม่อยากบอกว่าวันนี้เป็นวันแรก ในรอบหลายปี ที่พี่เริ่มมีความตั้งมั่นในการวิ่งเพื่อเรียกพลังในใจ เพื่อการฝึกสมาธิ เพื่อการกำหนดจิตให้รับรู้ (คงมีหลายคนที่เห็นความแปลกที่เปลี่ยนไปในพฤติกรรมของตัวพี่ และคงมีการตั้งคำถามในใจว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิต........เช่น ดื่มน้ำผักปั่น (ทั้งที่ไม่ชอบกินผัก) ไปวัดทุกสัปดาห์ (ถ้าไม่ติดประชุม) ให้คุณค่าแก่ตัวเองมากขึ้น (ไม่ตามใจผู้อื่นมากเกินขอบเขต) ฯลฯ คำตอบ ณ ตอนนี้คือ เราอยากมีสติในการใช้ชีวิตให้เป็น)
และขอบคุณกะปุ๋มที่แนะนำสิ่งที่ดี ๆ ในการใช้ชีวิต (บางคนอาจมองว่ากะปุ๋มหลุดโลก แต่พี่ว่าถ้าการหลุดนี้เป็นการหลุดเพื่อพ้นทุกข์......เราก็เดินมาถูกทางแล้วค่ะ)
@@@ วันนี้รู้สึกไม่สบายท้อง (ทานท้อดองเมื่อคืน4 ชิ้น ขณะท้องว่าง เพราะไม่ได้ทานข้าวเย็น)....พยายามดีท๊อกตัวเองตั้งแต่เมื่อคืนและตอนเช้า ดื่มน้ำผัก ดื่มน้ำเปล่า ทานอาหารกลางวันนิดหน่อย แล้วก็ดื่มน้ำ.....(วันนี้ไม่มีกาแฟ ไม่มีน้ำสีดำ...55) เย็นทานก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ รู้สึกสบายท้องมากขึ้น....คืนนี้จิตใจคงดีขึ้น@@@
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ขอบคุณครูอ้อยด้วยที่อยู่เคียงข้างเสมอ
"ถ้าการเคลื่อนไหวเร็ว และตามระลึกรู้ได้เร็ว"...แปลว่ามีสติตลอดและละเอียด
แบบนี้ก็ทำให้มีสติในชีวิตประจำวันได้ทุกเมื่อ
น่าสนใจมากค่ะ
แต่ที่คุณกะปุ๋มบันทึกว่า
"ถ้าการเคลื่อนไหวเร็ว และตามระลึกรู้ได้เร็ว"... จะมี "พลัง" นี่คุณกะปุ๋มช่วยอธิบายต่อนิดนึงได้ไม๊ค่ะว่า พลังในแง่ไหน พลังอะไร
ไม่ค่อยได้ลงความเห็นแต่ตามอ่านอยู่เสมอค่ะ
รุ่งอรุณสวัสดิ์คุณหมอมัทนา...
ในระยะนี้กะปุ๋มได้รับผิดชอบกิจหลายอย่าง ที่ต้องทำในช่วงระยะเวลาเดียวกัน...สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราไม่เครียด...ไม่กังวล ไม่ว้าวุ่น...ไม่เหนื่อย แต่มีพลังในการทำกิจเหล่านั้น...
กะปุ๋มมองว่าการฝึกสติ...ก็เป็นหนทางหนึ่งที่เลือกให้แก่ตนเอง...ในการที่จะใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ... และเผชิญต่อสิ่งต่างๆ ได้อย่างมองเห็นตามความเป็นจริง...
...
มองเห็นทุกข์..ได้ตามจริง
มองเห็นสุขได้ตามจริง
และไม่วิ่งไปตามสุขหรือทุกข์นั้นมากจนเกินไป....
....
จากบทพิสูจน์ในรอบหลายปีที่ผ่านมา...ทำให้เราแน่ใจว่าเรามาถูกทาง..เพราะเราได้ลอกทำสิ่งยากๆ หรือกิจยากๆ พร้อมกัน...และสามารถสำเร็จ...ลุล่วงได้...และสามารถเผชิญต่อบททดสอบแห่งชีวิตได้ครั้งแล้วครั้งเล่า...อย่างที่ไม่มีอาการสติแตก....
และในการฝึกนี้...ได้พบกัลยาณมิตร...เป็นพี่ที่รู้จักกันมากว่าสิบปี...ได้คุยและมองเห็นกิจที่กะปุ๋มทำ ท่านจึงแนะนำทางเลือกให้อีกทาง...ซึ่งก็คือ การเรียนรู้ที่กำลังเรียนรู้อยู่ ณ ขณะนี้....ทำให้กะปุ๋มสามารถดึงพลังศักยภาพภายในที่มีอยู่ออกมาใช้ได้ดีขึ้น ไม่เหนื่อยไม่ล้า...และยิ่งมีพลังในการทำกิจต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้นคะ
...
ซึ่งพลังที่ว่านี้กะปุ๋มมองว่าได้ทั้งสองอย่าง...(แต่ที่กะปุ๋มต้องการมา) คือ พลังในแง่กำลังงานเหมือนหลักการลมปราณ และอีกพลังที่ได้พลังแห่งจิต ที่นิ่ง และละเอียดขึ้น
...
แต่ทั้งหมดนี้อย่าเพิ่งสรุปหรือเชื่อกะปุ๋มนะคะ...
^____^
ขอบคุณนะคะที่ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
กะปุ๋ม
พี่อึ่งอ๊อบคะ...
ในแต่ละวินาทีของชีวิตเราจะเจอแบบทดสอบของชีวิตที่จ่ออยู่ข้างหลังเรา..อยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญเราห้ามไม่ให้มีแบบทดสอบนี้ไม่ได้...ยิ่งผ่านบทสอบไปได้ เราก็จะยิ่งเจอบททดสอบที่ยากขึ้นเรื่อยๆ...
...
หน้าที่ที่เราพึงกระทำต่อตนเอง...คือ การพาตนผ่านบททดสอบนี้ไปให้ได้...แก้โจทย์ที่ได้มาแบบเข้าใจในโจทย์แห่งแบบทดสอบนั้น...โดยที่เราไม่ควรละเลยแต่พิจารณาโจทย์แห่งบททดสอบนั้นให้ถ่องแท้...เพราะเวลาที่เราเจอโจทย์คล้ายๆ กันเราก็จะแก้หรือพิจารณาได้ง่ายขึ้น...
...
บางครั้งสิ่งที่ผลุดขึ้นมา...ให้มองเห็น และพิจารณาว่าคืออะไร...เหมือนคำพระท่านสอนว่า "วางอุบากขา"...คือ การวางเฉยต่อสิ่งที่กระทบ แต่ไม่ใช่เฉยเมยนะคะ...มองให้เห็นถึงความจริงตามเหตุแห่งเกิดนั้น ลองแยกอารมณ์ตนออกมากก่อน อย่าเพิ่งใส่อารมณ์เข้าไปต่อเหตุนั้น...หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ...และผ่อนลมหายใจเบาๆ...ละเอียด และก้มลงพิจารณาดูในสิ่งที่เกิด...
จากนั้นถามตนเองว่า "เรารู้สึกอย่างไร"...บางครั้งการถามความรู้สึกของตนเอง...มันก็สามารถช่วยทำให้เราละเอียดขึ้น...ไม่ใช้สมองซีกเหตุผลมากไป ปรับสมดุล...การทำงานสมองทั้งสองด้าน...ให้สมดุลกันเสมอ...
ฝึกไปเรื่อยๆ...เรื่อยๆ...เรื่อย...
ขอบคุณนะคะที่ช่วยเป็นครูให้กะปุ๋มได้เรียนรู้ตามไปด้วย
^__^
ขอบคุณคะ
กะปุ๋ม