Digital Economy คืออะไร ?
Digital Economy คือ เศรษฐกิจที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการผลิตสินค้า การขนส่ง หรือแม้แต่เป็นตัวกลางในการซื้อขาย ทำให้สามารถกำหนดกลยุทธ์การตลาดได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลที่เป็นระบบระเบียบ ทำให้การบริหารจัดการสามารถทำได้ง่าย นักธุรกิจและเจ้าของกิจการได้รับข่าวสารข้อมูลที่กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ผู้บัญญัติศัพท์นี้ขึ้นเป็นคนแรกคือ Don Tapscott ผู้เขียนหนังสือชื่อ “The Digital Economy : Promise and Peril in the Age of Networked Intelligence” ในปี 1995 หนังสือเล่มนี้เป็นเบสต์เซลเลอร์ ระดับชาติภายในเวลา 1 เดือน และคงความเป็นหนังสือยอดฮิตอยู่หลายเดือน ในที่สุดก็ได้เป็นหนังสือด้านไอเดียธุรกิจที่ฮิตอันดับ 1 ในปี 1996 Tapscott ชี้ให้เห็นว่าอินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนวิถีของการค้าขายอย่างชนิดที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อนโดยจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที กฎกติกาและกฎหมาย การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการปรับตัวและปรับทัศนคติของประชาชน
Digital Economy จะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ โดยสามารถติดต่อประสานงานกับผู้ผลิต หรือลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ต ทั้งอีเมล์ การประชุมทางไกล ช่วยต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตสินค้าและบริการในรูปแบบใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาด โดยสามารถค้นคว้าข้อมูลข่าวสารจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วโลกแล้วนำมาพัฒนา เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกลุ่มธุรกิจเดียวกันเพื่อนำเสนอและเปรียบเทียบเทคนิค วิธีการ และรูปแบบใหม่ ๆ
เกิดการขยายตัวของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรือ e-Commerce เช่น อีเบย์ อะเมซอน ลาซาด้า ฯลฯ อันเป็นการซื้อขายสินค้าที่ไม่ต้องมีหน้าร้าน ผู้ขายเพียงแค่โพสต์สินค้าและราคาขายที่ต้องการ ผู้ซื้อก็สามารถสืบค้นและพิจารณาหาซื้อสินค้าที่ต้องการผ่านคอมพิวเตอร์ แท็บเลต หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือ เกิดเป็น ตลาดไร้พรมแดน ที่ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถดำเนินธุรกิจระหว่างกันได้ผ่านอินเทอร์เน็ต แม้จะอยู่ไกลกันคนละจังหวัด หรือแม้แต่คนละซีกโลกก็ตาม เช่น การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ การท่องเที่ยว
การทำกำไรจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนผ่านตลาดกลาง e-Commerce นอกจากจะได้รับส่วนต่างผลกำไรจากผู้ซื้อและผู้ขายแล้ว ยังมีรายได้จากการขายพื้นที่โฆษณาหรือการทำการตลาดในรูปแบบของการให้ส่วนลดพิเศษหรือ e-Coupon ในเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น Groupon หรือ Ensogo เพื่อให้สินค้าของตนเองเป็นที่รู้จักในตลาดได้กว้างขวางมากขึ้น
ปัจจุบัน ยังมีการผันเปลี่ยนรูปแบบการซื้อขายไปสู่ระบบ e-Point ที่ผู้ซื้อจะต้องนำเงินสดจริง ไปแลกเปลี่ยนเป็นแต้มหรือคะแนนเพื่อใช้ซื้อสินค้าที่ต้องการ และสามารถทำกำไรจากการแลกเปลี่ยนนี้ได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Line Coin ที่ใช้ซื้อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ Line
นอกจากการทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านเว็บไซต์แล้ว อีกช่องทางหนึ่งที่มีบทบาทต่อการพัฒนาให้เกิด Digital Economy คือ การติดต่อสื่อสารผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีผู้ให้บริการ ฟรีมากมาย ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม พินเทเรส กูเกิลพลัส หรือแม้แต่ยูทูบ เพราะมีข้อได้เปรียบกว่าสื่อออนไลน์อื่น ๆ ในแง่รูปแบบการให้บริการที่หลากหลายและการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ประกอบธุรกิจเดียวกัน การเป็นตลาดกลางในการซื้อขาย การโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลสินค้าที่สามารถรองรับได้ทั้งแบบภาพนิ่งและวิดีโอ
เมื่อตลาดกลางในการซื้อขายรูปแบบธุรกิจและรูปแบบการแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบดิจิทัล ทำให้เกิดการจ้างงานในรูปแบบใหม่ เกิดอาชีพใหม่ ๆ ที่ทำให้นักการตลาดและนักการสื่อสารเริ่มให้ความสนใจและพัฒนาตัวเองให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นนักกลยุทธ์การตลาดทางโซเชียลมีเดียที่ปรึกษาด้านธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงนักโฆษณาสินค้าทางโซเชียลมีเดียด้วย
นอกจากนี้ Digital Economy ยังช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของประชาชน เช่น จัดการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ตหรือ e-Learning
อย่างไรก็ดี การที่จะก้าวไปสู่ Digital Economy ได้นั้น ต้องทำให้ทุกอย่างออนไลน์ถึงกันหมด ไม่ว่าภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน อุตสาหกรรม สาธารณสุข การศึกษา การท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่ง ฯลฯ โดยรัฐจะต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในทุกมิติ ดังที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อรัฐสภาถึงทิศทางของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่มุ่งเน้นยุทธศาสตร์การพัฒนาใน 5 ด้าน
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ปาถกฐาในงาน 3 Years ETDA Enabling Digital Economy เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า รัฐบาลจะต้องมุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการพัฒนา 5 ด้าน ได้แก่ การพัฒนา Hard Infrastructure อย่างการสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้มีความเสถียร การพัฒนา Soft Infrastructure ให้การทำธุรกรรมออนไลน์มีความปลอดภัยสูง การพัฒนา Service Infrastructure หรือการสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการทำธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ ให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวก การพัฒนาให้เกิดนักธุรกิจใหม่โดยใช้ไอทีเป็นเครื่องมือ ผู้ประกอบการหน้าใหม่ได้รับโอกาสเพื่อระดมทุนในโลกออนไลน์ มีเครื่องมือหรือระบบต่าง ๆ ที่สามารถเข้าไปศึกษาและใช้งานแบบออนไลน์ได้ รวมถึงการพัฒนาสังคมดิจิทัลให้ทั้งกลุ่มผู้ซื้อและผู้ขายมีความเท่าเทียมในการเข้าถึงเครือข่ายและข้อมูลในอินเทอร์เน็ตผู้ประกอบการหน้าใหม่ได้รับโอกาสเพื่อระดมทุนในโลกออนไลน์มีเครื่องมือหรือระบบต่างๆ ที่สามารถเข้าไปศึกษาและใช้งานแบบออนไลน์ได้ รวมถึงการพัฒนาสังคมดิจิทัลให้ทั้งกลุ่มผู้ซื้อและผู้ขายมีความเท่าเทียมในการเข้าถึงเครือข่ายและข้อมูลในอินเทอร์เน็ต
เศรษฐกิจยุคดิจิทัลไม่เพียงส่งผลต่อนักธุรกิจผู้ประกอบการและผู้ให้บริการ เกิดการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการ หากยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของพลเมือง ดังนั้น หากภาคธุรกิจใดไม่สามารถปรับตัวให้สอดรับได้ทันกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ย่อมเกิด "ความเสียเปรียบ" อย่างแน่นอน
อ้างอิง:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1...
ไม่มีความเห็น