การเรียนการสอนวิชาภาวะผู้นำ ประจำวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ เป็นวาระการเรียนรู้ในแบบ “บันเทิงเริงปัญญา” หรือเรียนผ่านกระบวนกร เรียนผ่านกิจกรรม และเรียนผ่านความเป็นทีม ซึ่งใช้กิจกรรมหลักๆ มาเป็นโจทย์การเรียนรู้ นั่นคือ “สถานการณ์เฉพาะกิจ ความคิดเฉพาะตน ข้ามพ้นความเป็นทีม”
เริ่มต้น : ใบงานและสื่อสร้างสรรค์
ยังคงเริ่มต้นจากกระบวนการอันเป็นครรลองเดิม
คือแจกใบงานให้กับนิสิตก่อนเข้าสู่ชั้นเรียนเป็นรายบุคคล
เพื่อให้นิสิตได้ใช้ใบงานบันทึกสรุปการเรียนรู้ประจำวันว่า “เรียนอะไร-ได้อะไรจากการเรียน” ถัดจากนั้นก็ฉายสารคดี (สื่อสร้างสรรค์)
ให้นิสิตได้ดูชมร่วมกัน
คราวนี้-หยิบจับงานเก่าๆ เมื่อหลายปีก่อนของอาจารย์ปรีชา สาคร (คณะวิทยาการสารสนเทศ) ในชื่อ “กลับบ้าน” มาฉายให้นิสิตได้เรียนรู้ เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง
เน้นที่จะฝึกให้นิสิตถอดรหัส-ความรู้จากสื่อสร้างสรรค์ด้วยตนเอง โดยมีทีมกระบวนกร (ผู้ช่วยสอน)
ทำหน้าที่กระตุ้นให้นิสิตได้บอกเล่าสู่กันฟังว่า “ได้เรียนรู้อะไรจากสื่อ”
ทบทวนงานเก่า : ก่อนย่างก้าวสู่การเรียนรู้ใหม่
กระบวนการถัดมา
มีกระบวนกรให้นิสิตแต่ละกลุ่มที่ได้รับมอบหมายไว้ตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว
ได้ออกมานำเสนอผลการเรียนรู้ที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ที่ถูกออกแบบไว้ตั้งแต่ต้นว่านิสิตจะต้องเป็นผู้สรุปการเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่อาจารย์ผู้สอนต้องสรุปให้เสียทั้งหมด
กระบวนการที่ว่านี้
ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมายนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือการจัดการเรียนรู้แบบ “ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง” เนื่องเพราะให้นิสิตเป็นผู้ไป “ทบทวนความรู้” จากชั่วโมงที่แล้ว มุ่งให้ผู้เรียนได้ “ถอดความรู้” และ “ออกแบบความรู้” เพื่อการสื่อสารผ่านแผนผังมโนทัศน์ หรืออื่นๆ อย่างเป็น
“ทีม” ร่วมกัน
รวมถึงมุ่งเน้นให้นิสิตได้ฝึกทักษะการทำงานอย่างเป็นทีมและฝึกการสื่อสารต่อสาธารณะผ่านรูปแบบที่นิสิต
(ผู้เรียนชื่นชอบ/ถนัด) ไม่ว่าจะเป็นเล่าด้วยภาพ
–เล่าเรื่องด้วยวาจา-บรรยาย-พรรณนา ฯลฯ
โดยประเด็นที่ถูกนำมาสรุป หรือสะท้อนผลการเรียนรู้หน้าชั้นเรียนนั้นจะเป็นเรื่อง “ผู้นำในฝัน” ที่เชื่อมโยงภาคทฤษฎีสู่กระบวนการและโลกแห่งความจริงในมุมคิดของนิสิต
กระบวนการ
: ไม่มีที่ใดปราศจากความรู้และการเรียนรู้
ทีมกระบวนกรเลือกกระบวนการ “สถานการณ์เฉพาะกิจ ความคิดเฉพาะตน
ข้ามพ้นสู่ความเป็นทีม”
ที่ผมเคยทดลองใช้ในหลายปีก่อนมาเป็นโจทย์การเรียนรู้ในครั้งนี้ เพื่อให้นิสิต หรือผู้เรียนได้เข้าใจหลักในการ “ลงชุมชน”
บนฐานคิดของการ “เรียนรู้คู่บริการ” หรือการบริการสังคมแบบมีส่วนร่วม
ซึ่งก่อนนั้นได้มีการบรรยายภาคทฤษฎีไปแล้วในประเด็น “หลักคิดและแนวปฏิบัติของการจัดกิจกรรมเรียนรู้ชุมชน”
โดยส่วนตัวแล้ว
ผมใช้กระบวนการนี้ในหลายๆ เวทีก็สนุกได้รสชาติมากมาย ครบรสในแบบ “บันเทิงเริงปัญญา” แต่ก็หนักใจกับทีมงาน เพราะครั้งนี้คนที่ลงทะเบียนในรายวิชาภาวะผู้นำเยอะมาก
–คนจำนวนเยอะๆ จัดการ
หรือจัดกระบวนการได้ยากและยุ่งมากเป็นพิเศษ
(แต่นี่คือความท้าทาย-ที่ท้าทายจริงๆ)
ครับ-กระบวนการไม่มีอะไรมาก
แบ่งนิสิตเป็นกลุ่มๆ
โดยทีมกระบวนกรจัดเตรียมกล่อมสลากข้อความที่เป็นคำ/วาทกรรมในชุมชนไว้ให้เสร็จสรรพ
เมื่อให้สัญญาคนแรกหัวแถวในแต่ละกลุ่มก็จะรีบวิ่งมาจับสลาก
แล้ววาดรูปตามข้อความที่จับได้- ทำเช่นนั้นจนครบจำนวนสลากที่เตรียมไว้ให้
จากนั้น-ให้แต่ละกลุ่มมานั่งโสเหล่ถึงสภาวะอารมณ์
ความรู้สึกที่เผชิญอย่างโดดเดี่ยว ซึ่งต้องวาดแข่งเวลา
รวมถึงการอธิบายความเป็นภาพและแนวคิดที่แต่ละคนวาดให้เพื่อในกลุ่ม “รับรู้และรับฟัง”
ร่วมกัน เสมอเหมือนการ “เปิดใจ-แบ่งปัน” ไปในตัว
ครั้นเสร็จสิ้นแล้ว
ก็ให้สมาชิกในกลุ่มได้บูรณาการ “ภาพและเรื่องราว” ขึ้นใหม่ร่วมกัน คราวนี้ไม่มีสถานการณ์เฉพาะกิจ
หรือสถานการณ์เฉพาะหน้ามาให้เครียด-แต่เป็นสถานการณ์ที่ทุกคนต้อง “ระดมพลังความคิดและจิตใจ”
ร่วมกันอย่างค่อยเป็นคนไป
เมื่อจัดการเสร็จสิ้น
ก็ออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียนอีกรอบ –
ความเป็นชุมชนในกระบวนการ
จากกระบวนการที่ถูกสร้างเป็นโจทย์ข้างต้น ยืนยันว่าเป็นประเด็น “ไม่มีที่ใดปราศจากความรู้และการเรียนรู้” อย่างไม่ต้องกังขา และเป็นประเด็นเกี่ยวโยงกับการไปจัดกิจกรรมเรียนรู้คู่บริการแก่สังคมด้วยเช่นกัน เพราะประเด็น หรือข้อความที่กำหนดให้นั้น ล้วนเป็นองค์ประกอบในชุมชนทั้งสิ้น หรือเรียกง่ายๆ ก็คือเป็นเรื่องราวอันเป็นบริบท หรือสภาพทั่วไปในชุมชน เช่น
แน่นอนครับ-กระบวนการนี้ไม่ได้ฝึกแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า-การทำงานอย่างเป็นทีมเท่านั้น แต่ยืนยันว่าเป็นการสอนให้นิสิตได้ตระหนักถึงหลักการเรียนรู้ร่วมกับชุมชนบนฐานของชุมชนโดยแท้จริง ไม่ใช่เรียนรู้แบบแยกส่วน แต่เน้นย้ำให้นิสิตตระหนักและเข้าใจว่าในชุมชนนั้นๆ
เต็มไปด้วยความรู้หลากรูปแบบ
และความรู้ที่ว่านั้นก็อยู่ในองค์ประกอบของชุมชนอย่าหลากมิติ
และทั้งปวงนั้นก็ยึดโยง สัมพันธ์กัน เป็นเหตุและเป็นผลต่อกันและกัน–
ด้วยเหตุนี้ จึงแอบเฝ้าหวังลึกๆ
ว่านิสิตตะเข้าใจถึงหลักคิดและกระบวนการเรียนรู้ชุมชนผ่านกิจกรรมที่จะลงไปสู่การบริการสังคม โดยการให้ความสำคัญกับบริบทของชุมชน
มากกว่าการให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนเองอยากรู้ หรืออยากทำให้กับชุมชน
แต่ไม่ได้อยู่บนบริบท หรือความต้องการของชุมชน
ที่สุดแล้วคือถามทักกลับสู่ตัวเอง (ผู้เรียน)
แน่นอนครับ-กระบวนที่ว่านี้ยังแฝงการเรียนรู้ในเรื่องทักษะบางอย่างไว้อย่างเนียนนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบกระบวนเรียนรู้ การถอดความรู้ การเก็บข้อมูลชุมชน การจัดการความรู้ร่วมกัน สุนทรียะการสนทนา การฟังอย่างฝังลึก การสื่อสารสร้างสรรค์ ฯลฯ
และที่สำคัญ
ผมยืนยันว่ากระบวนการเรียนรู้ข้างต้น
ยังมีผลต่อการสะกิดเตือนให้นิสิตได้หันกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองบ้างล่ะ
อย่างน้อยก็คงมีใครสักคนได้หวนมาทบทวนถึงเรื่องราวอันเป็นบริบทของชุมชนบ้านเกิดตัวเองว่าเป็นมาอย่างไร สภาพปัจจุบันเป็นอย่างไร ฯลฯ
ครับ-นี่คืออีกหนึ่งกระบวนการเรียนรู้ที่ “เรา” ออกแบบไว้ในวิชาภาวะผู้นำ –ผู้นำที่ต้องเรียนรู้ตัวเอง-เรียนรู้ความเป็นทีม-เรียนรู้กับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและเฉพาะกิจ-ผู้นำที่ต้องรับใช้สังคม ฯลฯ
หรือกระทั่ง-นี่คือกระบวนการเตรียมความพร้อมนิสิตก่อนการลงสู่ชุมชนในอีกมิติหนึ่ง-มิติแห่งการเรียนรู้แบบ
“บันเทิงเริงปัญญา”
หรือไม่จริง
!
หมายเหตุ : ภาพโดยทีมกระบวนกร และนิสิต จิตอาสา
เป็นกระบวนการที่ครบทั้งการเรียนรู้และบันเทิงเริงปัญญามาก
ขอบคุณมากๆครับ
นักศึกษา ขยันนะคะ
ขอบคุณครับ อ.ดร.ขจิต ฝอยทอง
บันเทิง-เริงปัญญา
คือการสร้างปัญญาแห่งการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
กระนั้น ทั้งผมและทีงานก็ยังลองถูกลองผิดอยู่ครับ-