เข้าพรรษา (24) ; พูดไปสองไพเบี้ย...นิ่งเสียตำลึงทอง
ตีสี่เสียงระฆังดังบ่งบอกถึงทำวัตรเช้า...ข้อปฏิบัติช่วงตีสีที่ข้าพเจ้ากำหนดคือการภาวนาเดินจงกลมนั่งสมาธิ และตีห้าทำวัตรเช้า...
วันนี้สาละวนทำภารกิจในกุฏิ...มีอาการปวดศีรษะเล็กน้อยคล้ายจะเป็นหวัดแต่พอได้เดินก็ดูเหมือนอาการดีขึ้น
***ไม่รับข้าวรวมที่ลานธรรมทานเฉพาะปิ่นโตของแม่รีและแม่ตึ่ง แม้กับข้าวไม่มากแต่ก็ดูอุดมสมบูรณ์ทานไม่เคยหมดยังพอเหลือเผื่อแผ่ให้กับน้องนิและมล ในพรรษานี้ตั้งใจไม่ขึ้นรับข้าวรวมที่ลานธรรมมันวิเวกดีแต่ก็ทำให้ไม่ได้ฟังธรรมจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์
เช้านี้หลังจากแพ็คขนมยังพอมีเวลาได้เย็บผ้า...
ตั้งใจจะใช้ทำเป็นผ้าบังสายตาที่ระเบียงกุฏิจะได้ดูไม่เปิดเผยเกินไป นานมากที่ไม่ค่อยได้เย็บผ้า เรื่องการเย็บผ้าได้นี่คือความใฝ่ฝันในวัยเด็กเลยทีเดียวกว่าจะตัดเย็บเป็นอายุก็ปาเข้าไปสามสิบปลายๆ ...
"เย็บผ้าทำขนม"...เป็นเรื่องที่มาฝึกฝนตอนอายุย่างวัยกลางคน
ครั้งที่สามที่รับเพลในพรรษานี้...ทำให้สัจจะอ่อนลงแต่ตั้งใจรับอาจจะด้วยความหวาดกลัวว่า ทานยาเข้าไปแล้วท้องว่างมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่ท้อง
ดั่งเช่นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อวาน...แต่เมื่อมาพิจารณาไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามนั่นก็คือกิเลสที่ทำให้เราละออกจากธรรมะสัจจะที่ตั้งไว้...
ช่วงบ่ายเข้าพัก...วิเวก
เดินจงกลมและนั่งสมาธิภาวนา เสียงภายในผลุดขึ้นมาว่า "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง"...นี่ไงคือคำสอนที่หลวงปู่สอน "หยุดพูด" เพราะเวลามีปัญหาพูดไปแล้วจะมีแต่ทะเลาะกันบาดหมางกัน เพราะไอ้ที่พูดดังกล่าวนั้นมาจากใจที่เป็นไฟทั้งนั้น
พอนึกได้เช่นนี้ใจมันรู้สึกเย็นสบายทีเดียว
ตั้งแต่วันเข้าพรรษามานี่การพูดคุยน้อยลง สิ่งที่พูดแล้วไม่จำเป็นก็เลี่ยงที่จะไม่พูด...พูดที่เป็นการเป็นงานเท่านั้น
การเดินจงกลมวันนี้...การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ อาการมึนๆ ปวดศรีษะลดลงและหายไปในที่สุด เหงื่อออกเยอะน่าจะถือว่ามีการระบายความร้อนได้ดี
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน
ที่ได้เกิดการเรียนรู้
...
23 สิงหาคม พ.ศ.2558
สาธุค่ะ กลับมาย้อนดูตัวเองเลยค่ะเวลาเราโมโหแล้วชอบพูดออกไป