เข้าพรรษา (14) ; ภาวนาผ่านการทำงาน
พักหลังปรับวิถีชีวิตใหม่จากเดิมไปถวายจังหันที่วัดก่อนแล้วค่อยกลับมาทำงาน ซึ่งจะมาถึงที่ทำงานประมาณแปดโมงครึ่งหรือถ้าทำธุระอย่างอื่นก็อาจล่วงไปถึงเก้าโมง หลายเดือนมานี่จะงดวันจันทร์กับวันพฤหัสฯ ปรับเปลี่ยนมาเป็นมาถึงที่ทำงานเจ็ดโมงกว่าถึงเจ็ดโมงครึ่ง
พี่ๆน้องๆ ที่ทำงานต่างมีภาระทางครอบครัวเมื่อใคร่ครวญแล้วเรานั้นมีภาระน้อยกว่า การมาก่อนทำให้กระบวนการทำงานเพื่อเตรียมพร้อมให้บริการคลินิคจิตเวชลื่นไหลมากขึ้น เพราะธรรมชาติผู้ป่วยมักมาแต่เช้าและถ้าเห็นเจ้าหน้าที่มาถึงเช้าเขาก็เย็นใจ เมื่อเขาเย็นใจเราก็ทำงานสุขใจขึ้น
การฝึกฝนใจผ่านการทำงานบริการผู้ป่วยมันช่างดีมากๆ...หลายๆ ครั้งเราประเมินอาการคนไข้ผ่านการพูดคุยโดยถามถึงในเรื่อง...
"หงุดหงิดฉุนเฉียว..."
"ควบคุมอารมณ์ตนเองได้..."
"หดหู่ใจ...ไม่อยากพูดกับใคร"
"นอนไม่หลับไหม...หรือนอนมากเกินไป..."
...
คำถามต่างๆ ที่นำไปสู่การค้นหาสภาพจิตของผู้ป่วยช่วยสะท้อนให้เราตระหนักหันกลับมาสู่การสำรวจจิตใจของเราด้วย...
การตระหนัก...awareness
นำมาซึ่งการตื่นรู้ในตนเอง...
"ถ้าเราหงุดหงิดแล้วเราจะไปต่างอะไรจากคนไข้..."
องค์พระหลวงตามหาบัวท่านเคยเทศน์สอนถึงคนไข้กลุ่มนี้ว่า...คือคนที่พ่ายแพ้ต่อกิเลส คนดีกับคนไข้วัดจาก "สติ" คนที่มีสติจะต้องควบคุมอารมณ์ความคิดด้านลบตนเองได้ ซึ่งความคิดด้านลบนั้นมันก็คือกิเลส
การทำงานวันนี้สติดีมากๆ
ใจเย็น ขณะที่พูดคุยกับคนไข้ได้เกิดความรู้สึกสะท้อนใจ "นี่ไงคนที่แพ้ใจตนเองจึงป่วยเช่นนี้"
ก็ได้เป็นอุทาหรณ์สำหรับตนเองพอสมควร
หลังเลิกงาน
กลับเข้าวัดเดินจงกลม...ได้พิจารณและเกิดคำตอบในตนเองว่า "นี่ไง...พระพุทธเจ้าเทศน์สอนได้ถูกต้องแล้วว่า...ต้องภาวนา ถ้าไม่ภาวนาจะไม่เห็นอาการของใจ และถ้าไม่เห็นอาการของใจก็แก้ไขใจตนเองไม่ได้...ข้าพเจ้าก็เคยมีอาการที่ไม่เห็นใจของตนเองแต่ใจของคนอื่นนี้ชัด เราจึงมักหลงเข้าไปในสภาวะ "ตัวกูดีเลิศประเสริฐ"
เดินจงกลมอยู่หนึ่งชั่วโมง...
นั่งพักสักครู่ สังเกตอาการของจิต "นี่คือการที่จิตมีกำลังก็คงเหมือนกล้ามเนื้อกายถ้าออกกำลังกายก็จะแข็งแรงขึ้น จิตก็เช่นเดียวกันออกกำลังของจิตด้วยการฝึกเจริญสตินั่งสมาธิ จิตก็มีกำลังมากขึ้นเมื่อถูกนำมาใช้ในขณะที่เผชิญหน้ากับบุคคล เรื่องราว
โจทย์จริงนี่อยู่ในชีวิตจริง
การอยากรู้ว่า...การฝึกปฏิบัติธรรมได้ผลหรือไม่ก็อยู่ ณ ขณะที่เรากำลังเผชิญสถานการณ์จริงในชีวิตนี่แหละ
...
๑๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๘
ไม่มีความเห็น