.. เสียงหวีดหวิวผ่านทิวไม้ส่ายโยกลม
น้ำค้างพรมดึกสงัดหมาวัดหอน
สองขี้เมาเขย่ากายหายง่วงนอน
จากที่ผ่อนพักกายาศาลาคอย
.. วัดสุทัศน์สงัดเหลือเมื่อคราก่อน
หากจะย้อนเวลามากล่าวถ้อย
เสาชิงช้าหน้าโบสถ์พราหมณ์ตามร่องรอย
ก็ไม่น้อยร้อยปีกว่ามาตามกาล
.. ตามถนนหนทางแทบร้างคน
กลัวผจญสิ่งบอกเล่าเขาขับขาน
มันสยองพองขนคนคล้ายมาร
คงสืบสานอสุรกายคล้ายเปรตจริง
.. ถิ่นที่พบประสบเหตุอยู่เขตวัด
นามสุทัศน์เจอเจอะจนเยอะยิ่ง
มากหลายตัวน่ากลัวนักประจักษ์สิ่ง
พบเป็นวิ่งหนีห่างร้องครางครวญ
.. กลิ่นสาบสางบางเบาเข้าจมูก
สองชายถูกปลุกนั่งฟังลมหวล
ดังหวีดแว่วแผ่วเสียงสำเนียงกวน
โสตให้ชวนสยองขวัญประหวั่นแคลง
.. ความรุนแรงแห่งกลิ่นบินมาถูก
ซึมซาบปลูกกังวลสองคนแช่ง
เสียงผิวปากหลากหวีดที่กรีดแซง
พลันสำแดงปรากฏตัวกลัวลนลาน
.. มันสูงเท่าเสาชิงช้าตั้งหน้าโบสถ์
ตาลโตนดพอจะเทียบเปรียบสัณฐาน
ลิ้นห้อยยาวราวกระหายเลือดไม่ปาน
ไข่ของห่านยังเล็กกว่าลูกตามัน
.. มือโตใหญ่ไกวกวัดสะบัดตบ
สองหนุ่มซบร่างกายเตรียมผายผัน
อยู่ไม่ได้ตายแน่จะแย่กัน
โดดหนีทันหวั่นโดนปลิดชีวิตวาย
.. อรรถกถาบาลีที่ไขความ
เป็นเปรตตามบาปนำที่ทำหลาย
ด้วยด่าทอพ่อแม่และทำร้าย
ชีพมลายกลายเป็นเปรตทุเรศมอง
ผู้ประพันธ์ : วันปีย์
เขียนขึ้นจากจินตนาการ และคำบอกเล่าที่สืบทอดกันมานานมากจน เป็นชื่อคล้องจอง ว่า "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" ซึ่งเรื่องของเปรตวัดสุทัศน์ก็น่าจะอยู่ในช่วงของยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้นๆเลยมาถึงกลาง ราวๆในรัชสมัยของ ร.๓ ต่อเนื่องถึง ร.๔ ครับ
สุดยอดครับ ;)...
ลุง วอ เกิดปีที่คนเห็นแร้งวัดสะเกศ เห็นเปรตวัดสุทัศน์ครับผม