การเข้าถึงจิตตื่นรู้


ขอขอบพระคุณพี่สุที่จุดประกายคำถามให้ผมได้สืบค้นความรู้เรื่องจิตในระดับต่างๆ และประทับใจพี่สุเสมอในทุกครั้งที่พี่โค้ชผมเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมฝึกฝนจิต

เมื่อทบทวนเรื่องการสั่งจิตใต้สำนึกบูรณาการงานกิจกรรมบำบัดและกระบวนการละครเพื่อการสื่อสาร ทำให้ผมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้คนได้หลากหลายความต้องการในการฝึกทักษะชีวิตจิตตื่นรู้ดูใจตน

ก่อนอื่นผมชอบความหมายของจิตใต้สำนึกที่อธิบายถึง "ศักยภาพของสมองมนุษย์ที่พบการทำงานอัตโนมัติได้ถึง 90% ขณะที่จิตสำนึกรู้ตัวของเราใช้ได้ 10% หรือมากกว่า หากเราฝึกฝนการสั่งจิตใต้สำนึก เช่น การสะกดจิต การใช้ NLP" ซึ่งปัจจุบันเราใช้จิตใต้สำนึกแทนคำว่า "จิตไร้สำนึก" [Acknowledgement: http://en.wikipedia.org/wiki/Subconscious]

Acknowledgement of Figure Above: http://www.selfhypnosishypnotherapy.com/chart-of-the-mind.html

ขณะที่จิตเหนือสำนึก มีคนพูดถึงไม่มากนัก [Acknowledgement of Figure below: http://www.empower-u.net/]

เส้นทางการเรียนรู้ชีวิตเราตั้งแต่การกลับมาเกิดใหม่จากอดีตสู่อนาคต ถือเป็นความเชื่อในระดับการหยั่งรู้ศักยภาพชองมนุษย์ที่เกิดจากการฝึกฝนสมาธิขั้นสูง

เมื่อผมอ่านหนังสือ "ธรรมชาติของสรรพสิ่ง" ของท่านอาจารย์ประเวศ วะสี ก็อยากอ้างอิงว่า "กลไกทางจิตในการหล่อหลอมความเป็นตัวตนของเราสู่สุขภาวะในหลายระดับการปฏิบัติ...จิตมีความอนิจจังประกอบด้วย 6 มิติ คือ คิดเป็น รู้สึกเป็น จำเป็น มีอารมณ์ รู้เป็น และเป็นอิสระ" เช่น ความฝันและแนวคิดจิตใต้สำนึกเพื่อการบำบัดของฟรอยด์ บุคลิกภาพตามนพลักษณ์ [ขอบพระคุณบันทึกจากคุณภัคชนิตร สัตยารักษ์] ตลอดจนการฝึกทำความดีด้วยปัญญาแห่งความเมตตาและรู้แจ้งเห็นจริงที่เรียกว่า จิตวิญญาณ

ตัวอย่างที่ผมกำลังเรียนรู้ในงานบริการกิจกรรมบำบัดเพื่อสุขภาพจิตสังคม

ขอบพระคุณกรณีศึกษาที่สนใจกระบวนการละครสื่อสารจิตใต้สำนึก...ทำให้เรียนรู้ว่า จิตพิชิตไมเกรนได้เพียง 40% อีก 50% ต้องใช้ความรู้สึกเดินเร็วช้าตามจังหวะของตนเอง ซึ่งแตกต่างจากการเดินรีบทำงานประจำจนเหนื่อย ถ้าไม่ชอบออกกำลังกาย การออกกำลังใจให้รู้สึกเคลื่อนไหวลมหายใจ เสียงในใจ ให้คลายกล้ามเนื้อคอบ่ากับกระบอกตาคิ้วตามความรู้สึกขณะนอนกับยืนก่อนและหลังเดินเร็วช้า...ที่สำคัญอีก 10% คือ การปลดล๊อคปมค้างใจในอดีตโยงมาสู่ภาพสุขใจในปัจจุบันร่วมกับการฝึกใช้ความรู้สึกสื่อสารกับคนที่เรารักในทุกๆสถานการณ์ชีวิตจำลองโดยลดการคิดไปเองให้มากสุดๆ

คุณแม่ท่านหนึ่งที่ลูกติดเกมและไม่เชื่อฟังด้วยปมอารมณ์เศร้ากับไม่ลงรอยกันมานาน...สิ่งแรกที่ผมช่วยคือ ออกกำลังใจให้คุณแม่อยากร้องไห้ด้วยความรู้สึกกับร่างกายเคลื่อนไหวตามลมหายใจกับเสียงหัวใจ มิใช่ต้องร้องไห้ด้วยอารมณ์กับร่างกายแข็งทื่อไร้ความรู้สึกแล้ววนเวียนอุบาทว์ ... นี่เพิ่งเริ่มต้นฝึกจิตรู้ใจ ต่อไปฝึกฟังรู้จิต ฝึกกายรู้ฟัง สุดท้ายสื่อสารกับลูกเมื่อลูกอยากเข้าหาแม่ด้วยการฝึกจิตนิ่ง อิงใจ ใคร่ฟัง สังเกต เหตุการณ์ สานใจ ใส่กาย คลายคิด จิตพูด สูดลม ปมเปลี่ยน เรียนรู้ ดูใจ ให้รัก พักผ่อน สอนเรา เข้าใจ ใคร่ครวญ หวนจำ สัมผัส ตัดลา อารมณ์

หลังจากใช้ละครสื่อสารจิตใต้สำนึก เคสไมเกรนฝึกจัดการอาการปวดหัวได้ดีขึ้น ส่วนเคสเศร้าจากลูกไลน์มาว่า "เมื่อวานเข้าไปขอโทษลูก และบอกว่าเราจะไม่พูดจาทำร้ายกันอีก พร้อมกอดลูก... เค้าก็นิ่งก่อน แล้วก็กอดตอบ แล้วก็พูดกวนๆ น้อยลง น้ำเสียงนุ่มขึ้น ... ขอบคุณอาจารย์มากๆ เลยค่ะ" วันนี้อีกเคสปล่อยวางเห็นใจขึ้นเมื่อนึกถึงคนที่มีอารมณ์ขัดแย้ง ขอบคุณกัลยาณมิตรที่เรียนรู้พลังชีวิตร่วมกันนะครับ

ก่อนสุดท้ายได้ฝึกรุ่นน้องใช้ละครสื่อสารจิตใต้สำนึก...สามีสงสัยว่าทำไมภรรยาผู้กำลังตั้งครรถ์เริ่มหลงๆลืมๆ มีหงุดหงิดขึ้น แพ้กลิ่นไวขึ้นทั้งที่ตอนไม่ท้องชอบน้ำหอม ขณะที่ไม่ชอบรสมะละกอเป็นชอบทานมะละกอ...ผมตรวจความรู้สึกที่เด่นก็พบว่า ฮอร์โมนขณะท้องส่งผลให้กลิ่นกับรสไวขึ้น และรู้สึกสัมผัสสื่อสารกระซิบได้ไว แต่ที่หงุดหงิดขึ้นมาจากความไวต่อเสียงและหายใจตื้น ... แนะนำฝึกหายใจลึกกับสามีลดเสียงลงพร้อมสัมผัสภรรยานิ่งๆฟังเสียงหัวใจกันและกัน

สุดท้ายขอบพระคุณพี่ท๊อปที่มาร่วมกิจกรรมละครสื่อสารจิตใจ ณ คลินิกกิจกรรมบำบัด ทำให้ผมถอดบทเรียนได้ว่า สำหรับหัวหน้างานที่คิดเองทำเองจนหงุดหงิดรำคาญรุ่นน้องที่ทำงานไม่ได้ดังใจ ระวังจะเกิดภาวะคิดอ่อนล้า...ผมขอแนะนำให้ตื่นรู้ดูตัวเองใน 5 วิธี ได้แก่ Recheck your Routine ตรวจสอบชีวิตซ้ำซากจำเจ Remind your Body เคลื่อนไหวฟังเสียงหัวใจ-ฝึกหายใจลึก Review your Feeling ทบทวนความรู้สึกทุกขณะหายใจ Rethink your Life คิดใหม่ให้มีชีวิตชีวา และ Refresh your Wisdom ตื่นตระหนักรู้ปัญญาพาสดชื่นทุกๆวัน...ถ้ากัลยาณมิตรท่านใดสนใจ ลองลงชื่อไว้ ผมกำลังจะคิดจัด Free Workshop: Refresh your Routine ใช้ชีวิตชิดชีวา

อีกประเด็น...ขอบพระคุณข้อมูลจากพี่ Dollaporn Phuakkhongและพี่ Kamol Thavornsate ด้วยความเคารพและนับถือครับ และกำลังใจจากน้องเบญผู้กำลังดูแลคุณแม่ผู้พิชิตใจให้มีพลังต่อสู้กับมะเร็งได้พูดว่า "ขอบคุณที่เป็นผู้ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ นำมาใช้ได้จริง เป็นประโยชน์ทั้งทางร่างกาย และจิตใจทั้งครอบครัว ขอให้ความดีความงามให้ดร.ป๊อบมีความสุข สันติ (รักอาจารย์ป๊อบมั๊กๆ)"

"จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก"

ก็มีความสำคัญในการเปลี่ยนภพด้วย

"การศึกษาทางประสาทสรีรวิทยา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

พบว่าหนูที่ตายใหม่ๆ หัวใจหยุดทำงาน เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง แต่คลื่นสมองยังคงอยู่ในภาวะ "ตื่นตัวขั้นสูง"

บ่งบอกถึงการมีสติสัมปชัญญะของคนเมื่อหัวใจหยุดเต้น"

ดังนั้น ทางการแพทย์บอกว่า "ตาย" แต่สมองยังทำงานอยู่ เป็น "การสร้างภาพจากสังขารจิต 20 นาที" ว่าจะไปภพภูมิใด

ดังนั้น จึงควร "เหนี่ยวนำ ไม่ให้นิมิตมาหลอกหลอน 20 นาที หลังหัวใจหยุดเต้น (กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต) การเข้าสู่ความมืด(ภวังคจิต) บังสุกุล คำศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละศาสนาจะปลุกจิตให้ตื่นหรือถอนออกมาเอง"

แปลว่า ต่อให้ก่อนตายญาติและคนไข้ได้เตรียมตัวเหนี่ยวนำจิตเป็นอย่างดี จนตายไปแล้ว (ก็คือหัวใจหยุดทำงาน)

สมองก็ยังเหนี่ยวนำสิ่งที่ทำก่อนตายอยู่ เช่น ถ้ากำลังสวดมนต์ภาวนา ตายไปแล้วจิตและสมองก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการสวดมนตร์ภาวนา ดวงจิตก็ย่อมเปลี่ยนภพภูมิไปที่ดี

แต่หากสมมติว่า ก่อนตายเตรียมตัวดีมาก แต่เมื่อตายไปแล้ว

ญาติๆ ร้องไหร้ระงึมเสียงดังลั่น หรือ ลูกหลานทะเลาะแย่งสมบัติด้วยเสียงเซ็งแซ่ บรรยากาศเหล่านนั้นก็จะเหนี่ยวนำให้สมองครุ่นคิดตรงนั้นและก็นำพาดวงจิตไปสู่ภพภูมิไม่ดีได้นั่นเอง

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำหลังความตาย 20 นาทีแรก

คือ สวดมนต์ โดยสิ่งที่อาจารย์อาภรณ์ทำประจำคือ เมื่อรู้ว่ามีคนไข้ตาย ก็จะหยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากหว่างคิ้ว เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างในซึ่งยังทำงานอยู่ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนต์หรือบังสุกุล แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้

สรุป
บรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตายและหลังความตาย 20 นาที

จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศก

การทะเลาะเบาะแว้ง

หรือการพูดเรื่องไม่สบายใจ

เพื่อให้คนตายได้เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้น

แต่ทั้งนี้ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องทำความดี ละความชั่ว ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสด้วย

จะได้พร้อมเปลี่ยนภพภูมิได้ทุกที่ ทุกเวลา

จิตใครเศร้าหมอง ก็สั่งจิตให้คลายความเศร้าหมอง ให้อภัยปล่อยวาง

คิดซะว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้ แต่ก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่กฏแห่งกรรม

เราไม่ต้องไปเอาคืนแก้แค้น เอาเวลามาทำจิตให้ผ่องใสเข้าสู่ความว่างดีกว่า

หมายเลขบันทึก: 590646เขียนเมื่อ 30 พฤษภาคม 2015 11:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 พฤษภาคม 2015 11:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

ขอบพระคุณมากครับอ.ดร.ธวัชชัยกับอ.ต้น

It seems that we have more minds to look into [unconscious(lost-control), subconscious (uncontrolled?), conscious(in-controlled?), superconscious(extra-sensory-controlled?) ]. For me, I'd ask "what (states of) mind are we in most (time)?"; Should we be in what mind more? What is a good recipe (practice/exercise) to achieve that mind and to stay there? ...

A 20 minute farewell party for a loved one! How do we 'guess' the time to start this party?

;-)

ขอบคุณครับ อ.

ผมสนใจเรื่องความตายเพื่อดูแลจิตใจของคนที่เรารักและตัวเอง ได้ไปเข้ารับการอบรมเป็นอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายมา จึงอยากขอแบ่งปันเพื่อเสริมในโอกาสนี้ด้วยครับ

การตายอย่างสงบได้คงต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าพอสมควร อาทิ การทำพินัยกรรมทรัพย์สมบัติและ living will ในการเลือกรับการรักษาเท่าที่ตนต้องการเพื่อลดความเจ็บปวดแต่มิใช่เพื่อยื้อชีวิตอย่างทรมาน (ซึ่งแพทย์จำเป็นต้องทำตามกฎหมาย) รวมถึงการปรับความเข้าใจกับผู้ที่มีเรื่องค้างคาใจให้หมด

ส่วนการสั่งจิตให้คลายความเศร้าหมอง ให้อภัย และปล่อยวางนั้น
จำเป็นที่จะต้องฝึกปฏิบัติภาวนามานานพอสมควรจึงจะสามารถทำได้เมื่อถึงเวลานั้นครับ

Many thanks to Khun SR. In to your subconscious mind training, you have just asked your intention to feel doing here and now. Then the subconscious mind would be automatically connected into your conscious mind without your effort. You have been trained up to your superconscious mind so that you don't have to ask your intention, but your empathy skills would have been feeling to do positive intention every moment. To sum up, the normal state of mind in both negative and positive events called conscious mixed subconscious mind. The power of now state of mind is controlled by starting subconscious and then communicated internally with conscious mind. If you have trained using superconscious, you don't need to use either subconscious or conscious mind.

ขอบพระคุณมากครับสำหรับกำลังใจจากพี่โอ๋ และคุณ tuknarak

ร่ายสุภาพ

* อุเบกขา ดั่งอาวุธ..........ยามท่องยุทธ์ websites
กันใจ ไม่หลงละเลิง..........หลีกหลบเพลิง ราคะ
ตระหนักรู้ โต้ตอบ............ทั้งชอบ ฤๅ ฉุนไฉน
ไป่ปล่อย กิเลสร้าย...........ฝังราก สุดโยกย้าย
ขจัดด้วย อุเบกขา...เถิดนา

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท