ความรู้ในสวนทุเรียน


https://www.youtube.com/watch?v=y0L_P3-EdGk

วันเสาร์ที่ผ่านมา (23 พฤษภาคม 2558) มีโอกาสได้ไปเที่ยวสวนทุเรียนตามคำชวนของเพื่อนคนหนึ่ง ไปแบบไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรมากนัก ชวนวันศุกร์ ไปวันเสาร์ไม่มีแผน ไม่มีอะไร นอกจากเพื่อนชวนไปก็ไปฮ่าๆๆ สวนทุเรียนแห่งนี้อยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกลจากกทม.มากนัก อยู่จังหวัดนครนายก ชื่อสวนละอองฟ้า แค่ชื่อก็รู้สึกอยากเข้าไปสัมผัสแล้วเนาะ ด้วยความเป็นคนชอบกินทุเรียนเป็นเบื้องต้นปน ๆ กับได้พาลูกไปเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วยกัน

เป็นโชคดีที่อากาศวันนั้นไม่ร้อนมากนัก ฟ้าครึ้ม ๆ คล้ายฝนจะตก ระหว่างการเดินทางเด็ก ๆ ก็หลับบ้าง ตื่นบ้าง เล่นบ้าง บ่นบ้างตามประสา และแล้วก็ถึงจุดหมาย สวนละอองฟ้า จอดรถหน้ากอไผ่และเดินทางเท้าต่อเข้าไปในสวน เป็นสวนที่เห็นแล้วก็ให้ความรู้สึกเป็นบ้านสวนที่อยู่อาศัยแบบธรรมชาติๆ ไม่ใช่เป็นสวนที่จัดแต่งประดิษฐ์ไว้เพื่อพาณิชย์แบบที่คิดไว้ เดินชมต้นทุเรียน ถ่ายรูปกันตามประสาคนยุคใหม่ฮ่าๆๆๆ แต่ละต้นก็จะมีชื่อพันธุ์ปักป้ายบอกไว้ให้ได้เรียนรู้กัน พอมองต่ำเห็นต้นสัปปะรด เยอะแยะไปหมด ปน ๆ กันไป (อันที่จริงมีต้นไม้อื่น ๆ มากมาย เพียงแต่วันนั้นที่ไปไม่ได้เดินชมแบบทั่ว ๆ พูดคุยกันเรื่องต้นไม้พรรณไม้น้อยมาก) เดินลัดเลาะไปเรื่อยก็พบบ้านไม้ยกสูง ใต้ถุนเปิดโล่ง มองไปพบผู้คนกลุ่มหนึ่งอยู่บริเวณนั้น แรกๆ ก็เก้อๆ ทำตัวไม่ค่อยจะถูก คงเป็นธรรมดากับการพบคนแปลกหน้ากระมัง ด้วยจังหวะที่ไปคือมีกลุ่มคนที่มาเยี่ยมชมสวนก่อน จึงนั่งรอสังเกตุการณ์ เด็ก ๆ ก็วิ่งเล่น เสียงจักจั่นก็ร้องดังเป็นระยะๆ เมื่อได้จังหวะ ก็เริ่มต้นพูดคุยตามประสาผู้มาเยี่ยมสวน พี่ชาตรีเจ้าของสวนก็เล่าประวัติความเป็นมาของสวนทุเรียนแห่งนี้ให้ฟัง ใครอยากฟังหรืออยากรู้ต้องมาเยี่ยมชมกันเองนะคะฮ่าๆๆ หรือจะหาข้อมูลอ่าน ๆ ก่อนเผื่อจะสนใจอยากมาเยี่ยมชม

สารภาพตามตรงไม่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทุเรียนมีมากมายหลากหลายพันธุ์ขนาดนี้ (น่าจะมีมากกว่า 30 สายพันธุ์ในไร่นี้) ส่วนตัวรู้จักทุเรียนแค่ 3 พันธุ์ หมอนทอง (ชอบมาก) ชะนี(ไม่ชอบเลย) และก้านยาว(พอกินได้) ชื่อสวนแห่งนี้

"ละอองฟ้า" เป็นชื่อที่มาจากพันธุ์ของทุเรียนนั่นเอง นอกจากนั่นก็ยังได้รู้จักชื่อพันธุ์ เช่น นมสด ฟักข้าว กระดุม ชายมังคุด แดงสาวน้อย สาวน้อยเรือนงาม มารอบนี้ทุเรียนออกช้า เลยได้ชิมอยู่น่าจะ 2 พันธุ์ ที่ใช้คำว่าน่าจะเพราะความสนใจมุ่งไปอีกประเด็นที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่มาเที่ยวในสวนทุเรียน นั่นคือ "การเลี้ยงลูก" เริ่มต้นจากการคุยเรื่องการทำสวนแบบปลอดสารพิษ พันธุ์ทุเรียน อยู่ ๆ วกเข้ามาคุยเรื่องการเรื่องลูกได้อย่างไรก็ไม่แน่ใจ และคุยกันยาวออกรสชาติกว่าการชิมทุเรียน และสัปปะรดเสียอีก (ขอบอกว่าติดใจสัปปะรดที่นี่มาก ถึงสีเนื้อจะดูจืดซีด ๆ แต่หวานฉ่ำ อีกทั้งไม่กัดลิ้น )

คุยกันจนมาถึง ดิสเล็กเซีย(Dyslexia) เจอคำนี้งงไปเลยค่ะ มีเครื่องหมายคำถามเต็มสมอง ไม่เคยได้ยินจึงได้แลกเปลี่ยนเรียนรูักัน ดิสเล็คเซียเป็นภาวะเกี่ยวกับการทำงานของทางเชื่อมระบบประสาทในสมองส่วนของการใช้ภาษาผิดปกติ ทำให้เกิดปัญหาในการอ่าน การเขียน เด็กเหล่านี้มีร่างกายสมบูรณ์ปกติ เขามีระดับสติปัญญาปกติ อาจจะสูงกว่าเด็กปกติด้วยซ้ำในเรื่องที่เขาถนัด เพียงแต่มีปัญหาในด้านการเรียนรู้ข้างต้น จึงอาจทำให้พ่อแม่ ครู หรือคนอื่น ๆ มองว่า เขาเป็นเด็กโง่ ขี้เกียจ ไม่เอาไหน ฟังเแล้วรู้สึกเห็นใจ ประทับใจ เข้าใจถึงหัวอกพ่อแม่ที่มีลูกเกิดภาวะความผิดปกติเช่นนี้ โชคดีที่พ่อแม่ในเรื่องเล่าเป็น พ่อแม่ที่ไม่ตัดสิน ไม่พิพากษาลูกตามกระแสสังคม ตามคำคนอื่น ๆ พยายามเข้าใจเขาและเป็นกำลังใจให้เขาเสมอมา ผู้ปกครองของเด็กที่เล่านี้เพิ่งได้ทราบว่าลูกของเขามีความบกพร่องด้านการเรียนรู้นี้ เมื่อส่งลูกไปเรียนที่ต่างประเทศ ฟังแล้วขนลุก ไม่ใช่เรื่องเล่าน่ากลัว หนาวหรือตื่นเต้น แต่มันตื้นตัน ปิติกับครูคนหนึ่งที่พยายามค้นหาสาเหตุว่าทำไมนักเรียนของตนนี้ มีปัญหาที่เกี่ยวกับการอ่าน เขียน แต่มีความสามารถในด้านการวาด การพูดดีมาก มีการทดสอบเพื่อหาสาเหตุจนได้พบว่าเป็นภาวะดิสเล็กเซียและได้รับการช่วยเหลือ โดยการตัดแว่นพิเศษขึ้นมาให้ใส่ เพื่อเป็นการปรับการมองเห็น ซึ่งก็ใช้มาอยู่จนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันยังคงเรียนอยู่อาจใช้เวลามากกว่าคนอื่น ๆ แต่พ่อและแม่ก็รอได้ด้วยความเข้าใจ จากที่ฟังลูกของเขามีความสามารถพิเศษโดดเด่นอย่างมากเป็นที่จับตาของครูที่นั่น (รายละเอียดไม่ขอลงกลัวพลาด เพราะฟังและจำมา นี่ถ้าเอาสมุดไปจดบันทึกก็คงดีเนาะ)

กลับมากทม.กลับมาหาข้อมูลต่อกับเรื่องดิสเล็กเซีย ด้วยความสนใจใคร่รู้ และคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อพ่อแม่ ครู ผู้ปกครองทั้งหลาย หากเรามีความรู้ไว้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งตนเองและผู้อื่นจริงไหม มีทั้งอ่านและดู เท่าที่พอจะมีเวลา สรุปจากที่หาข้อมูลมาว่า หากเกิดภาวะดิสเล็คเซียนี้ ไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่สามารถช่วยเหลือปรับการเรียนรู้ให้เขาได้ เช่น ใช้แผ่นใสทาบบนตัวอักษรที่จะอ่านอีกที หรือการสอนให้เขาอ่านตัวอักษรกวาดตาให้ช้าลงก็ช่วยได้ หรือตัดแว่นอย่างกรณีข้างต้น ทั้งนี้ที่สำคัญพ่อแม่ผู้ปกครองผู้ใกล้ชิดควรสอดส่องสังเกตุพฤติกรรมการเรียนรู้ของลูกหลาน ๆ ของเรา ว่าเขาเข้าข่ายเป็นดิสเล็กเซียหรือไม่ เพราะหากเรารู้เร็วก่อนเด็กอายุ 9 ขวบและช่วยเหลือเขา 90% ของเด็กที่ได้รับการปรับการเรียนรู้ช่วยเหลือจะสามารถเรียนรู้ อ่านออกเขียนได้ สามารถเรียนต่อในระดับสูงๆได้

จากการที่ฟังเรื่องราวเรื่องเล่า กลับมาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมสรุปได้เองว่า

ข้อสังเกตุว่าเด็กมีอาการเกิดภาวะดิสเล็กเซียนั้นจะมีลักษณะดังนี้

  1. มีปัญหาเรื่อง ไม่สามารถแยกแยะตัวอักษร หรือตัวเลขได้ เช่น ไม่สามารถแยก ม กับ น ,ณ กับ ฌ, ภ กับ ถ หรืออาจเขียน ก เป็น ก กลับด้าน เขียน เลข 3 หรือ เลข 5 กลับด้าน หรือให้ลอกคำว่า รูปภาพ เด็กจะเห็นและลอกเป็น รูปถาพ ทั้ง ๆ ที่ชี้เปรียบเทียบให้ดูแต่ละตัวก็ยังยืนยันว่าเหมือนกัน เพราะเขามองเห็นเช่นนั้น หรือ นม กับ มน , 6 กับ 9, d กับ b ,กำจัด กับ จำกัด เป็นต้น
  2. ไม่รู้ซ้ายขวา
  3. มีปัญหาการอ่านสะกด คำประสมคม ผันวรรณยุกต์ การอ่านออกเสียง
  4. หากเจอคำที่ไม่รู้จักจะใช้การเดาคำแทนการพยายามอ่านออกเสียง

อาจมีข้ออื่น ๆ อีกก็ได้นะคะ และเด็กที่เกิดภาวะดิสเล็กเซียนี้แต่ละรายก็อาจมีอาการไม่เหมือนกันก็ได้ อันนี้สรุปจากที่ได้ฟังได้ศึกษาเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย และจำไว้ว่าเด็กเหล่านี้เขาจะมีระดับสติปัญญาปกติ หรืออาจสูงกว่าปกติด้วยซ้ำในบางราย มีร่างกายเป็นปกติ ไม่หูหนวก ไม่มีความบกพร่องทางสายตา และควรแยกเด็กด้อยโอกาส เด็กที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมเช่นเป็นลูกครึ่ง ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลัก หรือพ่อแม่ไทยบางคนก็เลี้ยงลูกจนใช้แต่ภาษาต่างประเทศจนลูกไปเรียนภาษาไทยก็ไม่สามารถเข้าใจ เรียนรู้ภาษาไทยได้เท่าเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ เพราะเด็กเหล่านี้ก็ดูภายนอกก็อาจจะคล้าย ๆ จะเข้าข่ายแต่ไม่ใช่เนาะ นี่ถ้าให้เปรียบเทียบกับลูกชายตัวเองก็เหมือนจะเข้าข่ายไปหลายข้อ เช่น สับสนกับ ภ กับ ถ ตัว d กับ ตัว b เวลาอ่านนิทานด้วยกันชอบเดาคำไม่สะกด ซ้ายกับขวาบางทีก็งง ที่เล่ามาทั้งหมดไม่ได้คิดว่าลูกจะเป็นนะคะ อาจด้วยความใกล้ชิดกับลูกด้วยจึงรู้ว่าเขาเพียงแค่ไม่ใส่ใจที่จะจำ แต่ถ้าให้คัดลอกคำ จะคัดลอกถูก แต่หากบอกให้เขียน เช่น dog จะงงถามว่า ตัว d หัวออกหรือหัวเข้านะแม่ ส่วนเรื่องการเดาคำเพราะมีความขยันน้อยไม่อยากสะกด อยากอ่านให้จบเร็ว ๆ ก็เลยเดาส่งไป เอ...หรือว่ามั่นใจเกินไป แต่จากผลการเรียน จากที่ถามครูที่ผ่านมา เขาไม่มีปัญหาเรื่องการเรียนรู้ในห้องเรียนจนเป็นปัญหาหนักใจแก่ครูและแม่ สามารถอ่านโจทย์ข่้อสอบเองได้รู้เรื่อง ทำได้

เอาเป็นต้องไม่ด่วนสรุปตีตราตัดสินด้วยตัวของเราเอง ควรเฝ้าสังเกตุ หากไม่แน่ใจสงสัย และเพื่อให้แน่ใจควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จากการฟังเรื่องราวและอ่านข้อมูลเพิ่มเติมทำให้นึกถึงอดีตกาลครั้งหนึ่งนานมากแล้วตอนอยู่ประถม มีเด็กชายคนหนึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนจนจบป.6 ก็ยังไม่สามารถสะกดคำ ประสมคำได้อย่างที่ควรจะเป็น เขาก็ดูตั้งใจเรียนดี ไม่ได้มีความประพฤติเกเรก้าวร้าวใด ๆ ครูมักตีตราว่าเขาว่า ไอ้ควายไบสัน เพื่อนชื่อ คมสัน เพื่อน ๆ ในห้องมักหัวเราะเยาะและเรียกสมญานามที่ครูตั้งให้ แววตาเขาปวดร้าว เห็นแล้วรู้สึกเห็นใจ สงสารจับใจ ยังจำได้จนถึงปัจจุบัน ตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาเขากลับไปบ้านนั้นพ่อแม่เขาจะเข้าใจ ให้กำลังเขาหรือว่าเป็นอย่างไร

เรื่องราวต่าง ๆ ในหัวทั้งเก่าและใหม่ฉายซ้ำไปมา บอกตัวเองว่า ช้าอีกนิด เย็นอีกหน่อย อย่ารีบด่วนตัดสินพิพากษาใคร หรืออะไร สิ่งที่เราเห็น อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราเข้าใจก็ได้ อยู่ด้วยกันด้วยความใส่ใจ ด้วยความรักและเมตตาต่อกัน ความเจ็บปวดในแววตาของเพื่อนชายคนนั้นยังคงติดตรึง อาจเพราะตอนนั้นทำได้แค่คิด ไม่ได้แสดงออกไปว่า เราห่วงใย เข้าใจเธอนะ คงเป็นความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ ถึงไม่ได้มีส่วนในการล้อเลียน ต่อว่า แค่ตอนนั้นก็รู้สึกว่าอยากจะพูด อยากจะให้กำลังใจ แต่ก็ไม่กล้าทำ ด้วยเกรงว่าตัวเองจะถูกมองว่าแปลกแยกแหกเหล่าจากคนอื่น ๆ เพราะความกลัว จึงไม่กล้า เพราะความไม่กล้า จึงกลายเป็นความรู้สึกผิดติดมาจนทุกวันนี้

บทความนี้จึงขอมอบแด่เพื่อนชายคนนั้น เด็กชายคมสัน แทนคำขอโทษ แทนความรู้สึกจากใจที่มี ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ไหนเป็นอย่างไร ภาวนาขอให้เธอมีชีวิตที่ดีและมีความสุขนะ และขอเป็น 1 เสียง 1 ช่องทางในการบอกเล่าเรื่องราวแทนผู้ปกครองที่มีลูกที่มีภาวะดิสเล็กเซียนี้ แทนเสียงของเด็ก ๆ ที่เกิดภาวะเช่นนี้ด้วยเช่นกัน อยากให้เข้าใจ เห็นใจ ไม่ด่วนตัดสินใครพิพากษาในสิ่งที่ตาเราเห็น หรือใจรู้สึก

และฝากถึงพ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครูหรือผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน หากท่านได้อ่านบทความนี้ ความเข้าใจ กำลังใจ คำพูด ที่แสดงออกถึงความรักและความห่วงใยของท่านมีพลังอย่างยิ่งต่อพวกเขาเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นภาวะดิสเล็กเซีย สมาธิสั้น โรคใด ๆ ไม่เว้นแต่เด็กปกติทั่วไป เรื่องของการดูแลใจเป็นสิ่งสำคัญที่ท่านควรทำควบคู่ไปกับการดูแลเลี้ยงกาย โปรดเลี้ยงดูร่างกายและจิตใจของเขาให้เติบโตแข็งแรงไปควบคู่กัน การเป็นกำลังใจ การสร้างแรงบันดาลใจ ช่วยลูกหาจุดเด่นความสามารถของเขาให้พบ เด็ก ๆ ทุกคนล้วนมีความพิเศษในตัวเองที่แตกต่างกัน ส่วนตัวแล้วคำว่า "เด็กพิเศษ" เป็นคำวิเศษ หากเรามองว่าเด็กพิเศษเป็นเด็กมีปัญหา เขาและเราก็จะมีปัญหา หากเรามองว่าเป็นพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานมา เราก็จะรู้สึกว่าเราได้รับพรจริงไหม เรื่องราวเรื่องเล่านี้ที่ได้ฟังเป็นอีก 1 พลังที่ทำให้ตัวเองนั้นรู้สึกซาบซึ้งมีพลังกลับมาเลี้ยงลูกตัวเองต่อไป นึกถึง2 ประโยคนี้อีกแล้ว "ทำให้ดีที่สุด แล้วปล่อย" และ "ยอมรับ เรียนรู้ อยุ่กับปัจจุบัน"

***บทความนี้เขียนขึ้นจากความรู้สึก จากความรู้ที่ได้ฟัง ได้อ่านข้อมูลเพิ่มเติมไม่มากนัก หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ และคงดีหากมีผู้มีความรู้มาช่วยแก้ไขให้นะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ และหากใครสนใจไปเที่ยวชมสวนละอองฟ้า จ.นครนายก สามารถโทร.ไปสอบถามเส้นทาง ได้ที่เบอร พี่ชาตรี 089-7491735 แนะนำอีก 1 สถานที่ดี ๆ ที่ควรพาลูกไปเรียนรู้กัน ไม่ได้มีแค่ทุเรียนนะคะ มีต้นไม้อื่นๆ แมลง ฯลฯหลากหลายให้ได้เรียนรู้กัน พี่เขาไม่ได้จ้างให้โฆษณา แต่อยากแนะนำด้วยใจจริง ๆ ลองไปกันซิ...ดีนะคะ

หมายเลขบันทึก: 590508เขียนเมื่อ 25 พฤษภาคม 2015 10:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 พฤษภาคม 2015 17:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ผมก็มีเพื่อนตอนสมัยมัธยมที่มีปัญหาเรื่องการเรียนรู้เหมือนกันครับ เขากลายเป็นตัวตลกของห้องที่ไม่มีเพื่อนเล่นด้วยมีแต่คนกลั่นแกล้งและผมก็เป็นคนหนึ่งที่แกล้งเขา..... มาคิดถึงตอนนี้แล้วรู้สึกละอายใจครับ

-สวัสดีครับ

-ตามมาอ่านเรื่องราวครับ

-ได้ทราบข้อมูลการท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหนึ่งแห่ง

-ขอบคุณมากๆครับ

-เก็บภาพ"ข้าวเหนียวมูนขนุน"มาฝากครับ

ถึงคุณธวัชชัย ความละอายใจ เสียใจ ล้างได้ด้วยการให้อภัยตัวเองค่ะ อดีตผ่านไปแล้ว เราเรียนรู้ได้และนำมาใช้ในการแก้ไขปัจจุบันให้ดียิ่งขึ้น ส่วนตัวการพิมพ์บทความวันนี้เป็นเหมือนการล้างใจ ให้อภัยตัวเองได้อย่างไม่ติดค้างความรู้สึกผิดในอดีต และทำประโยชน์ต่อไปเท่าที่จะทำได้ เอาน้ำดีไล่น้ำเสียเนาะ

ถึงคุณเพชรน้ำหนึ่งแนะนำเลยค่ะ เป็นธรรมชาติแบบไม่ประดิษฐ์ มีอะไรให้เรียนรู้เยอะทีเดียวหากมีเวลา และหากสนใจลองไปนะคะ ขอบคุณสำหรับภาพข้าวเหนียวมูนขนุนน่าทานอย่างแรงค่ะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท