วันนี้ได้เกิดการตระหนักในบทบาทหนึ่งขึ้นมาคือ...
การทำหน้าที่ดั่งเป็นสะพานเชื่อมให้คนหน้างานด้านมิติเยียวยาทางจิตใจ-จิตวิญญาณได้เรียนรู้ร่วมกันกับระดับ Professional อย่างโรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานีที่คร่ำหวอดในเรื่องนี้มานานนับหลายปี
เสียงตอบรับของผู้เข้าร่วมอย่างดีมาก
สะท้อนถึงความมีใจในงานนี้...
ข้าพเจ้าทาบทามติดต่อท่านวิทยากรมาหลายเดือนพร้อมวางแผนในงานนี้ แต่เนื่องด้วยท่านวิทยากรหลักอย่าง อ.ชลิยา วามะลุน (Ph.D Candidate) ป่วยและได้รับการผ่าตัดใหญ่รอจนท่านหายฟื้นตัวสุขภาพแข็งแรงจึงนัดหมายมาลงตัวในวันนี้ตามที่ท่านกำหนด
ชื่นใจที่วันนี้ได้ดำเนินการ...จัดงานนี้
อ.ชลิยาท่านชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงในการทำงานเป็นหนึ่งเดียวโดยยึดหลักผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง...เชื่อมโยงระหว่างโรงพยาบาลกับชุมชน
ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของ อ.หมอโกมาตย์ที่ว่า "การดูแลผู้ป่วยมิตินี้ไม่มีลำดับขั้นแต่ต้องอาศัยปัญญาของผู้ปฏิบัติงานว่าจะดูแลผู้ป่วยแต่ละรายอย่างไร..."
ซึ่งไปสอดคล้องกับอีกหลายๆ แนวคิดว่า ความสำเร็จของการทำงานเยียวยาด้านมิติจิตวิญญาณในขณะที่เผชิญความเจ็บป่วยคือ...ครอบครัวและชุมชนสำคัญ
ความไม่สำเร็จมักเกิดจากการแยกส่วนไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับเครือข่ายพลังชุมชน บุคลากร รพ.สต. อสม. และพยาบาลชุมชน ข้าพเจ้าอาศัยพลังอันเป็นฐานเดิมที่ทำงานด้านนี้มาอย่างเข้มแข็งสานต่อบูรณาการการงานเป็นหนึ่งเดียว
ไม่น่าเชื่อว่า
ภาคบ่ายผ่านไปจนถึงตอนเย็นทุกคนยังร่วมเรียนรู้ร่วมกัน
ความประทับใจที่เกิดขึ้นมาจากคณะวิทยากรที่มีทั้งความรู้และประสบการณ์ตรงมาถ่ายทอดให้เราได้เกิดทั้งศาสตร์และศิลป์ในการงานเพื่อชีวิตนี้
จุดเด่นของงานวันนี้สะท้อนอะไร?
สะท้อนถึงพลังคนทำงานที่ทำต่อเนื่องมาเชื่อมภาคนโยบายและหมุนเกลียวความรู้ต่อยอดให้ลึกลงไป
ข้าพเจ้าเรียกงานนี้ว่า Peaceful "ความสงบ"
ทำไมไม่เรียกว่า Palliative Care...ก็เพราะว่าอาจไปเกิดความซ้ำซ้อนในมิติที่ทำให้ตีกรอบจำกัดเกินไป
ข้าพเจ้าอยากมองไปกว้างและลึกซึ้งกว่าที่เป็นอยู่
peaceful คือเป้าหมายที่ปรารถนานำพาผู้ป่วยไปให้ถึง
การทำงานที่สะท้อนถึง
"เป็นหนึ่งเดียว"
คือ บทสรุปของงานวันนี้
ไม่มีความเห็น