วันนี้ผู้เขียนสนใจเรื่อง ... หินสีเขียว ค่ะ.... ซึ่งมีอยู่ 3 ชนิดที่อยากเรียนรู้และมีความแตกต่างกันแต่สามารถนำมาเป็นเครื่องประดับ....ที่นำมาเพิ่มมูลค่า...ให้กับหินเหล่านี้ได้ค่ะ...นั้นได้แก่ มรกต...หยก....และโมราสีเขียว ...เรามาเรียนรู้จากข้อมูลกันดีกว่าค่ะ
1. มรกต (Emerald) สูตรเคมี: Be3Al2(SiO3)6) เป็น แร่รัตนชาติหรืออัญมณี …ที่มี สีเขียว โดยเกิดจากการผสมกันระหว่างโครเมี่ยมกับเบริล เป็นแร่เบริลที่มีสีเขียวซึ่งแร่นี้มีได้หลายสี ถ้าฟ้าเรียกอความารีน(aquarmarine)สีเหลืองเรียกโกลเด้นเบริล สีแดงเรียก โรสเบริล และอื่นๆคุณภาพของมรกตอยู่ที่สีหากมีสีเขียวทั่วทั้งเม็ดก็จัดว่าคุณภาพสูง ส่วนตำหนินั้นมรกตธรรมชาติทุกชิ้นจะต้องมีทั้งสิ้น ลักษณะเป็นเส้น ริ้วสีขาว จุดสีดำ สีสนิม ฝ้าขาวขุ่นตามธรรมชาติ รอยริ้วที่ดุคล้ายรากผักชีเรียกว่า Jardin หรือสวนแห่งมรกต มรกตคุณภาพดีหรือไม่ดีก็มีทั้งสิ้น แต่พิจารณาปริมาณ และการวางตัวของตำหนิ (ต้องเลือกที่ไม่มีตำหนิต่อเนื่องราวมาจนถึงหน้าพลอย หรือจากขอบหนึงไปถึงขอบหนึ่ง เพราะจะมีผลต่อการนำไปใช้ อาจไม่คงทน )ซึ่งอาจจะมีผลกับการส่องประกายแสงออกมาจากมรกต หากมีมากไปพลอยจะดูทึบแสง ไม่มีประกายซึ่งมักได้รับการเจียระไนแบบหลังเบี้ย หรือหลังเต่า หากทึบจนตันแสงไม่ส่องผ่านเลยและมีสีเขียวซีดจะจัดเป็นมรกตคุณภาพต่ำที่สุด มรกตมีการทำเลียนแบบ สังเคราะและปรับปรุงคุณภาพ(อาบนำมันบ้าง ชุบสี ซ่านสี เคลื่อบสี แช่สารเคมีเฉพาะ) ดังนั้นจึงควรตรวจสอบก่อนการซื้อเพราะจัดเป็นพลอยที่มีราคาสูงมาก(ถ้าคุรภาพดีมากและขนาดใหญ่ด้วยแล้ว) บางกรณีนั้นแยกแทบไม่ออกด้วยตาเปล่าต้องส่วห้องปฏิบัติการที่น่าเชื่อถือช่วยตรวจสอบ มรกตนั้นมีหลายเฉดสี แหล่งที่สำคัญมากและโด่งดังไปทั่วโลกคือ มรกตจากโคลัมเบีย ซึ่งได้รับการยกย่องว่างามที่สุดในโลกราคามักสูงกว่าแหล่งอื่นๆและถูกกล่าวอ้างถึงบ่อยๆ มีเหมืองสำคัญซึ่งผลิตมรกตสีต่างกันคือ เหมืองชิวอร์(Chivor)มีมรกตสีเขียวสดอมเหลือง และเหมืองมูโซ(Muzo)ให้มรกตสีเขียวอมฟ้า คล้ายสีของน้ำทะเล การดูแลรักษาไม่ควรใส่ทำงานหนัก เพราะทนแรงกระแทกได้ไม่ดีนักมีความเปราะหลีกเลี่ยงสารเคมี น้ำหอมและสเปร์ย แต่งผมนะคะ .... ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki
2. หยก (Jade) คือ ชื่อที่ใช้เรียกหิน...ซึ่งเป็นอัญมณีอันล้ำค่ามากชนิดหนึ่งโดยเฉพาะชาวจีนถือว่า....หยกเป็นเจ้าแห่งหินมีค่า ทั้งมวล ในอดีตเข้าใจกันว่าหยกมีเพียงชนิดเดียว ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความรู้.... ทางด้านเคมีมากขึ้น จึงสามารถแยกหยกได้เป็น 2 ชนิด คือ
2. 1 เจไดต์ (Jadeite)…. มีองค์ประกอบทางเคมีเป็น...โซเดียมอะลูมิเนียมซิลิเกต (NaAl(SiO3)2, Sodium aluminium silicate) มักมี .... สีเขียว เข้มสดกว่าเนฟไฟรต์ ...จัดเป็นหยกชนิดคุณภาพดี อยู่ในระบบผลึกแบบหนึ่งแกนเอียง โดยธรรมชาติมักพบเป็นก้อนเนื้อแน่นประกอบด้วยผลึกขนาดเล็กอยู่รวมกัน มีความวาวตั้งแต่แบบแก้วจนถึงแบบน้ำมัน หยกเจไดต์มีความแข็ง 6.5-7 มีสีในเนื้อพลอยเฉพาะตัว และมักไม่สม่ำเสมอ มีสีเข้มและจางของแต่ละผลึกรวมกันอยู่ โดยเฉพาะในพลอยก้อนจะมีลักษณะเป็นหย่อมสี พบว่าเกิดอยู่ในหินเซอร์เพนทีน ที่ได้จากการแปรสภาพของหินอัคนีชนิดที่มีแร่ดอลีวีนอยู่มาก หรือมีโซเดียมอยู่มาก
2.2 เนฟไฟรต์ (Nephrite) ....มีองค์ประกอบทางเคมีเป็น ... แคลเซียมแมกนีเซียมซิลิเกต (Calcium magnesium silicate) อยู่ในระบบผลึกหนึ่งแก่นเอียง โดยธรรมชาติมักพบเกิดเป็นผลึกกลุ่มที่มีขนาดเล็กรุปเส้นใยเดียวกัน หยกเนฟไฟรต์มีความแข็ง 6-6.5 มีความวาวแบบแก้วถึงน้ำมัน สีมีความเฉพาะตัวเหมือนหยกเจไดส์ แต่มีสีเข้มไม่เท่า และมีสีมืดมากกว่า พบว่าเกิดจากหินเดิมที่มีธาตุแมกนีเซียมแปรสภาพด้วยความร้อน
ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki
3. โมราหรืออาเกต(อังกฤษ: agate) (SiO2) เป็น อัญมณีที่มีหลายสีที่นิยม คือ ฟ้าอมเทาลายขาว หรือฟ้าในเนื้อหิน ในทางอุตสาหกรรมใช้สำหรับตกแต่งทำเป็นเครื่องประดับเนื่องจากคุณสมบัติของหินที่ต้านทานกรด และมีความแข็งสูง ความเชื่อของหินนี้เป็นเหมือนเครื่องรางของขลังตั้งแต่โบราณ ชาวอียิปต์ ถือว่า ช่วยป้องกันภยันตรายให้เจ้าของ และเป็นตัว แทน ทรัพย์สิน เพิ่ม ความมั่งคั่ง ค่ะ... ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org
สรุปได้ว่า....อัญมณีหรือหินสีเขียวที่....ผู้เขียน ...สนใจและอยากรู้... ผู้เขียนได้ความรู้และคำตอบแล้วค่ะ ... คือ หินสี่เขียวทั้ง 3 ชนิด .... ต่างกันที่สูตรทางเคมีค่ะ....จึงทำให้เนื้อหินไม่เหมือนนะคะ
1. มรกต มีสตรูทางเคมี คือ Be3Al2(SiO3)6)
2. หยก(Jade) ...ยังแบ่งออกเป็น 2 ชนิดและมีสูตรทางเคมีที่ต่างกัน คือ
- เจไดต์ (Jadeite)…. มีสูตรทางเคมีเป็น...โซเดียมอะลูมิเนียมซิลิเกต (NaAl(SiO3)2
- เนฟไฟรต์ (Nephrite) ....มีสูตรเคมีเป็น ... แคลเซียมแมกนีเซียมซิลิเกต (Calcium magnesium silicate)
3 โมราหรือ อาเกต(agate) มีสูตรทางเคมี คือ SiO2
เนื่องจากหินทั้ง 3 ชนิดนี้มีสูตรทางเคมีที่แตกต่างกัน ....จึงส่งผลให้เนื้อหิน...ที่ต่างกันนะคะ ..... ผู้เขียนได้เข้าใจในความรู้นี้ ... เลยนำความรู้เหล่านี้มาฝาก ชาว Gotoknow ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
๗ พ.ย.๒๕๕๗