สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ผมเปิด Blog นี้ ขึ้นมาเพื่อเผยแพร่สาระน่ารู้ทั่วไป ที่เป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ปกติผมอ่านข่าวสารทุกวัน เมื่อพบข่าวดีมีสาระที่น่าจะเกิดประโยชน์จะนำมาฝากในBlog นี้
ข่าวสารน่ารู้ เน้นเรื่องใกล้ตัว เกี่ยวกับ สุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยีฯ แลสิ่งที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคน
หากท่านใดมีข่าวสารน่าสนใจ ขอเชิญท่านร่วมเผยแพร่ใน Blog นี้ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับคนไทย เพื่อสังคมไทยของเรา
ขอความสวัสดีจงมีแด่ผู้อ่านทุกท่าน
สวัสดีครับ
ยม
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ผมอ่านข่าวประจำวัน พบข่าวที่น่าจะเป็นประโยชน์กับลูกหลาน พี้น้อง คนไทยที่ใฝ่เรียนรู้ เป็นข่าวเกี่ยวกับ ทุนเล่าเรียนหลวง ประจำปี พ.ศ. 2550 จึงนำมาฝากใน Blog นี้ครับทุนเล่าเรียนหลวง-ทุนรัฐบาล 2550[1]
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน( ก.พ.) จะเปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อรับทุนเล่าเรียนหลวงและทุนรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ 2550 (ทุนมัธยมศึกษา) ระหว่างวันที่ 1-15 พฤศจิกายน 2549 ทางไปรษณีย์ ทุนที่รับสมัครสอบมี ดังนี้
ทุนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
1.ทุนเล่าเรียนหลวง จำนวน 9 ทุน
2.ทุนไทยพัฒน์ จำนวน 25 ทุน
3.ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 31 ทุน
4.ทุนกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน 14 ทุน
5.ทุนบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำนวน 4 ทุน
ทุนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเป็นทุนรัฐบาลตามความต้องการของกระทรวง ทบวง กรมฝ่ายพลเรือน จำนวน 5 ทุนต้องคุณสมบัติดังนี้
1.เป็นผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.3 ประจำปีการศึกษา 2549 ประจำปีการศึกษา 2549 โดยได้คะแนนเฉลี่ยสะสมทุกภาคการศึกษาเท่าที่ผ่านมาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นไม่ต่ำกว่า 3.50 และมีอายุไม่เกิน 18 ปี นับถึงวันปิดรับสมัคร หรือ
2.เป็นผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.6 ประจำปีการศึกษา 2549 ประจำปีการศึกษา 2549 โดยได้คะแนนเฉลี่ยสะสมทุกภาคการศึกษาเท่าที่ผ่านมาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่ต่ำกว่า 3.50 และมีอายุไม่เกิน 20 ปี นับถึงวันปิดรับสมัคร หรือ
3.คุณสมบัติอื่นๆ ตามที่ระบุไว้ในประกาศรับสมัครสอบ
เพ่งหน้าคอมฯนาน ระวัง!!
เป็นตาหมีแพนดาตลอดชีวิต[1]
ในโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร คนส่วนใหญ่มักใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันวันละหลายๆ ชั่วโมง โดยหารู้ไม่ว่า "หายนะ" กำลังคืบคลานเข้ามาหาอย่างช้าๆ ซึ่งหายนะนั้นคือ การป่วยเป็น โรคคอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรม (Computer Vision Syndrome)
พญ.พุธศิรินทร์ ชูจันทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง บอกว่า สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคคอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรม คือ การใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ซึ่งจะส่งผลให้มีอาการภาวะตาแห้ง ปวดเบ้าตา เกิดรอยดำคล้ำบริเวณตา หรือมีรอยบวมเห็นเป็นถุงใต้ตาโปนออกมา
"การใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน จะทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาอ่อนแอลง ชั้นผิวหนังสร้างคอลลาเจนน้อยลง ไขมันที่เคยรองรับที่กระบอกตาจะเลื่อนไหลออกมากองอยู่รอบดวงตา ปรากฏให้เห็นเป็นรอยคล้ำใต้ตา ถุงใต้ตาและรอยบวมได้ โรคนี้ไม่เกิดขึ้นในทันที แต่จะสะสมไปเรื่อยๆ ยิ่งใช้เพ่งสายตาหน้าจอคอมพิวเตอร์นานเท่าไหร่ สภาพผิวรอบดวงตาก็ยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น ส่งผลให้กระบวนการซ่อมแซมตัวเองของเซลล์ผิวเสื่อมถอยขาดประสิทธิภาพ ทำให้การไหลเวียนขับถ่ายของเสียรอบดวงตาบกพร่อง ทำให้เกิดถุงใต้ตา และมีริ้วรอยหมองคล้ำอยู่เรื่อยไป"
ถ้าไม่อยากเป็น โรคตาหมีแพนดา ตลอดชีวิต พญ.พุธศิรินทร์ แนะวิธีการป้องกันว่า ควรเริ่มจากการปฏิบัติตัวเองเสียใหม่ เช่น อย่าให้กล้ามเนื้อตาล้าเกินไป ด้วยการอย่านั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ให้พักสายตาทุก 15 นาที ด้วยการมองออกไปไกลๆ จะทำให้ดวงตาไม่เกิดอาการล้า พร้อมปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้แสงพอเหมาะ อย่าขยี้ตา หากรู้สึกอ่อนล้าให้นวดคลึงเบาๆ และควรบริหารดวงตาเพื่อคลายความตึงเครียด ด้วยการกลอกตาไปรอบๆ เป็นวงกลม สัก 5-6 รอบ ใช้นิ้วนางทั้ง 2 นิ้วแตะที่หัวตาแต่ละข้าง คลึงเบาๆ แบบกดจุดนาน 1-2 วินาที
วิธีที่ทำให้ลูกสอนตัวเองได้ ๒๔ ชั่วโมง[1]
สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งของความเป็นพ่อแม่ก็ คือ เราต้องทำให้ลูกเกิดความรู้สึกยินดีที่จะทำความดีด้วยตัวเอง สอนให้ลูกรู้ถึงผลได้ ผลเสียในสิ่งที่เขากำลังตัดสินใจกระทำ มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป สามารถยับยั้งชั่งใจที่จะไม่ทำในสิ่งไม่ดี แม้ลับหลังพ่อแม่หรือคนอื่นๆ และ
สุดท้ายต้องทำให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ที่เขาควบคุมตัวเองให้เป็นคนดีได้ แต่การจะทำให้สิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้นั้น ..
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ด้วยการบังคับ การไปกะเกณฑ์ลูก เพราะหากเราบังคับเขาบ่อยๆ สุดท้ายลูกก็จะต่อต้านทุกอย่างที่พ่อแม่หยิบยื่นให้ และซ้ำร้ายไปกว่านั้น ลูกอาจไม่เข้าใจเรา คิดว่าความหวังดีของเรา คือ การไม่รัก การไม่เข้าใจเขาแต่สำหรับครอบครัวของเรา นับว่าโชคดีมากที่ได้มาวัด มาศึกษาธรรมะ จึงทำให้เราเจอทางลัดที่จะสอนให้ลูกดีตั้งแต่เขายังเล็ก ทั้งๆ ที่เราก็เหมือนพ่อแม่ส่วนใหญ่ ที่ไม่ค่อยมีเวลา ต้องโหมงานหนัก บางครั้งเราก็ไม่ได้สอนอะไรลูก ไม่มีเวลาอยู่กับลูกได้ตลอด ๒๔ ชม.
ดังนั้นนอกจากการพาลูกไปวัดเป็นประจำแล้ว เราต้องชวนลูกบวชเรียนตั้งแต่เด็ก ให้ได้ โดยเราจะคุยกับลูกว่า ตั้งแต่เล็กพ่อแม่ให้เขาได้แทบทุกเรื่อง พอมาถึงวันนี้ แม่จะขอเขา สักเรื่องให้ทำเพื่อพ่อแม่ คือ ขอให้เขาบวชให้เรา ซึ่งลูกก็ไม่ขัด และยอมเข้าโครงการบวชสามเณรแก้ว ประมาณเดือนครึ่ง ซึ่งเมื่อจบโครงการ ลูกขอบวชต่ออีกนิด เพราะรู้สึกซาบซึ้งและพึงพอใจในชีวิตนักบวช ซึ่งบางครอบครัวอาจจะเห็นว่านานเกินไป
แต่การจะให้ลูกซึมซับอะไรดีๆ หรือสร้างนิสัยอะไรดีๆ สักอย่างนั้นต้องใช้เวลา ไม่ใช่แค่หนึ่งอาทิตย์ สองอาทิตย์ เมื่อกลับมาก็ได้ผลเกินคาด คือ ลูกเปลี่ยนไปมาก รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีความ รับผิดชอบในเรื่องส่วนตัวของตัวเอง มีวินัยกับตัวเอง มากขึ้น จากที่เราไม่เคยให้เขาทำงานบ้านอะไรเลย เขากลับสามารถทำงานบ้านเป็น เช่น การขัดห้องน้ำ การซักผ้า หรือทานอาหารได้เรียบร้อย จัดเก็บจานสะอาด คือ พูดง่ายๆ ว่า หากตกระกำลำบากเขาจะสามารถช่วยเหลือตัวเองในเรื่องนี้ได้ ที่สำคัญ พ่อแม่ไม่สามารถอยู่กับเขาได้ตลอดเวลา
การที่ ทำให้เขารู้ดี-ชั่ว ถูก-ผิด รู้ว่าการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ไม่ดี สามารถห้ามตัวเองในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่เป็นเด็กวัยรุ่นผู้ชาย อยู่ในวัยอยากรู้อยากลอง แท้ๆ ทำให้เราไม่ต้องห่วงเขา เราภูมิใจมากที่เรามีลูกที่สามารถแยกแยะถูก-ผิด เพราะสิ่งนี้จะประคับประคองชีวิตเขาให้เจอสิ่งที่ดีต่อไป
ต้องสอนลูก..เรื่องการแต่งตัว
ยิ่งเรามีลูกสาวคนเดียวด้วยแล้ว เราจะให้ความสำคัญกับตรงนี้มาก สังคมสมัยนี้เรายังยอมรับไม่ค่อยได้ กับการแต่งตัวของเด็กยุคใหม่ เคยเห็นเพื่อนๆ ลูกสาวที่รุ่นราวคราวเดียวกัน คืออายุแค่ ๑๐-๑๑ ขวบ ก็ใส่สายเดี่ยวกันแล้ว แต่งตัวกันถึงขนาดนี้ กลายเป็นแฟชั่นไป แม้บางคนพ่อแม่ไม่ให้ลูกตัวเองใส่ แต่เด็กยุคใหม่ก็จะบอกว่า พ่อแม่เชย ไม่เข้าใจวัยรุ่น
แต่สำหรับครอบครัวเรา ก็ยังขออนุรักษ์วัฒนธรรมที่ดีงาม ยังอยากให้ลูกคงไว้ซึ่งสิ่งดีงามของสังคมไทย เพราะที่สำคัญที่สุด พ่อแม่ทุกคนคงไม่อยากให้ลูกสาวได้รับอันตรายจากการแต่งตัว
ดังนั้นเราควรกลับมาทบทวนดูใหม่ว่า พ่อแม่ควรปลูกฝังให้ลูกสาวมีดีและภูมิใจในตัวเอง จากการที่เขาเป็นคนเก่งและคนดี หรือควรสอนให้ลูกภูมิใจในตัวเองจากการแต่งตัวโป๊ๆ
ดังนั้นเรา จะไม่ส่งเสริมให้เขาใส่ หรือซื้อเสื้อผ้าที่โป๊ๆ ให้เขาเลยตั้งแต่เด็ก หรือหากนุ่งผ้าเลยขึ้นมาครึ่งหน้าแข้ง พระพุทธเจ้าสอนว่าเป็นการนุ่งชั่วห่มชั่วแล้ว เราไม่สนับสนุนให้ลูกทำเด็ดขาด โดยเราต้องเป็นต้นแบบให้ลูกก่อน สอนลูกว่าใส่เสื้อผ้าอย่างนี้อันตราย จะใส่ให้เป็นแฟชั่นทันสมัยแค่ไหน แพงแค่ไหน แม่ไม่ว่า แต่ขออย่าให้โป๊ ซึ่งก็ได้ผลค่ะ แม้เพื่อนๆ เขาจะใส่สายเดี่ยวกัน แต่ลูกเราไม่ใส่ และเขาก็มีความภูมิใจที่เขาไม่ทำตามเพื่อน ตามแฟชั่นยั่วยุ อีกทั้งเขาก็ไม่ชอบเสื้อผ้าทำนองนี้เลยต้องนั่งสมาธิสม่ำเสมอ
จะเรียกได้ว่า สมาธิเป็นจุดเปลี่ยนชีวิต ของครอบครัวเราก็ได้ เพราะตั้งแต่หันมานั่งสมาธิ สวดมนต์ รู้สึกว่าชีวิตตัวเองและคนในครอบครัวเปลี่ยนไปมาก คือ เราจะไม่เครียด มีภาวะที่ทำให้จิตใจสงบ เยือกเย็น และที่สำคัญที่สุด บุญจากการนั่งสมาธินี่เอง จะทำให้เราทำเรื่องยากๆ ที่เข้ามาในชีวิตให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ บุญจากการนั่งสมาธิจะทำให้เรามีลูกที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ไม่นำเรื่องร้อนใจมาให้
การนั่งสมาธิมีผลมากต่อทุกคน เมื่อพ่อแม่เริ่มต้น ลูกก็จะทำตาม คือเราต้องเป็นต้นแบบให้ลูก แม้ว่าเราจะงานยุ่งมากแค่ไหน ก็ไม่เคยทิ้งการนั่งสมาธิเลย แล้วที่สำคัญเมื่อนั่งสมาธิสม่ำเสมอ ก็ทำให้เรามีประสบการณ์ภายใน ที่ดี สมาธิก็ก้าวหน้า ก็อยากให้พ่อแม่ทุกคนให้ความสำคัญกับสิ่งนี้...
อาหารชะลอความแก่[1]
คอลัมน์ โฟกัสสุขภาพ
You"re what you eat คุณกินอย่างไรคุณก็อย่างนั้น แปลอีกอย่างก็คืออาหารที่คุณกินสะท้อนสุขภาพภายในและภายนอกของคุณ หากกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง ต่อให้ใช้ครีมกระปุกละหมื่นก็คงไม่ช่วยอะไรมาก
ต่อไปนี้เป็นอาหารที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญจากตะวันแนะนำให้รับประทานเพื่อชะลอความแก่ หรือแก่อย่างมีประสิทธิภาพและแข็งแรง อาหารที่ว่านี้ได้แก่
1.เมล็ดทานตะวัน เพราะว่ามีปริมาณวิตามินอีสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอาหารอื่นๆ ซึ่งวิตามินอีเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้คนเราดูอ่อนเยาว์เนื่องเพราะมีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ
2.ผักโขมและถั่ว เพราะมีสารในการช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวเมื่อเราแก่ อันนี้มีผลการทดลองในผู้ชายและผู้สูงอายุ 400 คนในออสเตรเลียและสวีเดนยืนยัน
3.น้ำองุ่น นอกจากจะช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองแล้ว ยังช่วยรักษาผิวพรรณให้ยืดหยุ่น เพราะว่ามันเต็มไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
4.มันฝรั่งหวาน การที่เราอยู่กลางแสงแดดมากเกินไป เป็นเหตุให้เราแก่ก่อนวัยอันควร แต่สารเบต้าแคโรทีนในมันฝรั่งหวานรวมทั้งแคร็อท อาจช่วยป้องกันผิวไม่ให้ถูกทำลายจากแสงอุลตร้าไวโอเลต
สุดท้าย ให้กินชีส ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ชีสอุดมด้วยแคลเซียม ดังนั้นจะช่วยให้ฟันฟางของคนแก่แข็งแรง และยังช่วยลดปริมาณแบคทีเรียในปาก ทำให้ปากสะอาด (แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้บอกว่ามันจะทำให้อ้วนด้วยหรือเปล่า)
วิกฤต...เยาวชนไทย ใครจะช่วยแก้[1]
โดย สุขุม เฉลยทรัพย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
นอกจากวิกฤตการณ์อันเกิดจากสถานการณ์บ้านเมือง วิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภัยธรรมชาติ หรือน้ำมือมนุษย์ และวิกฤตภาคใต้ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะซึ่งล้วนแต่นำความหวั่นวิตกและทุกข์ใจมาให้พี่น้องประชาชนคนไทยหนักหนาสาหัสอยู่แล้วนั้น ยังมีอีกวิกฤตที่ก่อตัวขึ้นกับเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติที่เราต่างมุ่งหวังให้เขาเหล่านั้นเติบใหญ่เป็นกำลังสำคัญโดยเฉพาะกอบกู้วิกฤตให้ประเทศชาตินั้นพลิกฟื้นคืนสู่ความสงบสุขได้ดังเดิม
วิกฤตเยาวชนนี้ เห็นได้จากประเด็นข่าวสารพัดสารพันที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันอันนอกจากจะสร้างความหนักอกหนักใจให้กับบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครอง ยังส่งผลถึงครูบาอาจารย์ และสถานศึกษาที่ต้องเข้ามาเยียวยาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
และภายใต้การการดำเนินงานของรัฐบาลชุดนี้ที่เล็งเห็นว่า "การศึกษา" จะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้าง และพัฒนาคน จนกระทั่งสังคมเกิดความเข้มแข็ง สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นสมานฉันท์นั้นจะต้องอาศัย "คุณธรรม" เป็นพื้นฐาน
นอกจากนั้นยังรวมถึงสถานศึกษา เพื่อน ศิลปิน ดารา นักร้อง ญาติพี่น้อง พระภิกษุ ผู้นำชุมชน และผู้นำประเทศตามลำดับ
จากผลของการสำรวจเป็นภาพสะท้อนถึงวิกฤตที่เกิดขึ้นกับเยาวชนไทยได้เป็นอย่างดี ที่แม้ว่าท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านเทคโนโลยี และวัตถุที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเราขณะนี้ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าประเทศอื่นใดในโลก
แต่ในขณะที่ความเจริญก้าวหน้าดังกล่าวที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอีกแง่มุมหนึ่งสภาพสังคมไทยกลับเสื่อมโทรมทรุดหนักมากขึ้นทุกขณะ
โดยเฉพาะการปฏิบัติตัวที่ไม่เหมาะสมของเยาวชน
ขาอยู่ไม่สุข"เสี่ยงโรคหัวใจ[1]
พ่อแม่ชั่วคราวบ้านแห่งนี้ยังมีรักรออยู่[1] |
โดย คม ชัด ลึก วัน อังคาร ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2550 02:01 น. |
หนูไม่เคยน้อยใจหรือโกรธพ่อแม่จริง อย่างน้อยเขายังยอมให้หนูเกิดมา ไม่ทำแท้งตั้งแต่ตอนท้อง ที่สำคัญ ถ้าเขาไม่นำหนูมาไว้สถานสงเคราะห์ หนูคงไม่ได้พบกับแม่สุภาพ และอยู่กับครอบครัวที่มีความสุขมากอย่างในตอนนี้ เศษเสี้ยวส่วนหนึ่งในเบื้องลึกจิตใจ น้องมุก (นามสมมติ) เด็กหญิงวัย 10 ขวบ ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยอาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กหญิงอุดรธานี แต่ตอนนี้เธอมีครอบครัวที่อบอุ่น ครอบครัวที่มอบความรักให้เธออย่างเต็มที่ แม้ไม่ได้ผูกพันทางสายเลือดทว่าผูกพันทางจิตใจ มุก ถูกส่งเข้าสถานสงเคราะห์เมื่อปี 2542 ขณะเธอมีอายุเพียง 3 ขวบ ด้วยสาเหตุพ่อแม่เลี้ยงดูไม่เหมาะสม ก่อนที่นายชวนและนางสุภาพ พาคะ ครอบครัวชาวนา ที่มีรายได้ปีละ 5 หมื่นบาท จะรับเป็นลูกตามโครงการครอบครัวอุปการะ ของนิคมสร้างตนเองห้วยหลวงในปี 2545 ถึงปัจจุบันมุกอยู่กับครอบครัวนี้มาร่วม 5 ปี
ถึงพ่อแม่จริงจะมารับก็จะไม่ไป จะอยู่กับแม่สุภาพ ตอนนี้ที่ทำเพื่อช่วยเหลือแม่ได้ คือ การเป็นเด็กดี ไม่สร้างความเดือดร้อน ช่วยงานบ้านและทำนา ส่วนอนาคตอยากมีงานทำ แล้วส่งเงินมาให้แม่ใช้ทุกเดือน เป็นการตอบแทนบุญคุณที่แม่กรุณาเลี้ยงหนูมาโดยไม่รังเกียจ น้องมุก กล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น สิ่งที่ทำให้มุกยืนยันจะอยู่กับครอบครัวนี้ต่อไป เธอบอกว่า เป็นเพราะเธอรักพ่อแม่ พี่ชายและหลาน ทุกคนให้ความรักและเลี้ยงดูเหมือนเธอเป็นลูกจริง ทำให้ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองเป็นคนอื่นนอกจากเป็นคนในครอบครัวจริงๆ ครอบครัวพาคะ เป็นเพียง 1 ใน 18 ครอบครัวในนิคมสร้างตนเองห้วยหลวง ต.สร้างก่อ อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ที่รับเป็นครอบครัวอุปการะ แน่นอนทุกคนทราบดีว่า พวกเขาเป็นเพียงพ่อแม่ชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องส่งลูกกลับคืนเข้าสู่อ้อมอกครอบครัวที่แท้จริงหรือเมื่อมีคนรับเป็นบุตรบุญธรรม นางสุพิน ศรศรี วัย 42 ปี อาชีพทำนา แม่ชั่วคราวที่พานพบการจากลูกต่างสายเลือดมาแล้วถึง 3 รุ่น เล่าว่า ตนมีลูกจริง 2 คน เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา เป็นรุ่นแรกที่คิดรับเด็กอุปการะเพราะต้องการเงินค่าช่วยเหลือที่ได้เดือนละ 2,000 บาท เมื่อเลี้ยงจริงกลับพบว่าเงินที่ได้ไม่เพียงพอ เคยคิดจะนำเด็กไปคืน แต่เกิดความผูกพันจนส่งกลับสถานสงเคราะห์ไม่ลง
ซึ่งลูกทั้ง 2 คน ก่อนที่จะรับลูกคนล่าสุดคือน้องพลอย วัย 11 เดือน ที่เกิดจากมารดาตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ก็ต้องจำใจคืนลูกให้พ่อแม่ที่แท้จริงของเด็ก เพราะตนตระหนักอยู่เสมอว่า เราไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แม้จะรักเด็กเหมือนลูกเราจริงๆ แต่เมื่อถึงเวลาก็ต้องคืนให้ตัวจริง ทุกวันนี้ก็ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะเลี้ยงลูกได้ดีกว่า ส่วนตนก็จะเลี้ยงน้องพลอยเหมือนลูกให้ความรักเต็มที่เพื่อรอวันจากลาหากพ่อแม่จริงมารับลูกเขาคืน และคงจะรับเด็กมาอุปการะอีกอย่างแน่นอน แม้จะเคยคิดไม่รับเด็กมาเลี้ยงอีกเกรงทำใจไม่ได้เมื่อต้องแยกจากกันก็ตาม
ทว่า บทบาทของพ่อแม่ชั่วคราวหาได้สิ้นสุดลงที่การลาจากเสมอไปไม่ ความรักความผูกพันที่ก่อเกิดขึ้น ทำให้พ่อแม่บางคนเต็มใจรับลูกชั่วคราวเป็นลูกถาวร ด้วยการจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรม อย่างเช่น ครอบครัวทองภู ที่เลี้ยงดูน้องแก้ว (นามสมมติ) มาตั้งแต่อายุ 3 เดือน กระทั่งปัจจุบันอายุ 7 ขวบ และรับเป็นบุตรบุญธรรมเรียบร้อย นายทนง ทองภู วัย 53 ปี อาชีพทำนา กล่าวว่า แม้จะมีลูกตัวเองอยู่แล้วถึง 3 คน แต่ทันทีที่รู้ว่ามีโครงการนี้ จึงบอกภรรยาให้สมัครรับเด็กมาเลี้ยง ไปเที่ยวหรือไปที่ไหนก็พาน้องแก้วไปด้วย เลี้ยงเหมือนลูกทุกอย่าง การที่เป็นน้องคนเล็ก ทุกคนในครอบครัวจึงรุมเอาอกเอาใจ เลี้ยงมาขนาดนี้มันเกิดความรักความผูกพัน กลายเป็นลูกจริงคนหนึ่งไปแล้ว ทิ้งไม่ได้หรอก ยิ่งตอนนี้ลูกจริงทั้ง 3 คน ไปทำงานต่างจังหวัดหมด ก็มีแก้วสร้างความครึกครื้นให้ตนกับภรรยา เมื่อรับเป็นลูกแล้วก็จะส่งเสียให้เรียนถึงที่สุด
ที่รับเด็กมาเลี้ยงจนรับเป็นลูกบุญธรรมทั้งที่มีลูกอยู่แล้วถึง 3 คน เพราะสงสารเด็ก ถึงจะยากดีมีจนก็ช่วยเลี้ยงกันไป ถ้าไม่รับเป็นลูกเด็กก็คงต้องกลับไปอยู่สถานสงคราะห์เหมือนเก่า ก็สงสารเขาเคยชินกับครอบครัวที่มีพ่อแม่พี่น้อง หากต้องไปอยู่สถานสงเคราะห์แล้วเขาจะอยู่อย่างไร นึกถึงจิตใจเด็กแล้วก็ทนส่งกลับไม่ได้ นายทนง กล่าวอย่างภาคภูมิและมีความสุข โครงการครอบครัวอุปการะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มิได้ส่งผลดีในแง่ของการสร้างความอบอุ่น และพัฒนาการที่ดีให้กับเด็กที่เติบโตในครอบครัวแทนสถานสงเคราะห์เท่านั้น หากยังช่วยคลายเหงาคืนชีวิตชีวายามมีเด็กเล็กอยู่ในบ้านให้กับพ่อแม่อุปการะ ที่ลูกจริงจากบ้านไปทำงานต่างถิ่นด้วย เหนืออื่นใด นี่เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า สังคมไทยไม่เคยทอดทิ้งกัน 0 พวงชมพู ประเสริฐ 0 ล้อมกรอบ 1 ความแตกต่างระหว่างครอบครัวอุปการะและครอบครัวบุญธรรม ครอบครัวบุญธรรม มีการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม เด็กจะได้รับสิทธิตามกฎหมายเสมือนบุตรของผู้รับบุตรบุญธรรม มีทั้งการรับบุตรบุญธรรมของชาวไทยและชาวต่างประเทศ ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 3,988 ราย ชาวไทย 3,503 ราย ชาวต่างประเทศ 485 ราย ครอบครัวอุปการะ เป็นครอบครัวที่รับเด็กจากสถานสงเคราะห์ไปเลี้ยงดูชั่วคราวในระหว่างที่บิดามารดายังไม่พร้อมที่จะรับเด็กกลับไปอุปการะ ได้รับเงินช่วยเหลือเลี้ยงดูรายละ 2,000 บาทต่อคนต่อเดือน จำนวนทั้งสิ้น 407 ราย
ล้อมกรอบ 2 คุณสมบัติของผู้ขออุปการะเด็ก
|
หากโลกนี้ ไม่มีความปลอดภัย?[1]
ข่าวสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เทค ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว มีนักจิตวิทยาในสหรัฐอเมริกาได้ออกมาให้ความเห็นว่า เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ ซึ่งถือได้ว่า เป็นการสังหารหมู่ครั้งรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในสถาบันศึกษาของสหรัฐอเมริกา โดยทำให้มีนักศึกษา รวมทั้งอาจารย์เสียชีวิตถึง 32 คน ก่อนที่ นายโช ซึง ฮุย มือปืน ซึ่งเป็นนักศึกษาเกาหลีใต้วัย 23 ปี และเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 เอกวิชาภาษาอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จะยิงตัวตายว่า สามารถส่งผลกระทบต่อผู้คนในวงกว้างกว่าที่หลายคนคิด
ทั้งยังอาจกลายเป็น "บาดแผลทางใจ" ที่อาจทำให้ใครบางคนรู้สึกหวาดผวาไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ ทั้งนี้เพราะ นี่เป็นเหตุการณ์รุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ที่ยิ่ง "ตอกย้ำ" ให้ผู้คนรู้สึกว่า โลกเราทุกวันนี้ ไม่มีความปลอดภัย และไม่ใช่แค่ ครอบครัว ญาติพี่น้องของเหยื่อกระสุนนายโชเท่านั้นที่จะเศร้าโศกเสียใจ และหวาดผวา
"เหตุผลหนึ่ง ที่ฉันบอกว่า เหตุการณ์ทำนองนี้สามารถส่งผลกระทบต่อผู้คนวงกว้างมากๆ ก็เพราะ มันทำให้คนหมดความเชื่อมั่นว่า โลกนี้ยังมีความปลอดภัย คุณลองคิดดูสิว่า ที่พ่อแม่ยอมให้ลูกๆ ไปโรงเรียน ก็เพราะเชื่อว่า นี่เป็นสถานที่ปลอดภัย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้ หลายครั้งเข้า มันก็สั่นคลอนความรู้สึกของคนเราได้มากเอาการ" เมลิสสา บีร์เมอร์ ผู้อำนวยการศูนย์ UCLA-Duke National Center for Child Traumatic Stress ของมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ ผู้เชี่ยวชาญดูแลรักษาเด็กที่ได้รับผลกระทบ หรือเกิดอาการเครียด หวาดกลัว หลังจากผ่านเหตุการณ์ก่อการร้ายหรือเหตุการณ์รุนแรงอันน่าสะพรึงกลัวให้ความเห็น
ทั้งยังว่า "ขณะที่เราพุ่งความสนใจไปที่คนตาย คนที่บาดเจ็บ แต่ที่จริงยังมีคนอีกกลุ่มใหญ่ ทั้งนักศึกษา และเจ้าหน้าที่ ครูอาจารย์ที่ต่างได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้"
ทั้งนี้ เมลิสสา ยังได้พูดถึงกลุ่มคนที่ "รอดตาย" จากกระสุนปืนของนายโชมาได้ว่า เป็นกลุ่มคนที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะคนกลุ่มนี้จะต้องเผชิญกับความรู้สึกสับสนใหญ่ๆ 2 อย่าง นั่นก็คือ ความรู้สึกหมดความเชื่อมั่นว่า โลกนี้ยังมีความปลอดภัย แล้วยังอาจเกิดความรู้สึกผิดติดค้างอยู่ในใจว่า ทำไมตัวเองถึงรอดตายมาได้ ขณะที่เพื่อนๆ ต้องตายไป?
แต่ที่ "น่ากลัว" กว่านั้นก็คือ สิ่งที่เมลิสสา บอกว่า คนที่รอดตายจากเหตุการณ์สยองขวัญแบบนี้ อาจจะต้องต่อสู้กับความรู้สึกหวาดผวาไปตลอดชีวิต โดยเธอได้ยกตัวอย่างถึง เด็กหลายคนที่เคยผ่านเหตุการณ์น่ากลัวแบบนี้ว่า ทุกวันนี้แค่ได้ยินถุงพลาสติคแตก เด็กเหล่านั้นก็ยังสะดุ้งตกใจ เพราะคิดไปว่า เป็นเสียงกระสุนปืน!!!
นอกจากนั้นเธอยังเล่าว่า ข่าวสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เทค ทำให้เธอได้รับโทรศัพท์จากอดีตคนไข้ของเธอหลายคนที่เคยได้รับบาดเจ็บมาจากเหตุการณ์ยิงกันที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนียกว่า 6 ปีมาแล้ว ที่เกิดความกลัว รู้สึกไม่สบายใจ จนต้องโทร.มาขอคำปรึกษาจากเธออีกครั้ง!!!
ขณะที่นักจิตวิทยาบอกว่า ในห้วงเวลาอันยากลำบากที่ครอบครัวของเหยื่อผู้เสียชีวิต จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ เพื่อรับมือกับความโศกเศร้าจากการสูญเสีย ส่วนคนที่รอดตายจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญแบบนี้มาได้ก็ต้องต่อสู้ เพื่อจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติให้เร็วที่สุด และส่วนใหญ่ประมาณ 70-80% ก็จะสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสามารถทำงาน และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ด้วยวิธีรักษาทางจิตวิทยาที่ใช้กันทั่วไป โดยพยายามทำให้คนไข้กลับมาเชื่อมั่นว่า เขาอยู่ในที่ปลอดภัย และเหตุการณ์เลวร้ายแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก
แต่ นายดัก แซตซิค อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ก็บอกว่า ทุกวันนี้ยังมีคนไข้บางคน ที่ใช้วิธีรักษาแบบนั้นไม่ได้ผล ทำให้วงการจิตวิทยากำลังทดลองหาวิธีรักษาแบบใหม่ๆ อย่างเช่น นำหลักการทำสมาธิ อาทิเทคนิคการฝึกสูดลมหายใจยาวๆ มาใช้ด้วย หรือการบอกให้คนไข้ยอมรับสถานการณ์ในปัจจุบันว่า ภัยอันตรายมันมีอยู่จริงๆ นั่นแหละ แต่ถึงยังไงคนเราก็จะต้องฟันฝ่าไปให้ได้
ศาลแรงงานเผยคดีปี"49ต่ำสุดในรอบ10ปี[1]
เมื่อวันที่ 22 เมษายน น.ส.อรุณี วีระรัศมี อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง เปิดเผยสถิติคดีแรงงานในปี 2549 ที่ผ่านมาว่า มีสถิติต่ำสุดในรอบ 10 ปี โดยมีเพียง 9,183 คดี ส่วนใหญ่เป็นคดีที่ฝ่ายลูกจ้างฟ้องนายจ้างรวม 7,660 คดี
นพ.เฉก ธนะสิริ อายุ 120 ปี ทำไมจะทำไม่ได้[1]
แม้การ "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การมีชีวิตที่ยืนยาวก็เป็นความปรารถนาของทุกชีวิต
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากที่ใครจะทำได้
แต่สำหรับ "นพ.เฉก ธนะสิริ" ประธานมูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์ไทยเดิม และประธานกิตติมศักดิ์ชมรมอยู่ 100 ปี-ชีวีเป็นสุข กล้าที่จะประกาศตน ตั้งแต่เมื่อประมาณ 15 ปีที่ผ่านมาว่า "ผมจะอยู่ให้ได้ถึง 120 ปี"
ที่กล้าประกาศตัวเช่นนี้ เป็นเพราะ นพ.เฉกได้ปฏิบัติตัวค่อนข้างเคร่งครัด ในเรื่องการออกกำลังกาย เปลี่ยนแปลงอาหารที่กินและบริหารจิต และศึกษาเรื่องนี้ทั้งศาสตร์ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกมามากพอสมควร จึงเห็นว่าการอยู่ดีชีวีมีสุขถึง 120 ปี เป็นเรื่องที่เป็นไปได้
เรื่องการจะมีอายุยืนยาวถึง 120 ปีนี้ ในประเทศไทย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นท่านแรกในประเทศไทยที่สนใจศึกษาหาความรู้ ในเรื่องนี้ท่านได้เขียนบทความชื่อ "วิธีทำให้อายุยืน 120 ปี" เพราะท่านเป็นคนไทยคนแรกๆ ที่นอกจากจะสนใจในเรื่องนี้แล้ว ยังได้เดินทางไปเข้าหลักสูตรกับ ดร.อาชลาน เพื่อปฏิบัติให้มีอายุยืนยาวแข็งแรงไม่มีโรคภัย ณ ประเทศโรมาเนีย
"ผมเองก็เคยเดินทางไปศึกษาหาความรู้ที่โรมาเนียด้วย นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2547 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ตรัสต่อข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จฯ เพื่อถวายพระพรในวันเฉลิมพระชนมพรรษาว่า พระองค์ท่านตั้งพระทัยที่จะทรงมีพระชนมพรรษาถึง 120 ปี ซึ่งปัจจุบันนี้พระองค์ท่านทรงมีพระชนมพรรษา 79 พรรษาเต็ม กำลังย่างเข้าปีที่ 80 อานาประชาราษฎร์ต่างแซ่ซ้องสาธุการ อยากให้พระองค์ท่านทรงบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้ทรงตั้งพระราชหฤทัย"
นพ.เฉก ได้ศึกษาเปรียบเทียบพระราชวงศ์ที่พระชนมายุใกล้เคียงกัน 2 ราชวงศ์ คือราชวงศ์อังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธ พระชนมายุแก่กว่าพระเจ้าอยู่หัวประมาณ 1 ปี พระราชชนนีของพระนางเจ้าสวรรคต เมื่อ 102 ปี พระราชชนนีของพระเจ้าอยู่หัวสวรรคต เมื่อ 93 ปี (หมายถึงพันธุกรรม)
"เมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา ผมเคยได้ยินคนไทยที่เคยศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษนานพอที่จะรู้ตื้นลึกหนาบางของราชวงศ์ของอังกฤษกล่าวว่า พระราชินี และพระราชวงศ์อังกฤษไม่ได้ใช้แพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังดูแลรักษาสุขภาพ หากแต่ใช้ "หมอผี" ดูแลรักษา ผมแปลกใจมากจนกระทั่ง พ.ศ.2534 ผมได้เดินทางไปเยี่ยมบุตรสาวที่ประเทศอังกฤษ เขาได้พาผมไปเที่ยวเมืองเคมบริดจ์ ซึ่งจะต้องผ่านเมืองเล็กๆ ชื่อ Heddingham มีปราสาทเก่าแก่ 800 ปี จึงขึ้นไปดูปราสาทเก่า ได้พบหนังสือวางขายชื่อ "The Patient Not The Cure" (คนไข้ทำให้โรคหายไม่ใช่หมอ) คนเขียนเป็น แพทย์ประจำพระราชวงศ์อังกฤษถึง 4 ชั่วอายุ นับตั้งแต่พระราชชนนีจนถึงพระราชปนัดดา ชื่อ Dr.Margery G.Blackie (ล่วงลับไปนานแล้ว) ท่านเป็นแพทย์ที่จบแพทยศาสตร์ แต่เรียนและปฏิบัติรักษาแบบทางเลือกด้วยวิธีใช้พิษถอนพิษ (Homoeopathy) คือใช้หลักการรักษาและดูแลสุขภาพตามหลักให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นเอง เพื่อสู้กับเชื้อโรค คล้ายวิธี ปลูกฝี หรือฉีดวัคซีน แพทย์สาขานี้ จะไม่ยอมใช้ยาที่เป็นสารเคมีอย่างเด็ดขาด มักจะใช้สมุนไพร ถ้าจำเป็นในรูปของทิงเจอร์ต่างๆ ซึ่งแพทย์แบบนี้มีจำนวนน้อยมากๆ"
จึงไม่แปลกอะไรที่หนังสือของ "หมอผี" ของราชตระกูลประเทศอังกฤษ จึงไม่ได้ระบุถึงการป่วยเจ็บของราชวงศ์อังกฤษทั้ง 4 ชั่วอายุ สมเด็จพระราชชนนีก็สวรรคตโดยไม่มีโรคและไม่ต้องใช้ยาในการรักษา สมมุติว่าถ้าไม่ทรงอ้วน นพ.เฉกเชื่อว่าจะทรงมีพระชนมายุถึง 110 ปี ได้สบายๆ
"หมอผีอเมริกาผู้นี้สำเร็จวิชาแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ใช้วิธีรักษาคนไข้ที่ป่วยจากโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค เช่น เบาหวาน ความดัน ข้ออักเสบ หัวใจ และหลอดเลือดตีบสมองเสื่อม อ่อนเปลี้ยเพลียแรง โดยไม่ใช้ยา แต่จะให้คนไข้ที่มารักษากับเขาทิ้งยาที่เคยกินทั้งหมด แล้วให้ปฏิบัติตามที่เขาแนะนำอย่างเคร่งครัดด้วยการกินอาหารออกกำลังกายตามความเหมาะสมแต่ละคน และที่สำคัญยิ่ง เขาให้คนไข้นั่งสมาธิ เป็นประจำ 10 วัน เท่านั้น อาการเริ่มเห็นผลเป็นที่น่าพอใจมาก"
ในเมื่อมี "หมอผี" ที่ประเทศอังกฤษแล้ว ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ก็มี "หมอเทวดา" ได้เช่นกัน
เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2537 นพ.เฉกได้เดินทางไปสังเกตการณ์และดูงานการแพทย์สาขาใหม่ คือ Bio-Molecular-cell therapy และ Rejuvunation Therapy คือการใช้เซลล์ของแกะรักษาโรคที่เป็นกับอวัยวะใดก็ใช้อวัยวะของแกะอวัยวะนั้นรักษา คือตับรักษาตับ ไตรักษาไต และใช้เซลล์ทำให้เป็นหนุ่มสาวกระชุ่มกระชวยอายุยืนยาว
นพ.เฉก มีโอกาสไปดูที่สถานพยาบาลของ Dr.S.Brock ที่เมือง Lingrguiss,Munchen ประเทศเยอรมนี โดย อ.พรรณทิพา วัชโรบล ผู้ซึ่งศึกษาวิชานี้เป็นผู้นำไปพบว่าสถาบันแห่งนี้ในอดีตมีบุคคลสำคัญของโลกเคยเดินทางมาชุบตัว เพื่อให้เป็นหนุ่มเป็นสาว บ้างก็มารักษาโรค อาทิ จักรพรรดิฮิโรฮิโต ชาลี แชปปลิน โป๊ป องค์ก่อนๆ อดีตประธานาธิบดีเยอรมนีและเซอร์วินสตัน เชอร์ชิล เป็นต้น ประเทศเยอรมนีดำเนินการศึกษาค้นคว้ามานานนับ 70-80 ปีมาแล้ว ประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่งจะมาตื่นเต้นเมื่อไม่เกิน 20 ปีมานี้เอง เรื่องการบำบัดรักษาและการยืดอายุให้ยืนยาวนี้ในอนาคต วิชา Cell Therapy จะมีบทบาทอย่างสูง หากแต่ค่ารักษาแพงมากๆ อย่างไรก็ดี วงการแพทย์ของประเทศไทยได้อาศัยการแพทย์ของสหรัฐอเมริกาเป็นหลักเกณฑ์ จึงยากที่จะเข้าใจหลักเกณฑ์การแพทย์เยอรมนี
จากการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง นพ.เฉกระบุว่า สำหรับคนที่ต้องการมีอายุยืนยาวอย่างมีพฤฒิพลังถึง 120 ปี นั้นจะต้องปฏิบัติให้ได้ 5 ข้อ ต่อไปนี้
1.ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ หนักเบาตามอายุ แต่การออกกำลังต้องให้ได้ออกซิเจนสม่ำเสมอ คือเพื่อให้เกิด พลังชีวิต หรือพลังแอโรบิคไปจนตายนั้น คือ ใช้หลักที่ว่า อยากมีแรงต้องออกแรง หรือต้องทำงานกลางแจ้งจนตลอดชีวิต
2.ต้องกินอาหารธรรมชาติ คือพืชพรรณธัญญาหาร เช่น แป้งเชิงซ้อนได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด เผือก มัน และผลไม้ และผักหลากสี หลากรส ลดเนื้อสัตว์ 4 เท้า และ 2 เท้า วันหนึ่งกิน 2 มื้อ ก็พอแล้ว งดหรือลดมื้อเย็นใช้หลักที่ว่า กินน้อย-ตายยาก กินมาก-ตายเร็ว อาหารอายุสั้น เช่น ผักสด ผลไม้สด ทำให้อายุยืน อาหารอายุยืน เช่น กระป๋อง ซอง แฮม ไส้กรอก กุนเชียง ทำให้อายุสั้น
3.ต้องดื่มน้ำสะอาด น้ำเปล่าๆ วันละ 10-12 แก้ว
4.ต้องพักผ่อนนอนให้หลับสนิท ภูมิต้านทานในตัวจะสูงมาก เชื้อโรคแพ้ราบคาบและทำจิตใจให้สงบเป็นสมาธิ ไม่สร้างปัญหาชีวิตให้แก่ตน ครอบครัวและสังคม หากเป็นไปได้ให้ฝึกเจริญสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน เป็นนิจศีล ดำเนินชีวิตทุกๆ อย่างด้วย ไตรสิกขา คือศีล-สมาธิ-ปัญญา จงมั่นใจว่า การฝึกจิตให้นิ่งเป็นจิตที่มีพลังสูง
5.หมั่นสร้างแต่กรรมดี สร้างบุญสร้างกุศล ละเว้นความชั่วทุกชนิด และตั้งโปรแกรมจิตของตนทุกวันเวลาที่จะมีชีวิตยืนยาว 120 ปี อย่างมีคุณภาพ โดยพิจารณาให้เห็นชัดว่าร่างกาย คือฮาร์ดแวร์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะต้องดูแลระมัดระวังให้ทำหน้าที่อย่างดีอยู่เสมอ ส่วนโปรแกรมที่จะป้อนเข้าไป เพื่อให้ได้ข้อมูลนั้นก็คือ "จิต" ของเรานั้นเอง การจะตั้งใจให้ผลออกมาดีนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าให้ใช้หลัก อิทธิบาท 4 หมายถึง สิ่งที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ 4 อย่าง คือฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา
ลูกฉลาดได้ด้วยสองมือแม่[1]
ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา เห็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยเข้าคอร์สทำกิจกรรมหลากหลายไม่น่าแปลกใจ เพราะพ่อแม่สมัยใหม่อยากให้ลูกเป็นเด็กฉลาด ซึ่งอีกมุมมองหนึ่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกลับเตือนว่า อาจทำให้เด็กอยู่ในภาวะกดดันโดยไม่รู้ตัว
เรื่องนี้ได้รับการบอกเล่าในงานเสวนาเรื่อง "ลูกน้อยฉลาดได้ด้วยสองมือแม่" เปิดโครงการ "เบบี้มายด์ คลับ" จาก พญ.อดิศร์สุดา เฟื่องฟู กุมารแพทย์สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ มหาราชินีว่า พ่อแม่ต้องการให้ลูกฉลาดทุกคน แต่ความฉลาดประกอบไปด้วย 2 คือ กรรมพันธุ์และการเลี้ยงดู
กุมารแพทย์บอกอีกว่า ในช่วงอายุ 0-3 ปี ไม่ควรคาดหวังอะไรกับลูกมากนัก ปล่อยให้เด็กมีพัฒนาการของตนเอง ได้เล่นได้เลือกที่จะทำตามวัยและมองหาจุดเด่นให้เจอด้านใด ด้านหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเก่งทั้ง 8 ด้าน เพียงแต่ถ้าพบแล้วว่าเด็กมีความสนใจด้านใดแล้ว ควรจะนำเด็กไปเล่นอย่างอื่น เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการคิดของเด็กให้มากขึ้น เช่น เด็กชอบฟังนิทาน ก็ชวนเด็กมาปั้นดินน้ำมันเกี่ยวกับสัตว์ที่เล่าถึง เป็นการทำกิจกรรมต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำจาก พญ.อดิศร์สุดา ถึงกรณีที่เด็กมีพฤติกรรมชอบทำร้ายทุบตีคนรอบข้างด้วยว่า ต้องสังเกตก่อนว่าเด็กตีเพราะอะไร อาจต้องการเล่นด้วย แล้วพ่อแม่คิดว่าลูกทำร้าย ก็ต้องสอนลูกว่าหากต้องการเล่นกับเพื่อนควรสะกิด แต่หากเด็กโกรธต้องการระบายกับคนอื่นก็เป็นไปได้ เนื่องจากเด็กวัยนี้ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีนัก เด็กที่มีทักษะการควบคุมอารมณ์ได้ดีต้อง 5 ปีขึ้นไป ฉะนั้นพ่อแม่ควรพูดตักเตือนในเบื้องต้นหากไม่ฟัง ควรมีการลงโทษ และสอนให้เด็กรู้จักระบายอารมณ์โกรธด้วยวิธีอื่น เช่น การขยำกระดาษแล้วปาทิ้ง หรือพ่อแม่อาจจะพับดาวไว้ในโหลสัก 10 ดวง หากเด็กทุบตี 1 หรือ 2 ครั้ง ก็ให้เอาดาวออกจากโหล หากดาวออกหมดก็จะถูกลงโทษ แต่ถ้าดาวอยู่ครบ หรือให้เหลือมากที่สุดควรจะให้รางวัล เป็นต้น เด็กก็จะลดพฤติกรรมลงไปเรื่อยๆ จนดีขึ้นได้
คอลัมน์ ถามตอบครอบอาณาจักร[1] ถาม “ทำอย่างไรให้นักเรียนได้เรียนแล้วเป็นสุข สนุกสนาน มีบรรยากาศที่เหมาะสมจูงใจให้เด็กๆ ไปโรงเรียน” เรียน คุณเหล็กหวาน ที่นับถือ วันเวลาผ่านไปไวเหลือเกิน เผลอไผลไปหน่อยเดียวและเพลิดเพลินใจในการทำงานช่วงฤดูร้อนไปไม่เท่าไหร่ก็ถึงวันเปิดภาคเรียนใหม่ในปีการศึกษา 2550 แล้ว อย่างนี้จะไม่ให้ผู้คนแก่เร็วได้ยังไงในเมื่อเวลาล่วงเลยไปไวเหมือนโกหกดังที่ลิเกเขาเล่นกัน เปิดภาคเรียนใหม่ก็อยากให้ชีวิตทุกชีวิตในโรงเรียนมีสภาพที่ทุกคนรื่นเริงบันเทิงใจ อยากให้การเรียนการสอนเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ทั้งผู้บริหาร ครูผู้สอน นักเรียน รวมไปถึง นักการภารโรงมีความสุขสดใสเมื่อเทอมใหม่มาเยือน ที่อยากจะขอเน้นคือ ทำอย่างไรให้นักเรียนได้เรียนแล้วเป็นสุข สนุกสนาน มีบรรยากาศที่เหมาะสมจูงใจให้เด็กๆ ไปโรงเรียน ในเรื่องนี้ ท่าน ดร.กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เคยจัดประชุมสัมมนาสมัชชาเด็ก : การเรียนรู้อย่างมีความสุข ได้ผลสรุปความต้องการของเด็กๆ ในการศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างนี้ครับ
ด้วยเหตุฉะนี้ เมื่อเปิดเทอมใหม่แล้วจึงอยากให้เด็กๆ สุขใจเมื่ออยู่ในโรงเรียน ยุคปฏิรูปการศึกษาตัองโสภาสถาพร หรือคุณเหล็กหวานจะว่าอย่างไรครับ จันโททัย กลีบเมฆ ตอบ คุณจันโททัย โรงเรียนเพิ่งทยอยกันเปิดเทอม คุณจันโททัยพูดในภาพรวมของผู้บริหาร ครูผู้สอน นักเรียน นักภารโรง ผมขอเน้นในภาคส่วนของ "ผู้ปกครอง" "ผู้ปกครอง" พอถึงช่วงเปิดเทอมใหญ่ทีไร ทุกข์กว่าครู ผู้บริหาร นักเรียน และนักการภารโรง เพราะบางผู้ปกครอง "ลูก" ได้ที่เรียนไม่เป็นไปตามที่ต้องการ หวังเข้าโรงเรียนใหญ่ สอบไม่ติด ที่สอบติดต้องเสียเงินค่าเทอม ค่าบำรุง และอีกสารพัด ครอบครัวที่พอมีกิน มีรายได้ ทุกข์ไม่เท่าไหร่ แต่ครอบครัวที่ยากไร้ ต้องพึ่งพาโรงจำนำ มีสมบัติชิ้นสองชิ้น นำเข้าโรงตึ๊ง แลกเงินเป็นค่าเทอมลูก |
นพ.นัทภูมิกล่าวว่า โรคนี้มักไม่แสดงอาการ ส่วนมากเริ่มต้นจากการเกิดติ่งเนื้อ (polyp) ซึ่งใช้เวลาเปลี่ยนแปลงช้าจนกลายเป็นเนื้อร้าย ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงจะไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ จนกระทั่งก้อนใหญ่ขึ้น ถ่ายเป็นมูกเลือด ลำไส้อุดตัน ซึ่งเมื่อถึงอาการขั้นนี้ก็เป็นขั้นที่รุนแรงแล้ว สิ่งสำคัญหากแพทย์สามารถตรวจพบติ่งเนื้อและตัดทิ้งตั้งแต่แรก จะสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้ ปัจจุบันการตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่นิยมใช้วิธีการส่องกล้อง หรือ colonoscopy ซึ่งถือเป็นวิธีมาตรฐานในการตรวจหามะเร็ง แต่ปัญหาคือ วิธีนี้ไม่สะดวกสำหรับผู้ป่วย เนื่องจากอาจต้องฉีดยาหรือดมยาสลบ และยังทำให้รู้สึกเจ็บจากการตรวจ "ล่าสุดมีทางเลือกสำหรับการตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่เรียกว่า CTC หรือ Virtual colonoscopy เป็นการตรวจลำไส้ใหญ่ที่ใช้เครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สแกนช่องท้อง ประกอบกับการใส่ท่อยางเล็กๆ เข้าไปในทวารหนัก เพื่ออัดลมให้ลำไส้พองตัว จากนั้นนำข้อมูลทั้งหมดมาประมวลเป็นภาพเสมือนจริงสามมิติ ใช้เวลาตรวจเพียง 15 นาที ทั้งนี้ เครื่องนี้สามารถตรวจหาติ่งเนื้อขนาดเกิน 1 เซนติเมตร ที่มีโอกาสเป็นเนื้อร้ายมากกว่าร้อยละ 10 แต่ข้อเสียอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง ทำให้ท้องอืด ส่วนข้อดี แม้ต้องใส่หัวสวนทางทวารหนัก แต่ใส่เพียงส่วนปลายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องดมยาสลบ" นพ.นัทภูมิกล่าว (กรอบบ่าย) |
Helpful Weight Loss Suggestions and Tips[1]