อาจารย์ยม
อาจารย์ อาจารย์ยม บทบาทนักวิชาการ คือการชี้ทางสว่างให้สังคม นาคสุข

สาระน่ารู้ เป็นประโยชน์ต่อ ตนเอง และต่อทุกคนในครอบครัว


กระชับรัก ทุกวันอาทิตย์ เพ่งหน้าคอมฯนาน ระวัง!! เป็นตาหมีแพนดาตลอดชีวิต /7 วิธีทำให้รู้สึกหิวน้อยลง/ ปีนี้โลกร้อนหนักสุด /อาหารชะลอความแก่/ วิธีที่ทำให้ลูกสอนตัวเองได้ ๒๔ ชั่วโมง /นาฬิกาชีวิต / สู่สุขภาวะทางปัญญา /วิเคราะห์นิสัยจากลายมือ/ วิกฤต...เยาวชนไทย ใครจะช่วยแก้/ ขาอยู่ไม่สุข"เสี่ยงโรคหัวใจ/ พ่อแม่ชั่วคราวบ้านแห่งนี้ยังมีรักรออยู่/ อาหารสมองของสาวทำงาน/ อายุ 120 ปี ทำไมจะทำไม่ได้/ ลูกฉลาดได้ด้วยสองมือแม่/ ทำอย่างไรให้นักเรียนได้เรียนแล้วเป็นสุข สนุกสนาน มีบรรยากาศที่เหมาะสมจูงใจให้เด็กๆ ไปโรงเรียน/ เทคนิคตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ ใช้"ซีทีซี"หาติ่งเนื้อร้าย1ซม.ฯลฯ

สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน 

ผมเปิด Blog นี้ ขึ้นมาเพื่อเผยแพร่สาระน่ารู้ทั่วไป ที่เป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน 

ปกติผมอ่านข่าวสารทุกวัน เมื่อพบข่าวดีมีสาระที่น่าจะเกิดประโยชน์จะนำมาฝากในBlog นี้

ข่าวสารน่ารู้ เน้นเรื่องใกล้ตัว เกี่ยวกับ สุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยีฯ แลสิ่งที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคน

หากท่านใดมีข่าวสารน่าสนใจ ขอเชิญท่านร่วมเผยแพร่ใน Blog นี้ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับคนไทย เพื่อสังคมไทยของเรา

 ขอความสวัสดีจงมีแด่ผู้อ่านทุกท่าน

 สวัสดีครับ

ยม

หมายเลขบันทึก: 57838เขียนเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2006 09:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 15:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (24)
ทุนเล่าเรียนหลวง-ทุนรัฐบาล 2550

สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

  ผมอ่านข่าวประจำวัน พบข่าวที่น่าจะเป็นประโยชน์กับลูกหลาน พี้น้อง คนไทยที่ใฝ่เรียนรู้ เป็นข่าวเกี่ยวกับ ทุนเล่าเรียนหลวง ประจำปี พ.ศ. 2550 จึงนำมาฝากใน Blog นี้ครับ  

ทุนเล่าเรียนหลวง-ทุนรัฐบาล 2550[1]


สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน( ก.พ.) จะเปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อรับทุนเล่าเรียนหลวงและทุนรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ 2550 (ทุนมัธยมศึกษา) ระหว่างวันที่ 1-15 พฤศจิกายน 2549 ทางไปรษณีย์ ทุนที่รับสมัครสอบมี ดังนี้

ทุนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย



1.ทุนเล่าเรียนหลวง จำนวน 9 ทุน



2.ทุนไทยพัฒน์ จำนวน 25 ทุน



3.ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 31 ทุน



4.ทุนกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน 14 ทุน



5.ทุนบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำนวน 4 ทุน



ทุนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเป็นทุนรัฐบาลตามความต้องการของกระทรวง ทบวง กรมฝ่ายพลเรือน จำนวน 5 ทุนต้องคุณสมบัติดังนี้

1.เป็นผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.3 ประจำปีการศึกษา 2549 ประจำปีการศึกษา 2549 โดยได้คะแนนเฉลี่ยสะสมทุกภาคการศึกษาเท่าที่ผ่านมาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นไม่ต่ำกว่า 3.50 และมีอายุไม่เกิน 18 ปี นับถึงวันปิดรับสมัคร หรือ



2.เป็นผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.6 ประจำปีการศึกษา 2549 ประจำปีการศึกษา 2549 โดยได้คะแนนเฉลี่ยสะสมทุกภาคการศึกษาเท่าที่ผ่านมาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่ต่ำกว่า 3.50 และมีอายุไม่เกิน 20 ปี นับถึงวันปิดรับสมัคร หรือ



3.คุณสมบัติอื่นๆ ตามที่ระบุไว้ในประกาศรับสมัครสอบ



เอกสาร หลักฐาน และค่าธรรมเนียมสอบที่จะต้องยื่นพร้อมใบสมัครสอบ

1.ใบสมัคร และบัตรประจำตัวสอบ พร้อมติดรูปถ่าย จำนวน 3 รูป

2.สำเนาระเบียนแสดงผลการเรียนรวมทุกภาคการศึกษาเท่าที่ผ่านมา จำนวน 3 ชุด

3.หนังสือรับรองความประพฤติ และความเหมาะสมในการสมัครรับทุนจากอาจารย์ใหญ่ผู้อำนวยการโรงเรียน

4.หนังสือยินยอมจากผู้ปกครองให้ไปศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศ (เฉพาะผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้น ม.3)

5.สำเนาทะเบียนบ้าน หรือสูติบัตร หรือสำเนาบัตรประชาชนอย่างใดอย่างหนึ่ง จำนวน 1 ชุด

6.ค่าธรรมเนียมสอบ หน่วยละ 100 บาท ผู้สมัครสอบจะต้องชำระค่าธรรมเนียมสอบเป็นไปรษณีย์ธนาณัติ สั่งจ่ายปลายทาง ณ ที่ทำการไปรษณีย์ดุสิต กทม.10300 ระบุชื่อผู้รับเงิน สำนักงาน ก.พ.

ผู้สนใจดูรายละเอียดของประกาศรับสมัครเพิ่มเติมได้ที่

- ศูนย์ข่าวการสอบ สำนักงาน ก.พ. ถนนพิษณุโลก เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

- ศูนย์ข่าวสำนักงาน ก.พ. ถนนติวานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี

- สำนักงาน ก.พ. เครือข่าย ลำปาง ขอนแก่น อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี สงขลา อยุธยา ราชบุรี ชลบุรี พิษณุโลก

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต หรือดูประกาศพร้อมทั้ง Download ใบสมัครและแบบฟอร์มที่ใช้ในการสมัครรสอบได้ทาง internet ใน Website ของสำนักงาน ก.พ. ที่ www.ocsc.go.th และ Website ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ http://stscholar.nstda.or.th
 ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านโชคดี  สวัสดีครับยม081-9370144[email protected]

เพ่งหน้าคอมฯนาน ระวัง!!

เป็นตาหมีแพนดาตลอดชีวิต[1]



ในโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร คนส่วนใหญ่มักใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันวันละหลายๆ ชั่วโมง โดยหารู้ไม่ว่า "หายนะ" กำลังคืบคลานเข้ามาหาอย่างช้าๆ ซึ่งหายนะนั้นคือ การป่วยเป็น โรคคอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรม (Computer Vision Syndrome)

 

พญ.พุธศิรินทร์ ชูจันทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง บอกว่า สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคคอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรม คือ การใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ซึ่งจะส่งผลให้มีอาการภาวะตาแห้ง ปวดเบ้าตา เกิดรอยดำคล้ำบริเวณตา หรือมีรอยบวมเห็นเป็นถุงใต้ตาโปนออกมา



"การใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน จะทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาอ่อนแอลง ชั้นผิวหนังสร้างคอลลาเจนน้อยลง ไขมันที่เคยรองรับที่กระบอกตาจะเลื่อนไหลออกมากองอยู่รอบดวงตา ปรากฏให้เห็นเป็นรอยคล้ำใต้ตา ถุงใต้ตาและรอยบวมได้ โรคนี้ไม่เกิดขึ้นในทันที แต่จะสะสมไปเรื่อยๆ ยิ่งใช้เพ่งสายตาหน้าจอคอมพิวเตอร์นานเท่าไหร่ สภาพผิวรอบดวงตาก็ยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น ส่งผลให้กระบวนการซ่อมแซมตัวเองของเซลล์ผิวเสื่อมถอยขาดประสิทธิภาพ ทำให้การไหลเวียนขับถ่ายของเสียรอบดวงตาบกพร่อง ทำให้เกิดถุงใต้ตา และมีริ้วรอยหมองคล้ำอยู่เรื่อยไป"



ถ้าไม่อยากเป็น โรคตาหมีแพนดา ตลอดชีวิต พญ.พุธศิรินทร์ แนะวิธีการป้องกันว่า ควรเริ่มจากการปฏิบัติตัวเองเสียใหม่ เช่น อย่าให้กล้ามเนื้อตาล้าเกินไป ด้วยการอย่านั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ให้พักสายตาทุก 15 นาที ด้วยการมองออกไปไกลๆ จะทำให้ดวงตาไม่เกิดอาการล้า พร้อมปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้แสงพอเหมาะ อย่าขยี้ตา หากรู้สึกอ่อนล้าให้นวดคลึงเบาๆ และควรบริหารดวงตาเพื่อคลายความตึงเครียด ด้วยการกลอกตาไปรอบๆ เป็นวงกลม สัก 5-6 รอบ ใช้นิ้วนางทั้ง 2 นิ้วแตะที่หัวตาแต่ละข้าง คลึงเบาๆ แบบกดจุดนาน 1-2 วินาที



ไม่อยากตาเป็นหมีแพนดา ก็อย่าลืมทำตามคำแนะนำ
7 วิธีทำให้หิวน้อยลง
7 วิธีทำให้รู้สึกหิวน้อยลง[1]  จานนั้นก็รสดี จานนี้ก็น่ากิน จะลดน้ำหนักและอดอาหารจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่อย่ากังวลไป วันนี้ front ฉบับล่าสุด มีวิธีดีๆ มาเล่าสู่ โดยเขาว่าถ้าต้องการควบคุมความอยากอาหารละก็ ลองเริ่มต้นด้วยการ "กินและกิน" โดยกินให้บ่อย ประมาณ 4 ชั่วโมงครั้ง แต่ต้องกินแค่ผักหรือเนื้อสัตว์ ห้ามคาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาลเด็ดขาด เพราะจะทำให้หิวยิ่งกว่าเดิม

อย่างที่สองคือต้อง
"กินมื้อเช้า" จะได้ไม่หิวเป็นสองเท่าในมื้อเที่ยง

สาม
ให้ "เคลื่อนไหวมากๆ" ร่างกายจะได้หลั่งสารเอ็นโดฟีนออกมาทำให้ไม่รู้สึกหิว

ข้อสี่
"กินโปรตีนเยอะๆ" เพราะจะช่วยให้อิ่มเร็วและอิ่มนาน

ข้อห้า
"หลีกเลี่ยงงานปาร์ตี้" เพราะบางคนจะกินได้มากขึ้นเมื่ออยู่กับเพื่อน

ข้อหก
"ซ่อนขนมขบเคี้ยว" เพราะกลิ่นของมันจะทำให้เราอยากอาหารมากขึ้น

ข้อสุดท้าย
"พักผ่อนให้เพียงพอ" ไม่เช่นนั้นร่างกายจะอ่อนเพลียซึ่งจะส่งผลให้หิวมากกว่าปกติ
แด่ในหลวงด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
แด่ "ในหลวง" ด้วย "วิถีพอเพียง"[1]

โดย กาญจนรัตน์ ทวีศักดิ์* โรงเรียนวังไกลกังวล



ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามกระแสพระราชดำรัสของในหลวง ที่คุ้นหูคนไทยมานานกว่า 25 ปี เพิ่งถูกกำหนดเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของชาติในปี พ.ศ.2550-2554 ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 และเป็นนโยบายของรัฐบาลในปีนี้

จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่คนไทยทั้งชาติควรร่วมกันเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจจนเกิดปัญญากระจ่างแจ้ง เกิดความซาบซึ้งจนนำไปสู่การปฏิบัติทั้งในวิถีชีวิตปัจเจก และวิถีสังคมให้เห็นผลก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น

ถ้าเราทำความเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยเริ่มจากคำถามว่า "ทำไมต้องพอเพียง?" เราก็จะพบคำตอบว่าเพราะ "ความไม่พอเพียง" คือ "ความขาดแคลน" เช่น ขาดแคลนทุนทรัพย์ ความรู้ สติปัญญา ความสามารถ คุณธรรมศีลธรรม สุขภาพกาย สุขภาพจิต รวมไปถึงขาดแคลนสิทธิ เสรีภาพ ศักดิ์ศรี หรือความภาคภูมิใจในความเป็นมนุษย์

และเพราะถ้า "เกินความพอเพียง" ก็คือ "ความล้นเกิน" ที่ทำลายสมดุล ทั้งสมดุลทางร่างกายและจิตใจ ทางวัตถุและจิตวิญญาณทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ

ดังนั้น เราจึงต้องการความพอเพียงเพื่อขจัดความขาดแคลนและรักษาสมดุลทุกด้านของชีวิต สังคม และธรรมชาติ

การสร้างสมดุลดังกล่าวนี่เองคือแก่นของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่นำไปสู่มุมมองใหม่ที่ดีกว่า กล่าวคือ

ตามมุมมองเศรษฐศาสตร์ตะวันตกที่มองเรื่องเศรษฐกิจเฉพาะความต้องการบริโภค กับการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการบริโภค ทำให้มนุษย์มีฐานะเป็น "สัตว์เศรษฐกิจ" ที่มีธรรมชาติเห็นแก่ตัว และใช้ความเห็นแก่ตัวอย่างชอบธรรมเพื่อสร้างทุน-กำไรให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ในสภาพดังกล่าวเราแต่ละคนต่างตกเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว เป็นนักล่าทุน-กำไรและใช้กันและกันเป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างทุนกำไรให้มากที่สุด

คุณค่าของมนุษย์จึงขึ้นอยู่กับความมีประสิทธิภาพในการสร้างทุน-กำไร

และความสำเร็จหรือความสุขของชีวิตก็คือ การครอบครองทุน-กำไรได้มากกว่าหรือมากที่สุด การแข่งขันที่อาจโหดร้ายจึงเป็นความจำเป็น หรือเป็นธรรมชาติของสัตว์เศรษฐกิจ

ด้วยเป้าหมายดังกล่าวที่แต่ละคนยึดถืออย่างเหนียวแน่น แม้จะสร้างระบบการแข่งขันที่ (อ้างว่า) เป็นธรรมใดๆ ก็ยากที่ "ความเป็นธรรม" จริงๆ จะเกิดขึ้นได้

สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ มีมหาเศรษฐีของโลกกลุ่มเล็กๆ ที่ครอบครองสินทรัพย์ของโลกเกือบครึ่งค่อน มีมหาเศรษฐีของประเทศที่ครอบครองสินทรัพย์ของประเทศกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ มีประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่กดขี่เอาเปรียบประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนาด้วยวิธีการต่างๆ

และมีคนโง่ จน เจ็บ จำนวนมหาศาลที่มีชีวิตอยู่อย่างไร้คุณภาพชีวิต ถูกละเมิดศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชนกระจายอยู่ในแทบทุกประเทศทั่วโลก

แต่มุมมองใหม่ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มุ่งสร้างสมดุล การพัฒนาทางเศรษฐกิจต้องถูกนำทางด้วยความรู้ เหตุผลความสามารถที่เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก ถูกกำกับด้วยหลักประกันความเสี่ยงความไม่ประมาท คุณธรรมและศีลธรรม

มนุษย์จึงไม่ใช่เป็นเพียงสัตว์เศรษฐกิจหรือนักสะสมทุน-กำไร แต่เป็น "สัตว์ประเสริฐ" ที่มีชีวิตอยู่อย่างไม่ขาดแคลน ไม่ล้นเกินพึ่งตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ ชีวิตมีคุณค่าในมิติหลากหลาย มีเวลาให้กับตนเอง ครอบครัวชื่นชมความงามของธรรมชาติ ศิลปะ บ่มเพาะคุณธรรมศีลธรรม ความสงบสุขทางจิตวิญญาณ เสียสละและสร้างสรรค์เพื่อส่วนรวม

ความฝันต่างๆ เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าเป้าหมายของมนุษย์คือ "ความพอเพียง" หรือการสร้างสมดุลทั้งในชีวิต สังคม เศรษฐกิจอำนาจทางการเมือง และสมดุลทางธรรมชาติ

แต่จะไม่มีวันเป็นไปได้ถ้าเป้าหมายของมนุษย์คือความไม่รู้จักพอเพียงหรือ "ความล้นเกิน" ซึ่งจะทำให้โลกก้าวไปสู่หายนะอันเกิดจากความขัดแย้งของฝ่ายขาดแคลนกับฝ่ายล้นเกิน และภัยธรรมชาติอันเนื่องมาจากความเสียสมดุล

จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราชาวไทยโชคดีเพียงใดที่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นอัครราชาปราชญ์ พระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจทางเลือกแก่คนไทยสังคมไทย หรือแม้แต่สังคมโลก

ซึ่งเป็นทางเลือกที่จำเป็นต่อความอยู่รอด หรือความมั่นคงของมนุษย์ ธรรมชาติและสังคม

ในปีมหามงคลที่ในหลวงครองราชย์ครบ 60 ปี และเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช พระราชกุศลที่ปวงพสกนิกรชาวไทยควรถวายแด่พระองค์ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าการสร้างการเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้ลึกซึ้งและแพร่หลาย

จนสามารถสร้างวิถีชีวิตพอเพียง ความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ จนเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลกว่า

ประเทศไทยคือ "ประเทศแห่งความสุขด้วยเศรษฐกิ
"องค์การพยากรณ์อากาศโลก" เผยปีนี้โลกร้อนหนักสุด เป็นครั้งที่ 6
"องค์การพยากรณ์อากาศโลก"เผยปีนี้โลกร้อนหนักสุด เป็นครั้งที่ 6[1] วันที่ 16 ธ.ค. 2549  วันนี้ (16 ธ.ค.) องค์การพยากรณ์อากาศโลก (WMO) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของสหประชาชาติ (UN) รายงานว่า ปี 2549 เป็นปีที่โลกเผชิญปัญหาโลกร้อนร้ายแรงที่สุดเป็นครั้งที่ 6 เนื่องจากอุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกเพิ่มขึ้นเป็น 14 องศาเซลเซียส
        
WMO ระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกในซีกโลกเหนือ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วกว่าผิวโลกในซีกโลกใต้ และยืนยันว่า ภูเขา หรือชั้นน้ำแข็งในแถบขั้วโลกเหนือกำลังละลายอย่างรวดเร็วในปริมาณก้อนใหญ่กว่าเนื้อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทั้งประเทศ ทุก ๆ ปี และว่าทะเลน้ำแข็งแถบขั้วโลกเหนือมีเนื้อที่หดเหลือเพียงราว 5.9 ล้านตารางกิโลเมตรในปัจจุบัน หรือในอัตราร้อยละ 8.6 ต่อ 10 ปี หรือ 1 ทศวรรษ ซึ่งเป็นอัตราที่รวดเร็วมากอย่างน่าตกใจ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ ยังเตือนว่า ทะเลน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือจะละลายในอัตราที่รวดเร็วขึ้นในระยะหลายสิบปีข้างหน้านี้ ซึ่งอาจทำให้ภูเขาน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือละลายจนหมดสิ้นภายในฤดูร้อนของปี 2583
      
WMO ชี้ว่า ปัญหาโลกร้อนเนื่องจากผลของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสารอื่นๆ ที่ทำลายชั้นโอโซนในบรรยากาศที่ช่วยกรองแสงอาทิตย์ที่ส่องลงถึงพื้นโลก จากโรงงานอุตสาหกรรม และรถยนต์ตามท้องถนน ตลอดจนจากเครื่องปรับอากาศ และตู้เย็นตามอาคารต่างๆ ทำให้ภาวะอากาศโลกแปรปรวน เช่น เกิดพายุ ฝนตกหนัก และน้ำท่วมอย่างรุนแรง ติดตามด้วยแผ่นดินถล่ม และไฟไหม้ป่าในพื้นที่ต่างๆ ของโลก ในระดับที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
อาหารชะลอความแก่[1]

คอลัมน์ โฟกัสสุขภาพ



You"re what you eat คุณกินอย่างไรคุณก็อย่างนั้น แปลอีกอย่างก็คืออาหารที่คุณกินสะท้อนสุขภาพภายในและภายนอกของคุณ หากกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง ต่อให้ใช้ครีมกระปุกละหมื่นก็คงไม่ช่วยอะไรมาก

ต่อไปนี้เป็นอาหารที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญจากตะวันแนะนำให้รับประทานเพื่อชะลอความแก่ หรือแก่อย่างมีประสิทธิภาพและแข็งแรง อาหารที่ว่านี้ได้แก่ 1.เมล็ดทานตะวัน เพราะว่ามีปริมาณวิตามินอีสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอาหารอื่นๆ ซึ่งวิตามินอีเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้คนเราดูอ่อนเยาว์เนื่องเพราะมีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ 2.ผักโขมและถั่ว เพราะมีสารในการช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวเมื่อเราแก่ อันนี้มีผลการทดลองในผู้ชายและผู้สูงอายุ 400 คนในออสเตรเลียและสวีเดนยืนยัน

3.น้ำองุ่น นอกจากจะช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองแล้ว ยังช่วยรักษาผิวพรรณให้ยืดหยุ่น เพราะว่ามันเต็มไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ 4.มันฝรั่งหวาน การที่เราอยู่กลางแสงแดดมากเกินไป เป็นเหตุให้เราแก่ก่อนวัยอันควร แต่สารเบต้าแคโรทีนในมันฝรั่งหวานรวมทั้งแคร็อท อาจช่วยป้องกันผิวไม่ให้ถูกทำลายจากแสงอุลตร้าไวโอเลต

สุดท้าย ให้กินชีส ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ชีสอุดมด้วยแคลเซียม ดังนั้นจะช่วยให้ฟันฟางของคนแก่แข็งแรง และยังช่วยลดปริมาณแบคทีเรียในปาก ทำให้ปากสะอาด (แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้บอกว่ามันจะทำให้อ้วนด้วยหรือเปล่า)

หน้า 20
วิธีที่ทำให้ลูกสอนตัวเองได้ ๒๔ ชั่วโมง

วิธีที่ทำให้ลูกสอนตัวเองได้ ๒๔ ชั่วโมง[1]

สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งของความเป็นพ่อแม่ก็ คือ เราต้องทำให้ลูกเกิดความรู้สึกยินดีที่จะทำความดีด้วยตัวเอง สอนให้ลูกรู้ถึงผลได้ ผลเสียในสิ่งที่เขากำลังตัดสินใจกระทำ มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป สามารถยับยั้งชั่งใจที่จะไม่ทำในสิ่งไม่ดี แม้ลับหลังพ่อแม่หรือคนอื่นๆ และ

  

สุดท้ายต้องทำให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ที่เขาควบคุมตัวเองให้เป็นคนดีได้ แต่การจะทำให้สิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้นั้น ..

  

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ด้วยการบังคับ การไปกะเกณฑ์ลูก เพราะหากเราบังคับเขาบ่อยๆ สุดท้ายลูกก็จะต่อต้านทุกอย่างที่พ่อแม่หยิบยื่นให้ และซ้ำร้ายไปกว่านั้น ลูกอาจไม่เข้าใจเรา คิดว่าความหวังดีของเรา คือ การไม่รัก การไม่เข้าใจเขาแต่สำหรับครอบครัวของเรา นับว่าโชคดีมากที่ได้มาวัด มาศึกษาธรรมะ จึงทำให้เราเจอทางลัดที่จะสอนให้ลูกดีตั้งแต่เขายังเล็ก ทั้งๆ ที่เราก็เหมือนพ่อแม่ส่วนใหญ่ ที่ไม่ค่อยมีเวลา ต้องโหมงานหนัก บางครั้งเราก็ไม่ได้สอนอะไรลูก ไม่มีเวลาอยู่กับลูกได้ตลอด ๒๔ ชม.

  

ดังนั้นนอกจากการพาลูกไปวัดเป็นประจำแล้ว เราต้องชวนลูกบวชเรียนตั้งแต่เด็ก ให้ได้ โดยเราจะคุยกับลูกว่า ตั้งแต่เล็กพ่อแม่ให้เขาได้แทบทุกเรื่อง พอมาถึงวันนี้ แม่จะขอเขา สักเรื่องให้ทำเพื่อพ่อแม่ คือ ขอให้เขาบวชให้เรา ซึ่งลูกก็ไม่ขัด และยอมเข้าโครงการบวชสามเณรแก้ว ประมาณเดือนครึ่ง ซึ่งเมื่อจบโครงการ ลูกขอบวชต่ออีกนิด เพราะรู้สึกซาบซึ้งและพึงพอใจในชีวิตนักบวช ซึ่งบางครอบครัวอาจจะเห็นว่านานเกินไป

  

แต่การจะให้ลูกซึมซับอะไรดีๆ หรือสร้างนิสัยอะไรดีๆ สักอย่างนั้นต้องใช้เวลา ไม่ใช่แค่หนึ่งอาทิตย์ สองอาทิตย์ เมื่อกลับมาก็ได้ผลเกินคาด คือ ลูกเปลี่ยนไปมาก รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีความ รับผิดชอบในเรื่องส่วนตัวของตัวเอง มีวินัยกับตัวเอง มากขึ้น จากที่เราไม่เคยให้เขาทำงานบ้านอะไรเลย เขากลับสามารถทำงานบ้านเป็น เช่น การขัดห้องน้ำ การซักผ้า หรือทานอาหารได้เรียบร้อย จัดเก็บจานสะอาด คือ พูดง่ายๆ ว่า หากตกระกำลำบากเขาจะสามารถช่วยเหลือตัวเองในเรื่องนี้ได้ ที่สำคัญ พ่อแม่ไม่สามารถอยู่กับเขาได้ตลอดเวลา

  

การที่ ทำให้เขารู้ดี-ชั่ว ถูก-ผิด รู้ว่าการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ไม่ดี สามารถห้ามตัวเองในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่เป็นเด็กวัยรุ่นผู้ชาย อยู่ในวัยอยากรู้อยากลอง แท้ๆ ทำให้เราไม่ต้องห่วงเขา เราภูมิใจมากที่เรามีลูกที่สามารถแยกแยะถูก-ผิด เพราะสิ่งนี้จะประคับประคองชีวิตเขาให้เจอสิ่งที่ดีต่อไป

  

ต้องสอนลูก..เรื่องการแต่งตัว

ยิ่งเรามีลูกสาวคนเดียวด้วยแล้ว เราจะให้ความสำคัญกับตรงนี้มาก สังคมสมัยนี้เรายังยอมรับไม่ค่อยได้ กับการแต่งตัวของเด็กยุคใหม่ เคยเห็นเพื่อนๆ ลูกสาวที่รุ่นราวคราวเดียวกัน คืออายุแค่ ๑๐-๑๑ ขวบ ก็ใส่สายเดี่ยวกันแล้ว แต่งตัวกันถึงขนาดนี้ กลายเป็นแฟชั่นไป แม้บางคนพ่อแม่ไม่ให้ลูกตัวเองใส่ แต่เด็กยุคใหม่ก็จะบอกว่า พ่อแม่เชย ไม่เข้าใจวัยรุ่น

  

แต่สำหรับครอบครัวเรา ก็ยังขออนุรักษ์วัฒนธรรมที่ดีงาม ยังอยากให้ลูกคงไว้ซึ่งสิ่งดีงามของสังคมไทย เพราะที่สำคัญที่สุด พ่อแม่ทุกคนคงไม่อยากให้ลูกสาวได้รับอันตรายจากการแต่งตัว

  

ดังนั้นเราควรกลับมาทบทวนดูใหม่ว่า พ่อแม่ควรปลูกฝังให้ลูกสาวมีดีและภูมิใจในตัวเอง จากการที่เขาเป็นคนเก่งและคนดี หรือควรสอนให้ลูกภูมิใจในตัวเองจากการแต่งตัวโป๊ๆ

  ดังนั้นเรา จะไม่ส่งเสริมให้เขาใส่ หรือซื้อเสื้อผ้าที่โป๊ๆ ให้เขาเลยตั้งแต่เด็ก หรือหากนุ่งผ้าเลยขึ้นมาครึ่งหน้าแข้ง พระพุทธเจ้าสอนว่าเป็นการนุ่งชั่วห่มชั่วแล้ว เราไม่สนับสนุนให้ลูกทำเด็ดขาด โดยเราต้องเป็นต้นแบบให้ลูกก่อน สอนลูกว่าใส่เสื้อผ้าอย่างนี้อันตราย จะใส่ให้เป็นแฟชั่นทันสมัยแค่ไหน แพงแค่ไหน แม่ไม่ว่า แต่ขออย่าให้โป๊ ซึ่งก็ได้ผลค่ะ แม้เพื่อนๆ เขาจะใส่สายเดี่ยวกัน แต่ลูกเราไม่ใส่ และเขาก็มีความภูมิใจที่เขาไม่ทำตามเพื่อน ตามแฟชั่นยั่วยุ อีกทั้งเขาก็ไม่ชอบเสื้อผ้าทำนองนี้เลย   

ต้องนั่งสมาธิสม่ำเสมอ

จะเรียกได้ว่า สมาธิเป็นจุดเปลี่ยนชีวิต ของครอบครัวเราก็ได้ เพราะตั้งแต่หันมานั่งสมาธิ สวดมนต์ รู้สึกว่าชีวิตตัวเองและคนในครอบครัวเปลี่ยนไปมาก คือ เราจะไม่เครียด มีภาวะที่ทำให้จิตใจสงบ เยือกเย็น และที่สำคัญที่สุด บุญจากการนั่งสมาธินี่เอง จะทำให้เราทำเรื่องยากๆ ที่เข้ามาในชีวิตให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ บุญจากการนั่งสมาธิจะทำให้เรามีลูกที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ไม่นำเรื่องร้อนใจมาให้

  

การนั่งสมาธิมีผลมากต่อทุกคน เมื่อพ่อแม่เริ่มต้น ลูกก็จะทำตาม คือเราต้องเป็นต้นแบบให้ลูก แม้ว่าเราจะงานยุ่งมากแค่ไหน ก็ไม่เคยทิ้งการนั่งสมาธิเลย แล้วที่สำคัญเมื่อนั่งสมาธิสม่ำเสมอ ก็ทำให้เรามีประสบการณ์ภายใน ที่ดี สมาธิก็ก้าวหน้า ก็อยากให้พ่อแม่ทุกคนให้ความสำคัญกับสิ่งนี้...

 
นาฬิกาชีวิต[1]  
ต่อมเล็กๆในสมองของมนุษย์คือ จุดควบคุมจังหวะสั่งการให้ร่างกายเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะต่างๆ ทั้งกลางวันและ กลางคืน ฮอร์โมนหลั่งออกมาจากต่อม เป็นศูนย์รวมบัญชาการเหล่านี้ คือเครื่องชี้นำที่เราท่านมีความสุขหรือเป็นทุกข์กังวล
เป็นความจริงที่ควรรับทราบเพราะหากรู้ธรรมชาติตรงนี้ดีแล้ว จะได้แบ่งดูแลควบคุมพฤติกรรมในแต่ละวันของตนได้ เหมือนกับ มีนาฬิกาภายในร่างกายคอยชี้บอกให้ทราบว่าช่วงนี้ จังหวะร่างกายจะมีสภาพอย่างไร ศาสตร์ในเรื่องพฤติกรรมตรงนี้
นักวิทยาศาสตร์เรียกว่าโครโนไบโอโลยี ถ้าหากเรารู้จังหวะ รู้จักระมัดระวังชีวิต ก็จะอยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้ไม่ยาก
06.00 น.
ต้องยอมรับว่า หกโมงเช้าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายตื่นตัวที่สุด
07.00 น.
เหมาะสำหรับเป็นเวลาอาหารเช้า ระบบการย่อยอาหารจะทำงานได้ดีที่สุด สารอาหารแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ จะถูก เปลี่ยนเป็น พลังงานได้อย่างสมบูรณ์
08.00 น.
เป็นช่วงเวลาที่เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวบ่อยที่สุด เพราะเลือดในร่างกายเข้มข้น เลือดมีโอกาสจับตัวอุดตันจนเกิด  อันตรายได้มากกว่าช่วงเวลาอื่น
09.00 น.
สมองส่วนความจำจะทำงานได้ดีมากในช่วงนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องจำ สมองจะรับและบันทึกไว้ได้ดีที่สุด
10.00 น.
ถ้าเป็นไปได้ควรนัดเจรจาเรื่องสัญญากับวิเคราะห์ ด้วยเหตุผลและการพูดจาระหว่างการสนทนาจะออกมาเป็น จุดเด่นในช่วงนี้
11.00 น.
ร่างกายในช่วงที่สามารถให้ประสิทธิภาพได้สูงสุด หัวใจและระบบไหลเวียนของโลหิต ทำงานได้เต็มที่ ช่วงนี้ไม่ว่าจะ เป็นการวิ่งมาราธอนหรือต่อสู้กับสภาพของงาน มนุษย์จะทำได้ดีที่สุด
12.00 น.
จุดหักมาถึงแล้ว สมาธิเริ่มแย่ อุบัติเหตุในการทำงานจะเพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่หยุดพักจะทำให้เกิดความเสียหายตามมาได้
13.00 น.
กระเพาะอาหารเตรียมทำงานของมันด้วยการหลั่งกรดออกมา ต้องหาอะไรรับประทานให้ได้ ไม่งั้นโรคกระเพาะอาหาร จะตะโกนถามหา
14.00 น.
ถ้าหากด้องการประดิดประดอยอะไรเพื่อเซอไพรส์คนรักคนชอบละก็ให้รีบทำซะตอนนี้เพราะเป็นช่วงที่มือไม้ทำงานได้ ประณีตดีที่สุด
15.00 น.
พลังงานแห่งการทำงานกลับมาอีกครั้ง ความจำขึ้นถึงสูงสุดอีกครั้ง ช่วงนี้น่าจะหาโอกาสเข้าพบเจ้านายเพื่อ ขึ้นเงินเดือนได้ ในช่วงนี้จิตใจจะไม่กลัวการเผชิญหน้าใดใด
16.00 น.
มนุษย์จะทนต่อความเจ็บปวดได้ดีที่สุดในชั่วโมงนี้ ถ้าจะไปทำฟันก็เลือกประมาณนี้แหละ ถ้าทำได้ยาชาเข็มนึงจะมีผล พอๆ กับการได้รับ 3 เข็ม เลยทีเดียว
17.00 น.
แรงดันและการไหลเวียนของโลหิตจะเคลื่อนไหวได้ดีมาก เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการเล่นกีฬาออกกำลังกายกล้ามเนื้อ
อยู่ในช่วงที่แข็งแรงที่สุด และเมื่อได้ฝึกอย่างถูกวิธี ก็จะเกิดความแข็งแรงรวดเร็วมาก
18.00 น.
จงระวังขณะขับรถอยู่บนถนน ช่วงนี้ผู้คนจะเหนื่อยเพลียและขาดสมาธิมากกว่าช่วงเวลาชั่วโมงอื่นๆ เป็นช่วงที่เกิด อุบัติเหตุบ่อยครั้งที่สุด
19.00 น.
สมองได้รับเลือดหล่อเลี้ยงมากเพียงพอ เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันในช่วงนี้ จะสามารถแก้ไขให้ลุล่วงดีได้เร็วมาก
20.00 น.
คนเราเริ่มสดชื่นหลังการพักผ่อนที่ต้องกรำงานตลอดทั้งวัน แล้วเป็นช่วงดีสำหรับการพบปะหมู่มิตร ใครที่อยากจะ บอกรัก ขอใครแต่งงานควรจะทำใน ชั่วโมงนี้โอกาสประสบความสำเร็จมีมากที่สุด
21.00 น.
กระเพาะอาหารจะหยุดทำงานพอถึงช่วงเวลานี้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารหนัก เพราะไม่เช่นนั้นก็จะไปครั่งค้าง ในกระเพาะเกิดผลเสียหายตามมา
22.00 น.
ถึงเวลาเข้านอนแล้ว ความดันโลหิตจะลดลงพร้อมๆ กับอุณหภูมิของร่างกายที่ต่ำลง การนอนหลับก่อนเที่ยงคืน เป็นการหลับที่สนิท และช่วยให้การพักผ่อนอย่างเต็มที่มากกว่าช่วงอื่น
23.00 น.
ร่างกายกำลังผ่อนคลาย สมองทำงานน้อยลง ถ้าดูหนังสือ ช่วงนี้วันต่อไปก็จะจำไม่ได้เป็นส่วนใหญ่
24.00 น. ใครที่ยังไม่หลับควรให้โอกาสนี้สำหรับการสร้างสรรค์ จะเป็นงานเขียน วาดรูป หรือแต่งเพลง ล้วนเป็นช่วงเวลาที่ วิเศษทั้งสิ้น เพราะสมองปลอดโปร่งคิดโน่นคิดนี่ได้ดีที่สุด

01.00 น. ถึงตอนที่สมองเหนื่อยล้าที่สุดแล้ว ร่างกายอยากพักผ่อนเต็มที่ แม้จะชาชินกับงานกลางคืนมาเป็นปีแต่พอเข้า ชั่วโมงนี้จะรู้สึกว่าเหนื่อย เพลีย ง่วงที่สุด

02.00 น.
ฮอร์โมนเมลาโตนิน ถูกขับออกมามาก ทำให้คนเราเลื่อนลอยเหนื่อยล้าและมีโอกาสคิดสั้นฆ่าตัวตายมากที่สุด
03.00 น.
ในร่างกายมนุษย์ทุกอย่างแทบจะหยุดนิ่ง ใครที่จุดบุหรี่สูบมีโอกาสหลับทั้งๆ ที่ยังคาบบุหรี่อยู่ในปากนั่นเลยช่วงนี้มีโอกาสไฟไหม้บ้านมาก
04.00 น.
ร่างกายเริ่มตื่นขึ้นมาทำงานอีก เพราะมีฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งใช้ต่อสู้กับความเครียดหลั่งออกมา คนเป็นโรคหืดหอบ จะมีปัญหากับการหายใจ
05.00 น.
ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แก่ทั้งหลายควรตระเตรียมข้าวของให้พร้อมสำหรับชั่วโมงนี้ เพราะตามสถิติเด็กทารกจะคลอด ออกมาลืมตาดูโลกระหว่างชั่วโมงนี้มากที่สุด

อาหารชะลอความแก่[1]

คอลัมน์ โฟกัสสุขภาพ



You"re what you eat คุณกินอย่างไรคุณก็อย่างนั้น แปลอีกอย่างก็คืออาหารที่คุณกินสะท้อนสุขภาพภายในและภายนอกของคุณ หากกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง ต่อให้ใช้ครีมกระปุกละหมื่นก็คงไม่ช่วยอะไรมาก

ต่อไปนี้เป็นอาหารที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญจากตะวันแนะนำให้รับประทานเพื่อชะลอความแก่ หรือแก่อย่างมีประสิทธิภาพและแข็งแรง อาหารที่ว่านี้ได้แก่

  

1.เมล็ดทานตะวัน เพราะว่ามีปริมาณวิตามินอีสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอาหารอื่นๆ ซึ่งวิตามินอีเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้คนเราดูอ่อนเยาว์เนื่องเพราะมีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ

  

2.ผักโขมและถั่ว เพราะมีสารในการช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวเมื่อเราแก่ อันนี้มีผลการทดลองในผู้ชายและผู้สูงอายุ 400 คนในออสเตรเลียและสวีเดนยืนยัน



3.น้ำองุ่น นอกจากจะช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองแล้ว ยังช่วยรักษาผิวพรรณให้ยืดหยุ่น เพราะว่ามันเต็มไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ

  

4.มันฝรั่งหวาน การที่เราอยู่กลางแสงแดดมากเกินไป เป็นเหตุให้เราแก่ก่อนวัยอันควร แต่สารเบต้าแคโรทีนในมันฝรั่งหวานรวมทั้งแคร็อท อาจช่วยป้องกันผิวไม่ให้ถูกทำลายจากแสงอุลตร้าไวโอเลต



สุดท้าย ให้กินชีส ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ชีสอุดมด้วยแคลเซียม ดังนั้นจะช่วยให้ฟันฟางของคนแก่แข็งแรง และยังช่วยลดปริมาณแบคทีเรียในปาก ทำให้ปากสะอาด (แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้บอกว่ามันจะทำให้อ้วนด้วยหรือเปล่า)



หน้า 20
สู่สุขภาวะทางปัญญา[1]

คอลัมน์ จิตวิวัฒน์

โดย พระไพศาล วิสาโล แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)



องค์รวมหมายถึงความเป็นหนึ่งอันเกิดจากความเชื่อมโยงอย่างบรรสานสอดคล้องขององค์ประกอบต่างๆ สิ่งที่ตามมาก็คือคุณภาพใหม่ที่พิเศษไปจากคุณภาพขององค์ประกอบย่อยๆ ทั้งหลาย

ตัวอย่างที่ช่วยให้เห็นคุณสมบัติดังกล่าวชัดเจน ได้แก่ ออกซิเจน และไฮโดรเจน ต่างเอื้อต่อการเกิดไฟ แต่เมื่อมารวมกันเป็นน้ำ ก็ได้คุณภาพใหม่ที่สามารถดับไฟได้ หรือแสงเจ็ดสีเมื่อมารวมกันจะได้แสงสีขาว ซึ่งเป็นสีที่พิเศษไปจากสีทั้งเจ็ด

สุขภาพองค์รวมหมายถึงสุขภาพที่ครอบคลุมทุกมิติของชีวิต เป็นสุขภาวะโดยรวมอันเกิดจากสุขภาวะทางกาย จิต และสังคม ซึ่งต่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ยากที่จะแยกออกจากกันเป็นส่วนๆ หรืออย่างโดดๆ ได้

แนวคิดเรื่องสุขภาพองค์รวม มาจากความคิดพื้นฐานที่ว่า มนุษย์แต่ละคนนั้นประกอบด้วยกายและใจ ขณะเดียวกันก็มิอาจแยกตัวอยู่โดดๆ ได้ หากยังต้องมีความสัมพันธ์กับผู้คน เริ่มจากพ่อแม่ ญาติพี่น้องไปจนถึงผู้คนในสังคม ด้วยเหตุนี้ กายและใจจะต้องสัมพันธ์กันด้วยดี ควบคู่ไปกับความสัมพันธ์ทางสังคม ถึงจะทำให้ชีวิตมีความเจริญงอกงามหรือมีสุขภาพที่ดีได้

การวิจัยตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมาได้ชี้ว่า มีหลายโรคที่เกี่ยวข้องกับจิตใจและความสัมพันธ์กับผู้คน ที่ชัดเจนได้แก่โรคหัวใจ คนที่มักโกรธ เครียดจัด มุ่งมั่นเอาชนะ ไม่ยอมแพ้ มีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าคนที่มีจิตใจผ่อนคลาย

เมื่อปี 2538 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ศึกษาคนไข้โรคหัวใจขาดเลือดจำนวนกว่า 1,600 คน พบว่าคนที่ไม่สามารถควบคุมความโกรธได้ มีอัตราการกำเริบของโรคหัวใจขาดเลือดมากกว่าถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับคนที่มีอารมณ์สงบและสามารถควบคุมตนเองได้

นอกจากนั้นยังมีการค้นพบว่าการจัดการกับความเครียดที่ไม่เหมาะสมเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการตายมากกว่าการสูบบุหรี่เสียอีก

แม้แต่โรคติดเชื้อ ก็มีอิทธิพลของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น ในสกอตแลนด์ มีการพบว่าร้อยละ 65 ของคนที่เป็นวัณโรคเคยประสบเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดจัด ร้อยละ 90 ของเหตุการณ์ณ์ดังกล่าวได้แก่การผิดหวังในความรัก ล้มเหลวในการแต่งงาน เมื่อคนเหล่านี้หายจากโรค ปรากฏว่าคนที่กลับมาเป็นโรคนี้ใหม่ ร้อยละ 75 ประสบเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกข์มาก ส่วนคนที่ไม่เป็นโรคนี้ มีเพียงร้อยละ 12 เท่านั้นที่ผ่านเหตุการณ์อย่างเดียวกัน

ในขณะที่ความเครียดและความวิตกกังวลมีผลในการก่อโรค ความรู้สึกผ่อนคลาย แช่มชื่นเบาสบาย ไร้วิตกกังวล ก็ย่อมช่วยให้สุขภาพดีขึ้น หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้เร็วขึ้น หรือมีอายุยืน

มีการวิจัยเป็นอันมากที่ยืนยันเรื่องนี้ เมื่อปี 2540 ได้มีการศึกษาผู้มีอายุระหว่าง 55-85 ปีจำนวนกว่า 2,800 คนในอเมริกา พบว่าคนที่รู้สึกว่าควบคุมชีวิตตนได้มีอัตราการตายน้อยกว่าคนที่รู้สึกท้อแท้กับชีวิตถึงร้อยละ 60

ส่วนผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มองโลกในแง่ดีหรือสามารถจัดการกับความโกรธได้ดีมีแนวโน้มที่จะอยู่ยืนยาวกว่าผู้ป่วยที่มีความเครียดหรือเก็บกดความโกรธเอาไว้

ความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย นั้นทำได้หลายอย่าง วิธีหนึ่งก็คือการสวดมนต์ ในอเมริกาพบว่าในบรรดาผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดหัวใจนั้น คนที่มีศรัทธาและได้กำลังใจจากศาสนามีอัตราการตายน้อยกว่าคนที่ไม่ได้สนใจศาสนาถึง 1 ใน 3

ส่วนคนที่ไปวัดสม่ำเสมอก็มีอัตราการตายด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่าคนที่ไม่ไปถึงครึ่งหนึ่ง แม้ว่าจะนำเอาพฤติกรรมการสูบบุหรี่และปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคมสุขภาพมาพิจารณาในการวิจัยแล้วก็ตาม

นอกจากจิตใจที่สงบ ผ่อนคลายแล้ว ความสัมพันธ์กับผู้อื่นก็มีผลต่อสุขภาพมาก เคยมีการศึกษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ทั้ง 2 กลุ่มได้รับการศึกษาตามมาตรฐานการแพทย์แผนใหม่ทุกประการ แต่กลุ่มที่หนึ่งนั้นมีการพบปะพูดคุยกันระหว่างคนไข้ และช่วยเหลือกันตามโอกาส โดยทำเช่นนี้สม่ำเสมอสัปดาห์ละ 90 นาที ต่อเนื่องนาน 1 ปี อีกกลุ่มไม่มีกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม

ปรากฏว่าอัตราการอยู่รอดของกลุ่มแรกมากเป็น 2 เท่าของกลุ่มที่สอง

และยังพบอีกว่าในกลุ่มที่สองนั้น เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี ไม่มีผู้ป่วยคนใดมีชีวิตรอดเลย

สภาวะจิตใจและความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้น มีผลต่อร่างกายอย่างมิอาจปฏิเสธได้ การรักษาที่เน้นแต่การเยียวยาร่างกายหรืออวัยวะเฉพาะส่วน แต่ไม่สนใจสภาวะจิตใจของผู้ป่วยหรือความสัมพันธ์ที่เขามีกับผู้อื่น ย่อมเป็นได้แค่การรักษา "โรค" แต่มิใช่การรักษา "คน" ซึ่งในที่สุดแล้วก็มิอาจรักษาโรคได้ด้วยซ้ำ หรือถึงรักษาได้ โรคก็กลับมาใหม่ จะในลักษณะเดิมหรือลักษณะใหม่ก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ในระยะหลังจึงมีการให้ความสำคัญกับมิติด้านจิตใจและสังคมมากขึ้น

แม้กระทั่งในโรงพยาบาลที่ใช้การแพทย์แผนใหม่ โรงพยาบาลเหล่านี้ถึงแม้จะยังใช้วิธีการรักษาร่างกายเฉพาะจุดเฉพาะส่วนเหมือนเดิม แต่ก็เพิ่มการฟื้นฟูบำบัดจิตใจขึ้นมา

หลายแห่งสนับสนุนและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้สวดมนต์ภาวนาตามความเชื่อของตน โดยเปิดห้องสวดมนต์หรือห้องทำสมาธิขึ้นในโรงพยาบาล ไม่ถือว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์อีกต่อไป ผู้บริหารโรงพยาบาลพบว่าวิธีนี้สิ้นเปลืองงบประมาณน้อยกว่าการพึ่งพายาและเทคโนโลยีซึ่งมีราคาแพงขึ้นทุกวัน

แม้ว่าโรงพยาบาลส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะยังคงเน้นการรักษาอวัยวะมากกว่าที่จะสนใจเรื่องจิตใจหรือความรู้สึกผูกพันของผู้ป่วยในฐานะมนุษย์

แต่ประสบการณ์ของแพทย์และพยาบาลจำนวนไม่น้อยก็เป็นหลักฐานยืนยันว่า จิตใจนั้นมีอานุภาพในการเยียวยารักษา

ความเมตตาของหมอและพยาบาลสามารถทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นโดยที่ยังไม่ทันได้ให้ยาเลยด้วยซ้ำ

เซอร์ วิลเลียม ออสเลอร์ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษและอเมริกาเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 เคยกล่าวว่า ผลสำเร็จในการบำบัดรักษาของเขานั้นเป็นเพราะบุคลิกและพฤติกรรมของเขา ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความรู้ทางการแพทย์ของเขาเลย

นายแพทย์วิลเลียม เฮนรี เวลซ์ ซึ่งเป็นคนสำคัญในการบุกเบิกการแพทย์แผนใหม่ในอเมริกาได้พูดถึงบิดาของเขา ซึ่งเป็นหมอเหมือนกันว่า "ทันทีที่ท่านเข้าห้องผู้ป่วย คนป่วยจะรู้สึกดีขึ้นทันที บ่อยครั้งมิใช่เพราะการรักษาของท่าน แต่เป็นเพราะการปรากฏตัวของท่านต่างหากที่รักษาผู้ป่วยให้หายได้"

ศรัทธาในแพทย์และความหวังว่าจะหายเมื่อได้พบแพทย์มีผลอย่างมากต่ออาการทางกายของผู้ป่วย แต่ที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันก็คือบุคลิกที่เปี่ยมด้วยเมตตาของแพทย์และพยาบาล เมตตาจิตนั้นมีพลังอย่างที่เราอาจนึกไม่ถึง

การรักษาด้วยวิธีการที่ต่างไปจากการแพทย์แผนใหม่ อาทิ ชีวจิต ธรรมชาติบำบัด แมคโครไบโอติคส์ หากสามารถเยียวยาผู้ป่วยให้พ้นจากโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง ได้ ก็เพราะให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูสภาวะจิตใจ และการใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ในการเยียวยารักษา โดยทำไปพร้อมกับการฟื้นฟูสมรรถนะของร่างกายทั้งระบบ

แม้ว่าวิธีการเหล่านี้จะไม่สามารถอธิบายให้ละเอียดลงไปถึงระดับเซลล์หรือโมเลกุลอย่างที่การแพทย์แผนใหม่ถนัดก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สำคัญเพราะชีวิตนั้นมีความซับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนหรือเครื่องสแกนสมอง

ดังที่พอล ไวส์ นักชีววิทยาชาวอเมริกันได้กล่าวว่า "ไม่มีปรากฏการณ์ใดๆ ในระบบของสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถอธิบายได้ในระดับโมเลกุล แต่ก็ไม่มีปรากฏการณ์ใดเลยที่อธิบายได้เฉพาะในระดับโมเลกุล"

ความเครียด ความวิตกกังวล ความท้อแท้สิ้นหวัง ในทางพุทธศาสนาจัดว่าเป็นโรคอย่างหนึ่ง คือโรคทางใจ และโรคทางใจนี้มีความหมายรวมไปถึง "ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ ความลวง ความโอ้อวด ความกระด้าง ความแข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่นท่าน ความเมา ความประมาท"

โรคทางใจเหล่านี้ถึงที่สุดแล้วเกิดจากความติดยึดที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ปรารถนาให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจตน เมื่อไม่ได้ดังใจ จึงเกิดโรคเหล่านี้ขึ้นมา

พูดอีกอย่างคือเป็นโรคที่เกิดจากความยึดมั่นในตัวตน โรคทางใจเหล่านี้ท่านพุทธทาสภิกขุเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "โรคทางวิญญาณ"

ในการบำบัดโรคทางใจหรือโรคทางวิญญาณดังกล่าว การทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบ ผ่อนคลาย สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ได้ผลอย่างแท้จริงและยั่งยืน ต้องอาศัยการเปลี่ยนทัศนคติเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องหรือสอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกว่าปัญญา

ปัญญานั้นมีหลายระดับ เริ่มจากการเห็นว่าความเจ็บป่วยนั้นเป็นธรรมดาของชีวิต ความเข้าใจดังกล่าวช่วยให้ยอมรับความเจ็บป่วยได้ โดยใจไม่ทุกข์ทรมานไปกับอาการดังกล่าวมากนัก หรือการเห็นว่าโรคใดๆ ก็ตามไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวต่อโรคนั้น

ความสำเร็จของชีวจิตส่วนหนึ่งอยู่ที่การทำให้ผู้ป่วยเห็นว่ามะเร็งไม่ใช่โรคร้ายที่น่าสะพรึงกลัว แม้จะเป็นมะเร็งหรือมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย เราก็สามารถมีความสุขได้ และอาจสุขยิ่งกว่าตอนก่อนป่วยด้วยซ้ำ

ปัญญาขั้นที่สูงไปกว่านั้นคือ การเห็นว่าไม่มีอะไรที่จะยึดมาเป็นตัวตนได้ แม้แต่ร่างกายก็ไม่ใช่ของเราจริงๆ ปัญญาดังกล่าวช่วยให้ปล่อยวางในร่างกาย และไม่ยึดเอาทุกขเวทนาทางกายมาเป็นของตน

ดังนั้น แม้จะป่วยกายแต่ก็ไม่ป่วยใจ ปัญญาที่ละวางความยึดติดในตัวตนนี้ ช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข และโปร่งเบา ปลอดพ้นจากความเครียด ความโกรธ ความริษยา ความแข่งดี ความถือตัว เป็นต้น

ปัญญาที่พัฒนาเต็มขั้นย่อมทำให้เป็นอิสระจากโรคทางใจได้อย่างสิ้นเชิง สุขภาวะหรือสุขภาพที่เกิดจากปัญญาดังกล่าว อาจเรียกว่าสุขภาวะทางปัญญาก็ได้

หน้า 9
วิเคราะห์นิสัยจากลายมือ[1]
วิเคราะห์นิสัยจากลายมือ[1] 
ส่วนหนึ่งของนิสัยใจคอที่สามารถค้นหาได้ มาจากการสังเกตลายมือ ลองมาดุกันสิว่าลายมือของคุณนั้นบอกอะไรเกี่ยวกับตัวคุณออกมาบ้าง

เขียนตัวตรง
หากคุณเป็นคนที่เขียนหนังสือตัวตรง แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีเหตุผลรอบคอบ ก่อนตัดสินใจทำอะไรมักมีการไตร่ตรองและพิจารณาให้ดีเสียก่อน คุณเป็นคนที่ไม่เอาแต่ใจตัวเอง มักคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่นด้วยเสมอ

ระหว่างคำกว้าง
แสดงว่าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบสุงสิง ยุ่งเกี่ยวเรื่องของคนอื่น คุณถือว่าเรื่องของใครก็ของมัน แต่ถ้าเรื่องฉันก็อย่ามายุ่งก็แล้วกัน เพราะคุณไม่ชอบความวุ่นวาย คุณคิดว่ามากคนก็มากความและคุณก็เกลียดการทะเลาะเบาะแว้งที่สุดด้วย

ระหว่างคำแคบ
แสดงว่าคุณเป็นคนที่ชอบได้พบปะผู้คน ชอบไปงานเลี้ยงสังสรรค์ แสดงหาความอบอุ่นจากผู้คนรอบข้าง และยิ่งหากเขียนตัวหนังสือระหว่างคำแคบมาก ๆ แสดงว่าคุณเป็นคนขี้เหงา กลัวการถูกทอดทิ้ง เรียกว่าอยู่คนเดียวแทบไม่ได้

น้ำหนักมือไม่สม่ำเสมอ
เขียนเส้นหนักบ้างเบาบ้าง บ่อบอกถึงจิตใจที่โลเล ไม่ค่อยอยู่กับร่องรอยเท่าไหร่ บางครั้งก็มีความตั้งใจและมุ่งมั่น แต่บางทีก็เกิดท้อแท้ขึ้นมาซะอย่างงั้น กว่าจะทำอะไรได้สำเร็จก็ต้องใช้เวลานาน

เขียนตัวติดกันเป็นพืด
เรียกว่าแทบจะไม่ยกปากกาเลยทีเดียว บ่งบอกว่าคุณเป็นคนที่ชอบความเปลี่ยนแปลง ชอบลองผิดลองถูกอยู่เสมอ คุณชอบใช้ความคิด มีความคิดอ่านที่รอบคอบจนบางครั้งดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวไปด้วยซ้ำ

เขียนหัวโตๆ
แสดงว่าคุณเป็นคนที่ไม่คิดมากเอาซะเลย คุณไม่ชอบเอาเรื่องหยุมหยิมมาคิด หรือเป็นคนช่างคิดช่างแค้น เวลาโกรธใคร แป๊ปเดียวก็หาย คุณเป็นคนมีเพื่อนมากเพราะเข้ากับใครได้ง่าย คุยเก่งและความที่ไม่เรื่องมากของคุณนั่นแหล่ะ
ข้อมูลจาก หนังสือ จะฟอร์มลึกแค่ไหน อ่านใจได้ง่ายนิ้ด..ด.เดียว
หัวใจพระพุทธศาสนา 3 ประการ
พระพุทธพรในวันมาฆบูชา พ.ศ. 2550[1]



วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เสวยมาฆฤกษ์ เมื่อ 2595 ปีมาแล้วนั้น จัดวันนั้น เป็นวันมาฆบูชา ด้วยสมเด็จพระบรมศาสดาทรงประกาศหัวใจพระพุทธศาสนา 3 ประการ ในท่ามกลางพระอรหันตขีณาสพ 1 พัน 250 รูป เพื่ออัญเชิญไปเป็นหลักในการประกาศพระพุทธศาสนาแก่โลก ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง การทำบุญกุศลทุกประการ และการทำจิตของตนให้ผ่องแผ้วไกลกิเลสทั้งปวง

หัวใจพระพุทธศาสนาก็เปรียบเช่นหัวใจเราท่านทั้งหลาย แม้ปล่อยหัวใจให้มีโรค ร่างกายก็จะเป็นทุกข์ทรมาน จนถึงตายได้ หัวใจพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกันไม่รักษาให้ดีด้วยการทำตาม ที่พระพุทธองค์ทรงสอนก็ย่อมจะก่อให้เกิดความบอบช้ำแสนสาหัส ถึงจบชีวิตพระพุทธศาสนาได้ พร้อมกันนั้นชีวิตของเราท่านทั้งหลายก็จะสิ้นความสวัสดี แม้ไม่อยากให้ชีวิตต้องผ่านพ้นสภาพเช่นนั้น ก็จงเร่งคิดพูดทำให้ได้ดังหัวใจพระพุทธศาสนา เริ่มต้นให้จริง ในวันมาฆบูชานี้เถิด มหามงคลจะเกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย จะสงบลงได้ ด้วยพระพุทธานุภาพแน่นอน

ขออำนวยพร

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

3 มีนาคม พ.ศ. 2550
   

วิกฤต...เยาวชนไทย ใครจะช่วยแก้[1]

 

โดย สุขุม เฉลยทรัพย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต



นอกจากวิกฤตการณ์อันเกิดจากสถานการณ์บ้านเมือง วิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภัยธรรมชาติ หรือน้ำมือมนุษย์ และวิกฤตภาคใต้ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะซึ่งล้วนแต่นำความหวั่นวิตกและทุกข์ใจมาให้พี่น้องประชาชนคนไทยหนักหนาสาหัสอยู่แล้วนั้น ยังมีอีกวิกฤตที่ก่อตัวขึ้นกับเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติที่เราต่างมุ่งหวังให้เขาเหล่านั้นเติบใหญ่เป็นกำลังสำคัญโดยเฉพาะกอบกู้วิกฤตให้ประเทศชาตินั้นพลิกฟื้นคืนสู่ความสงบสุขได้ดังเดิม



วิกฤตเยาวชนนี้ เห็นได้จากประเด็นข่าวสารพัดสารพันที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันอันนอกจากจะสร้างความหนักอกหนักใจให้กับบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครอง ยังส่งผลถึงครูบาอาจารย์ และสถานศึกษาที่ต้องเข้ามาเยียวยาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน



และภายใต้การการดำเนินงานของรัฐบาลชุดนี้ที่เล็งเห็นว่า "การศึกษา" จะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้าง และพัฒนาคน จนกระทั่งสังคมเกิดความเข้มแข็ง สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นสมานฉันท์นั้นจะต้องอาศัย "คุณธรรม" เป็นพื้นฐาน



รวมถึงกรณี "วิกฤตเยาวชน" เช่นกัน เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขสอดรับกับทิศทาง และเป้าหมายการจัดการศึกษาของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่เป็นยุคของการปฏิรูปการศึกษา กระทรวงศึกษาในฐานะตัวแทนภาครัฐได้มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหา

โดยมุ่งเน้นไปที่การนำ "คุณธรรมนำความรู้"

เพื่อให้การแก้ไขปัญหามีการดำเนินการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม สำนักงานเลขานุการสภาการศึกษา (สกศ.) ที่เป็นแกนนำหลักได้ร่วมมือกับ "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ทำการสำรวจความคิดเห็นจากทั้งผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ ผู้ปกครอง และนักเรียนนักศึกษาจากกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่เป็นตัวแทนภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 2,788 คน ในระหว่างวันที่ 10-18 มีนาคม 2550 ที่ผ่านมาต่อประเด็น "วิกฤต!! คุณธรรมเยาวชนไทย" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะแสวงหาแนวทางการแก้ไขวิกฤตคุณธรรมเยาวชนไทยที่เกิดขึ้น

ซึ่งจากการสำรวจครั้งนี้พบว่า พฤติกรรมเยาวชนที่สังคมไทยพึงรับรู้ และตระหนักในประเด็นหลักๆ ได้แก่
 
  • การใช้สินค้าฟุ่มเฟือย ยึดติดกับค่านิยมโดยเฉพาะจากต่างประเทศ 25.21%
  • การแต่งตัวที่โป๊เปลือย ไม่ถูกต้องตามกาลเทศะ 24.83%
  • การมั่วอบายมุขประเภทต่างๆ และติดเกม 20.05%
  • มีอิสระทางความคิด กล้าคิดกล้าแสดงออกมากเกินไป 15.49%และ
  • ก้าวร้าว ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ขาดสัมมาคารวะ 14.43% ฯลฯ ตามลำดับ

ปัญหาการขาดคุณธรรมของเยาวชนไทย มีที่มาจากปัญหาด้านต่างๆ เริ่มจาก "ปัญหาด้านครอบครัว" อันได้แก่
  • เกิดจากการที่ครอบครัวแตกแยก พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน 27.64%
  • พ่อแม่ไม่มีเวลาให้บุตรหลาน 27.42%
  • การใช้ความรุนแรงในครอบครัว 25.21% และ
  • พ่อแม่ไม่ตามใจ 19.73% ฯลฯ ตามลำดับ
ส่วน "ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมนั้น" เกิดจาก
  • ภัยจากสื่อต่างๆ 14.68%
  • สิ่งเสพติด 13.77%
  • การมีความรัก เพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร 13.18%
  • แหล่งมั่วสุม 12.76% และ
  • ค่านิยมเรื่องการใช้สินค้าฟุ่มเฟือย 12.15% ฯลฯ ตามลำดับ
และสุดท้าย "ปัญหาด้านสังคม" พบว่าเกิดจาก
  • การนำเสนอภาพสังคมของสื่อ 20.91%
  • ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมสู่ยุคเทคโนโลยี 20.72%
  • ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม 19.71%
  • ขาดตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติ 19.67% และ
  • ขาดการอบรม สั่งสอน 19.00% ฯลฯ
 นอกจากนี้พบว่าประเด็นปัญหา 5 อันดับแรกของสังคมไทยที่ส่งผลกระทบต่อ "การใช้ชีวิตของเยาวชนไทย"
  • อันดับแรกได้แก่ การที่ครอบครัวขาดความอบอุ่น 11.83%
  • อันดับที่สอง การมีความรัก เพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร 11.43%
  • อันดับต่อมา ภัยจากสื่ออินเตอร์เน็ต 10.73%
  • การเข้าถึงอบายมุขทั้งเหล้า บุหรี่ ยาเสพติดได้ง่าย 10.64% และ

    อันดับสุดท้าย การขาดแบบอย่างที่ดี ไม่มีตัวอย่างที่ดีให้เห็นชัดเจน 10.21% ฯลฯ ตามลำดับ
ในการสำรวจครั้งนี้ เพื่อให้สามารถหาแนวทางการเสริมสร้างคุณธรรมให้กับเยาวชนได้อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นได้ทำการสำรวจถึงคุณธรรมที่ควรเร่งสร้าง และปลูกฝังให้กับเยาวชนไทย พบว่า 10 อันดับแรกประกอบด้วย
  • อันดับที่หนึ่ง ความมีระเบียบวินัย 16.30%
  • อันดับที่สอง ความซื่อสัตย์ 16.02%
  • อันดับต่อมา ความขยันหมั่นเพียร 15.80%
  • ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 15.77%
  • ความสุภาพ มีสัมมาคารวะ 15.47%
  • ความกตัญญู 15.34%
  • ปลูกจิตสำนึกที่ดี 15.24%
  • ความสามัคคี 14.66%
  • ความมีเหตุมีผล 14.37% และ
  • อันดับสุดท้าย การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน 14.06% ฯลฯ ตามลำดับ
สำหรับวิกฤตที่เกิดขึ้นกับเยาวชนขณะนี้พบว่าบุคคลที่มีอิทธิพล และสามารถเป็นแรงจูงใจให้เยาวชนเป็นคนดี มีคุณธรรมมากที่สุดนั้นได้แก่
  • พ่อแม่ผู้ปกครอง 10.17%
  • รองลงมาได้แก่ ครูบาอาจารย์ 8.29%
  • สื่อประเภทต่างๆ ทั้งทีวี วิทยุและอินเตอร์เน็ต 8.11%
 

นอกจากนั้นยังรวมถึงสถานศึกษา เพื่อน ศิลปิน ดารา นักร้อง ญาติพี่น้อง พระภิกษุ ผู้นำชุมชน และผู้นำประเทศตามลำดับ

จากผลของการสำรวจเป็นภาพสะท้อนถึงวิกฤตที่เกิดขึ้นกับเยาวชนไทยได้เป็นอย่างดี ที่แม้ว่าท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านเทคโนโลยี และวัตถุที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเราขณะนี้ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าประเทศอื่นใดในโลก



แต่ในขณะที่ความเจริญก้าวหน้าดังกล่าวที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอีกแง่มุมหนึ่งสภาพสังคมไทยกลับเสื่อมโทรมทรุดหนักมากขึ้นทุกขณะ



โดยเฉพาะการปฏิบัติตัวที่ไม่เหมาะสมของเยาวชน



ดังเห็นได้จากผลสำรวจที่ไม่ว่าจะเป็นการหลงฟุ้งเฟ้อตามค่านิยมต่างๆ โดยเฉพาะจากต่างประเทศเกิดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทั้งในเรื่องเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย หรือการคบหาเพื่อนฝูงที่พากันจับกลุ่มมั่วสุมอบายมุขทั้งเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด และเที่ยวกลางคืน จนถึงพฤติกรรมการแสดงออกที่มักจะก้าวร้าวเกินงาม ไม่มีสัมมาคารวะ ไม่เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่

ผลสำรวจได้ชี้ชัดให้เห็นว่าปมปัญหาเหล่านี้เป็นผลพวงจาก "ความเสื่อมถอย" ของ "สถาบันครอบครัว" อันเกิดจากสภาพสังคมในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน ชิงดีเชิงเด่นเพียงเพื่อ "วัตถุเงินตรา" มาตอบสนองความสุขทางกาย เป็นที่มาของปัญหาครอบครัวเนื่องจากมีเวลาให้กันน้อยลงและสานสัมพันธ์กันทางวัตถุ จนทำให้เกิดปัญหาคุณธรรมขาดหาย ศีลธรรม และจริยธรรมตกต่ำในที่สุด

ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือผู้เกี่ยวข้องอื่นใดก็ตามต้องเยียวยาแก้ไขปัญหาเยาวชนที่ต้นตออย่างยั่งยืน โดยที่มุ่งเน้นไปที่ "สถาบันครอบครัว" ดังที่เห็นจากการสำรวจที่พบว่า "พ่อแม่ผู้ปกครอง" ต้องเป็น "ตัวจักรสำคัญ" ในการดูแลให้ความรักความอบอุ่น กล่อมเกลาจิตใจ อบรมสั่งสอน ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้เยาวชนรู้ผิดชอบชั่วดี จนเกิดมโนธรรม และจริยธรรมที่ดีได้

เนื่องจากเยาวชนที่เป็นบุตรหลานของเราไม่ได้ต้องการเพียงแค่สิ่งปรนเปรอเพียงแค่ "วัตถุเงินทอง" แต่พวกเขาต้องการ "เวลา" และที่สำคัญ "ความรักความอบอุ่น"...ดังนั้นเติมเต็มสิ่งเหล่านี้ เพื่อลดทอน และบรรเทาวิกฤตจนกระทั่งจางหายไปจากสังคมไทยได้สักที..!!
ขาอยู่ไม่สุข"เสี่ยงโรคหัวใจ

ขาอยู่ไม่สุข"เสี่ยงโรคหัวใจ[1]



คอลัมน์ โฟกัสสุขภาพ



ทีมวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยมอนทรีออลของแคนาดา ค้นพบว่า ผู้ที่มีอาการ "ขาอยู่ไม่สุข" หรือที่เรียกว่าโรค "อาร์แอลเอส" (restless legs syndrome) มักมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

โรคอาร์แอลเอสเป็นความผิดปกติของระบบประสาท ซึ่งทำให้คนเรามีแรงกระตุ้นอย่างมากที่จะเคลื่อนไหวขาของตัวเองเป็นระยะๆ โดยไม่สามารถควบคุมได้ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในตอนกลางคืน ซึ่งการเคลื่อนไหวของขาจะเกิดขึ้นทุกๆ 20-40 วินาที

ทีมผู้วิจัยได้ติดตามตรวจสอบความดันเลือดของผู้เป็นโรคอาร์แอลเอส พบว่าในช่วงที่ผู้ป่วยเคลื่อนไหวขา ความดันเลือดของพวกเขาเพิ่มขึ้น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของความดันเลือดนี้ อาจก่ออันตรายแก่ระบบหลอดเลือดและหัวใจ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการรุนแรงและเกิดโรคนี้มาอย่างยาวนาน

อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำให้ความแน่ชัดและประเมินระดับผลกระทบที่มีต่อหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งเพื่อหาหนทางในการรักษา

ประเมินว่าเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีคนเป็นโรคนี้ 12 ล้านคน ซึ่งทำให้มีความยากลำบากในการนอนหลับ โดยพวกเขาจะเกิดความรู้สึกไม่สะดวกสบายในขาของตัวเอง เช่น รู้สึกเหมือนมีแมลงไต่อยู่ในขา, เหมือนขาถูกเผาหรือดึง เป็นต้น ทำให้ต้องเคลื่อนไหวขาเพื่อขจัดความรู้สึกนั้น
พ่อแม่ชั่วคราวบ้านแห่งนี้ยังมีรักรออยู่[1]
 
โดย คม ชัด ลึก วัน อังคาร ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2550 02:01 น.
 
 

หนูไม่เคยน้อยใจหรือโกรธพ่อแม่จริง อย่างน้อยเขายังยอมให้หนูเกิดมา ไม่ทำแท้งตั้งแต่ตอนท้อง ที่สำคัญ ถ้าเขาไม่นำหนูมาไว้สถานสงเคราะห์ หนูคงไม่ได้พบกับแม่สุภาพ และอยู่กับครอบครัวที่มีความสุขมากอย่างในตอนนี้

เศษเสี้ยวส่วนหนึ่งในเบื้องลึกจิตใจ น้องมุก (นามสมมติ) เด็กหญิงวัย 10 ขวบ ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยอาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กหญิงอุดรธานี แต่ตอนนี้เธอมีครอบครัวที่อบอุ่น ครอบครัวที่มอบความรักให้เธออย่างเต็มที่ แม้ไม่ได้ผูกพันทางสายเลือดทว่าผูกพันทางจิตใจ  มุก ถูกส่งเข้าสถานสงเคราะห์เมื่อปี 2542 ขณะเธอมีอายุเพียง 3 ขวบ ด้วยสาเหตุพ่อแม่เลี้ยงดูไม่เหมาะสม ก่อนที่นายชวนและนางสุภาพ พาคะ ครอบครัวชาวนา ที่มีรายได้ปีละ 5 หมื่นบาท จะรับเป็นลูกตามโครงการครอบครัวอุปการะ ของนิคมสร้างตนเองห้วยหลวงในปี 2545 ถึงปัจจุบันมุกอยู่กับครอบครัวนี้มาร่วม 5 ปี  

 

ถึงพ่อแม่จริงจะมารับก็จะไม่ไป จะอยู่กับแม่สุภาพ ตอนนี้ที่ทำเพื่อช่วยเหลือแม่ได้ คือ การเป็นเด็กดี ไม่สร้างความเดือดร้อน ช่วยงานบ้านและทำนา ส่วนอนาคตอยากมีงานทำ แล้วส่งเงินมาให้แม่ใช้ทุกเดือน เป็นการตอบแทนบุญคุณที่แม่กรุณาเลี้ยงหนูมาโดยไม่รังเกียจ น้องมุก กล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น  สิ่งที่ทำให้มุกยืนยันจะอยู่กับครอบครัวนี้ต่อไป เธอบอกว่า เป็นเพราะเธอรักพ่อแม่ พี่ชายและหลาน ทุกคนให้ความรักและเลี้ยงดูเหมือนเธอเป็นลูกจริง ทำให้ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองเป็นคนอื่นนอกจากเป็นคนในครอบครัวจริงๆ  ครอบครัวพาคะ เป็นเพียง 1 ใน 18 ครอบครัวในนิคมสร้างตนเองห้วยหลวง ต.สร้างก่อ อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ที่รับเป็นครอบครัวอุปการะ แน่นอนทุกคนทราบดีว่า พวกเขาเป็นเพียงพ่อแม่ชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องส่งลูกกลับคืนเข้าสู่อ้อมอกครอบครัวที่แท้จริงหรือเมื่อมีคนรับเป็นบุตรบุญธรรม  นางสุพิน ศรศรี วัย 42 ปี อาชีพทำนา แม่ชั่วคราวที่พานพบการจากลูกต่างสายเลือดมาแล้วถึง 3 รุ่น เล่าว่า ตนมีลูกจริง 2 คน เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา เป็นรุ่นแรกที่คิดรับเด็กอุปการะเพราะต้องการเงินค่าช่วยเหลือที่ได้เดือนละ 2,000 บาท เมื่อเลี้ยงจริงกลับพบว่าเงินที่ได้ไม่เพียงพอ เคยคิดจะนำเด็กไปคืน แต่เกิดความผูกพันจนส่งกลับสถานสงเคราะห์ไม่ลง  

 

ซึ่งลูกทั้ง 2 คน ก่อนที่จะรับลูกคนล่าสุดคือน้องพลอย วัย 11 เดือน ที่เกิดจากมารดาตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ก็ต้องจำใจคืนลูกให้พ่อแม่ที่แท้จริงของเด็ก เพราะตนตระหนักอยู่เสมอว่า เราไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แม้จะรักเด็กเหมือนลูกเราจริงๆ แต่เมื่อถึงเวลาก็ต้องคืนให้ตัวจริง ทุกวันนี้ก็ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะเลี้ยงลูกได้ดีกว่า ส่วนตนก็จะเลี้ยงน้องพลอยเหมือนลูกให้ความรักเต็มที่เพื่อรอวันจากลาหากพ่อแม่จริงมารับลูกเขาคืน และคงจะรับเด็กมาอุปการะอีกอย่างแน่นอน แม้จะเคยคิดไม่รับเด็กมาเลี้ยงอีกเกรงทำใจไม่ได้เมื่อต้องแยกจากกันก็ตาม  

 

ทว่า บทบาทของพ่อแม่ชั่วคราวหาได้สิ้นสุดลงที่การลาจากเสมอไปไม่ ความรักความผูกพันที่ก่อเกิดขึ้น ทำให้พ่อแม่บางคนเต็มใจรับลูกชั่วคราวเป็นลูกถาวร ด้วยการจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรม อย่างเช่น ครอบครัวทองภู ที่เลี้ยงดูน้องแก้ว (นามสมมติ) มาตั้งแต่อายุ 3 เดือน กระทั่งปัจจุบันอายุ 7 ขวบ และรับเป็นบุตรบุญธรรมเรียบร้อย  นายทนง ทองภู วัย 53 ปี อาชีพทำนา กล่าวว่า แม้จะมีลูกตัวเองอยู่แล้วถึง 3 คน แต่ทันทีที่รู้ว่ามีโครงการนี้ จึงบอกภรรยาให้สมัครรับเด็กมาเลี้ยง ไปเที่ยวหรือไปที่ไหนก็พาน้องแก้วไปด้วย เลี้ยงเหมือนลูกทุกอย่าง การที่เป็นน้องคนเล็ก ทุกคนในครอบครัวจึงรุมเอาอกเอาใจ เลี้ยงมาขนาดนี้มันเกิดความรักความผูกพัน กลายเป็นลูกจริงคนหนึ่งไปแล้ว ทิ้งไม่ได้หรอก ยิ่งตอนนี้ลูกจริงทั้ง 3 คน ไปทำงานต่างจังหวัดหมด ก็มีแก้วสร้างความครึกครื้นให้ตนกับภรรยา เมื่อรับเป็นลูกแล้วก็จะส่งเสียให้เรียนถึงที่สุด  

 

ที่รับเด็กมาเลี้ยงจนรับเป็นลูกบุญธรรมทั้งที่มีลูกอยู่แล้วถึง 3 คน เพราะสงสารเด็ก ถึงจะยากดีมีจนก็ช่วยเลี้ยงกันไป ถ้าไม่รับเป็นลูกเด็กก็คงต้องกลับไปอยู่สถานสงคราะห์เหมือนเก่า ก็สงสารเขาเคยชินกับครอบครัวที่มีพ่อแม่พี่น้อง หากต้องไปอยู่สถานสงเคราะห์แล้วเขาจะอยู่อย่างไร นึกถึงจิตใจเด็กแล้วก็ทนส่งกลับไม่ได้ นายทนง กล่าวอย่างภาคภูมิและมีความสุข  โครงการครอบครัวอุปการะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มิได้ส่งผลดีในแง่ของการสร้างความอบอุ่น และพัฒนาการที่ดีให้กับเด็กที่เติบโตในครอบครัวแทนสถานสงเคราะห์เท่านั้น

หากยังช่วยคลายเหงาคืนชีวิตชีวายามมีเด็กเล็กอยู่ในบ้านให้กับพ่อแม่อุปการะ ที่ลูกจริงจากบ้านไปทำงานต่างถิ่นด้วย  เหนืออื่นใด นี่เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า สังคมไทยไม่เคยทอดทิ้งกัน

0 พวงชมพู ประเสริฐ 0

ล้อมกรอบ 1

ความแตกต่างระหว่างครอบครัวอุปการะและครอบครัวบุญธรรม  ครอบครัวบุญธรรม มีการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม เด็กจะได้รับสิทธิตามกฎหมายเสมือนบุตรของผู้รับบุตรบุญธรรม มีทั้งการรับบุตรบุญธรรมของชาวไทยและชาวต่างประเทศ ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 3,988 ราย ชาวไทย 3,503 ราย ชาวต่างประเทศ 485 ราย  ครอบครัวอุปการะ เป็นครอบครัวที่รับเด็กจากสถานสงเคราะห์ไปเลี้ยงดูชั่วคราวในระหว่างที่บิดามารดายังไม่พร้อมที่จะรับเด็กกลับไปอุปการะ ได้รับเงินช่วยเหลือเลี้ยงดูรายละ 2,000 บาทต่อคนต่อเดือน จำนวนทั้งสิ้น 407 ราย  

 

ล้อมกรอบ 2 คุณสมบัติของผู้ขออุปการะเด็ก

  1. อายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ และมีอายุแก่กว่าเด็กไม่น้อยกว่า 15 ปี
  2. มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง มีสภาพแวดล้อมที่ดี
  3. มีอุปนิสัยและความประพฤติเหมาะสม
  4. มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ
  5. มีเจตนาที่จะให้การอุปการะเด็ก ไม่เคยเลี้ยงดูเด็กอย่างไม่เหมาะสมและพร้อมปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
  6. มีเวลาเลี้ยงดูเด็ก และได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกทุกคนในครอบครัว มีอาชีพและรายได้ที่แน่นอน
  7. ไม่มีประวัติเคยกระทำผิดตามกฎหมายอาญาจนได้รับโทษจำคุก และไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงต่อผู้อื่น หรือประพฤติผิดศีลธรรม เป็นผู้ที่มีความเข้าใจเกี่ยวักบวิธีการเลี้ยงดูเด็ก จิตวิทยาเด็กและพัฒนาการเด็ก
 ยื่นหลักฐานได้ที่สถานสงเคราะห์เด็ก หรือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทั่วประเทศ จากนั้นจะมีการตั้งคณะกรรมการคัดเลือกครอบครัว และจะมีการติดตามผลทุก 3 เดือน  ป.ล.เบรอหน้าเด็กทุกคนในรูป
อาหารสมองของสาวทำงาน
อาหารสมองของสาวทำงาน[1]ทำงานหนักเกินไปสมองก็ล้าได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคุณสาวๆอย่ามัวแต่บำรุงหน้าตาด้วยเครื่องสำอางแต่เพียงอย่างเดียว ลองหันมารับประทานอาหารบำรุงสมองกันหน่อยดีกว่า

โดย สุดสัปดาห์ เล่มล่าสุดนำมาเล่าไว้ว่า ถ้าอยากเพิ่มพลังให้สมอง อย่างแรกต้องทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ อย่างดมื้อเช้าเด็ดขาด โดยเมนูแนะนำสำหรับมื้อนี้คือ ไข่ดาวน้ำ กับขนมปังธัญพืชปิ้ง 1 แผ่น ตามด้วยน้ำส้มคั้นสด 1 แก้ว ส่วนมื้อกลางวัน ลองสลัดไก่ย่างโรยด้วยเมล็ดธัญพืชราดน้ำมันมะกอก และแต่งหน้าด้วยมะนาว สำหรับมือเย็น แค่โยเกิร์ตไขมันต่ำถ้วยเล็กๆ พร้อมเมล็ดธัญพืช 1 ช้อนชาก็พอแล้ว แต่ถ้าต้องทำงานจนดึกดื่น ให้ข้าวซ้อมมือกับปลาแซลมอนย่าง และผักนึ่ง เป็นเมนูอาหารเย็นของคุณเถิด

ทานอาหารดีๆ แล้วก็อย่าลืมทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอด้วยล่ะ
ทำยังไงดี? หากโลกนี้ ไม่มีความปลอดภัย
ทำยังไงดี?

หากโลกนี้ ไม่มีความปลอดภัย?[1]

 

ข่าวสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เทค ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว มีนักจิตวิทยาในสหรัฐอเมริกาได้ออกมาให้ความเห็นว่า เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ ซึ่งถือได้ว่า เป็นการสังหารหมู่ครั้งรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในสถาบันศึกษาของสหรัฐอเมริกา โดยทำให้มีนักศึกษา รวมทั้งอาจารย์เสียชีวิตถึง 32 คน ก่อนที่ นายโช ซึง ฮุย มือปืน ซึ่งเป็นนักศึกษาเกาหลีใต้วัย 23 ปี และเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 เอกวิชาภาษาอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จะยิงตัวตายว่า สามารถส่งผลกระทบต่อผู้คนในวงกว้างกว่าที่หลายคนคิด



ทั้งยังอาจกลายเป็น "บาดแผลทางใจ" ที่อาจทำให้ใครบางคนรู้สึกหวาดผวาไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ ทั้งนี้เพราะ นี่เป็นเหตุการณ์รุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ที่ยิ่ง "ตอกย้ำ" ให้ผู้คนรู้สึกว่า โลกเราทุกวันนี้ ไม่มีความปลอดภัย และไม่ใช่แค่ ครอบครัว ญาติพี่น้องของเหยื่อกระสุนนายโชเท่านั้นที่จะเศร้าโศกเสียใจ และหวาดผวา



แต่แม้กระทั่ง ผู้คนที่นั่งติดตามข่าวนี้หน้าจอทีวี ต่างก็ได้รับผลกระทบนี้ไปตามๆ กัน โดยเฉพาะ ความรู้สึกถึง "ความไม่ปลอดภัยในชีวิต" จากเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไหนจะอันตรายจากภัยก่อการร้าย แล้วยังเหตุการณ์รุนแรงเหนือความคาดหมาย ที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ไม่รู้ อย่างเช่น เหตุการณ์สังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เทค เป็นต้น



"เหตุผลหนึ่ง ที่ฉันบอกว่า เหตุการณ์ทำนองนี้สามารถส่งผลกระทบต่อผู้คนวงกว้างมากๆ ก็เพราะ มันทำให้คนหมดความเชื่อมั่นว่า โลกนี้ยังมีความปลอดภัย คุณลองคิดดูสิว่า ที่พ่อแม่ยอมให้ลูกๆ ไปโรงเรียน ก็เพราะเชื่อว่า นี่เป็นสถานที่ปลอดภัย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้ หลายครั้งเข้า มันก็สั่นคลอนความรู้สึกของคนเราได้มากเอาการ" เมลิสสา บีร์เมอร์ ผู้อำนวยการศูนย์ UCLA-Duke National Center for Child Traumatic Stress ของมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ ผู้เชี่ยวชาญดูแลรักษาเด็กที่ได้รับผลกระทบ หรือเกิดอาการเครียด หวาดกลัว หลังจากผ่านเหตุการณ์ก่อการร้ายหรือเหตุการณ์รุนแรงอันน่าสะพรึงกลัวให้ความเห็น



ทั้งยังว่า "ขณะที่เราพุ่งความสนใจไปที่คนตาย คนที่บาดเจ็บ แต่ที่จริงยังมีคนอีกกลุ่มใหญ่ ทั้งนักศึกษา และเจ้าหน้าที่ ครูอาจารย์ที่ต่างได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้"



ทั้งนี้ เมลิสสา ยังได้พูดถึงกลุ่มคนที่ "รอดตาย" จากกระสุนปืนของนายโชมาได้ว่า เป็นกลุ่มคนที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะคนกลุ่มนี้จะต้องเผชิญกับความรู้สึกสับสนใหญ่ๆ 2 อย่าง นั่นก็คือ ความรู้สึกหมดความเชื่อมั่นว่า โลกนี้ยังมีความปลอดภัย แล้วยังอาจเกิดความรู้สึกผิดติดค้างอยู่ในใจว่า ทำไมตัวเองถึงรอดตายมาได้ ขณะที่เพื่อนๆ ต้องตายไป?



แต่ที่ "น่ากลัว" กว่านั้นก็คือ สิ่งที่เมลิสสา บอกว่า คนที่รอดตายจากเหตุการณ์สยองขวัญแบบนี้ อาจจะต้องต่อสู้กับความรู้สึกหวาดผวาไปตลอดชีวิต โดยเธอได้ยกตัวอย่างถึง เด็กหลายคนที่เคยผ่านเหตุการณ์น่ากลัวแบบนี้ว่า ทุกวันนี้แค่ได้ยินถุงพลาสติคแตก เด็กเหล่านั้นก็ยังสะดุ้งตกใจ เพราะคิดไปว่า เป็นเสียงกระสุนปืน!!!



นอกจากนั้นเธอยังเล่าว่า ข่าวสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เทค ทำให้เธอได้รับโทรศัพท์จากอดีตคนไข้ของเธอหลายคนที่เคยได้รับบาดเจ็บมาจากเหตุการณ์ยิงกันที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนียกว่า 6 ปีมาแล้ว ที่เกิดความกลัว รู้สึกไม่สบายใจ จนต้องโทร.มาขอคำปรึกษาจากเธออีกครั้ง!!!



ขณะที่นักจิตวิทยาบอกว่า ในห้วงเวลาอันยากลำบากที่ครอบครัวของเหยื่อผู้เสียชีวิต จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ เพื่อรับมือกับความโศกเศร้าจากการสูญเสีย ส่วนคนที่รอดตายจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญแบบนี้มาได้ก็ต้องต่อสู้ เพื่อจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติให้เร็วที่สุด และส่วนใหญ่ประมาณ 70-80% ก็จะสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสามารถทำงาน และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ด้วยวิธีรักษาทางจิตวิทยาที่ใช้กันทั่วไป โดยพยายามทำให้คนไข้กลับมาเชื่อมั่นว่า เขาอยู่ในที่ปลอดภัย และเหตุการณ์เลวร้ายแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก


แต่ นายดัก แซตซิค อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ก็บอกว่า ทุกวันนี้ยังมีคนไข้บางคน ที่ใช้วิธีรักษาแบบนั้นไม่ได้ผล ทำให้วงการจิตวิทยากำลังทดลองหาวิธีรักษาแบบใหม่ๆ อย่างเช่น นำหลักการทำสมาธิ อาทิเทคนิคการฝึกสูดลมหายใจยาวๆ มาใช้ด้วย หรือการบอกให้คนไข้ยอมรับสถานการณ์ในปัจจุบันว่า ภัยอันตรายมันมีอยู่จริงๆ นั่นแหละ แต่ถึงยังไงคนเราก็จะต้องฟันฝ่าไปให้ได้


อย่างไรก็ตาม โรบิน เกอร์วิทช์ นักจิตวิทยาอีกท่าน ก็ได้พูดถึง "ด้านบวก" ที่ผู้คนควรจะฉวยโอกาสพลิกเรื่องร้ายๆ อย่างนี้ให้เป็นโอกาส อย่างเช่น "ผมว่านี่เป็นช่วงเวลาเหมาะที่ครอบครัวน่าจะได้หันหน้ามาคุยกัน พ่อแม่น่าจะได้พูดคุยกับลูกๆ ว่า พวกเขารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ได้ฟังมา และคิดว่ายังไง เพราะเป็นสิ่งสำคัญมากที่เด็กๆ ควรรู้สึกมั่นใจว่า พวกเขาสามารถพูดคุยเรื่องความปลอดภัยกับพ่อแม่ได้ ขณะที่โรงเรียนก็ควรใช้โอกาสนี้มาทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนว่ามีอะไรต้องแก้ไข ปรับปรุง และที่ขาดไม่ได้ก็คือ การพูดคุยกับนักเรียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อช่วยดึงให้นักเรียนกลับสู่สภาพการใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วที่สุด"
ศาลแรงงานเผย คดีปี 2549 ต่ำสุดในรอบ 10 ปี

ศาลแรงงานเผยคดีปี"49ต่ำสุดในรอบ10ปี[1]



เมื่อวันที่ 22 เมษายน น.ส.อรุณี วีระรัศมี อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง เปิดเผยสถิติคดีแรงงานในปี 2549 ที่ผ่านมาว่า มีสถิติต่ำสุดในรอบ 10 ปี โดยมีเพียง 9,183 คดี ส่วนใหญ่เป็นคดีที่ฝ่ายลูกจ้างฟ้องนายจ้างรวม 7,660 คดี

 อันดับ 1 ฟ้องเรียกค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 2 ฟ้องเรียกค่าจ้างค้างจ่าย ส่วนที่นายจ้างยื่นฟ้องลูกจ้างส่วนมากเป็นคดีฟ้องเรียกค่าเสียหาย เช่น ยักยอกทรัพย์และลักทรัพย์นายจ้าง 920 คดี และในวันที่ 23 เมษายนนี้ ศาลแรงงานกลางจะมีอายุครบ 27 ปี และมีนโยบายเผยแพร่ความรู้กฎหมายแรงงานออกไปให้กว้างขึ้น จึงเชิญนักศึกษา 15 สถาบัน เข้าร่วมแข่งขันตอบปัญหากฎหมาย ในเวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 7 อาคาร 1 ศาลแรงงานกลาง ถนนพระราม 4 พร้อมประสานศาลแรงงานภาค 1-9 เป็นเครือข่ายในการเผยแพร่ความรู้ให้แก่สถานประกอบการภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เชื่อมั่นว่าจะสามารถลดข้อพิพาทแรงงานได้อย่างมาก และทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างอย่างมีประสิทธิภาพ
อายุ 120 ปี ทำไมจะทำไม่ได้

นพ.เฉก ธนะสิริ อายุ 120 ปี ทำไมจะทำไม่ได้[1]





แม้การ "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การมีชีวิตที่ยืนยาวก็เป็นความปรารถนาของทุกชีวิต

 

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากที่ใครจะทำได้

แต่สำหรับ "นพ.เฉก ธนะสิริ" ประธานมูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์ไทยเดิม และประธานกิตติมศักดิ์ชมรมอยู่ 100 ปี-ชีวีเป็นสุข กล้าที่จะประกาศตน ตั้งแต่เมื่อประมาณ 15 ปีที่ผ่านมาว่า "ผมจะอยู่ให้ได้ถึง 120 ปี"


ที่กล้าประกาศตัวเช่นนี้ เป็นเพราะ นพ.เฉกได้ปฏิบัติตัวค่อนข้างเคร่งครัด ในเรื่องการออกกำลังกาย เปลี่ยนแปลงอาหารที่กินและบริหารจิต และศึกษาเรื่องนี้ทั้งศาสตร์ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกมามากพอสมควร จึงเห็นว่าการอยู่ดีชีวีมีสุขถึง 120 ปี เป็นเรื่องที่เป็นไปได้


เรื่องการจะมีอายุยืนยาวถึง 120 ปีนี้ ในประเทศไทย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นท่านแรกในประเทศไทยที่สนใจศึกษาหาความรู้ ในเรื่องนี้ท่านได้เขียนบทความชื่อ "วิธีทำให้อายุยืน 120 ปี" เพราะท่านเป็นคนไทยคนแรกๆ ที่นอกจากจะสนใจในเรื่องนี้แล้ว ยังได้เดินทางไปเข้าหลักสูตรกับ ดร.อาชลาน เพื่อปฏิบัติให้มีอายุยืนยาวแข็งแรงไม่มีโรคภัย ณ ประเทศโรมาเนีย


"ผมเองก็เคยเดินทางไปศึกษาหาความรู้ที่โรมาเนียด้วย นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2547 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ตรัสต่อข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จฯ เพื่อถวายพระพรในวันเฉลิมพระชนมพรรษาว่า พระองค์ท่านตั้งพระทัยที่จะทรงมีพระชนมพรรษาถึง 120 ปี ซึ่งปัจจุบันนี้พระองค์ท่านทรงมีพระชนมพรรษา 79 พรรษาเต็ม กำลังย่างเข้าปีที่ 80 อานาประชาราษฎร์ต่างแซ่ซ้องสาธุการ อยากให้พระองค์ท่านทรงบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้ทรงตั้งพระราชหฤทัย"


การศึกษาเรื่องอายุยืนยาวนี้ มีทั้งในซีกโลกฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก ซึ่งฝากฝั่งนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ตะวันตกได้ศึกษาพบว่า คนจะมีชีวิตยืนยาวมีหลักใหญ่ 3 ประการ กล่าวคือ พันธุกรรม 30% พฤติกรรม มีความสำคัญมาก 60% ส่วนปัจจัยสิ่งแวดล้อมรอบด้านคือ ปัจจัยทางครอบครัวและสิ่งแวดล้อม เช่น ดินฟ้าอากาศ มีผลเพียง 10% แต่ในแนวทางตะวันออก โดยเฉพาะหลักพุทธศาสนาให้ความสำคัญ กับ "บุญกรรม" และ "บาปกรรม" ที่กระทำจะเป็นตัวแปรสำคัญอย่างยิ่ง แต่แนวความคิดในเรื่อง "กรรม" ตะวันตกไม่ได้กล่าวถึงเลย เพราะไม่เข้าใจ ดังนั้น "วัตรปฏิบัติ" จะต้องประกอบด้วย ทาน ศีล และภาวนา



นพ.เฉก ได้ศึกษาเปรียบเทียบพระราชวงศ์ที่พระชนมายุใกล้เคียงกัน 2 ราชวงศ์ คือราชวงศ์อังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธ พระชนมายุแก่กว่าพระเจ้าอยู่หัวประมาณ 1 ปี พระราชชนนีของพระนางเจ้าสวรรคต เมื่อ 102 ปี พระราชชนนีของพระเจ้าอยู่หัวสวรรคต เมื่อ 93 ปี (หมายถึงพันธุกรรม)


"เมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา ผมเคยได้ยินคนไทยที่เคยศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษนานพอที่จะรู้ตื้นลึกหนาบางของราชวงศ์ของอังกฤษกล่าวว่า พระราชินี และพระราชวงศ์อังกฤษไม่ได้ใช้แพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังดูแลรักษาสุขภาพ หากแต่ใช้ "หมอผี" ดูแลรักษา ผมแปลกใจมากจนกระทั่ง พ.ศ.2534 ผมได้เดินทางไปเยี่ยมบุตรสาวที่ประเทศอังกฤษ เขาได้พาผมไปเที่ยวเมืองเคมบริดจ์ ซึ่งจะต้องผ่านเมืองเล็กๆ ชื่อ Heddingham มีปราสาทเก่าแก่ 800 ปี จึงขึ้นไปดูปราสาทเก่า ได้พบหนังสือวางขายชื่อ "The Patient Not The Cure" (คนไข้ทำให้โรคหายไม่ใช่หมอ) คนเขียนเป็น แพทย์ประจำพระราชวงศ์อังกฤษถึง 4 ชั่วอายุ นับตั้งแต่พระราชชนนีจนถึงพระราชปนัดดา ชื่อ Dr.Margery G.Blackie (ล่วงลับไปนานแล้ว) ท่านเป็นแพทย์ที่จบแพทยศาสตร์ แต่เรียนและปฏิบัติรักษาแบบทางเลือกด้วยวิธีใช้พิษถอนพิษ (Homoeopathy) คือใช้หลักการรักษาและดูแลสุขภาพตามหลักให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นเอง เพื่อสู้กับเชื้อโรค คล้ายวิธี ปลูกฝี หรือฉีดวัคซีน แพทย์สาขานี้ จะไม่ยอมใช้ยาที่เป็นสารเคมีอย่างเด็ดขาด มักจะใช้สมุนไพร ถ้าจำเป็นในรูปของทิงเจอร์ต่างๆ ซึ่งแพทย์แบบนี้มีจำนวนน้อยมากๆ"


จึงไม่แปลกอะไรที่หนังสือของ "หมอผี" ของราชตระกูลประเทศอังกฤษ จึงไม่ได้ระบุถึงการป่วยเจ็บของราชวงศ์อังกฤษทั้ง 4 ชั่วอายุ สมเด็จพระราชชนนีก็สวรรคตโดยไม่มีโรคและไม่ต้องใช้ยาในการรักษา สมมุติว่าถ้าไม่ทรงอ้วน นพ.เฉกเชื่อว่าจะทรงมีพระชนมายุถึง 110 ปี ได้สบายๆ


นพ.เฉก เล่าถึงเรื่องบังเอิญที่สหรัฐอเมริกาก็มี "หมอผี" ชื่อ Dr..Andrew Weil เขียนหนังสือขายดีมากหลายเล่ม เล่มหนึ่งชื่อ "Spontaneous Healing" แปลเป็นภาษาไทยชื่อ "พลังบำบัด ร่างกายคุณรักษาตัวเองได้" พิมพ์ถึง 4 ครั้งแล้ว



"หมอผีอเมริกาผู้นี้สำเร็จวิชาแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ใช้วิธีรักษาคนไข้ที่ป่วยจากโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค เช่น เบาหวาน ความดัน ข้ออักเสบ หัวใจ และหลอดเลือดตีบสมองเสื่อม อ่อนเปลี้ยเพลียแรง โดยไม่ใช้ยา แต่จะให้คนไข้ที่มารักษากับเขาทิ้งยาที่เคยกินทั้งหมด แล้วให้ปฏิบัติตามที่เขาแนะนำอย่างเคร่งครัดด้วยการกินอาหารออกกำลังกายตามความเหมาะสมแต่ละคน และที่สำคัญยิ่ง เขาให้คนไข้นั่งสมาธิ เป็นประจำ 10 วัน เท่านั้น อาการเริ่มเห็นผลเป็นที่น่าพอใจมาก"


ในเมื่อมี "หมอผี" ที่ประเทศอังกฤษแล้ว ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ก็มี "หมอเทวดา" ได้เช่นกัน


เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2537 นพ.เฉกได้เดินทางไปสังเกตการณ์และดูงานการแพทย์สาขาใหม่ คือ Bio-Molecular-cell therapy และ Rejuvunation Therapy คือการใช้เซลล์ของแกะรักษาโรคที่เป็นกับอวัยวะใดก็ใช้อวัยวะของแกะอวัยวะนั้นรักษา คือตับรักษาตับ ไตรักษาไต และใช้เซลล์ทำให้เป็นหนุ่มสาวกระชุ่มกระชวยอายุยืนยาว


นพ.เฉก มีโอกาสไปดูที่สถานพยาบาลของ Dr.S.Brock ที่เมือง Lingrguiss,Munchen ประเทศเยอรมนี โดย อ.พรรณทิพา วัชโรบล ผู้ซึ่งศึกษาวิชานี้เป็นผู้นำไปพบว่าสถาบันแห่งนี้ในอดีตมีบุคคลสำคัญของโลกเคยเดินทางมาชุบตัว เพื่อให้เป็นหนุ่มเป็นสาว บ้างก็มารักษาโรค อาทิ จักรพรรดิฮิโรฮิโต ชาลี แชปปลิน โป๊ป องค์ก่อนๆ อดีตประธานาธิบดีเยอรมนีและเซอร์วินสตัน เชอร์ชิล เป็นต้น ประเทศเยอรมนีดำเนินการศึกษาค้นคว้ามานานนับ 70-80 ปีมาแล้ว ประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่งจะมาตื่นเต้นเมื่อไม่เกิน 20 ปีมานี้เอง เรื่องการบำบัดรักษาและการยืดอายุให้ยืนยาวนี้ในอนาคต วิชา Cell Therapy จะมีบทบาทอย่างสูง หากแต่ค่ารักษาแพงมากๆ อย่างไรก็ดี วงการแพทย์ของประเทศไทยได้อาศัยการแพทย์ของสหรัฐอเมริกาเป็นหลักเกณฑ์ จึงยากที่จะเข้าใจหลักเกณฑ์การแพทย์เยอรมนี


จากการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง นพ.เฉกระบุว่า สำหรับคนที่ต้องการมีอายุยืนยาวอย่างมีพฤฒิพลังถึง 120 ปี นั้นจะต้องปฏิบัติให้ได้ 5 ข้อ ต่อไปนี้


1.ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ หนักเบาตามอายุ แต่การออกกำลังต้องให้ได้ออกซิเจนสม่ำเสมอ คือเพื่อให้เกิด พลังชีวิต หรือพลังแอโรบิคไปจนตายนั้น คือ ใช้หลักที่ว่า อยากมีแรงต้องออกแรง หรือต้องทำงานกลางแจ้งจนตลอดชีวิต


2.ต้องกินอาหารธรรมชาติ คือพืชพรรณธัญญาหาร เช่น แป้งเชิงซ้อนได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด เผือก มัน และผลไม้ และผักหลากสี หลากรส ลดเนื้อสัตว์ 4 เท้า และ 2 เท้า วันหนึ่งกิน 2 มื้อ ก็พอแล้ว งดหรือลดมื้อเย็นใช้หลักที่ว่า กินน้อย-ตายยาก กินมาก-ตายเร็ว อาหารอายุสั้น เช่น ผักสด ผลไม้สด ทำให้อายุยืน อาหารอายุยืน เช่น กระป๋อง ซอง แฮม ไส้กรอก กุนเชียง ทำให้อายุสั้น


3.ต้องดื่มน้ำสะอาด น้ำเปล่าๆ วันละ 10-12 แก้ว


4.ต้องพักผ่อนนอนให้หลับสนิท ภูมิต้านทานในตัวจะสูงมาก เชื้อโรคแพ้ราบคาบและทำจิตใจให้สงบเป็นสมาธิ ไม่สร้างปัญหาชีวิตให้แก่ตน ครอบครัวและสังคม หากเป็นไปได้ให้ฝึกเจริญสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน เป็นนิจศีล ดำเนินชีวิตทุกๆ อย่างด้วย ไตรสิกขา คือศีล-สมาธิ-ปัญญา จงมั่นใจว่า การฝึกจิตให้นิ่งเป็นจิตที่มีพลังสูง



5.หมั่นสร้างแต่กรรมดี สร้างบุญสร้างกุศล ละเว้นความชั่วทุกชนิด และตั้งโปรแกรมจิตของตนทุกวันเวลาที่จะมีชีวิตยืนยาว 120 ปี อย่างมีคุณภาพ โดยพิจารณาให้เห็นชัดว่าร่างกาย คือฮาร์ดแวร์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะต้องดูแลระมัดระวังให้ทำหน้าที่อย่างดีอยู่เสมอ ส่วนโปรแกรมที่จะป้อนเข้าไป เพื่อให้ได้ข้อมูลนั้นก็คือ "จิต" ของเรานั้นเอง การจะตั้งใจให้ผลออกมาดีนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าให้ใช้หลัก อิทธิบาท 4 หมายถึง สิ่งที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ 4 อย่าง คือฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา



นอกจากนั้น การจะใช้อาหารเสริม วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งการใช้เซลล์บำบัดจึงกลายเป็นเรื่องรองลงไปจากการปฏิบัติตัวด้วยตนเอง ทั้งหมดนี้เป็นคำแนะนำจาก นพ.เฉก "หมอผี" ของประเทศไทย
ลูกฉลาดได้ด้วยสองมือแม่

ลูกฉลาดได้ด้วยสองมือแม่[1]

  

ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา เห็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยเข้าคอร์สทำกิจกรรมหลากหลายไม่น่าแปลกใจ เพราะพ่อแม่สมัยใหม่อยากให้ลูกเป็นเด็กฉลาด ซึ่งอีกมุมมองหนึ่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกลับเตือนว่า อาจทำให้เด็กอยู่ในภาวะกดดันโดยไม่รู้ตัว



เรื่องนี้ได้รับการบอกเล่าในงานเสวนาเรื่อง "ลูกน้อยฉลาดได้ด้วยสองมือแม่" เปิดโครงการ "เบบี้มายด์ คลับ" จาก พญ.อดิศร์สุดา เฟื่องฟู กุมารแพทย์สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ มหาราชินีว่า พ่อแม่ต้องการให้ลูกฉลาดทุกคน แต่ความฉลาดประกอบไปด้วย 2 คือ กรรมพันธุ์และการเลี้ยงดู

 
สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ความฉลาดมี 8 ด้าน คือ
  1. ด้านภาษา การพูด อ่าน ฟัง
  2. ด้านตรรกะ คิดการคำนวณ
  3. ด้านนิติสัมพันธ์ สามารถมองรูปเลขาคณิต แบบแปลนหาส่วนที่หายไป
  4. ด้านกีฬา ความสัมพันธ์ด้านกล้ามเนื้อ
  5. ด้านดนตรี
  6. เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
  7. ด้านการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
  8. ความฉลาดเกี่ยวกับธรรมชาติ สนใจก้อนกรวด ดิน ทราย เป็นพิเศษ

 

กุมารแพทย์บอกอีกว่า ในช่วงอายุ 0-3 ปี ไม่ควรคาดหวังอะไรกับลูกมากนัก ปล่อยให้เด็กมีพัฒนาการของตนเอง ได้เล่นได้เลือกที่จะทำตามวัยและมองหาจุดเด่นให้เจอด้านใด ด้านหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเก่งทั้ง 8 ด้าน เพียงแต่ถ้าพบแล้วว่าเด็กมีความสนใจด้านใดแล้ว ควรจะนำเด็กไปเล่นอย่างอื่น เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการคิดของเด็กให้มากขึ้น เช่น เด็กชอบฟังนิทาน ก็ชวนเด็กมาปั้นดินน้ำมันเกี่ยวกับสัตว์ที่เล่าถึง เป็นการทำกิจกรรมต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำจาก พญ.อดิศร์สุดา ถึงกรณีที่เด็กมีพฤติกรรมชอบทำร้ายทุบตีคนรอบข้างด้วยว่า ต้องสังเกตก่อนว่าเด็กตีเพราะอะไร อาจต้องการเล่นด้วย แล้วพ่อแม่คิดว่าลูกทำร้าย ก็ต้องสอนลูกว่าหากต้องการเล่นกับเพื่อนควรสะกิด แต่หากเด็กโกรธต้องการระบายกับคนอื่นก็เป็นไปได้ เนื่องจากเด็กวัยนี้ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีนัก เด็กที่มีทักษะการควบคุมอารมณ์ได้ดีต้อง 5 ปีขึ้นไป ฉะนั้นพ่อแม่ควรพูดตักเตือนในเบื้องต้นหากไม่ฟัง ควรมีการลงโทษ และสอนให้เด็กรู้จักระบายอารมณ์โกรธด้วยวิธีอื่น เช่น การขยำกระดาษแล้วปาทิ้ง หรือพ่อแม่อาจจะพับดาวไว้ในโหลสัก 10 ดวง หากเด็กทุบตี 1 หรือ 2 ครั้ง ก็ให้เอาดาวออกจากโหล หากดาวออกหมดก็จะถูกลงโทษ แต่ถ้าดาวอยู่ครบ หรือให้เหลือมากที่สุดควรจะให้รางวัล เป็นต้น เด็กก็จะลดพฤติกรรมลงไปเรื่อยๆ จนดีขึ้นได้

 

การเลี้ยงดูลูกเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ควรเน้นความพอดีไม่มากหรือน้อยเกินไป เพื่อประโยชน์ของลูกน้อย


“ทำอย่างไรให้นักเรียนได้เรียนแล้วเป็นสุข สนุกสนาน มีบรรยากาศที่เหมาะสมจูงใจให้เด็กๆ ไปโรงเรียน”
  คอลัมน์ ถามตอบครอบอาณาจักร[1]





ถาม
“ทำอย่างไรให้นักเรียนได้เรียนแล้วเป็นสุข สนุกสนาน มีบรรยากาศที่เหมาะสมจูงใจให้เด็กๆ ไปโรงเรียน”

เรียน คุณเหล็กหวาน ที่นับถือ

วันเวลาผ่านไปไวเหลือเกิน เผลอไผลไปหน่อยเดียวและเพลิดเพลินใจในการทำงานช่วงฤดูร้อนไปไม่เท่าไหร่ก็ถึงวันเปิดภาคเรียนใหม่ในปีการศึกษา 2550 แล้ว อย่างนี้จะไม่ให้ผู้คนแก่เร็วได้ยังไงในเมื่อเวลาล่วงเลยไปไวเหมือนโกหกดังที่ลิเกเขาเล่นกัน

เปิดภาคเรียนใหม่ก็อยากให้ชีวิตทุกชีวิตในโรงเรียนมีสภาพที่ทุกคนรื่นเริงบันเทิงใจ อยากให้การเรียนการสอนเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ทั้งผู้บริหาร ครูผู้สอน นักเรียน รวมไปถึง นักการภารโรงมีความสุขสดใสเมื่อเทอมใหม่มาเยือน

ที่อยากจะขอเน้นคือ
ทำอย่างไรให้นักเรียนได้เรียนแล้วเป็นสุข สนุกสนาน มีบรรยากาศที่เหมาะสมจูงใจให้เด็กๆ ไปโรงเรียน  

ในเรื่องนี้ ท่าน ดร.กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เคยจัดประชุมสัมมนาสมัชชาเด็ก : การเรียนรู้อย่างมีความสุข ได้ผลสรุปความต้องการของเด็กๆ ในการศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างนี้ครับ



ประการที่หนึ่ง เด็กต้องการบรรยากาศในการสอนการเรียนที่ดี หลากหลายในกิจกรรมและประสบการณ์ อยากเรียนในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เปิดกว้างสำหรับความคิดอิสระมีจินตนาการที่จะทำให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีโอกาสได้ร้องเพลงและแสดงออกบนเวทีโดยครูไม่ปิดกั้น ห้องสมุดที่ดีน่าเข้าไปอ่านหนังสือ ได้สนุกสนานในการเล่นกีฬาหลายๆ ประเภท กับเพื่อนๆ หรือได้เรียนเป็นกลุ่มกับเพื่อน



ประการที่สอง เด็กต้องการเรียนรู้นอกสถานที่บ้าง เพราะเด็กๆ ย่อมมีใจที่อยากจะออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ เพื่อจะได้หูตากว้างไกลที่จะได้เรียนรู้ชีวิตภายนอกโรงเรียน เพราะฉะนั้น ถ้าครูพานักเรียนไปบนภูเขา ริมทะเล น้ำตก เที่ยวป่า เรียนใต้ต้นไม้ใหญ่ ในอุทยานแห่งชาติ ในสนามกีฬา ห้องสมุดประชาชนและจัดร้อยแปดสถานที่ก็จะทำให้นักเรียนตื่นตา ตื่นใจ ตื่นเต้น สร้างอารมณ์และความรู้สึกแปลกใหม่ที่จะเร้าความสนใจให้เกิดขึ้นกับเด็กได้อย่างมากที่สุด



ประการที่สาม เด็กต้องการได้ครูที่เป็นครูอย่างแท้จริง นั่นคือ สอนเก่ง เข้าใจง่าย ตรงต่อเวลา ให้เวลากับเด็กเสมอ และที่สำคัญ ต้องใจดีเป็นที่รักของนักเรียน



ในทางกลับกัน เด็กๆ จะเบื่อและทรมานมาก สำหรับการเรียนรู้ที่เป็นทุกข์ บรรยากาศชวนอึดอัดอยากให้หมดเวลาไปเร็วๆ นรกในใจของเด็กๆ จากการประชุมสัมมนาสมัชชาเด็ก มักจะมีสภาพดังนี้ครับ



1.เด็กๆ จะเรียกบรรยากาศต่อไปนี้ว่า "การเรียนเป็นพิษ" นั่นก็คือ
วิธีการเรียนที่ไม่สนุก เนื้อหาวิชามีแต่ท่องจำ การบ้านมากมายจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น ครูให้ทำเวรจนมากเกินไป ลงโทษเด็กด้วยไม้เรียว ด้วยไม้บรรทัดเหล็ก และกินกาวลาเท็กซ์จนเด็กขยาด หรือไม่ก็มีนักเรียนสอบตกแล้วสอบตกอีกโดยที่ครูไม่คิดแก้ไข น่ากลุ้มแทนเด็กๆ เหมือนกันนะครับเนี่ย



2.บรรยากาศห้องเรียนย่ำแย่เหลือเกิน มีแต่ความแออัด ใครมาเห็นก็ต้องบอกว่า ห้องเรียนนี้สกปรกยั่งยืน หลายห้องมีแต่ขยะทั้งในห้องและนอกห้อง อบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำเน่า มิหนำซ้ำมีมลภาวะทางเสียงเข้ามาอีก แล้วจะมีสมาธิในการเรียนรู้ได้อย่างไรหนอ



3.ครูน่ากลัวมากในสายตาเด็ก มีแต่ความโหดร้าย ใจร้าย สูบบุหรี่ในห้องเรียนหรือกำลังสอนก็สูบ วันๆ มีแต่ใช้เด็กทำงานจนไม่ค่อยได้เรียน แถมทำตัวไม่ค่อยดี ชอบพูดคำหยาบคาย ชอบหยิกตามเนื้อตัว จู้จี้จุกจิกจนเกินเหตุ



ด้วยเหตุฉะนี้ เมื่อเปิดเทอมใหม่แล้วจึงอยากให้เด็กๆ สุขใจเมื่ออยู่ในโรงเรียน ยุคปฏิรูปการศึกษาตัองโสภาสถาพร หรือคุณเหล็กหวานจะว่าอย่างไรครับ

จันโททัย กลีบเมฆ
    ตอบ คุณจันโททัย

โรงเรียนเพิ่งทยอยกันเปิดเทอม คุณจันโททัยพูดในภาพรวมของผู้บริหาร ครูผู้สอน นักเรียน นักภารโรง

ผมขอเน้นในภาคส่วนของ "ผู้ปกครอง"

"ผู้ปกครอง" พอถึงช่วงเปิดเทอมใหญ่ทีไร

ทุกข์กว่าครู ผู้บริหาร นักเรียน และนักการภารโรง

เพราะบางผู้ปกครอง "ลูก" ได้ที่เรียนไม่เป็นไปตามที่ต้องการ

หวังเข้าโรงเรียนใหญ่ สอบไม่ติด

ที่สอบติดต้องเสียเงินค่าเทอม ค่าบำรุง และอีกสารพัด

ครอบครัวที่พอมีกิน มีรายได้ ทุกข์ไม่เท่าไหร่

แต่ครอบครัวที่ยากไร้ ต้องพึ่งพาโรงจำนำ

มีสมบัติชิ้นสองชิ้น นำเข้าโรงตึ๊ง แลกเงินเป็นค่าเทอมลูก
 
เทคนิคตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ ใช้"ซีทีซี"หาติ่งเนื้อร้าย1ซม.
   
 


เทคนิคตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ ใช้"ซีทีซี"หาติ่งเนื้อร้าย1ซม. [1]

 
  เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม นพ.นัทภูมิ กาญจนาภรณ์ แพทย์รังสีรักษา ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้สัมภาษณ์เรื่อง "การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์" ว่า ปัจจุบันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีความชุกเพิ่มขึ้น พบมากเป็นอันดับ 3 ในเพศชาย รองจากมะเร็งตับ และมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนเพศหญิงพบมากเป็นอันดับ 5 รองจากมะเร็งเต้านม และปากมดลูก โดยพบได้ในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป สาเหตุของโรคมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ เนื้อแดง อาหารที่มีไขมันสูง ทำให้ลำไส้ทำงานหนัก รวมทั้งปัจจัยทางพันธุกรรม

นพ.นัทภูมิกล่าวว่า โรคนี้มักไม่แสดงอาการ ส่วนมากเริ่มต้นจากการเกิดติ่งเนื้อ (polyp) ซึ่งใช้เวลาเปลี่ยนแปลงช้าจนกลายเป็นเนื้อร้าย ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงจะไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ จนกระทั่งก้อนใหญ่ขึ้น ถ่ายเป็นมูกเลือด ลำไส้อุดตัน ซึ่งเมื่อถึงอาการขั้นนี้ก็เป็นขั้นที่รุนแรงแล้ว สิ่งสำคัญหากแพทย์สามารถตรวจพบติ่งเนื้อและตัดทิ้งตั้งแต่แรก จะสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้ ปัจจุบันการตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่นิยมใช้วิธีการส่องกล้อง หรือ colonoscopy ซึ่งถือเป็นวิธีมาตรฐานในการตรวจหามะเร็ง แต่ปัญหาคือ วิธีนี้ไม่สะดวกสำหรับผู้ป่วย เนื่องจากอาจต้องฉีดยาหรือดมยาสลบ และยังทำให้รู้สึกเจ็บจากการตรวจ

"ล่าสุดมีทางเลือกสำหรับการตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่เรียกว่า CTC หรือ Virtual colonoscopy เป็นการตรวจลำไส้ใหญ่ที่ใช้เครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สแกนช่องท้อง ประกอบกับการใส่ท่อยางเล็กๆ เข้าไปในทวารหนัก เพื่ออัดลมให้ลำไส้พองตัว จากนั้นนำข้อมูลทั้งหมดมาประมวลเป็นภาพเสมือนจริงสามมิติ ใช้เวลาตรวจเพียง 15 นาที ทั้งนี้ เครื่องนี้สามารถตรวจหาติ่งเนื้อขนาดเกิน 1 เซนติเมตร ที่มีโอกาสเป็นเนื้อร้ายมากกว่าร้อยละ 10 แต่ข้อเสียอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง ทำให้ท้องอืด ส่วนข้อดี แม้ต้องใส่หัวสวนทางทวารหนัก แต่ใส่เพียงส่วนปลายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องดมยาสลบ" นพ.นัทภูมิกล่าว (กรอบบ่าย)
 

Helpful Weight Loss Suggestions and Tips[1]

  
  • Lose weight the easy way: Reduce food intake by only 50 calories (half a can of soda) per day and permanently lose 5 pounds in one year.
  • Increase activity by a mere 50 calories a day (park further away from the store!) and reduce intake by a 1/2 a hamburger bun a day (about 50 calories) and get rid of 10 pounds easily in one year!
  • Gently Reduce carbohydrate intake. During meals, eat half a baked potato instead. Did you know that if you scoop out a potato and fill it with sugar, that is healthier than eating the potato?)
  • Still enjoy that yummy Kentucky Fried Chicken, but do so twice a month instead of once a week and you are guaranteed to get rid of fat!
  • Eat half the order of french fries and watch your weight drop! (“But I can’t throw food away! It’s going to waste.” Guess what? It either goes to waste in the garbage or in your toilet.....”
  • Please! read the following books for incredible information:
  • Dr. Atkin’s New Diet Revolution (the information will motivate you!)
  • Sugar Busters! (Great information)
 
กระชับรัก ทุกวันอาทิตย์
กระชับรัก ทุกวันอาทิตย์[1] We love Sunday เรารักวันอาทิตย์วันของครอบครัวเป็นนโยบายของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในอันจะให้ครอบครัวไทยได้ร่วมปันความรักและเวลาอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยสัปดาห์หนึ่ง ก็ให้วันอาทิตย์ เป็นวันแห่งครอบครัว จึงหยิบมารณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของการใช้เวลาในวันอาทิตย์ร่วมกับครอบครัว และเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว

สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว จึงจัด "ครอบครัวคุณธรรม อิ่มรัก ปันสุข" ขึ้นที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี พื้นที่ความสมดุลทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาจัดรวมกิจกรรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครอบครัว ในแบบวอล์ก แรลลี่ 7 กลุ่ม งานนี้ได้เห็นภาพบทสรุปแต่ละครอบครัวที่ไม่เหมือนกัน แต่ทุกครอบครัวเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าความรักและความใกล้ชิด จากการใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันภายในครอบครัว จะช่วยสร้างความรักความอบอุ่นซึ่งเป็นพื้นฐานให้ครอบครัวมีความเข้มแข็ง เพราะครอบครัวเป็นแหล่งสำคัญที่สุดในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้เด็กและเยาวชน


วันอาทิตย์นี้ไม่รู้จะพาครอบครัวไปเที่ยวไหน ลองปรึกษาหาเส้นทางร่วมกิจกรรม เพื่อ All for One, one for all สร้างความสุขให้กับทุกคนในครอบครัวกันเถิดเรา
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท