​˜บทเรียนเรื่อง Tense ทั้ง 12™


˜โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12™

Present Tense

1.Present Simple (S. + V.1)

2. Present Continuous (S. + is/am/are + V.ing)

3. Present Perfect (S. + has/have + V.3)

4.Present Perfect Continuous (S. + has/have been + V.ing)

Past Tense

1.Past Simple (S. + V.2)

2. Past Continuous (S. + was/were + V.ing)

3.Past Perfect (S. + had + V.3)

4. Past Perfect Continuous (S. + had been + V.ing)

Futere Tense

1.Future Simple (S. + will/shall + V.1)

2.Future Continuous (S. + will/shall be + V.ing)

3.Future Perfect (S. + will have + V.3)

4.Future Perfect Continuous (S. + will/shall have been + V.ing)


1.1 ความหมายของ Tense

Tenseคือรูปของคำกริยาที่บอกเวลาของการกระทำในภาษาอังกฤษการกระทำที่เกิดขึ้นในเวลาที่แตกต่างกันจะใช้รูปของคำกริยาที่แตกต่างกันเช่น

1. I am playing football now. ( ฉันกำลังเล่นฟุตบอล )

2. I played football yesterday. ( ฉันเล่นฟุตบอลเมื่อวานนี้ )

ในประโยคที่1 รูปของคำกริยาคือ am playing บอกให้รู้ว่าการเล่นฟุตบอลกำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดประโยคนี้ออกมา

ในประโยคที่2 รูปของคำกริยาคือ played บอกให้รู้ว่าการเล่นฟุตบอลเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

1.2 ชนิดของTense แบ่งออกเป็น3 ชนิดใหญ่คือ

1. Present Tense ใช้กับการกระทำที่เป็นปัจจุบัน

2. Past Tense ใช้กับการกระทำที่เป็นอดีต

3. Future Tense ใช้กับการกระทำที่เป็นอนาคต

แต่ละTense ใหญ่แบ่งออกเป็น4 Tense ย่อยจึงมีทั้งหมด12 Tense ดังนี้

Present Tense Past Tense Future Tense
1. Present Simple Tense 1. Past Simple Tense 1. Future Simple Tense
2. Present Continuous Tense 2. Past Continuous Tense 2. Future Continuous Tense
3. Present Perfect Tense 3. Past Perfect Tense 3. Future Perfect Tense
4. Present Perfect Continuous Tense 4. Past Perfect Continuous Tense 4. Future Perfect Continuous Tense

1.3 โครงสร้างของTense ทั้ง12 Tense ย่อยมีโครงสร้างของประโยคดังนี้

Present Tense Past Tense Future Tense
1. S + V.1 1. S + V.2 1. S + will , shall +V.1
2. S + is ,am , are + V.1 เติมing 2. S + was , were + V.1 เติมing 2. S + will, shall + be + V.1 เติมing
3. S + have , has + V.3 3. S + had + V.3 3. S + will , shall + have , has + V.3
4. S + have , has + been + V.1 เติมing 4. S + had + been + V.1 เติมing 4. S +will , shall + have + been + V.1 เติมin

Present  Simple Tense

2.1 ประโยคPresent Simple Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + Verb 1 (s )

( ประธาน + กริยาช่องที่1 ( s ) )

( เมื่อประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่3 หลังคำกริยาจะต้องเติมs )

ตัวอย่าง : 1.I go to school by car. (ฉันไปโรงเรียนโดยรถยนต์)

2. He walks to school. ( เขาเดินไปโรงเรียน )

3. You play football every day. ( คุณเล่นฟุตบอลทุกวัน )

4. Somsri and Somsak study English every day .( สมศรีและสมศักดิ์เรียนภาษาอังกฤษทุกวัน )

2.2 ประโยคPresent Simple Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคในPresent Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธทำได้ด้วยการใช้Verb to do มาช่วยมีหลักการใช้ดังนี้

do ใช้กับประธานพหูพจน์และI กับyou

does ใช้กับประธานเอกพจน์ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + do / does + not + Verb 1

( ประธาน + do / does + not + กริยาช่องที่1 )

ตัวอย่าง : 1. I do not ( don’t ) go to school by car. ( ฉันไม่ไปโรงเรียนโดยรถยนต์ )

2. He does not ( doesn’t ) walk to school. ( เขาไม่เดินไปโรงเรียน )

3. You do not play football every day. ( คุณไม่เล่นฟุตบอลทุกวัน )

4. Somsri and Somsak do not study English every day .( สมศรีและสมศักดิ์ไม่เรียนภาษาอังกฤษทุกวัน )

ข้อสังเกต :เมื่อนำdoes มาช่วยในประโยคแล้วต้องตัดs ออกด้วย

2.3 ประโยคPresent Simple Tense เชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคในPresent Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคำถามทำได้ด้วยการนำdo หรือdoes มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วยYes หรือNo ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้

โครงสร้าง : Do / Does + Subject + Verb 1 ?

( Do / Does + ประธาน + กริยาช่องที่1 )

ตัวอย่าง : 1. Does he walk to school ? (เขาเดินไปโรงเรียนใช่หรือไม่ )

-Yes, he does. ( ใช่เขาเดินไปโรงเรียน )

-No, he doesn’t. ( ไม่ใช่เขาไม่ได้เดินไปโรงเรียน )

2. Do you play football every day ? ( คุณเล่นฟุตบอลทุกวันใช่หรือไม่ )

-Yes, I do. ( ใช่ฉันเล่นฟุตบอลทุกวัน )

-No, I don’t. ( ไม่ใช่ฉันไม่ได้เล่นฟุตบอลทุกวัน )

2.4 หลักการใช้Present Simple Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นความจริงตลอดไปหรือเป็นความจริงตามธรรมชาติเช่น

1. The sun rises in the east.( พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก )

2. Fire is hot. ( ไฟร้อน )

2. ใช้กับการกระทำที่กระทำอยู่จนเป็นนิสัยมักจะมีกลุ่มคำที่มีความหมายว่าเสมอๆบ่อยๆทุกๆอยู่ด้วยเช่น

1.I get up at six o’clock every day. ( ฉันตื่นนอนเวลา6 นาฬิกาทุกวัน )

2.He plays football every day. ( เขาเล่นฟุตบอลทุกวัน )

2.5 หลักการเติมs ที่คำกริยา

1.กริยาที่ลงท้ายด้วยs, ss, sh, ch, o, หรือx ให้เติมe ก่อนแล้วจึงเติมs เช่น

pass - passes = ผ่าน

brush - brushes = แปรงฟัน

catch - catches = จับ

go - goes = ไป

box - boxes = ชก

2.กริยาที่ลงท้ายด้วยy และหน้าy เป็นพยัญชนะให้เปลี่ยนy เป็นie แล้วจึงเติมs เช่น

cry - cries = ร้องไห้

fry - fries = ทอด

try - tries = พยายาม

ข้อยกเว้นถ้ากริยานั้นหน้าy เป็นสระให้เติมs ได้เลยเช่น

play - plays = เล่น

stay - stays = พัก

3. กริยาที่นอกเหนือจากที่กล่าวในข้อ1 และข้อ2 ให้เติมs ได้เลย


Present  Continuous  Tense

3.1 ประโยคPresent Continuous Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง: Subject + is, am, are + Verb 1 ing.

( ประธาน + is, am, are + กริยาช่อง1 เติมing.)

ตัวอย่าง1. Somchai is sleeping. ( สมชายกำลังนอนหลับ )

2. I am playing football. ( ฉันกำลังเล่นฟุตบอล )

3. They are watching TV. ( พวกเขากำลังดูโทรทัศน์ )

3.2 ประโยคPresent Continuous Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคPresent Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้นำnot มาเติมหลังVerb to be ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง: Subject + is, am, are + not + Verb 1 ing.

( ประธาน + is, am, are + not + กริยาช่อง1 เติมing. )

ตัวอย่าง :1. Somchai is not ( isn’t ) sleeping. ( สมชายไม่ได้กำลังนอนหลับ )

2. I am not playing football. ( ฉันไม่ได้กำลังเล่นฟุตบอล )

3. They are not ( aren’t ) watching TV. ( พวกเขาไม่ได้กำลังดูโทรทัศน์ )

3.3 ประโยคPresent Continuous Tense เชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคPresent Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงคำถามให้นำVerb to be มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วยYes หรือNo ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง: Is, Am, Are + Subject + Verb 1 ing. ?

( Is, Am, Are +ประธาน + กริยาช่อง1 เติมing. ? )

ตัวอย่าง :1. Is Somchai sleeping ? ( สมชายกำลังนอนหลับใช่หรือไม่ )

-Yes, he is . ( ใช่เขากำลังนอนหลับ )

-No, he isn’t. ( ไม่เขาไม่ได้กำลังนอนหลับ )

2. Are they studying English ? (พวกเขากำลังเรียนภาษาอังกฤษใช่หรือไม่ )

-Yes, they are. ( ใช่พวกเขากำลังเรียน )

-No, they aren’t . ( ไม่พวกเขาไม่ได้กำลังเรียน )

3. Am I playing football ? ( ฉันกำลังเล่นฟุตบอลใช่หรือไม่ )

-Yes, you are. ( ใช่คุณกำลังเล่นฟุตบอล )

-No, you aren’t . ( ไม่คุณไม่ได้กำลังเล่นฟุตบอล )

3.4 หลักการใช้Present Continuous Tense

1. ใช้กับการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดเช่น

1. I am studying English . ( ฉันกำลังเรียนภาษาอังกฤษ )

2. Somchai is sleeping. ( สมชายกำลังนอนหลับ )

3. They are watching TV. ( พวกเขากำลังดูโทรทัศน์ )

3.5 หลักการเติมing ท้ายคำกริยา

1. คำกริยาธรรมดาให้เติมing ได้เลยเช่น

speak ( พูด ) - speaking

eat (กิน) - eating

2. คำกริยาที่มีพยางค์เดียวมีตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มตัวสะกดอีก1 ตัวแล้วเติมing เช่น

sit ( นั่ง ) - sitting

run ( วิ่ง ) - running

3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วยe เพียงตัวเดียวให้ตัดe ทิ้งแล้วเติมing เช่น

come ( มา ) - coming

drive ( ขับรถ ) - driving

4. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็นy แล้วเติมing เช่น

die ( ตาย ) –dying lie ( นอน ) - lying


Present  Perfect  Tense 

4.1 ประโยคPresent Perfect Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + have , has + Verb 3

( ประธาน + have , has + กริยาช่อง3 )

ตัวอย่าง : 1. I have studied English for 5 years.( ฉันเรียนภาษาอังกฤษมา5 ปีแล้ว )

2. He has lived in Bangkok since 1990.( เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปีค.ศ. 1990 )

4.2 ประโยคPresent Perfect Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคPresent Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติมnot หลังVerb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + have , has + not + Verb 3

( ประธาน + have , has + not + กริยาช่อง3 )

ตัวอย่าง : 1. I have not studied English for 5 years.( ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาไม่ถึง5 ปี )

2. He has not lived in Bangkok since 1990.( เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปีค.ศ. 1990 )

3.3 ประโยคPresent Perfect Tense เชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคPresent Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงคำถามให้นำVerb to have มาวางไว้หน้าประโยค

และตอบด้วยYes หรือNo ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Have, Has + Subject + Verb 3 ?

(Have, Has + ประธาน + กริยาช่อง3 ? )

ตัวอย่าง : 1.Have you studied English for 5 years ?( คุณเรียนภาษาอังกฤษมา5 ปีแล้วใช่หรือไม่ )

-Yes, I have. ( ใช่ฉันเรียนภาษาอังกฤษมา5 ปีแล้ว )

-No, I haven’t. ( ไม่ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาไม่ถึง5 ปี )

2. Has he lived in Bangkok since 1990 ?( เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปีค.ศ. 1990 ใช่หรือไม่ )

-Yes, he has. (ใช่เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปีค.ศ.1990 )

-No, he hasn’t. ( ไม่เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปีค.ศ. 1990 )

4.4 หลักการใช้Present Perfect Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและเหตุการณ์นั้นยังคงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเช่น

Somchai has studied English for 5 years. ( สมชายเรียนภาษาอังกฤษมา5 ปีแล้วขณะนี้ก็ยังเรียนอยู่ )

I have worked in this company since 1990. ( ฉันทำงานในบริษัทนี้ตั้งแต่ปี1990 ขณะนี้ก็ยังทำอยู่ )

2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เคยหรือไม่เคยทำในอดีตซึ่งมิได้บ่งบอกเวลาที่แน่นอนเอาไว้และมักจะมีคำวิเศษณ์คือever, never, once, twice

มาใช้ร่วมเสมอเช่น

- I have never seen him before. ( ฉันไม่เคยเห็นเข้ามาก่อน )

- Have you ever been abroad ?( คุณเคยไปต่างประเทศหรือเปล่า )

- She has been to Bangkok twice. ( หล่อนเคยไปกรุงเทพฯ2 ครั้ง )

4.5 กริยา3 ช่อง

กริยา3 ช่องมีที่มาดังนี้

1. มีรูปมาจากการเติมed ที่ท้ายคำกริยาเช่น

ช่องที่1 ช่องที่2 ช่องที่3 ความหมาย
walk walked walked เดิน
move moved moved เคลื่อน
opened opened opened เปิด
clean cleaned cleaned ทำความสะอาด

2. มีรูปมาโดยการผันซึ่งมีการกำหนดไว้โดยเจ้าของภาษาเช่น

ช่องที่1 ช่องที่2 ช่องที่3 ความหมาย
see saw seen เห็น
make made made ทำ
speak spoke spoken พูด
sell sold sold ขาย
go went gone ไป

Present  Perfect  Continuous  Tense

5.1 ประโยคPresent Perfect ContinuosTense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง :Subject + have , has + been + Verb 1 ing

( ประธาน + have , has + been + กริยาช่อง1 เติมing )

ตัวอย่าง : 1. He has been speaking for 3 hours. ( เขาพูดมา3 ชั่วโมงแล้ว )

2. They have been playing football for 2 hours. ( เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมา2 ชั่วโมงแล้ว )

5.2 ประโยคPresent Perfect Continuos Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคPresent Perfect Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติมnot หลังVerb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + have , has + not + been + Verb 1 ing

(ประธาน+have, has+not + been+ กริยาช่อง1 เติมing )

ตัวอย่าง : 1. He has not been speaking for 3 hours. ( เขาพูดมาไม่ถึง3 ชั่วโมง )

1.They have not been playing football for 2 hours.( เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมาไม่ถึง2 ชั่วโมง )

5.3 ประโยคPresent Perfect ContinuousTense เชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคPresent Perfect Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงคำถามให้นำVerb to have มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วยYes หรือNo ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Have , Has + Subject +been + Verb 1 ing ?

(Have, Has + ประธาน + been + กริยาช่อง1 เติมing ?)

ตัวอย่าง : 1. Has he been speaking for 3 hours ?( เขาพูดมาตลอด3 ชั่วโมงใช่หรือไม่ )

-Yes , he has. ( ใช่เขาพูดมาตลอด3 ชั่วโมง )

- No, he hasn’t . ( ไม่เขาพูดมาไม่ถึง3 ชั่วโมง )

2. Have they been playing football for 2 hours ? ( เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมาตลอด2 ชั่วโมงใช่หรือไม่ )

- Yes, they have. ( ใช่เขาเล่นมาตลอด2 ชั่วโมง )

- No, they haven’t . (ไม่เขาเล่นมาไม่ถึง2 ชั่วโมง )

5.4 หลักการใช้Present Perfect ContinuousTense

1. ใช้กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันและจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต (Present Perfect Progressive

Tense ใช้เหมือนPresent Perfect Tense ต่างกันแต่เพียงว่าPresent Perfect Progressive Tense เน้นความต่อเนื่องไปถึงอนาคต ) เช่น

Present Perfect Tense Present Perfect Progressive Tense
He has worked for 3 hours. He has been working for 3 hours.
ในประโยคนี้เขาทำงานมาแล้ว3 ชั่วโมงแต่ไม่ทราบว่าจะทำต่อไปอีกหรือไม่ ในประโยคนี้เขาทำงานมาแล้ว3 ชั่วโมงและจะทำต่อไปอีก

PastSimpleTense

6.1 ประโยคPast Simple Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + Verb 2

( ประธาน + กริยาช่องที่2 )

ตัวอย่าง : 1.He walked to school yesterday. ( เขาเดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )

2. They played volleyball last week. ( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )

6.2 ประโยคPast Simple Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคในPast Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธทำได้ด้วยการใช้Verb to do

ช่องที่2 คือdid มาช่วยและเติมnot ข้างหลังมีโครงสร้างของประโยคดังนี้

โครงสร้าง : Subject + did + not + Verb 1

( ประธาน + did + not + กริยาช่องที่1 )

ตัวอย่าง : 1. He did not ( didn’t ) walk to school yesterday. ( เขาไม่ได้เดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )

2. They did not play volleyball last week. ( เขาทั้งหลายไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )

ข้อสังเกต :เมื่อนำdid มาใช้ในประโยคแล้วต้องเปลี่ยนกริยาช่องที่2 ให้เป็นกริยาช่องที่1 ด้วย

6.3 ประโยคPast Simple Tense เชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคในPast Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคำถามทำได้ด้วยการนำdid มาวางไว้หน้าประโยค

และตอบด้วยYes หรือNo ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้

โครงสร้าง : Did + Subject + Verb 1

( Did + ประธาน + กริยาช่องที่1 )

ตัวอย่าง : 1. Did he walk to school yesterday ?( เมื่อวานนี้เขาเดินมาโรงเรียนใช่หรือไม่ )

- Yes, he did. ( ใช่เขาเดินมา )

- No, he didn’t. ( ไม่เขาไม่ได้เดินมา )

2. Did they play volleyball last week ?( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้วใช่หรือไม่ )

- Yes, they did. ( ใช่เขาทั้งหลายเล่น )

- No, they didn’t . ( ไม่เขาทั้งหลายไม่ได้เล่น )

6.4 หลักการใช้Past Simple Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอดีตซึ่งมักจะมีคำกลุ่มคำหรืออนุประโยคต่อไปนี้อยู่ในประโยค

คำ กลุ่มคำ อนุประโยค
ago last night when he was young
once last year when he was five years old
yesterday yesterday morning when I lived in Tokyo
during the war

เช่น1. I lived in Chaing mai 3 years ago. ( ฉันอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อ3 ปีที่แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่แล้ว )

2. His father died during the war. ( พ่อของเขาตายระหว่างสงคราม )

3. He learned English when he was young. ( เขาเรียนภาษาอังกฤษเมื่อเขาเป็นเด็ก )

6.5 หลักการเติมed ที่คำกริยา

1. กริยาที่ลงท้ายด้วยe ให้เติมd ได้เลยเช่น

love - loved = รัก

move - move = เคลื่อน

hope - hoped = หวัง

2. กริยาที่ลงท้ายด้วยy และหน้าy เป็นพยัญชนะให้เปลี่ยนy เป็นI แล้วเติมed เช่น

cry - cried = ร้องไห้

try - tried = พยายาม

marry - married = แต่งงาน

ข้อยกเว้นถ้าหน้าy เป็นสระใหเติมed ได้เลยเช่น

play - played = เล่น

stay - stayed = พัก, อาศัย

enjoy - enjoyed = สนุก

obey - obeyed = เชื่อฟัง

3. กริยาที่มีพยางค์เดียวมีสระตัวเดียวและลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก1 ตัวแล้วเติมed เช่น

plan - planned = วางแผน

stop - stopped = หยุด

beg - begged = ขอร้อง

4. กริยาที่มี2 พยางค์แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลังและพยางค์หลังนั้นมีสระตัวเดียวและลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก1 ตัวแล้วเติมed เช่น

concur - concurred = ตกลง, เห็นด้วย

occur - occurred = เกิดขึ้น

refer - referred = อ้างถึง

permit - permitted = อนุญาต

ข้อยกเว้นถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรกไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามาเช่น

cover - covered = ปกคลุม

open - opened = เปิด

5. นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเมื่อต้องการให้เป็นช่อง2 ให้เติมed ได้เลยเช่น

walk - walked = เดิน

start - started = เริ่ม

worked - worked = ทำงาน


Past ContinuousTense

7.1 ประโยคPast ContinuousTense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง:Subject + was , were + Verb 1 ing

( ประธาน + was , were + กริยาช่องที่1 เติมing )

ตัวอย่าง : 1. I was playing football at 4 pm. yesterday.

( ฉันกำลังเล่นฟุตบอลตอน4 โมงเย็นเมื่อวานนี้ )

2. She was watching TV at 6 pm. yesterday.

( หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน6 โมงเย็นเมื่อวานนี้ )

3. They were studying English at 9 am. yesterday.

( เขาทั้งหลายกำลังเรียนภาษาอังกฤษตอน9 โมงเช้าเมื่อวานนี้ )

7.2 ประโยคPast Continuous Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคPast Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้นำnot

มาเติมหลังVerb to be ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง: Subject + was, were + not + Verb1 ing.

( ประธาน + was , were + not + กริยาช่องที่1 เติมing )

ตัวอย่าง : 1. I was not ( wasn’t ) playing football at 4 pm. yesterday.

( ฉันกำลังเล่นฟุตบอลตอน4 โมงเย็นวานนี้ )

2. She was not watching TV at 6 pm. yesterday.

( หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน6 โมงเย็นเมื่อวานนี้ )

3. They were not (weren’t ) studying English at 9 am. yesterday.

( เขาทั้งหลายกำลังเรียนภาษาอังกฤษตอน9 โมงเช้าเมื่อวานนี้ )

7.3 ประโยคPast Continuous Tense เชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคPast ContinuousTense ให้มีความหมายเชิงคำถามให้นำVerb to be มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วยYes หรือNo ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง: Was , Were + Subject + Verb 1 ing. ?

( Was , Were + ประธาน + กริยาช่อง1 เติมing. ? )

ตัวอย่าง : 1. Was she watching TV at 6 pm. yesterday ?

( หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน6 โมงเย็นวานนี้ใช่หรือไม่ )

- Yes, she was. ( ใช่หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ )

- No, she wasn’t ( ไม่หล่อนไม่ได้กำลังดูโทรทัศน์ )

2. Were they studying English at 9 am. yesterday ?

(เขาทั้งหลายกำลังเรียนภาษาอังกฤษตอน9 โมงเช้าวานนี้ใช่หรือไม่ )

- Yes, they were. ( ใช่เขาทั้งหลายกำลังเรียน )

- No, they weren’t. ( ไม่เขาทั้งหลายไม่ได้กำลังเรียน )

7.4 หลักการใช้Past Continuous Tense

1.ใช้กับเหตุการณ์ทีกำลังเกิดขึ้นณจุดเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีตตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจนเช่น

-1. I was cleaning my room at 9 o’clock yesterday.

( ฉันกำลังทำความสะอาดห้องตอน9 โมงเมื่อวานนี้ )

-2. They were reading newspaper at 8 o’clock yesterday.

( เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ตอน8 โมงเมื่อวานนี้ )

2.ใช้กับเหตุการณ์2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีตกล่าวคือมีเหตุการณ์อันหนึ่งเกิดขึ้นและกำลังดำเนินไปอยู่ก่อนและแล้วมีเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นมามีหลักการแต่งประโยคดังนี้

เหตุการณ์ที่เกิดอยู่ก่อนใช้Past ContinuousTense

เหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้Past Simple Tense

เช่น- 1. While he was walking along the street , he saw an accident.

( ขณะที่เขากำลังเดินไปตามถนนเขาเห็นอุบัติเหตุ )

-2. I was taking a bath when the telephone rang.

( ฉันกำลังอาบน้ำอยู่เมื่อโทรศัพท์มันดัง )

3.ใช้กับเหตุการณ์2 อย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่พร้อมกันในอดีตเช่น

-1. My mother was cooking while I was watching TV.

( แม่ของฉันกำลังทำอาหารในขณะที่ฉันกำลังดูโทรทัศน์ )

2. He was standing while she was sitting.

( เขากำลังยืนในขณะที่หล่อนกำลังนั่ง )


PastPerfectTense

8.1 ประโยคPast Perfect Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + had + verb 3

( ประธาน + had + กริยาช่อง3 )

ตัวอย่าง : 1. He had gone. ( เขาได้ไปแล้ว )

2. She had studied Thai. ( หล่อนได้เรียนภาษาไทย )

8.2 ประโยคPast Perfect Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคPast Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติมnot

หลังVerb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + had + not + Verb 3

( ประธาน + had + not + กริยาช่อง3 )

ตัวอย่าง : 1. He had not (hadn’t ) gone. ( เขายังไม่ได้ไป )

2. She had not studied Thai. ( หล่อนยังไม่ได้เรียนภาษาไทย )

8.3 ประโยคPast Perfect Tense เชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคPast Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงคำถามให้นำVerb to have

มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วยYes หรือNo ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Had + Subject + Verb 3 ?

(Had + ประธาน + กริยาช่อง3 ? )

ตัวอย่าง : 1. Had he gone ? ( เขาได้ไปแล้วใช่หรือไม่ )

-Yes, he had. ( ใช่เขาได้ไปแล้ว )

-No, he hadn’t. ( ไม่เขายังไม่ได้ไป )

2. Had she studied Thai ? ( หล่อนได้เรียนภาษาไทยแล้วใช่หรือไม่ )

- Yes, she had. ( ใช่หล่อนได้เรียนแล้ว )

- No, she hadn’t. ( ไม่หล่อนยังไม่ได้เรียน )

8.4 หลักการใช้Past Perfect Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำ2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีตและสิ้นสุดลงไปแล้วทั้ง2 เหตุการณ์ดังนี้

เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้Past Perfect Tense

เหตุการณ์ใดเกิดหลังใช้Past Simple Tense

เช่น - We went out for a walk after we had eaten dinner.

( พวกเราออกไปเดินเล่นหลังจากรับประทานอาหารเย็น )


Past  Perfect  Progressive  Tense

9.1 ประโยคPast Perfect Continuous Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + had + been + Verb 1 ing

( ประธาน + had + been + กริยาช่อง1 เติมing )

ตัวอย่าง : 1. They had been playing football for three hours.( เขาทั้งหลายได้เล่นฟุตบอลโดยไม่หยุดมา3 ชั่วโมงแล้ว )

2. It had been raining for five hours.( ฝนได้ตกโดยไม่หยุดมาเป็นเวลา5 ชั่วโมงแล้ว )

9.2 ประโยคPast Perfect Continuous Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคPast Perfect Continuous Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติมnot

หลังVerb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + had + not + been + Verb 1 ing

(ประธาน + had + not + been + กริยาช่อง1 เติมing )

ตัวอย่าง : 1. They had not ( hadn’t ) been playing football for three hours.

( เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมาไม่ถึง3 ชั่วโมง )

2. It had not been raining for five hours.

( ฝนตกมาไม่ถึง5 ชั่วโมง )

9.3 ประโยคPast Perfect Continuous Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคPast Perfect Continuous Tense ให้มีความหมายเชิงคำถาม

ให้นำVerb to have มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วยYes หรือNo ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Had + Subject + been + Verb 1 ing ?

( Had + ประธาน + been + กริยาช่อง1 เติมing ? )

ตัวอย่าง :1. Has they been playing football for three hours ?

( เขาทั้งหลายได้เล่นฟุตบอลมาตลอด3 ชั่วโมงใช่หรือไม่ )

-Yes, they had. ( ใช่เขาทั้งหลายเล่นมา3 ชั่วโมงแล้ว )

-No, they hadn’t.( ไม่เขาทั้งหลายเล่นมาไม่ถึง3 ชั่วโมง )

2. Had it been raining for five hours ?

( ฝนตกโดยไม่หยุดมาเป็นเวลา5 ชั่วโมงแล้วใช่หรือไม่ )

- Yes, it had. ( ใช่มันตกมา5 ชั่วโมงแล้ว )

- No, it hadn’t. ( ไม่ใช่มันตกมาไม่ถึง5 ชั่วโมง )

9.4 หลักการใช้Past Perfect Continuous Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำ2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีตและสิ้นสุดลงไปแล้วทั้ง2 เหตุการณ์ดังนี้

- เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้Past Perfect Continuous Tense

- เหตุการณ์ใดเกิดหลังใช้Past Simple Tense

เช่น

1. He had been sleeping for 30 minutes before we woke him up.

( เขาได้นอนหลับมา30 นาทีก่อนที่เราจะปลุกเขา )

2. He sat down after he had been playing football for an hour.

( เขานั่งพักหลังจากได้เล่นฟุตบอลมา1 ชั่วโมง )


Future  Simple Tense

10.1 ประโยคFuture Simple Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + will, shall + verb 1

( ประธาน + will , shall + กริยาช่อง1 )

ตัวอย่าง : 1. I shall go to Chiang mai tomorrow. ( ฉันจะไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ )

2. She will study Spanish next week. ( หล่อนจะเรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้า )

10.2 ประโยคFuture Simple Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคFuture Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติมnot หลังwill หรือshall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + will, shall + not + verb 1

( ประธาน + will , shall + not + กริยาช่อง1 )

ตัวอย่าง : 1. I shall not ( shan’t ) go to Chiang mai tomorrow. ( ฉันจะไม่ไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ )

2. She will not ( won’t ) study Spanish next week. ( หล่อนจะไม่เรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้า )

10.3 ประโยคFuture Simple Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคFuture Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคำถามให้นำwill หรือshall มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วยYes หรือNo ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Will,Shall + Subject + verb 1 ?

( Will, Shall + ประธาน + กริยาช่อง1 ? )

ตัวอย่าง : 1. Shall you go to Chiang mai tomorrow ? ( คุณจะไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่ )

Yes, I shall. ( ใช่ฉันจะไป )

No, I shan’t. ( ไม่ฉันจะไม่ไป )

2. Will she study Spanish next week ? ( หล่อนจะเรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้าใช่หรือไม่ )

- Yes, she will. ( ใช่หล่อนจะเรียน )

- No, she won’t. ( ไม่หล่อนจะไม่เรียน )

10.4 หลักการใช้Future Simple Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เช่นMy father will go to America next month. ( พ่อของฉันจะไปอเมริกาเดือนหน้า )

I shall play football tomorrow afternoon.( ฉันจะเล่นฟุตบอลบ่ายวันพรุ่งนี้ )


Future  Progressive  Tense

11.1 ประโยคFuture Continuous Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + will ,shall + be + verb 1. ing

( ประธาน + will ,shall + be + กริยาช่อง1 เติมing )

ตัวอย่าง : 1. She will be playing tennis.( หล่อนจะกำลังเล่นเทนนิสอยู่ )

2. They will be cooking.( เขาทั้งหลายจะกำลังทำอาหารอยู่ )

11.2 ประโยคFuture Continuous Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคFuture Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติมnot หลังwill หรือshall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง :Subject + will ,shall + not + be + verb 1. ing

(ประธาน + will ,shall + not + be + กริยาช่อง1 เติมing )

ตัวอย่าง : 1. She will not ( won’t ) be playing tennis.( หล่อนจะไม่กำลังเล่นเทนนิสอยู่ )

2. They will not ( won’t ) be cooking.( เขาทั้งหลายจะไม่กำลังทำอาหารอยู่ )

11.3 ประโยคFuture Continuous Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคFuture Continuous Tense ให้มีความหมายเชิงคำถามให้นำwill หรือshall มาวางไว้หน้าประโยค

และตอบด้วยYes หรือNo ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง :Will , Shall + Subject + be + verb 1 ing ?

( Will , Shall + ประธาน + be + กริยาช่อง1 เติมing ? )

ตัวอย่าง : 1. Will she be playing tennis ?( หล่อนจะกำลังเล่นเทนนิสอยู่ใช่หรือไม่ )

Yes, she will. ( ใช่หล่อนจะเล่นอยู่ )

No, she won’t. ( ไม่หล่อนจะไม่เล่นอยู่ )

2. Will they be cooking ?( เขาทั้งหลายจะกำลังทำอาหารอยู่ใช่หรือไม่ )

Yes, they will. ( ใช่เขาทั้งหลายจะทำอยู่ )

No, they won’t. ( ไม่ใช่เขาทั้งหลายจะไม่ทำอยู่ )

11.4 หลักการใช้Future Continuous Tense

ใช้กับเหตุการณ์2 อย่างที่จะเกิดขึ้นก่อนหลังกันในอนาคตดังนี้

เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้Future Progressive Tense

เหตุการณ์ใดเกิดทีหลังใช้Present Simple Tense

เช่น1. He will be reading when I visit him.( เขาจะอ่านหนังสืออยู่เมื่อผมไปเยี่ยมเขา )

2. I shall be watching TV when he arrives.( ฉันจะอ่านหนังสืออยู่เมื่อเขามาถึง )


Future  Perfect  Tense

12.1 ประโยคFuture Perfect Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง : Subject + will ,shall + have + verb 3

( ประธาน + will ,shall + have + กริยาช่อง3 )

ตัวอย่าง : 1. She will have gone.( หล่อนคงจะไปแล้ว )

2. They will have cooked.( เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารแล้ว )


Future  Perfect  Continuous  Tense

13.1 ประโยคFuture Perfect ContinuousTense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง :Subject + will, shall + have + been + verb 1. ing

(ประธาน+ will shall +have +been + กริยาช่อง1 เติมing )

ตัวอย่าง : 1. She will have been playing tennis.( หล่อนคงจะเล่นเทนนิสอยู่ )

2. They will have been cooking.( เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารอยู่ )

13.2 ประโยคFuture Perfect Continuous Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคFuture Perfect Continuous Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติมnot+ หลังwill หรือshall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง :Subject + will ,shall + not +have + been +verb 1. ing

(ประธาน + will , shall + not + have + been + กริยาช่อง1 เติมing )

ตัวอย่าง : 1. She will not ( won’t ) have been playing tennis.( หล่อนคงจะไม่เล่นเทนนิสอยู่ )

2. They will not have been cooking.( เขาทั้งหลายคงจะไม่ทำอาหารอยู่ )

13.3 ประโยคFuture Perfect Continuous Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคFuture Perfect Continuous Tense ให้มีความหมายเชิงคำถามให้นำwill

หรือshall มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วยYes หรือNo ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง :Will , Shall + Subject + have + been + verb 1. ing ?

( Will ,Shall +ประธาน + have + been + กริยาช่อง1 เติมing )

ตัวอย่าง : 1. Will she have been playing tennis ?( หล่อนคงจะเล่นเทนนิสอยู่ใช่หรือไม่ )

Yes, she will. ( ใช่หล่อนคงจะเล่นอยู่ )

No, she won’t . ( ไม่หล่อนคงจะไม่เล่นอยู่ )

2. Will they have been cooking ?( เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารอยู่ใช่หรือไม่ )

Yes, they will. ( ใช่เขาทั้งหลายคงจะทำอยู่ )

No, they won’t . ( ไม่เขาทั้งหลายคงจะไม่ทำอยู่ )

13.4 หลักการใช้Future Perfect Continuous Tense

ใช้กับเหตุการณ์2 อย่างที่จะเกิดขึ้นก่อนหลังกันในอนาคตแต่เน้นความต่อเนื่องของการกระทำดังนี้

- เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้Future Perfect Continuous Tense

- เหตุการณ์ใดเกิดทีหลังใช้Present Simple Tense

เช่น1. He will have been reading for two hours when I visit him.

( เขาคงจะอ่านหนังสืออยู่เป็นเวลา2 ชั่วโมงแล้วเมื่อผมไปเยี่ยมเขา )

2. I shall have been watching TV for an hour when he arrives.

( ฉันคงจะอ่านหนังสืออยู่เป็นเวลา1 ชั่วโทงแล้วเมื่อเขามาถึง )

หมายเลขบันทึก: 576631เขียนเมื่อ 23 กันยายน 2014 14:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 กันยายน 2014 14:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท