โครงการพัฒนาผู้นำเพื่ออนาคตของคณะแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รุ่นที่ 1 (ช่วงที่ 1: 3 - 5 กรกฎาคม 2557)


สวัสดีครับลูกศิษย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ ชาว Blog

ภารกิจสำคัญของผมอีกภารกิจหนึ่งนับจากวันนี้ คือ การได้รับเกียรติจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มอบให้ผมเป็นครูใหญ่ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โครงการพัฒนาผู้นำเพื่ออนาคตของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รุ่นที่ 1 และ รุ่นที่ 2 เพื่อพัฒนาบุคลากรของคณะแพทย์ฯ จำนวน 100 คน ให้มีศักยภาพ ความรู้ ความสามารถ พร้อมที่จะขับเคลื่อนผลงานที่เป็นเลิศสู่สังคมไทย

ผมขอขอบคุณท่านคณบดี รศ.นพ.สุธรรม ปิ่นเจริญ ที่ให้เกียรติผมและทีมงานเสมอ และขอชื่นชมที่ท่านเป็นผู้นำที่มีปรัชญาและความเชื่อเรื่องทุนมนุษย์ว่าเป็นทุนที่สำคัญที่สุดที่จะขับเคลื่อนความเป็นเลิศขององค์กร ซึ่งเป็นความเชื่อและศรัทธาที่ทำให้ผมมุ่งมั่นทำงานในเรื่องทุนมนุษย์ หรือ ทรัพยากรมนุษย์ มากว่า 35 ปี

โครงการพัฒนาผู้นำเพื่ออนาคตของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รุ่นที่ 1 จะเป็นกิจกรรมการเรียนรู้หลักสูตรต่อเนื่องระยะยาว รวม 20 วัน ระหว่างวันที่ 3 กรกฎาคม - 27 กันยายน 2557 

ผมขอเปิด Blog นี้ เพื่อเป็นคลังความรู้ของพวกเรา และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมุมมองของลูกศิษย์ของผมและท่านที่สนใจหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนครับ

จีระ หงส์ลดารมภ์

บรรยากาศการเรียนรู้ช่วงที่ 1

บรรยากาศการเรียนรู้วันที่ 3 ก.ค. 57 

ปฐมนิเทศ และแนะนำทฤษฎีที่สำคัญเพื่อการเรียนรู้ 

Learning Forum & Workshop

หัวข้อ ทุนมนุษย์ – Mindset - Leadership และการทำงานในยุคที่โลกเปลี่ยนของคณะแพทย์ฯ มอ.”  

Breaking the ice activity

หัวข้อ “LEADERSHIP & TEAMWORK” 

บรรยากาศกาเรียนรู้วันที่ 4 ก.ค. 2557

Panel Discussion & Workshop หัวข้อ วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ.”



Forum & Workshop

หัวข้อ “Key words of success: Leadership – Mindset – Thinking outside the box– Thinking new box.”

สรุปการบรรยายรายวิชา 3-5 กรกฎาคม 2557

ปฐมนิเทศ และแนะนำทฤษฎีที่สำคัญเพื่อการเรียนรู้

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2557

เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 57 ผมและคณะได้รับเกียรติมาให้คำปรึกษาและบรรยาย เรื่องทิศทางการบริหารงานบุคคลสู่ความเป็นเลิศ ในกิจกรรมการนำเสนอผลงานพัฒนาและการประกันคุณภาพของภาควิชาต่างๆ

กฟผ.ต่างกับมอ. คือมอ.เป็นกลุ่มผู้เข้ารับการอบรมที่คละกันหลายฝ่าย เช่น เภสัชกร ผู้บริหาร และมีรุ่นที่หลากหลาย

หลักการและเหตุผล

โลกาภิวัตน์ / ประชาคมอาเซียน &AEC

ความเสี่ยง / Multiple Crisis & Permanent Crisis ความเสี่ยงที่เป็นขนมชั้น มาแล้วมาอีก หากไม่พร้อมกับการจัดการกับวิกฤติก็ไม่รอด และต้องการให้เติบโตอย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง

การสร้างความสามารถทางการแข่งขัน

การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

การเติบโตอย่างยั่งยืน

ทฤษฎี 3 V

Value added เป็นพื้นฐาน และทำให้เกิดมูลค่า หรือพื้นฐานมากขึ้น เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่การเรียนในวันนี้ทำให้รู้มากขึ้น

Value creation การรวมตัวกันคิดนอกกรอบ มีความคิดสร้างสรรค์ มีนวัตกรรมขึ้นมา มีโครงการใหม่ๆ ข้ามสายงาน ข้าม Silo รู้จักกับคนภายนอกองค์กรให้มากๆ

Value diversity เช่น โครงการกศน. ที่เกี่ยวกับการเกษตรและอาเซียน เป็นการฝึก Training for Trainer 1 ต่อ 100 คน ต้องมีเครือข่ายกับประเทศในอาเซียนให้ได้

การสร้าง 3 V ของคณะแพทย์เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก หากทำสำเร็จจะประสบความสำเร็จมาก

ทุนมนุษย์ และ ผู้นำรุ่นใหม่ขององค์กร

วัตถุประสงค์

เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ ใฝ่รู้ ตื่นตัว และตระหนักถึงการพัฒนาตนเองและองค์กร อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมในการเรียนรู้

เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้ได้รับความรู้ มุมมอง และแนวคิดที่เป็นประโยชน์จากผู้ทรงคุณวุฒิผู้มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่เป็นที่ยอมรับในสังคมไทย ซึ่งจะสามารถนำความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้กับการทำงานขององค์การในอนาคตได้

เพื่อสร้างเครือข่าย (Network) และแนวร่วม (Partners) และสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาสร้างโอกาสต่าง ๆ และมูลค่าเพิ่ม แก่องค์การ

เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหาร บุคลากรภายในองค์การ และลูกค้า หรือประชาชน โดยการปรับเปลี่ยนแนวคิด วิธีการทำงานให้มุ่งเน้นไปที่ปัจจัยแห่งความสำเร็จ และการบริการที่มุ่งเน้นไปที่ลูกค้า ทั้งลูกค้าภายในองค์กร และลูกค้าภายนอกองค์กร ชุมชนและสังคมให้มากยิ่งขึ้นซึ่งจะเป็นแนวทางที่สำคัญในการพัฒนาอย่างสมดุลและยั่งยืน

บรรยากาศในการเรียนรู้

Morning Coffee / Morning Brief

Round Tables

Mobile Library

Internet Corner

Coffee Corner

Plants / Flower Decoration

วิธีการเรียนรู้ของ ดร.จีระเพื่อ HR เป็นเลิศ

การเรียนแบบ Learn Share และ Care เป็นแนวคิดในการเรียนทุกครั้ง

ทฤษฎี 4L’s

- Learning Methodologyมีวิธีการเรียนรู้ที่ดี

- Learning Environment สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้

- Learning Opportunities สร้าง/เกิดโอกาสจากการเรียนรู้ ได้ประทะกันทางปัญญา ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

- Learning Communities สร้าง/เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้

การ Execution ในประเทศไทยทำได้ยาก เนื่องจากเวลาเจออุปสรรคก็จะทำไม่สำเร็จ

สิ่งที่ต้องคิดคือ อุปสรรคของคณะแพทย์คืออะไร

ทฤษฎี 2 R’s

Reality - มองความจริง

Relevance - ตรงประเด็น หากอยู่ด้วยกันแล้ว ต้องคิดว่าสิ่งที่สำคัญของคณะแพทย์คืออะไร

ต้องบริหารแบบมองกว้าง มองครบ แบบ Holistic

เป้าหมายของมอ.

1. ต้องเข้าสู่อาเซียน

2. ต้องแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

- ปรับ mindset เป็นแบบ Flexible ให้ได้ เพื่อพร้อมในการเปลี่ยนแปลง

ทฤษฎี 3L’s

  • -Learning from pain เรียนรู้จากความเจ็บปวด
  • -Learning from experiences เรียนรู้จากประสบการณ์
  • -Learning from listening เรียนรู้จากการรับฟัง

การทำงานทีหนักเกินไปต้องมีการปรับสมดุลให้กับชีวิตด้วยเพื่อให้ชีวิตมีความสุข

Learning How to Learn

คุณพิชญ์ภูรี:

ท่านคณบดี รศ.นพ.สุธรรม ปิ่นเจริญ กล่าวว่า ต้องการให้ทุกท่านเป็นผู้นำที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามเหตุการณ์ เทคโนโลยี สังคมโลก ซึ่งเป็นภาพแวดล้อมที่เราต้องเผชิญ

วิธีการ คือ ต้อง Active Participation เป็นการประทะการทางปัญญา วันนี้เราเริ่มด้วยการ Pre planning ก่อน เพื่อให้เห็น 2R’s

มีทฤษฎีจากต่างประเทศมากมาย เช่น 7 habits , crucial conversation

2R’s ต้องดูว่าความจริงของคณะแพทย์คืออะไร ต่อให้มีกูรูจากต่างประเทศที่ค่าตัวแพง ก็อาจได้แนวคิด แต่หากเอามาปฏิบัติจริงๆก็อาจจะไม่ได้ผลเสมอไป เนื่องจากการบริหารจัดการของคณะแพทย์เปลี่ยนแปลงเสมอ

ต้องเริ่มจาก ความจริงเสมอ คือ Reality

1. บุคลากรคณะแพทย์มีความหลากหลาย มีระดับขั้นมาก Change Agent เป็นสิ่งที่ดร.จีระ อยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลง คือ มีความเก่ง กล้า และมีคนสนับสนุน

2. วิธีการต่างๆต้องเข้าประเด็น องค์ประกอบ 3 ประการ คือ

- บุคลากร ต้องลงทุนให้เป็นทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพ

- องค์ความรู้ ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต คือต้อง learn share care

- เครื่องมือที่สำคัญ คือ ต้องมีกรอบแนวคิด ในการรับฟังความรู้ที่ได้จากวิทยากร

ต่อมาก็จะเกิดความคิด แล้วนำไปปฏิบัติจริง เพื่อนำสู่ความสำเร็จ อย่างยั่งยืน

อ.จีระ: หนังสือที่ Assignให้อ่าน HR Execution

อาจารย์จีระเดช: หลังจากที่ติดตามอาจารย์จีระเป็นเวลานาน วันนี้ผมจับประเด็นได้ว่า ผมเป็นคนคิดนอกกรอบผมเป็นโรคเบาหวาน มียาชนิดใหม่ออกมา ที่ใช้สะดวกมากขึ้น คือฉีดพ่นทางปาก ผมมีความสนใจในเรื่องแพทย์แผนไทย แต่แพทย์แผนไทยมีปัญหาภายใน วันนี้ในโครงการนี้ผมขอถือโอกาสมาเรียนรู้ด้วย และอยากให้ผู้เข้าอบรมเรียนแบบไม่ต้องมี Pattern แต่ขอให้คิดนอกกรอบ

แสดงความคิดเห็น

คุณลักษมี สารบรรณ: ขอถามถึงการดูงานไปต่างประเทศ

อ.จีระ: การเดินทางไปต่างประเทศตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลง เป็นการดูงานในภาคใต้ และในกรุงเทพ

คุณภูวดล ผู้ช่วยคณบดี: ชอบแนวทางการมอบหมาย Assignment แบบเช็ครายบุคคล เนื่องจากเป็นการกระตุ้นที่ดี

คำถาม: เรื่อง AEC คณะแพทย์มีความร่วมมือกับประเทศมาเลเซีย อยากทราบว่าจะนำไปต่อยอดอย่างไรบ้าง

อ.จีระ: ผมสามารถติดต่อกับทูต ตอนนี้ยังมีความเป็นไปได้ในการนั่งรถบัสข้ามไปยังประเทศมาเลเซีย

อ.นพ.ธีรพล ภาควิชารังสีวิทยา: ตื่นเต้นมาก ไม่ชอบพูดกลางที่ประชุม วันนี้ผมดีใจที่ได้เข้าร่วมหลักสูตรนี้ ทำงานมา 10 ปี รู้สึกว่าอยู่ใน Comfort Zone อย่างที่อ.สุธรรมพูด รู้สึกว่าผมอยากพัฒนาตัวเอง ให้เป็นผู้ช่วยคณบดี สารสนเทศ อยู่ตำแหน่งมาครึ่งปี มีอุปสรรคบางอย่างเข้ามา จึงคิดว่าการพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และติดตามรายการโทรทัศน์อ.จีระมานานแล้ว คาดหวังกับการอบรมครั้งนี้มาก จึงต้องแสดงออก และกล้าที่จะพูดมากขึ้น

ผู้จัดการพยาบาล: คราวที่แล้วเป็นนักเรียนหลังห้อง มองว่า HR ในปัจจุบันเปลี่ยนมากมาย มองว่าเรื่องสมาธิสามารถนำมาประยุกต์ในการทำงานได้เมื่อมีอายุมากขึ้น เมื่อมองว่าการบริหารคนนั้น การพัฒนาคนและ HR ต้องนำมารวมกับเรื่องสมาธิได้เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น

ดร.จีระ: ทำเรื่องคนมา 40 ปี เห็นว่าประเทศสิงค์โปร์จะขาดเรื่องความสุข ความสมดุล และเรื่องสมาธิ แนะนำว่าต้องกลับไปที่ Basic culture เป็นเรื่อง Intangible ที่วัดยาก ต้องคิดถึงส่วนรวม คณะแพทย์มีทุกอย่างแต่บางครั้งไม่มีคนมาคอยแนะนำ หลักสูตรนี้ต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วมถึงจะบรรลุเป้าหมาย

คุณอุมา พยาบาลอายุรกรรมชาย 1 : เป็นหลักสูตรที่มี่คุณค่ามาก สิ่งที่คาดหวัง คืออยากรู้ทฤษฎี และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานได้ คิดสิ่งที่เรียนรู้เพื่อทบทวนความคิด และคิดในสิ่งที่สร้างสรรค์ การไปดูงานใน 4 องค์กรที่เป็นเลิศก็เป็นประโยชน์มาก เพื่อให้มีการเรียนรู้แบบ Learn Share Care

อ.จีระ: หลังจากที่ฟังความคิดเห็น เห็นว่ามีช่องทางเป็นอย่างมาก ข้อเสนอแนะก็ให้รุ่น 2 ได้รับทราบด้วย ต้องทำงอย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่อง และต่อเนื่อง

การศึกษาไทยหากอยู่ในมือของนักการเมืองก็ทำให้ระบบการศึกษาไทยล้มเหลว

มอ. ต้องรักษาการปราศจากจากนักการเมือง และลงไปถึงชุมชนมากขึ้น
คุณรุ่งทิพย์ ภาควิชารังสี: มีความคาดหวังว่าจะต้องกล้า ก่อนที่จะเก่ง ต้องเรียนรู้

อันตรายของคณะแพทย์ คือ จัดการกับ Stakeholder ภายนอกได้ไม่ดี เป็นเหยื่อของเชื้อโรค แต่ไม่ได้มองคนที่เอาเชื้อโรคมา วันนี้ต้องปรับ Mindset ให้กว้างขึ้น

คนไทยพบว่า ถ้าเป็นคนที่มีวัฒนธรรมการเรียนรู้จะชนะกับ Comfort zone ไม่อย่างนั้นคนที่ทำงานไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นเสมียน  

ทุนมนุษย์ – Mindset - Leadership

และการทำงานในยุคที่โลกเปลี่ยนของคณะแพทย์ฯ มอ.

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2557

Dwight D. Eisenhower ผู้นำไม่ใช่การสั่งการและไม่ใช่ตำแหน่ง ผู้นำคือ ความศรัทธา

นโปเลียน: กล่าวว่าผู้นำคือความหวัง

จีระ: ผู้นำส่วนหนึ่งมาจากพรสวรรค์ แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ และสามารถฝึกฝนได้

พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา: คน คือ ทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร

Antony Robbins: พลังจากข้างในมีมากมหาศาล

สุภาษิตจีน กล่าวว่า ปลูกพืชล้มลุก.. 3-4 เดือน ปลูกพืชยืนต้น.. 3-4 ปี

ปลูกพืชคน.. ทั้งชีวิต

หลักสูตรนี้ยากที่การ Execution คนที่ประสบความสำเร็จคือ คนที่ศึกษา ลุ่มลึก และกัดไม่ปล่อย

การมองทรัพยากรมนุษย์มองที่ Micro ต้องดูจังหวะโอกาสของเราว่าจะเดินไปทางไหน

ตัวอย่างบริษัทที่ประสบความสำเร็จในโลก คือมาจาก Human imagination ทั้งในสังคม ธุรกิจ เศรษฐกิจ

ภาวะผู้นำ

Overview

1. ทำไมวิชานี้ถึงมีความสำคัญกับคณะแพทย์

- แก้ปัญหาวิกฤติให้ได้

- ต้องทายอนาคตให้ออกว่าจะไปในทิศทางไหน

2. ผู้นำเป็นส่วนหนึ่งของทุนมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของสมรรถนะ เป็นสิ่งที่ต้องมีเพื่อรองรับงานในองค์กร

- ผู้นำเป็นตัวผลักดันให้เกิดความสำเร็จในองค์กร

3. External and Internal Environment

ต้องจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ไม่แน่นอน ทายไม่ได้ ทั้งในระดับ External เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ASEAN 2015 และในองค์กร เช่น ความคิดที่หลากหลายระหว่าง Generation หรือมาจากสถาบันต่างกัน ภาคต่างๆของประเทศไทย รวมทั้งการบริหารแรงงานต่างด้าวขององค์กรในอนาคตจะเป็นการจ้างงานแบบไร้พรมแดน

4. รูปแบบของผู้นำมีหลายรูปแบบ

- Leadership style

- Leader & Manager

- Trust & Authorities

- Transformation & Transactional ทำในสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีที่สุด

- Charismatic Leadership คนที่เป็นผู้นำเกิดมาจากบุคลิกของตัวเอง

- Situation Leadership สำคัญที่สุดในหลักสูตรนี้ เป็นสถานการณ์ของการเป็นผู้นำ ทำให้เกิดพลัง เกิดแรงบันดาลขึ้นมา

- Born to be or trained to be

ทุนมนุษย์ของคณะแพทย์ มอ.ในมุมมองของ ดร.จีระ

ทุนมนุษย์ต้อมีการปลูก คือการเพิ่มทักษะในการทำงานให้มากขึ้น

เก็บเกี่ยว คือ ทำอย่างไรให้เขาอยากทำงานให้เรา

และ Execution

ทฤษฎี 8 K’s : ทฤษฎีทุน 8 ประเภทพื้นฐานของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

Human Capital ทุนมนุษย์

Intellectual Capital ทุนทางปัญญา

Ethical Capital ทุนทางจริยธรรม

Happiness Capital ทุนแห่งความสุข

Social Capital ทุนทางสังคม

Sustainability Capital ทุนแห่งความยั่งยืน

Digital Capital ทุนทาง IT

Talented Capital ทุนทางความรู้ ทักษะ และทัศนคติ

5 K’s (ใหม่) : ทฤษฎีทุนใหม่ 5 ประการเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุคโลกาภิวัตน์

Creativity Capital ทุนแห่งการสร้างสรรค์

Knowledge Capital ทุนทางความรู้

Innovation Capital ทุนทางนวัตกรรม

Emotional Capital ทุนทางอารมณ์

Cultural Capital ทุนทางวัฒนธรรม

การปลูก คือ ปลูกตอนทำงานอยู่

การทำงานในยุคใหม่ Competencies โดยทั่ว ๆ ไป ประกอบด้วย 5 เรื่องที่สำคัญ ได้แก่

1.Functional Competency

2.Organizational Competency

3.Leadership Competency

4.Entrepreneurial Competency เน้นข้อนี้เป็นสำคัญ

5.Macro and Global Competency

Mr. William E. Heinecke เขียนหนังสือ The Entrepreneur ซึ่งพูดถึงกฎทอง 25 ข้อ

เพื่อสร้างจิตวิญญาณผู้ประกอบการสำหรับการเป็นผู้บริหารธุรกิจยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งจะเป็นประโยชน์มาก

1. Find a Vacuum and Fill it.

2. ขอให้ทำการบ้าน

3. ทำเพราะมีความสุข

4. ทำงานหนัก และ พักผ่อนให้หนัก

5. อย่าพึ่งสมองตัวเอง

6. มีเป้าหมายชัดเจน

7. เชื่อสัญชาตญาณ

8. มองให้ไกล

9. สร้างแบรนด์ สร้างการตลาดของ

10. เป็นผู้นำ

11. ล้มแล้วเดินต่อ

12. จังหวะทำให้มีโอกาส

13.Embrace Change as a Way of Life.

14.Develop Your Contacts.

15.Use Your Time Wisely.

16.Measure for Measure.

17.Don't Put up with Mediocrity.

18.Chase Quality, Not Dollars.

19.Act Quickly in a Crisis.

20.After a Fall, Get Back in the Saddle Quickly. หลังจากล้มแล้ว ลุกขึ้นมา

21.Fight the Good Fight (especially those that you can win): Pizza Wars

22.People Build Brands, Brands do not Build People: Pizza Wars - Act II.

23.Be Prepared for Anything: The September 11 Rule.

24.Reinvent Yourself: Onwards and Upwards. ต้องไม่ทำงานไปเรื่อยๆ ต้องทำงานแปลกใหม่

25.Be Content.

ทั้งหมดนี้อยากให้เอาเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต

ดู เรื่องการเก็บเกี่ยว Harvesting เป็นเรื่องเดียวกับแรงจูงใจ เหมือนทฤษฎีของ Maslow

ขอเสนอทฤษฎี HRDS

  • -Happiness
  • -Respect
  • -Dignity
  • -Sustainability

เรื่องสุดท้ายของนำเสนอเรื่อง HR execution

1.วัฒนธรรมองค์กร

2.Silo based

3.Leadership at all levels

4.ตัวละครที่จะเล่นเป็นทีม CEO/ HR/ Non HR/ Stakeholder ข้างนอก

Tangible Intangible เป็นเรื่องของ Mindset
Visible

การมองคนแล้วเห็นเขา แต่จริงๆแล้วไม่เข้าใจมองแบบผิวเผิน

แต่ต้องมองแบบเข้าใจลักษณะพิเศษของเขา

Invisible People skill

Mindset

(1)ดูจากทฤษฎี 8K’s เขียนไว้แล้วใน Talent Capital ว่าต้องมี 3 อย่าง

qSkills

qKnowledge

qMindset หรือ Attitude

2) Attitude กับ Mindset แตกต่างกันหรือไม่?

คำตอบคือ แตกต่าง

Mindset จะอยู่มานานและพื้นฐานฝังรากลึกจะเปลี่ยนลำบากกว่า

Attitude คือ ทัศนคติ หรือ ค่านิยมชั่วคราว เปลี่ยนง่ายกว่า

3) คือ Inner belief คือความเชื่อลึกๆ ที่อยู่ข้างใน เรียกว่าเป็น intangible และถูกอิทธิพลมาจากอาชีพการศึกษา การทำงาน และครอบครัว

4) ต่อมา Mindset กลายเป็นปรัชญาของชีวิต และงาน Philosophy of life and work ทำให้เกิดพฤติกรรมบางอย่าง หรือ Habit ซึ่งอาจจะไปสู่ความล้มเหลว เพราะโลกในอนาคตจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเป็นสิ่งที่อยากจะฝากไว้เป็นการบ้าน

5) Mindset มีหลายแนว คือ Positive, growth หรือ Fixed, negative หรือ flexible

6) Mindset ที่ไม่เหมาะสมอาจจะสร้างปัญหาให้องค์กรได้ เช่น การขัดแย้ง ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หรือ การขโมยไอเดีย และขาดไอเดียใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น

(7) วันนี้จึงยกเอางานวิจัยที่ Stanford ให้ดูซึ่งก็เป็นตัวอย่างกรณีศึกษาที่สำคัญ

ในความเห็นของผม..จุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับทุกท่านวันนี้ คือ เปลี่ยน Mindset

จาก Fixed Mindsetไปสู่ Growth Mindset เขียนโดย Dr. Carol

คนที่สามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ ก็มาจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นคนที่มี Flexible mindset

จากการที่ได้ทำหลักสูตรกับ PSU คณะแพทย์ก็อาจจะกระเด้งไปสู่แนวคิด Mindset ที่ใหม่กว่าเดิมก็ได้ หวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นทีดีในการเปลี่ยนแปลง

(8) เพื่อเสริมกรณีศึกษาของต่างประเทศ นอกจากกรณีของ Fixed/Growth แล้วได้ไปสัมภาษณ์อีก 2 ท่าน

ท่านแรก มองกว้าง : ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ

(เปิดเทปการสัมภาษณ์และวิเคราะห์ร่วมกัน)

และอีกกรณีหนึ่งที่อาจเปรียบเทียบได้กับคณะแพทย์ของเรา คือ กฟผ.ซึ่งผมเข้าไปพัฒนาผู้นำมา 10 ปีแล้วคุณภาวนา อังคณานุวัฒน์ (เปิดเทปการสัมภาษณ์ และ

วิเคราะห์ร่วมกัน)

หลักสูตรทั้งหลักสูตร คือ Mindset ครั้งแรกเน้นเรื่องปลูก เก็บเกี่ยว และ Execution เน้นเรื่อง Intangible Tangible Invisible และ Visible

คุณพิชญ์ภูรี: กรณีศึกษา MINDSET “พระมหาชนก” สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกสมเด็จพระราชบิดา จาก"สมเด็จเจ้าฟ้าทหารเรือสู่“พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย”

Workshop

กลุ่ม 1

1.Mindset ในอดีต และปัจจุบันของคณะแพทย์ คืออะไร และจะปรับตัวในอนาคตต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

ในอดีต ไม่พร้อมเรื่องหลักสูตร อุปกรณ์

ปัจจุบัน มุ่งเน้นระดับชาติ

คุณสมบัติ เตรียมคน ฝึกปฏิบัติให้มีความรู้ความสามารถให้มีการเรียนการสอน เตรียมหลักสูตรนานาชาติ ให้มีความหลากหลายทางด้านภาษา

2.ถ้าไม่ปรับปรุง Mindset ให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงจะเกิดผลเสียอย่างไร

เกิดความล้าหลัง ไม่มีทุนบริหารจัดการ

3.ยุทธวิธีที่จะปรับปรุง Mindset ให้เกิดประโยชน์ต่อคณะแพทย์ฯ จะต้องทำอย่างไร และมีอุปสรรคคืออะไร

ต้องปลูกฝังทัศนคติค่านิยม มีRole model ที่ดี

หาความเป็น unity ใน diversity

อุปสรรค

ให้ความหลากหลายของบุคลากร

แจ้งงานหลายระบบ

ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย

กลุ่ม 3

1. ในอดีต

- มีกฎระเบียบ วินัยที่ชัดเจน

- ความสัมพันธ์เป็นผู้ให้บริการกับผู้รับบริการ

-มีความผูกพัน รักองค์กร

ปัจจุบัน

  • -ความสัมพันธ์เป็นผู้ให้บริการกับผู้ใช้บริการ
  • -ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม

อนาคต

  • -มีการปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงกับสภาวะปัจจุบัน
  • -มีการปรับตัวในการใช้เทคโนโลยี

2. ถ้าไม่ปรับ Mindset

ทำให้องค์กรล้าหลัง

องค์กรไม่มั่นคง

3. – เปิดใจรับฟังระหว่างคนต่างรุ่นต่างวัย

- ยอมรับการเปลี่ยนแปลง

- มอบหมายงานที่ชอบ/ ท้าทาย

- นำค่านิยมขององค์กรมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม

- สร้างอัตลักษณ์คณะแพทย์ศาสตร์

- ปลูกฝังความคิดความสุขที่แท้จริง

อุปสรรค: ความหลากหลายของบุคลากร การสื่อสาร บุคลากรที่เป็นต้นแบบมีน้อย

กลุ่ม 4

1.Mindset ในอดีต และปัจจุบันของคณะแพทย์ คืออะไร และจะปรับตัวในอนาคตต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

  • -Mindset ไม่เคยเปลี่ยน
  • -ไม่เข้าใจแก่นแท้ ตั้งเป็น Me too You One
  • -เปรียบเทียบแล้วเป็น Intangible
  • -ตั้งเป็นการทำงานเป็นทีม มุ่งคุณภาพ
  • -ยึดถือความปลอดภัย

2.ถ้าไม่ปรับปรุง Mindset ให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงจะเกิดผลเสียอย่างไร

ทำให้มีความคิดตีกรอบ ทำให้ไม่พัฒนา ไม่สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติ

3.ยุทธวิธีที่จะปรับปรุง Mindset ให้เกิดประโยชน์ต่อคณะแพทย์ฯ จะต้องทำอย่างไร และมีอุปสรรคคืออะไร

ปรับ Mindset ของทีมผู้บริหารในปัจจุบัน และอนาคต และให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น

จัดกิจกรรมกลุ่ม ทำ Team building

หาเป้าหมายร่วมกัน มองผลลัพธ์มากกว่าวิธีการ

อุปสรรค: นโยบายของคณะที่ต่างกัน ทำให้ Mindset สับสน ไม่สามารถพัฒนาไปสู่อนาคตได้ ความคิดติดกรอบ มีช่องว่างของคนที่ต่างวัย

กลุ่ม 2

1.Mindset ในอดีต และปัจจุบันของคณะแพทย์ คืออะไร และจะปรับตัวในอนาคตต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

  • -เชื่อมั่นในความเก่ง ทำให้ไม่มีเครือข่าย ไม่ติดต่อกับข้างนอก
  • -ไม่มี Stakeholder
  • -วิธีการแก้ปัญหาค่อนข้างติดลบ
  • -ระบบแก้ปัญหา ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าวิธีการไม่เหมาะสม ไม่ตรงจุด
  • -ค่านิยมไม่เข้มแข็ง
  • -การบริหารส่วนใหญ่เป็นระบบ Top down

2.ถ้าไม่ปรับปรุง Mindset ให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงจะเกิดผลเสียอย่างไร

  • -ลูกค้าไปใช้บริการที่อื่น
  • -เกิดคู่แข่งระหว่างองค์กร
  • -กาเติบโตขององค์กรช้า
  • -สูญเสียโอกาสในการแข่งขัน การเป็นผู้นำ
  • -ลดความสามารถในการตอบสนองลูกค้าและกาตลาด

3.ยุทธวิธีที่จะปรับปรุง Mindset ให้เกิดประโยชน์ต่อคณะแพทย์ฯ จะต้องทำอย่างไร และมีอุปสรรคคืออะไร

  • -สร้างเครือข่ายทั้งภายใน ภายนอก
  • -มุ่งเน้นการบริการ
  • -มีการกระจายอำนาจ
  • -ปรับระบบเป็น Bottom up
  • -ปรับเป็น Team networking
  • -เป็นมิตรกับทุกฝ่าย

อุปสรรค

  • -การสื่อสาร
  • -ความแตกต่างของช่วงอายุ
  • -ขนาดขององค์กรใหญ่
  • -บุคลากรมองเห็นเป้าหมาย
  • -ไม่เห็นความเชื่อมโยง
  • -ความเชื่อใจในการมอบอำนาจ

กลุ่ม 5

1.Mindset ในอดีต และปัจจุบันของคณะแพทย์ คืออะไร และจะปรับตัวในอนาคตต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

รักษาโรคยาก ซับซ้อน มุ่งเน้นการรักษาพยาบาลเทียบเท่านานาชาติ

สร้างเครือข่าย

เน้นการทำงานเป็นทีม

2.ถ้าไม่ปรับปรุง Mindset ให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงจะเกิดผลเสียอย่างไร

  • -มีการล้าหลัง ตกยุค โดดเดี่ยว งานที่ล้นมือไม่มีคุณภาพ

3.ยุทธวิธีที่จะปรับปรุง Mindset ให้เกิดประโยชน์ต่อคณะแพทย์ฯ จะต้องทำอย่างไร และมีอุปสรรคคืออะไร

  • -เตือนให้บุคลากรตระหนักในการบริหาร
  • -ผู้นำต้องเป็นต้นแบบ
  • -การจัดกิจกรรม Mindset
  • -การประเมินผลสม่ำเสมอ

อุปสรรค: บุคลากรไม่เห็นความสำคัญ ไม่มองว่าเป็นวิกฤติ ติดกับดักความสำเร็จ

อ.จีระ: เมื่อมีการทำวิจัยต้องกลับไปดูพื้นฐานในการทำวิจัยร่วมกัน

ความสุขต้องดู 2 เรื่อง คือ Happy Workplace งานที่แต่ละคนทำ ต้องมี Purpose capability health

คุณพิชญ์ภูรี: ทำโจทย์ได้อย่างดี ต้องฝึกการนำเสนอ แต่ผลที่ออกมาค่อนข้างดี

หัวข้อ “LEADERSHIP & TEAMWORK”

โดย รศ.ดร.เฉลิมพล เกิดมณี

3 กรกฎาคม 2557

ขอเริ่มด้วยเรื่อง Change

1. ทำไมต้องเปลี่ยนแปลง

2. ใครได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง

3. ทำอย่างไร

4. ผลที่ได้รับคืออะไร ต้องคิดถึงการลงทุน outcome และ impact คืออะไร

เหตุผลของการเปลี่ยนแปลง

1. มีเหตุและผลขององค์กรที่ต้องเปลี่ยนแปลง

2. การเปลี่ยนแปลงเหมาะสมกับเราและองค์กร

3. มั่นใจว่าสมเหตุในวิธีการที่จะเปลี่ยน

4. เปิดใจทีจะสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ชัดเจน

ิ่งที่ทำให้ Mindset ต่างกัน

เหตุอะไรที่ทำให้เราแตกต่างกัน

อะไรเป็นตัวกระตุ้นการแสดงออก ก็คือสิ่งแวดล้อม

องค์กร หรือทีม ก็เกิดจากสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดความต่าง

ถ้าหากเห็นประโยชน์ร่วมกัน หรือ Win-Win ก็มุ่งไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

หากจินตนาการสิ่งใด ก็จะได้สิ่งนั้น หากได้รับประสบการที่ดีก็อยากทำอีก หากทำอีกก็เป็นนิสัย หากต้องการปรับเปลี่ยนตัวเองก็ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนจินตนาการ

จินตนาการ คือ การทำแบบ หลังจากนั้นเราจะทำพฤติกรรมให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมาเอง

หลังจากจินตนาการ จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถและการอดทน

คณะแพทย์มีเป้าหมายอย่างไร

สิ่งที่ทำให้องค์กรไปข้างหน้า ต้องคำนึงถึงความเห็นของคนในองค์กรเป็นสิ่งที่จำเป็น

กิจกรรม

เขียนชื่อของเรา และจงเขียนความสามารถ ความเก่ง ความเชียวชาญ พรสวรรค์ ความชำนาญของตนเอง

ให้เพื่อนเขียนความสามารถ ความเก่ง ความเชียวชาญ พรสวรรค์ ความชำนาญของคุณด้วยความปรารถนาดี

ความเก่ง เป็นจุดยืนของแต่ละคน

แต่ละ Gen เก่งอะไร และต้องดูว่า Gen นั้นเก่งอะไร เพื่อนำมาปรับใช้ในองค์กรเพื่อสร้างตัวงานร่วมกัน

4Q’s

Intelligence Quotient

Emotional Quotient

Moral Quotient

Survival Quotient

บุคลิกภาพของคน

C นักทฤษฎี: ชัดเจน ถูกต้อง ตามกฎ มีเหตุผล ระมัดระวัง เป็นทางการมีหลักการ ยึดติดกับรายละเอียด ไม่ชอบเสี่ยง

D นักผจญภัย

กล้าตัดสินใจ เข้มแข็ง มุ่งมั่น ชอบการแข่งขัน มีข้อเรียกร้องสูง เป็นอิสระ มั่นใจในตัวเอง ดุดัน ผ่าซาก เอาตัวเองเป็นหลัก ใช้อำนาจ

S นักปฏิบัติ

สงบนิ่ง ระมัดระวัง อดทน เป็นผู้ฟังที่ดีถ่อมตน เชื่อถือได้ ไม่รับแนวคิดใหม่ ไม่แสดงออก ดื้อเงียบ ไม่แสวงหาการเปลี่ยนแปลง

I นักกิจกรรม

ชอบเข้าสังคม ช่างคุย เปิดเผย กระตือรือร้น มีพลัง ชักจูงใจผู้อื่น ร่าเริง โวยวายเสียงดัง ไม่ระมัดระวัง ตื่นเต้น รีบร้อน ไม่สนใจเรื่องเวลา

  • -ต้องค้นหาตัวเองให้พบ

กระบวนการพัฒนาของคน

  • -เมื่อเกิด ใช้ตัวเองเป็นที่ตั้ง I โตขึ้น ต้องการ EQ ได้ความรัก ความอบอุ่น มี Role model ที่ดี ต่อมาเป็นนักทฤษฎี
  • -คน GEN Y พ่อแม่มีเงิน แต่ไม่มี MQ ใช้ IQ เรื่อยๆ ต่อไปเข้าสู่การผจญภัย ใช้เหตุและผล การสร้าง Gen Y ให้สมบูรณ์แบบต้องเสริมสร้าง MQ
  • -วีธีการพัฒนาคนแต่ละกลุ่ม คือ ต้องวนตามเข็มนาฬิกา เช่น จะพัฒนาคนตัว S ให้เป็น D ต้องพัฒนาให้เป็นนักทฤษฎีก่อน
  • -คนทั้ง 4 กลุ่ม สามารถขึ้นมาเป็นผู้บริหารได้ อยากให้องค์กรเป็นแบบใด ก็เลือกผู้บริหารเข้ามาแบบนั้น

บุคลิกภาพของผู้นำ : ผู้นำไม่ต้องมีตำแหน่ง เป็นคนชี้ทิศทาง เป็นคนชี้ process

มีความปรารถนาดีงาม ตื่นตัว มีแรงจูงใจ
ความชัดเจนในความคิด การประสานงานกายและใจ กิริยาอ่อนน้อม
ความคิดเชิงบวก การตัดสินใจ สบายใจ
มีสมาธิและการจดจ่อ มีวินัย มีความสุขกับชีวิต
มีพลังชีวิต ความแข็งแกร่งของร่างกาย มีความสามารถสื่อสาร
ความยืดหยุ่นทางใจ ประสิทธิผลในการมีชีวิต เชื่อมั่นในตนเอง
มุ่งมั่น สุขภาพแข็งแรง มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เข้าใจผู้อื่น
จิตใจมั่นคง มีกำลังใจ มีความกล้า
มีเป้าหมายชัดเจน ขยัน หลับสนิท
มีจิตนาการ ช่างเรียนรู้ เรียนรู้เร็ว
มีสติไม่วิตก ละเอียด มีความอดทนทางกายและใจ
มีความปรารถนาดีงาม ตื่นตัว เป็นผู้ให้
มีทักษะและความถนัด มีความจำดี ยอมรับในความแตกต่าง

บุคลิกในการเป็นผู้นำที่ดี คือ ความเข้าใจธรรมชาติ

IQ สูงสุดของมนุษย์คือการเข้าใจธรรมชาติ ทำให้เห็นสิ่งต่างๆเป็นธรรมชาติ ทำให้มีใจเป็นกลาง

เข้าใจลูกน้องว่านิสัยของลูกน้องแต่ละคนไม่เหมือนกัน จะทำให้เข้ากับทุกคนได้ง่าย

การเข้าใจสมดุล เป็นเรื่องของการเข้าใจธรรมชาติ

อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันยาก

การสร้างทีม : หากมีคนหนึ่งในสังคมพยายามทำตัวให้ใหญ่ สังคมก็ไปต่อไม่ได้

การที่จะทำให้อยู่ร่วมกัน และเข้าใจกันได้ดี คนที่จะขึ้นเป็นผู้บริหาร ต้องใจกว้าง ต้องทิ้งความเป็นตัวตน ความเห็นของตัวเองต้องน้อยลง ต้องเห็นแก่ความคิดเห็นร่วม

กระบวนการบริหารคนในองค์กร DCSIมีความสุข ทำได้ดังนี้ จับให้อยู่ตรงที่ ชูเอกลักษณ์ของแต่ละคน เอาความเด่นออกมาปรับให้เหมาะสม

การสื่อสาร : จุดอ่อนของการสื่อสาร คือคุยกันแล้วไม่เข้าใจกัน เพราะฉะนั้นต้องกลับไปทำความเข้าใจของคนทั้ง 4 กลุ่ม

ในการทำงาน เข็มทิศ เปรียบเหมือนทิศทาง สำคัญมากกว่าเวลา

เวลาทำงาน ต้องดูที่ Mindset ซึ่งคือคุณค่าที่แท้จริง ต้องเข้าใจธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ำ เป็นสิ่งดี แต่เวลาน้ำท่วมไม่ดี

ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีอย่างเดียว มันจะดีเมื่ออยู่ในที่ๆควรจะอยู่

เมื่อเราเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น เราก็จะดูแลสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นต้องหามุมบวกของสิ่งนั้น แล้วเราก็จะเห็นคุณค่า

ความสุขในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ หากยึดติดกับอดีต และกังวลกับอนาคตที่มาไม่ถึง ก็จะทำให้ชีวิตมีแต่ความกลุ้มใจ ไม่มีความสุข ต้องตั้งต้นด้วยความศรัทธา มีความสุขกับปัจจุบัน

การใช้ 4Q’s ในการทำงาน ในการแก้ปัญหา จะทำให้ไม่มีปัญหาในการตัดสินใจ

หากจะคิดทำอะไร ต้องคิดทำใหม่

KPI เชิงปริมาณ ไม่สามารถทำให้เต็มสเกลได้ KPI ที่ดีต้องเป็น KPI เชิงคุณภาพ ซึ่งจะทำให้เกิดความใหม่ในระบบ

กระบวนการสร้างความใหม่ คือ การเอาเหตุและผลมาชนกัน

ตา น้ำเสียง สีหน้า : น้ำเสียงมีอิทธิพลมากที่สุด

การคิดอย่างเป็นกลยุทธ์

1. เป้าหมาย

2. หาจุดยืน ปรับกรอบความคิด

3. วิเคราะห์ มีเป้าหมายมีปัญหาอะไร และทำอย่างไรจึงพึงพอใจ

4. แรงช่วย

5.วางแผน และ ปฏิบัติ ควรปรับปรุงและพัฒนาอย่างไร 

สรุปการบรรยายหัวข้อ

วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ.”

โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล

อาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์

ดำเนินการอภิปรายโดย อาจารย์จีระเดช ดิสกะประกาย

4 กรกฎาคม 2557

ผศ.ดร.พงษ์ชัย: ค่าตอบแทนเมื่อเปรียบเทียบกับแพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุข แบ่งการรักษาเป็นหลายระดับ

การที่ไปดูแลองค์กรคล้ายมอ. คือ

1. ดูแลที่รพ.กรุงเทพคริสเตียน ในการพัฒนาหลักสูตรใหม่ๆ เกี่ยวกับ Healthcare logistic

2. ไปช่วยรพ.กรุงเทพ มีแพทย์จากหลายโรงพยาบาลในกามสัมมนาร่วมกัน โดยมีสมเด็จพระเทพทรงเปิดงาน

3. ลูกศิษย์คือ แพทย์ และวิศวะมาร่วมมือกัน มีลูกศิษย์ทำบริษัทบุญถาวร ทำสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ลูกศิษย์เป็นรองผู้อำนวยการ โดยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องโลจิสติกส์เท่านั้นไม่มีความรู้เรื่องแพทย์ อยากสร้างรพ.ให้เป็นระดับ 3 ไม่ต้องการสอนนักศึกษาแพทย์ให้จบเป็นผู้เชี่ยวชาญแพทย์เท่านั้น แต่ต้องการให้จบมาสามารถเรียนรู้ด้านการบริหารโรงพยาบาลได้

เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ มี 31 เครือโรงพยาบาล เช่น รพ. พญาไท เปาโล สมิติเวช ภาคใต้มี 2 รพ.กรุงเทพ คือ อยู่ที่ สมุย และ ภูเก็ต

รพ.ภาคเอกชนที่มุ่งเน้น Tertiary คือ โรงพยาบาลเครือกรุงเทพ และบำรุงราษฎร์ มี partner ด้านหัวใจคือ รพ.เมโย

เพราะฉะนั้นเรามีรพ.ที่มีความแข็งแรงมากมาย นอกเหนือจากรพ.รัฐ เช่น ศิริราช จุฬาลงกรณ์ และ รามาธิบดี

กลุ่มตรงกลางไม่ใหญ่มากเป็นรพ.เอกชน เช่น เกษมราษฎร์ นนทเวช

ลักษณะรพ.ของรัฐ เน้นการรักษาโรค

ลักษณะรพเอกชน เน้นเรื่องการตรวจสุขภาพ แต่มอ.ควรเน้นมาทางด้านนี้มากขึ้น เพื่อทำให้ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพก่อน

กรณีมอ. มีข้อจำกัด ควรทำให้เป็นข้อดี และข้อด้อยของตัวเอง บางครั้งมีค่านิยมแปลกๆบ้าง บางครั้งความดึงดูดก็ยังดึงดูดคนในพื้นที่ได้เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับรพงแพทย์ในกรุงเทพถือว่าเสียเปรียบ

แต่ถ้าอยากทำให้มีโอกาสขึ้นมาคือ การเน้นไปยังประเทศเพื่อบ้านมากขึ้น

หรือการเปลี่ยนภาพโรงพยาบาล เช่น คณะแพทย์ศาสตร์มอ. ยังต้องปฏิบัติตามพรก.

รพ.ศิริราช ตั้งรพ.ปิยมหาราชการุณย์ ไม่ได้เป็นรพ.ในสถาบันการศึกษา

หากอาจารย์แพทย์เก่งๆ แต่จ้างในราคาถูกบางครั้งก็จะถูกรพ.เอกชนใหญ่ดึงตัวไปรพ.ก็อยู่ไม่ได้

ควรนึกถึง Medical tourism เพื่อรองรับคนไข้ที่มาจากหลากหลายพื้นที่ได้มากขึ้น

บุคลากร PSU ทางคณะแพทย์ ปัจจุบันไหลไปทางต่างๆมากมายดังนี้

1. Private Hospital

2. Public Health Hospital รพ.สาธารณสุข รายได้จาการเป็นแพทย์สังกัดนี้ มากกว่ารายได้ของคณะแพทย์ศาสตร์ มอ.

3. Oversea Hospital เช่น ประเทศมาเซีย อเมริกา เพราะได้รายได้สูงกว่ามาก

- ประเด็นท้าทายของคณะแพทย์ มอ. คือ ประเด็นนี้ว่าจะทำอย่างไรถึงจะ Keep บุคลากรเหล่านี้ไว้ได้

- ความต้องการทางการแพทย์ในอนาคตของประเทศไทยเกิดจาก

1. GDP Growth หากมีการเจริญทางด้านเศรษฐกิจ อัตราการเติบโตทางการแพทย์ก็จะสูงขึ้นด้วย ดังนั้นความสามารถทางการรักษา บุคลากรทางการแพทย์ เตียงคนไข้ ของคณะแพทย์มอ.จะโตทันหรือไม่ให้ทัน 7% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมคนที่อายุมาก

2. ลักษณะความต้องการไม่ได้เป็นเรื่องการเสียแล้วซ่อม แต่เป็นเรื่องการตรวจเช็คมากขึ้น

3. Medical Tourism คนกลุ่มที่มีเงินก็จะไปยังรพ.เอกชนมากกว่า เช่น เครือรพ.กรุงเทพ เป็นอันดับ 3 ของโลก

ความท้าทายในอนาคต คือ คณะแพทย์มอ. มีการเตรียมความพร้อมด้านนี้อย่างไร ต้องมีระบบทางการแพทย์มากขึ้นทำอย่างไร แต่ส่วนใหญ่ติดกับตัวเอง คือ มัวรองบประมาณรัฐบาล

ความกดดัน ที่จะเป็นการท้าทายของคณะแพทย์ศาสตร์

1. Patient Protection Act การวินิจฉัยคนไข้แล้วต้องมีการอัดวีดีโอเป็นหลักฐานเพื่อให้คนไข้ฟ้องร้องแพทย์เมื่อมีการวินิจฉัยผิดได้

2. งบประมาณที่ถูกตัดจากรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และคณะแพทย์ รพ. ไม่บูรณาการกัน เป็นสิ่งที่ต้องระวัง เพราะมอ.ต้องหาแหล่งเงินมาจากที่อื่น

3. มาตรฐานต้องสูงขึ้น ต้องมีการสร้างน่าความเชื่อถือ

4. Universal Coverage Scheme เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค รพ.ส่วนกลางได้เปรียบ คือ จุฬา ศิริราช รามา

5. การแข่งขันสูงขึ้น : สมัยก่อน เวลาเจ็บป่วยเข้ารพ.รัฐ แต่สมัยนี้ไปรพ.เอกชนได้ การแข่งขันสูงทำให้ทางเอกชนมองว่าเป็นโอกาส และเป็นธุรกิจที่โตอย่างยั่งยืนเมื่อสามารถสร้างชื่อเสียงได้

อัตราการเติบโตวัดจากจำนวนเตียง บุคลากร รพ.รัฐแพ้รพ.เอกชน

รพ.กรุงเทพ มีต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ทำเรื่อง Central lab และทำเรื่องประกันด้วยการตั้งบริษัทขึ้นมากเองเกี่ยวกับบริษัทโลจิสติกส์ และยังซื้อโรงงานผลิตน้ำเกลือ ผ้าก๊อซ ผลิตเข็ม ซึ่งเป็นธุรกิจที่โตอย่างไม่สิ้นสุด

ส่วนมอ. หรือรพ.รัฐ ต้องเปลี่ยนกรอบความคิด ปรับรูปแบบให้ได้ เพราะต่อจากนี้ยังจะมีการเปิดประชาคมอาเซียนอีกด้วย

6. ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น รพ.รัฐจำนวนหนึ่งจะมีงบประมาณไม่พอ บางครั้งอาจจะติดลบ และยังไม่มีวิธีการที่จะลดต้นทุนเป็นประเด็นท้าทายอีกประเด็นหนึ่ง

คณะแพทย์ศาสตร์มีเครื่องมือตัวหนึ่ง และมุ่งเน้นไปยังการพัฒนานักศึกษาแพทย์ หากทำได้ดีก็ยังทำเพื่อสังคมและยังได้รายได้ ต้องมองว่าจะทำการวิจัยการเรียนการสอนเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ใช้ความรู้ ประโยชน์ได้มากขึ้นอย่างไร

การออกแบบต้องมุ่งประโยชน์เพื่อการเรียนการสอน ไม่ใช่มุ่งการเพิ่มจำนวนเตียงเท่านั้น การเคลื่อนย้ายเครื่องมือทางการแพทย์มีการดำเนินการอย่างไร

ประเด็นท้าทาย

1. Modern Management Culture ต้องมีวิธีการบริหารสมัยใหม่ วัฒนธรรมก็ต้องใหม่ด้วย

2. Efficient PatientResponse การตอบสนองคนไข้ คำนึงถึงต้นทุนและรักษาหายอย่างมีประสิทธิภาพ

3. Internationalization ความเป็นสากล

4. New &High-tech Facilities เครื่องมือทางการแพทย์ ห้องปฏิบัติการ ต้องใหม่อยู่เสมอ

อ.จีระเดช: ประเด็นของท่านอาจารย์พงษ์ชัยคือ รพ.จะเน้นเรื่องการเชี่ยวชาญ ซึ่งรพ.ของรัฐจะมีปัญหา เนื่องจากหากรพ.รัฐมีโรงเรียนแพทย์จะเป็นแค่ศูนย์ฝึกของนักศึกษาแพทย์เท่านั้น

พิจารณา 2 ระบบ พร้อมกันทั้งรัฐและเอกชน ต้องปรับให้รพ.มีระบบการตลาด มีระบบวิศวะ มีระบบการบริการ

อ.จีระ: ครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ขอเสริมว่าอาจารย์พงษ์ชัยมองภาพกว้าง และรวมไปถึง Micro ควรจะพูดถึง Action response รวมไปถึง Sustainability ด้วย

เมื่อวานพูดเรื่องทุนมนุษย์ Mindset ในอนาคตเน้นเรื่องผู้นำถึงจะเปลี่ยนแปลงได้

เห็นแนวอย่างหนึ่ง คือ เส้นทางกับภาคเอกชน เป็นการต่างคนต่างทำ ทำให้มีการยั่งยืนที่ลำบาก เพราะฉะนั้นต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้ โดยต้องรวมพลัง มีประเด็นให้คนในสังคมยอมรับ ต้องจุดประกายเรื่องนี้ออกมา เช่น จีน นำโดย เติ้ง เสี่ยว ผิง ที่บริหารประเทศแบบ 2 systems 1 country

นพ.เกษม พูดเรื่องสมองไหลมา 10 กว่าปี คิดว่าด้าน Macro ถ้าทุกคนรวมพลัง จัดการการเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน ไม่สามารถทำนายได้ ถือเป็นจุดแข็งในอนาคตได้

การตระหนักเรื่องอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้ามีความใฝ่รู้ มีการจัดการการเปลี่ยนแปลงในอนาคต มีการ Self-learning

Competency ของ Bill Heinecke จะมีกฎของนักธุรกิจ คือ การมีจิตวิญญาณของการทำอะไรให้เกิด 3V หรือการคิดนอกกรอบ แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม จริยธรรม

Value added อย่างเดียวไม่พอ ต้อง Turn to action ต้อง Execution

นักบริหารต้องมีสำนึกของการหาเงินเข้าองค์กรได้ เนื่องจากบางครั้งงบประมาณแผ่นดินมีเยอะ แต่ก็มีปัญหา

ขอให้ทุกท่านมองเป้าหมายหลักขององค์กรร่วมกัน และมองไปยังอนาคตเพื่อหาเงินเข้าองค์กรได้ด้วยการวิจัยด้วยการร่วมมือกับคณะอื่น มุ่งเน้นไปยังต่างประเทศ มากขึ้น

Value creation ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ และมุ้งไปสู่นวัตกรรม แต่ต้องมีกรอบคุณธรรม จริยธรรม

Value diversity การร่วมมือ การมีโครงการกับนานาชาติ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และพร้อมรองรับกับการเปลี่ยนแปลง

คำถาม

1. รพ.รัฐจะเสียเปรียบด้านโฆษณาควรทำอย่างไร

อ.พงษ์ชัย: เรื่องโฆษณาภาคเอกชนต้องทำ เนื่องจากคนไข้ต้องเสียเงินแพงกว่า จึงจำเป็นต้องโฆษณาเพื่อดึงลูกค้าเข้า

ต้องคิดว่ามอ.จำเป็นต้องโฆษณาหรือไม่ ถ้าไม่มีคนไข้ที่จ่ายแพงกว่ามาที่รพ.เราก็ไม่จำเป็น เพราะลูกค้าของรพ.เป็นชาวบ้าน เป็นอาจารย์อยู่แล้ว

เรื่องเทคโนโลยีไม่นิ่ง จะมีสิ่งใหม่เข้ามาอยู่เสมอ ต้องอัพเกรดเครื่องมืออยู่ตลอดเวลา รพ.กรุงเทพใช้หุ่นยนต์ทดลองมาเป็นพยาบาลเฝ้าคนไข้ในตอนกลางคืน โดยมีกล้อง CCTV ถ่ายหน้าคนไข้ตลอดเวลา เพื่อให้แพทย์ดูได้ตลอดเวลา

ต้องคำนึงว่าเทคโนโลยีต้องคำนึงถึง ค่าใช้จ่ายถูกลง รวดเร็ว ชีวิตง่ายขึ้น เป็นเรื่องเทคโนโลยีที่เป็นทุกส่วน อาจจะทำเป็น Application ที่ใช้กับ Smart phone

2. นพ.สุทธิพงษ์ : การที่จะทำเป็นรพ.เอกชน จะถือเป็นการเลียนแบบหรือไม่ หากจะแข่งขันจริงๆ ก็คงจะไม่ชนะ ควรทำเป็นรูปแบบไหนถึงจะเหมาะสม

อ.พงษ์ชัย: ไม่ได้ให้เปลี่ยนตัวตนทั้งหมด แต่ให้คงหลักการที่ยังคงเดิม แต่ต้องยอมรับความจริงว่าเปลี่ยนบริบทไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเรายึดตัวเอง ไม่ดูสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปคงจะอยู่ไม่รอด เพราะสมัยนี้มีรพ.เอกชนที่เป็นตัวแข่งขัน

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมีดังนี้

1. ลูกค้าที่ใช้บริการเปลี่ยนแปลง ลูกค้ายอมจ่ายแพง เพื่อให้ได้รับการบริการที่ดี

2. คู่แข่งที่เปลี่ยนแปลง มีกำลังเงินที่จะจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์

3. สภาพแวดล้อมโดยรวมเปลี่ยน เมื่อมีการเปิด AEC ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ความเป็นภูมิภาคก็เปลี่ยนไป การลงทุน Facilitator เปลี่ยน

4. ตัวองค์กรเปลี่ยน องค์กรต้องคิดเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอด

นพ.วิวัฒนา: ส่วนเอ็กซ์เรย์ เห็นด้วยกับการปรับตัวที่ทันสมัย แต่การปรับตัวสามารถทำได้ 2 แบบ คือ ทำให้ร้อนขึ้น หรือทำให้เย็นลงก็ได้ เช่น ทฤษฎีความพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งแบบนี้จะต้องใช้ปัญญามากกว่า บางครั้งอาจารย์แพทย์ที่อายุมาก อาจจะไม่ได้มีความทันสมัยทางด้านเทคโนโลยี แต่มีความทันสมัยทางด้านความรู้หรือทางปัญญา

อ.จีระเดช: บางครั้งประเทศไทยรับ Impact จากต่างประเทศมาก แต่ต้องดูกำลังตัวเองด้วยว่าประเทศไทยจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้หรือไม่ ถ้าไม่ไหวก็ค่อยไปอย่างช้าๆ

อาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์: อยากทำอะไรที่เปลี่ยนไปจากเดิม

จากรพ.ตึกเก่าๆ เป็นตึกใหม่ๆ อยากจะเห็นผลลัพธ์ใหม่ๆในการเปลี่ยนแปลงโรงพยาบาล

การทำอะไรต่างไปจากเดิม ต้องมาจากความคิดที่ต่างไปจากเดิม ไอน์สไตน์กล่าวว่า คาดหวังผลลัพธ์ต่างๆจากเดิมแต่ทำแบบเดิมๆแบบนี้เรียกว่าฟั่นเฟือน

คำถาม

3. การมีระบบโลจิสติกส์มาปรับใช้อย่างมีคุณภาพ

อ.พงษ์ชัย: ระบบโลจิสติกส์ การเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจาย ต้องกำหนดว่าต้องจะการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจาย อย่างในรพ.ก็ต้องเป็นคนไข้ มีทั้ง Walk in คนไข้ที่จองเวลานัดหมาย คนไข้ที่เป็นตามอาการ

ขั้นแรก เริ่มต้นจากคนไข้ที่การจองนัดหมายมาควรทำให้มาก และคนไข้ที่เป็น Walk in มาควรน้อยกว่า

และเริ่มจากการสกรีนคนไข้ก่อน ควรคิดว่าจะมีการจัดตารางนัดหมายอย่างไร

กลุ่มที่ 2 คือ พวกยาเวชภัณฑ์ บริษัทยาก็มุ่งมาหาหมอแต่ละคน ยาประเภทเดียวกันบางครั้งก็สั่งมาจากหลายแบรนด์ทั้งๆที่รักษาอาการโรคเดียวกัน

ต้องมาทำStock rationalization

กลุ่ม 3 การเจาะเลือดของแต่ละวอร์ด วอร์ดไหนต้องการเดินเลือดที่ต้องการตรวจ ก็ส่งคนจากส่วนกลางไปเดิน และนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ โดยการใช้บาร์โค้ด ควบคุมการเดิน

กลุ่ม 4 ห้องคนไข้ที่มี 800 เตียง ต้องทำให้ช่วงเวลาที่ต้องเปลี่ยนคนไข้ใช้เวลาน้อยที่สุด ทำให้มีการใช้เวลาสั้นลง โดยให้ใช้ระบบคล้ายโรงแรม

กลุ่ม 5 เรื่องอาหาร ที่เสิร์ฟให้คนไข้ 3 มื้อ บางครั้งการจ้างคนภายนอกง่ายกว่า

กลุ่ม 6 การทำความสะอาดผ้าลีนิน ใช้บริษัทภายนอกมาทำให้จะดีกว่า

กลุ่ม 7 การบริหารจัดการเข็ม ผ้าก็อซที่ใช้แล้ว

รพ.รามาธิบดี มีแผนที่จะใช้ในการใช้โลจิสติกส์ระบบอิเล็คทรอนิกส์

ตัวอย่างในต่างประเทศ ในห้องคลอด ของต่างประเทศให้คุณพ่อเข้าไปในห้องคลอด

คำถาม

อ.นพ.ธีรพล : ในอนาคตอาจจะเกิด Career path ที่ถูก recruit เข้ารพ.เอกชน

อะไรเป็นสาเหตุที่บุคลากรไม่ไปรพ.เอกชน

องค์กรจะทำอย่างไรให้บุคลากรเหล่านี้ไม่ไปและอยู่ในองค์กร

อ.พงษ์ชัย: คิดว่าเอกชนมักง่ายในระบบนี้ ใช้เครื่องมือแบบไม่มีจริยธรรม แต่เราห้ามเอกชนไม่ได้ เพราะเขาใช้เงินล่อ แต่บางครั้งแพทย์ที่จบใหม่ๆก็ต้องการสร้างตัว สร้างครอบครัว ต้องการได้เงิน เพราะฉะนั้นเงินเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตต่อไป แนะนำว่าก็ต้องสร้างแรงจูงใจด้วยเงิน

คนอีกกลุ่ม เงินไม่ใช่ปัจจัย ต้องการทำอะไรที่ท้าทาย ไม่อยากมีกฎเกณฑ์ แต่อยากจะให้ปรับโดยที่ไม่ต้องเซ็นส์ชื่อ แต่อยู่ในระบบที่ไว้ใจได้

บางครั้งบุคลากรอยู่ไม่ได้เพราะผู้บริหารมี Mindset ที่ยึดเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง

คำถาม: คำว่าคุณค่าใครเป็นตัวกำหนด

อ.จีระ: ต้องบอกว่า Happy workplace คณะเป็นตัวกำหนด แต่สิ่งที่ตัวกำหนด คือ Happy at work เราทำงานแล้วมีความสุขหรือไม่ เราทำงานเพื่ออะไร

แต่เมืองไทยชอบเน้น Happy workplace มีความยืดหยุ่น/ มีwork at home

คณะแพทย์ควรเน้น Learning habit ต้องมีความใฝ่รู้

คำถาม: เรื่องสมองไหล ปัญหาขององค์กร เรื่องสมองไหลเป็นปลายทางและเห็นว่าสิ่งที่วัดได้คือ engagement ขององค์กร มี passion ในการทำงานหรือไม่ แต่เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่สุด แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ เรื่อง MOTTO คือ ยึดส่วนรวมเป็นที่หนึ่ง ส่วนตนเป็นที่สอง

คนที่มาทำงานเอกชนด้วยการไปด้วยเงิน ก็ไม่จริงทั้งหมด เพราะเอกชนก็Recruit คนเก่งเข้าไป หากไม่เก่งจริงเอกชนก็ไม่เอา ปัจจุบันเอกชนส่งคนไปเรียนมากขึ้น มอ.ปรับตัวตรงนี้ยังไม่ค่อยได้ ต้องหาที่อยู่ของเราเองให้เหมาะสม

สมองไหลเป็นปัญหาแต่ยังไม่critical แต่มีปัญหาเรื่องไม่โตเท่าที่ควร คนเก่งออกไป คนเก่งไม่เข้า คนเก่งไม่มา คนอยู่ก็ไม่เก่งเท่าที่ควร เนื่องจากไม่มีแรงจูงใจ ต่อไปก็จะเหวี่ยงทำให้เป็นโรงพยาบาลระดับกลาง

รพ.เอกชนและรัฐ สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่ในเชิงธุรกิจอาจเป็นคู่แข่ง เพราะยังเชื่อว่าแต่ละที่ยังมีที่ยืนต่างกัน

อ.จีระ: อยากให้ความคาดหวังของแต่ละคนสามารถเติมเต็มในส่วนที่แต่ละคนต้องการ และต่อไปก็ต้องเติมเต็มให้สังคมด้วย วันนี้ขอให้จับประเด็นให้ถูก เพื่อนำความคิดเห็นมาเรียนรู้กัน

 Learning Forum & Workshop

สรุปการบรรยายหัวข้อ

“Key words of success: Leadership – Mindset – Thinking outside the box

– Thinking new box.”

โดย อาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์

4 กรกฎาคม 2557

1.ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันถูกคาดหวังในการทำงานคืออะไร

2.ฉันมีอุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็นในการทำงานของฉัน

3. ในการทำงานฉันมีโอกาสทำในสิ่งที่ฉันทำได้ดีที่สุดทุกวัน

4. ในระยะเวลา 7 วันที่ผ่านมา ฉันได้รับการยกย่องชมเชยจากการทำงานดี

5. หัวหน้าโดยตรงของฉัน หรือคนอื่นๆในที่ทำงานแสดงออกว่าแคร์ฉัน

6. มีคนในที่ทำงานที่คอยสนับสนุนให้พัฒนาตนเอง7. คนในที่ทำงานรับฟังความเห็นของฉัน

8.ภารกิจหรือเป้าหมายขององค์กรทำให้ฉันรู้สึกได้ว่างานของฉันมีความสำคัญ

9.เพื่อนร่วมงานของฉันมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างมีคุณภาพ

10. ฉันมีเพื่อนที่ดีในที่ทำงาน

11. ในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา มีคนที่ทำงานพูดคุยเกี่ยวกับหน้าที่การงานของฉัน

12. ในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา มีโอกาสเรียนรู้ในการทำงาน

ความคิดสร้างสรรค์ คิดอะไรใหม่ๆ จะได้ผลลัพธ์การทำงานที่ต่างไปจากเดิม

คำถาม อะไร คือ แก่นของความสามารถหรือแก่นที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในการทำงาน

คำตอบคือ มนุษยสัมพันธ์ และความคิดสร้างสรรค์

  • -คนเราถ้าทำอะไรบ่อยๆก็เก่งเรื่องนั้น
  • การบริหารความคิดสร้างสรรค์
  • 1. Mindset
  • 2. Mood
  • 3. Mechanics กลไกขั้นตอนในการสร้างความคิดสร้างสรรค์
  • 4. Momentum ทำให้ความคิดเกิดขึ้นแล้วขึ้นอีก
  • คำถาม การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องฟ้าประทานหรือต้องสร้างขึ้นมาเอง

อ.ศรัณย์: ทั้ง 2 อย่าง ทั้งฟ้าประทาน คือ ความถนัดของเรา และเราก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง คือขั้นตอนในการคิด

ไอคิว กับความคิดสร้างสรรค์ ส่วนใหญ่เป็นอิสระต่อกัน เช่น ไอสไตน์, เอดิสัน , สตีฟ จอปส์

คนที่สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ สามารถเป็นได้หลายแบบ คือ

-นักประดิษฐ์ ISTP,INTP

- นักประพันธ์ ISFP,INFP

- นักผจญภัย ESTP,ESFP

- ผู้นำทาง ISTJ,ISFJ

- นักสำรวจ ENTP,ENFP

- ผู้มีวิสัยทัศน์ INTJ,INFJ

- นักบิน ESTJ,ENTJ

- นักประสานเสียง ESFJ,ENFJ

สิ่งที่ทำให้รู้ตัวตนว่าเก่งด้านไหน เพราะหากรู้แล้วจะสามารถเป็นคนที่มีตระหนักรู้ และมีความมั่นใจ

โดยการทำแบบประเมิน รหัส E/I S/N T/F J/P

ตามทฤษฎี Personality Type บุคลิกภาพของบุคคลมี 4 ประเภท :

i.Extraversion-Introversion (E-I) : สิ่งที่บุคคลให้ความสนใจ

ii.Sensing-Intuition (S-N) : องค์ประกอบที่ทำให้ทราบว่า บุคคลต้องการทราบข้อมูลต่างๆ เพราะเหตุใด

iii.Thinking-Feeling (T-F) : องค์ประกอบที่แสดงให้เห็นว่า บุคคลจะตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้อย่างไร

iv.Judging-Perceiving (J-P) : องค์ประกอบที่ใช้วัดว่า บุคคลต้องการติดต่อกับโลกภายนอกมากน้อยเพียงใด

คำถาม ความคิดสร้างสรรค์กับ IQ สิ่งไหนมาก่อน และควรจะใส่อะไรให้ก่อน

อ.ศรัณย์: ซีกขวาเรื่องอารมณ์ความรู้สึกมีมาตั้งแต่เด็ก ซีกซ้ายเรื่องความรู้ มาทีหลัง แต่ซีกซ้ายใส่มาเยอะกว่าในสมัยเรียนจึงอาจจะมีมากกว่าซีกขวา แต่เราก็สามารถพัฒนาขึ้นโดยการคิดสร้างสรรค์

ไอเดียใหม่ๆมักเกิดขึ้นมาตอนต้องแก้ปัญหา และตอนทำงานเยอะก็เป็นโอกาสให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ขึ้น

คนเราต้องยอมรับความคิดต่าง เพื่อช่วยเพิ่มไอเดียเสริมเข้าไปในการทำงาน

การคิดนอกกรอบ หากเป็นความคิดที่ผิดกรอบสังคมก็ใช้จริงในการทำงานไม่ได้ เหมือนเป็นผลไม้ดิบ เราทายไม่ได้ แต่หากเราบ่มไอเดีย เราก็สามารถนำมาใช้ได้เป็นการคิดคร่อมกรอบ

การคิดคร่อมกรอบ มี 4 วิธี คือ

1.โฟกัสข้อดีของไอเดีย Pluses

2. ข้อดีที่เกิดขึ้นในอนาคต Potential

3.หากคิดแล้วกังวล Concerns

4. ต้องหลบ เลี่ยง ทะลุ Opportuninties

เรียกขั้นตอนนี้ว่า PPCO

หากอยากจะมีไอเดียใหม่เกิดขึ้นอยากให้มีธงเรื่องอะไร

ขอเสนอโครงการศูนย์บริการเซ็กส์เสื่อม

ข้อดี Pluses

  • -ลูกค้าเยอะ
  • -ช่วยเหลือสังคม
  • -แก้ปัญหาครอบครัว

Potential

  • -ได้คนไข้ทั่วโลก
  • -เปลี่ยนจากคนแก่เป็นหนุ่ม

Concern

  • -อาย
  • -ขาดพรีเซนเตอร์
  • -วัฒนธรรมไทย
  • -ภาพลักษณ์

Opportuninties หาโอกาสพลิกจาก C

  • -เปลี่ยนชื่อโครงการ
  • -ประกวดชื่อภายในรพ.อย่างเป็นความลับ
  • -Positioning การแพทย์
  • -ใช้ Mascot แทนพรีเซนเตอร์
  • -ทำ CSR มูลนิธิครอบครัวสุขสันต์

Momentum จากหัวหน้า

  • -ต้องเสนอเจ้านายแต่ต้องมีจังหวะในการนำเสนอที่ดี

5 ขั้นตอนในการนำเสนอไอเดียใหม่

1. ทำให้หัวหน้าสั่งให้เราคิด

2. เสนอไอเดียตามที่หัวหน้าสั่ง (ถ่อมตน)

3. ถามหัวหน้าถึงข้อดี

4. ขอให้หัวหน้าสอนเพิ่มเติม

5. กลับไปเสนอไอเดียเพิ่ม จากข้อ4. ตามที่หัวหน้าสั่ง และสอน 

สรุปการบรรยาย

หัวข้อ “Managing Self Performance”

โดย อาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์

5 กรกฎาคม 2557

อ.อิทธิภัทร: วันนี้ถือว่ามาแบ่งปันความรู้ระหว่างกัน ปัญหาตอนนี้คือการมี Gap ระหว่างผู้ใหญ่กับGen ใหม่ๆ ซึ่งเด็กสมัยนี้มีความสามารถมาก ควรมีโค้ชระหว่างวัยรุ่นกับวัยรุ่นจะดีมาก

ระบบการเรียนรู้มี 3 ขั้น 3L’s Coaching

1. ต้องรู้เรื่องผู้นำ

2. ต้องรู้เรื่องทักษะชีวิต สิ่งสำคัญคือเวลา กับ เข็มทิศ

3. ต้องมีการเรียนรู้

คนในองค์กรหากทำงานทุกวัน แต่ไม่ผูกพันกับที่บ้านทำให้คนสูญเสียความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้การ Coaching เข้าไปengagement ด้วย

หลักของการCoaching คือ เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ รอเพียงโอกาสที่จะได้รับศักยภาพนั้นอย่างเต็มที่

การ Create Positive Change Agents เป็นเรื่องสำคัญ เป็นการสร้างความรู้สึกบวกให้กับผู้ที่ได้รับคำชม

หัวข้อสัมมนาและวัตถุประสงค์

1. ตัววัดความสำเร็จ ศักยภาพและสมรรถนะการทำงาน รู้ว่าองค์กรมองและการพัฒนาบุคลากรและผู้นำด้านใดบ้าง

2. การเข้าใจตัวเองและรู้สึกว่าตัวเองมีเป้าหมาย

3. สมมติฐานที่เชื่อแล้วจะช่วย

Competency มี 3 ด้าน หมายถึง

ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่สุดของคนที่จะประสบความสำเร็จ ประกอบด้วยพฤติกรรม ทัศนคติ และแรงบันดาลใจ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์กร

  • -ความอ่อนแอเป็นพลังที่สำคัญที่สุด

ทำไมจึงต้องรู้เรื่อง Competency

  • -High level of Competency

หนังสือ 7 habit บอกว่า คนเรามีธนาคารแห่งอารมณ์ มี positive emotion หมายถึงเรากำลังฝากอารมณ์ด้านบวกให้กับตัวเราและคนอื่น

Competency ข้างนอกเป็น ทักษะ กับความรู้ แต่สิ่งที่อยู่ลึก คือ Self-concept โดยการสร้างทัศนคติ กับค่านิยม

ส่วนที่มองเห็นได้ชัด (Visible) คือ ทักษะ และความรู้

ตัวอย่างการโค้ช :นักศึกษาคนหนึ่งกลัววิชาคณิตศาสตร์มาก ต้องใช้วิธีหาความรู้สึกของนักศึกษาคนนี้ แล้วคำตอบจะออกมาว่าทำไมถึงกลัว

Body and mind จะออกมาจากการแสดงความรู้สึกของทุกๆคน

สิ่งที่สำคัญคือ

  • -คุณลักษณะที่มองเห็น: ทักษะ และความรู้
  • -คุณลักษณะที่มองไม่เห็น : ความเข้าใจ ทัศนคติ ค่านิยม การมองตัวเอง บุคลิกภาพและแรงจูงใจ

องค์กรจะหล่อหลอมได้ด้วย การมีค่านิยมที่เหมือนกัน

ค่านิยม ที่ยึดถือของคนที่ประสบความสำเร็จคือ ความมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จ: เป็นความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมายและมาตรฐานที่กำหนดไว้

  • -ตัวอย่างหนังสือที่ดี คือ วิธีก้าวจากจุดที่คุณอยู่ข้ามไปสู่จุดที่คุณต้องการ The success principle โดย Jack Canfield

กิจกรรม: ให้เลือกรูปภาพที่ชอบมา 3 รูป

  • รูปที่ 1 รูปไหนที่เป็นตัวเองใน5-10 ปีที่แล้ว
  • รูปที่ 2 รูปไหนที่แสดงถึงปัจจุบัน

รูปที่ 3 รูปไหนที่แสดงถึงเป้าหมายชีวิต 5-10 ปีข้างหน้า

- ใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3 นาที

รอบที่ 1 มองหาใครก็ได้ที่อยากคุยเอารูปไปด้วยแล้วให้คุยกัน

ให้เลือกว่าใครเป็น A หรือ B ให้ A พูดก่อน B รับฟัง แล้วสลับกัน

รอบที่ 2 ให้เล่าให้เพื่อนฟังอีกคนหนึ่ง

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Coaching conversation

คำถาม: เมื่อฟังแล้วได้รับแรงบันดาลใจอย่างไรบ้าง

เมื่อเราวิเคราะห์ลึกๆเมื่อได้คุยกับเพื่อนแล้ว เราสามารถสัมผัสได้ว่าเราอยากเป็นอะไร

กฎแห่ง เลือกที่จะรับผิดชอบตัวเอง 100 % จากหนังสือ success principle โดย Jack Canfield กล่าวว่า คนที่ประสบความสำเร็จ ต้องมีหลักในการคิด ต้องรู้ว่าคุณอยู่ตรงไหนและจะก้าวไปตรงไหน ปัญหาคืออะไร

สูตร: รับผิดชอบต่อชีวิตคุณ 100%

เหตุการณ์ (E)+การตอบสนอง (R) = ผลลัพธ์ (O)

ถ้าเราไม่พอใจในผลลัพธ์ปัจจุบัน มี 2 ทางเลือก

1. โทษเหตุการณ์ ที่ทำให้ไม่เกิดผลลัพธ์

2. เปลี่ยนการตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างที่เป็นอยู่จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

คนเราตอนนี้อยู่ในภาวะอะไร

Cause ทำให้เกิดขึ้น เป็นสาเหตุของความสำเร็จ > Effect รอสิ่งที่เกิดขึ้น (คนที่ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์)

  • -ให้คิดว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรยาก มีแต่สิ่งที่ไม่คุ้นเคย

กฎแห่ง การเข้าใจให้ชัดว่าทำไมคุณถึงอยู่ตรงนี้

  • -เข้าใจตัวตนว่าคุณเป็นคนเช่นไร
  • -อะไรคือเหตุเบื้องหลังที่ทำ

ในชีวิตคนเรามีสิ่งที่มีอิทธิพลในชีวิตประจำวัน 3 สิ่งคือ

1. Be ตัวเองเป็นคนอย่างไร เช่น มีความคิดสร้างสรรค์ มีความมุ่งมั่น หากเรารู้สึกขาดในเรื่องการทำงานก็ต้องหาสิ่งอื่นมาทดแทนเพื่อให้สามารถเติบโตจากภายใน

2. Do

3. Have เป็นผลลัพธ์ ว่าจริงๆแล้วต้องการอะไร เป็นเป้าหมายในชีวิต หากเปรียบเป็นเรื่องการทำงาน ก็คือเป้าหมายในการทำงาน

กิจกรรม: เพื่อให้รู้จักตัวเองและคนอื่นเพื่อสร้างสัมพันธ์ในการทำงาน

  • -ให้เขียนว่าคนประเภทไหนหรือพฤติกรรมที่เราไม่ชอบ เช่น ไม่ตรงเวลา เอาเปรียบ
  • -ให้เขียนประเภทของพฤติกรรมที่เราชอบ เราใฝ่ฝัน เช่น รักษาเวลา เสียสละ

สรุปการบรรยายหัวข้อ “Personality and Social Skills Development”

โดย อาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์

5 กรกฎาคม 2557

First Impression

  • -บุคลิกภาพ
  • -ภาพลักษณ์ภายนอก เสื้อ ผ้า หน้า ผม
  • -น้ำเสียง
  • -คำทักทาย
  • -ภาษากาย
  • -การแต่งกาย

การนั่งเก้าอี้ : มือขวาจับพนักเก้าอี้ สอดตัวทางด้านซ้าย ผู้หญิงนั่งครึ่งเดียว หลังตรง

ผู้ชาย นั่งเต็ม ถ่างขาหลังตรง นั่งไขว่ห้างไม่สุภาพ

ถ้าเก้าอี้ที่นั่งมีที่เท้าแขน ควรนั่งให้เต็มเก้าอี้ แขนพาดไปข้างไปข้างหนึ่ง

การยืน : ผู้หญิง เท้ายืนแบบ 14.00 น. เก็บคาง

ผู้ชาย: ยืนส้นเท้าไม่ต้องติดกัน ประมาณฝ่ามือ มือไว้ข้างลำตัว

วิธีการเดิน เอาส้นลงก่อน แล้วเอาปลายเท้าลงตาม

เสื้อเชิ้ตผู้ชาย: คอปกต้องแข็ง

การเดินตามเจ้านาย : การเดินตาม เดินตามด้านซ้าย

ถ้าต้องเดินนำเจ้านาย นำด้านขวา ใช้มือขวาผายนำทาง

การไหว้: พนมมือกลางอก ไม่กางศอก ไม่ต้องทำพุ่ม ก้มศีรษะลงมา ไม่ต้องเลื่อนมา

การแนะนำระหว่างหญิงกับชาย: ให้เกียรติผู้หญิงก่อน หากต้องแนะนำให้เจ้านายรู้จัก ต้องให้เกียรติเจ้านายก่อน คือ ต้องมีการแนะนำตัวระหว่างกัน ไม่ควรถามเรื่องส่วนตัว พูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ตรงหน้า คนกลางที่แนะนำก็จะได้รู้สึกสบายใจด้วย

Tips 5 ข้อ

1. ปลอดภัย

2. สะดวกสบาย

3. ให้เกียรติ

4. อัธยาศัยไมตรี

5. ความมีระเบียบเรียบร้อย

การขึ้นบันได: ผู้หญิงควรขึ้นบันไดก่อนผู้ชาย

การลงบันได: ผู้ชายลงก่อน เพราะหากผู้หญิงพลาดตกผู้ชายช่วยได้

การรดน้ำสังข์: ผู้หญิงนั่งด้านซ้าย ผู้ชายนั่งด้านขวา ต้องรดเจ้าสาวก่อน แล้วค่อยรดเจ้าบ่าว

การจัดงานเลี้ยง: แขกคนสำคัญอยู่ทางขวามือของเจ้าภาพเสมอ

การนั่งตามตำแหน่งที่ถูกต้อง: หากมี 3 คน เบอร์ 1 โซฟาเป็นที่ของแขก

เก้าอี้ ที่ใกล้ประตูเป็นที่ของเจ้าของบ้าน เบอร์ 2 นั่งเก้าอี้

ผู้หญิงไม่ควรนั่งใกล้ประตู เพราะต้องเน้นเรื่องความปลอดภัย

แต่ถ้าบังเอิญผู้ใหญ่นั่งโซฟา ก็ให้ผู้อาวุโส หรือผู้ใหญ่นั่งใกล้ที่สุด

การนั่งรถ: รถยนต์ ผู้ช่วยเจ้านายนั่งหลังคนขับ เจ้านายนั่งเยื้องคนขับ

ถ้าเจ้านายขับเอง เรานั่งข้างๆแบบเจียมเนื้อเจียมตัว

รถตู้ : ถ้าไปกันเยอะ เด็กขึ้นก่อน และเข้าด้านใน ผู้ใหญ่นั่งแถวแรกตรงกลาง

ภาพลักษณ์ขององค์กรเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่งต้องแต่งกายให้สุภาพ มีกาลเทศะ

การแต่งกาย:

ผู้ชายมีมาด ตอนใส่สูท

ผู้หญิง รองเท้าส้นสูง

3 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อบุคลิก :สีสัน เส้นสาย สัดส่วน

ผู้ชาย: ดูที่คอเสื้อ

คนอ้วน: ไม่ควรใส่เสื้อลายขวา

สายสิญจน์: บางครั้งเป็นสีดำแล้วจะทำให้ดูไม่ดี

คนทำงานในออฟฟิต หากไม่รู้จักกันการเรียกขานชื่อคน : ใช้คำว่าคุณสุภาพที่สุด

หากเรียนใครว่าท่าน ต้องตามด้วยตำแหน่ง

นามบัตร: การแลกนามบัตร ใส่ซองนามบัตร อย่าใส่ในกระเป๋าสตางค์ ควรยื่นให้ผู้ที่จะรับอ่าน

หากรับนามบัตรมาอย่าเพิ่งรีบเก็บ ควรอ่านชื่อ แล้วถามว่าอ่านถูกต้องหรือไม่ เป็นมารยาทที่ดี ตัวอักษรในนามบัตร ควรมีขนาดที่เหมาะสม

การรับไหว้: ผู้ใหญ่ควรจะรับไหว้เด็ก

คำถาม: ผู้ชายสามารถใส่กระเป๋าสตางค์และมือถือในกระเป๋ากางเกงได้หรือไม่ และควรใส่กระเป๋าไหน

อ.ณภัสวรรณ: ควรใส่กระเป๋าข้าง ไม่ควรใส่กระเป๋าหลัง แต่ขนาดกระเป๋าสตางค์และมือถือไม่ควรใหญ่เกินไป

เครื่องประดับผู้หญิง: ต่างหู ควรใส่ชนิดติดหู ไม่ห้อยและมีขนาดใหญ่เกินไป

คำถาม: อาชีพบางอาชีพไม่สามารถแต่งหน้าได้ มีวิธีการอย่างไร

อ.ณภัสวรรณ: ไม่ต้องแต่งหน้า แค่เขียนขอบตา และทาปากก็พอ

สิ่งที่ได้ความรู้ในวันนี้

1. เรื่องตำแหน่งที่นั่ง

2. การนั่งรถตู้ว่าต้องนั่งตำแหน่งไหน

3. การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม

4. การแต่งตัวของผู้หญิงและผู้ชาย

5. การปรับเปลี่ยนทรงผม

6. การเลือกสีสันให้เหมาะกับสีผิว

7. วิธีการยืนให้สง่า

8.การเลือกเสื้อให้เหมาะกับเสื้อผ้า

9.การแลกนามบัตร อย่ารีบเก็บควรอ่านชื่อนามสกุลทวนก่อน

10. เวลาใส่สูทของผู้หญิงไม่จำเป็นต้องติดกระดุม

11. การเดินต้องลงส้นก่อน

12. เรื่องสายสิญจน์ ไม่ควรผูก

13. เราไม่ต้องคำนึงถึงอายุ ขึ้นอยู่กับจิตใจ

14. ต้องพัฒนาตัวเอง

15. ใช้คำพูดให้สุภาพ

16. เวลาอยู่ในห้องประชุม ควรปิดมือถือ

17. การแนะนำตัวอย่าไปถามเรื่องส่วนตัว

18. การมีความละเอียดและประณีตกับตัวเอง ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมได้

19. Tips 5 ข้อ

1. ปลอดภัย

2. สะดวกสบาย

3. ให้เกียรติ

4. อัธยาศัยไมตรี

5. ความมีระเบียบเรียบร้อย

อ.ณภัสวรรณ: บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องเริ่มพัฒนาที่ตัวเอง ถึงจะเป็นตัวอย่างที่ดีได้

คำถาม: เวลานั่งรับประทานอาหารให้ผู้ใหญ่ จำเป็นต้องตักอาหารให้หรือไม่

อ.ณภัสวรรณ: ไม่ควรตักให้ ควรถามแค่ความต้องการว่าต้องการรับหรือไม่ แล้วส่งให้ผู้ใหญ่ตักเอง

การสะพายกระเป๋า: ไม่ควรสะพาย ควรถือจะดูดีกว่า

หมายเลขบันทึก: 571555เขียนเมื่อ 3 กรกฎาคม 2014 09:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 กรกฎาคม 2014 10:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (187)

ทุนมนุษย์ – Mindset - Leadership

และการทำงานในยุคที่โลกเปลี่ยนของคณะแพทย์ฯ มอ.

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

โครงการพัฒนาบุคลากรเพื่ออนาคตของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

รุ่นที่ 1

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2557

Dwight D. Eisenhower ผู้นำไม่ใช่การสั่งการและไม่ใช่ตำแหน่ง ผู้นำคือ ความศรัทธา

นโปเลียน: กล่าวว่าผู้นำคือความหวัง

จีระ: ผู้นำส่วนหนึ่งมาจากพรสวรรค์ แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ และสามารถฝึกฝนได้

พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา: คน คือ ทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร

Antony Robbins: พลังจากข้างในมีมากมหาศาล

สุภาษิตจีน กล่าวว่า ปลูกพืชล้มลุก.. 3-4 เดือน ปลูกพืชยืนต้น.. 3-4 ปี

ปลูกพืชคน.. ทั้งชีวิต

หลักสูตรนี้ยากที่การ Execution คนที่ประสบความสำเร็จคือ คนที่ศึกษา ลุ่มลึก และกัดไม่ปล่อย

การมองทรัพยากรมนุษย์มองที่ Micro ต้องดูจังหวะโอกาสของเราว่าจะเดินไปทางไหน

ตัวอย่างบริษัทที่ประสบความสำเร็จในโลก คือมาจาก Human imagination ทั้งในสังคม ธุรกิจ เศรษฐกิจ

ภาวะผู้นำ

Overview

1. ทำไมวิชานี้ถึงมีความสำคัญกับคณะแพทย์

- แก้ปัญหาวิกฤติให้ได้

- ต้องทายอนาคตให้ออกว่าจะไปในทิศทางไหน

2. ผู้นำเป็นส่วนหนึ่งของทุนมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของสมรรถนะ เป็นสิ่งที่ต้องมีเพื่อรองรับงานในองค์กร

- ผู้นำเป็นตัวผลักดันให้เกิดความสำเร็จในองค์กร

3. External and Internal Environment

ต้องจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ไม่แน่นอน ทายไม่ได้ ทั้งในระดับ External เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ASEAN 2015 และในองค์กร เช่น ความคิดที่หลากหลายระหว่าง Generation หรือมาจากสถาบันต่างกัน ภาคต่างๆของประเทศไทย รวมทั้งการบริหารแรงงานต่างด้าวขององค์กรในอนาคตจะเป็นการจ้างงานแบบไร้พรมแดน

4. รูปแบบของผู้นำมีหลายรูปแบบ

- Leadership style

- Leader & Manager

- Trust & Authorities

- Transformation & Transactional ทำในสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีที่สุด

- Charismatic Leadership คนที่เป็นผู้นำเกิดมาจากบุคลิกของตัวเอง

- Situation Leadership สำคัญที่สุดในหลักสูตรนี้ เป็นสถานการณ์ของการเป็นผู้นำ ทำให้เกิดพลัง เกิดแรงบันดาลขึ้นมา

- Born to be or trained to be

ทุนมนุษย์ของคณะแพทย์ มอ.ในมุมมองของ ดร.จีระ

ทุนมนุษย์ต้อมีการปลูก คือการเพิ่มทักษะในการทำงานให้มากขึ้น

เก็บเกี่ยว คือ ทำอย่างไรให้เขาอยากทำงานให้เรา

และ Execution

ทฤษฎี 8 K’s : ทฤษฎีทุน 8 ประเภทพื้นฐานของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

Human Capital ทุนมนุษย์

Intellectual Capital ทุนทางปัญญา

Ethical Capital ทุนทางจริยธรรม

Happiness Capital ทุนแห่งความสุข

Social Capital ทุนทางสังคม

Sustainability Capital ทุนแห่งความยั่งยืน

Digital Capital ทุนทาง IT

Talented Capital ทุนทางความรู้ ทักษะ และทัศนคติ

5 K’s (ใหม่) : ทฤษฎีทุนใหม่ 5 ประการเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุคโลกาภิวัตน์

Creativity Capital ทุนแห่งการสร้างสรรค์

Knowledge Capital ทุนทางความรู้

Innovation Capital ทุนทางนวัตกรรม

Emotional Capital ทุนทางอารมณ์

Cultural Capital ทุนทางวัฒนธรรม

การปลูก คือ ปลูกตอนทำงานอยู่

การทำงานในยุคใหม่ Competencies โดยทั่ว ๆ ไป ประกอบด้วย 5 เรื่องที่สำคัญ ได้แก่

1.Functional Competency

2.Organizational Competency

3.Leadership Competency

4.Entrepreneurial Competency เน้นข้อนี้เป็นสำคัญ

5.Macro and Global Competency

Mr. William E. Heinecke เขียนหนังสือ The Entrepreneur ซึ่งพูดถึงกฎทอง 25 ข้อ

เพื่อสร้างจิตวิญญาณผู้ประกอบการสำหรับการเป็นผู้บริหารธุรกิจยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งจะเป็นประโยชน์มาก

1. Find a Vacuum and Fill it.

2. ขอให้ทำการบ้าน

3. ทำเพราะมีความสุข

4. ทำงานหนัก และ พักผ่อนให้หนัก

5. อย่าพึ่งสมองตัวเอง

6. มีเป้าหมายชัดเจน

7. เชื่อสัญชาตญาณ

8. มองให้ไกล

9. สร้างแบรนด์ สร้างการตลาดของ

10. เป็นผู้นำ

11. ล้มแล้วเดินต่อ

12. จังหวะทำให้มีโอกาส

13.Embrace Change as a Way of Life.

14.Develop Your Contacts.

15.Use Your Time Wisely.

16.Measure for Measure.

17.Don't Put up with Mediocrity.

18.Chase Quality, Not Dollars.

19.Act Quickly in a Crisis.

20.After a Fall, Get Back in the Saddle Quickly. หลังจากล้มแล้ว ลุกขึ้นมา

21.Fight the Good Fight (especially those that you can win): Pizza Wars

22.People Build Brands, Brands do not Build People: Pizza Wars - Act II.

23.Be Prepared for Anything: The September 11 Rule.

24.Reinvent Yourself: Onwards and Upwards. ต้องไม่ทำงานไปเรื่อยๆ ต้องทำงานแปลกใหม่

25.Be Content.

ทั้งหมดนี้อยากให้เอาเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต

ดู เรื่องการเก็บเกี่ยว Harvesting เป็นเรื่องเดียวกับแรงจูงใจ เหมือนทฤษฎีของ Maslow

ขอเสนอทฤษฎี HRDS

  • -Happiness
  • -Respect
  • -Dignity
  • -Sustainability

เรื่องสุดท้ายของนำเสนอเรื่อง HR execution

1.วัฒนธรรมองค์กร

2.Silo based

3.Leadership at all levels

4.ตัวละครที่จะเล่นเป็นทีม CEO/ HR/ Non HR/ Stakeholder ข้างนอก

Tangible Intangible เป็นเรื่องของ Mindset
Visible

การมองคนแล้วเห็นเขา แต่จริงๆแล้วไม่เข้าใจมองแบบผิวเผิน

แต่ต้องมองแบบเข้าใจลักษณะพิเศษของเขา

Invisible People skill

Mindset

(1)ดูจากทฤษฎี 8K’s เขียนไว้แล้วใน Talent Capital ว่าต้องมี 3 อย่าง

qSkills

qKnowledge

qMindset หรือ Attitude

2) Attitude กับ Mindset แตกต่างกันหรือไม่?

คำตอบคือ แตกต่าง

Mindset จะอยู่มานานและพื้นฐานฝังรากลึกจะเปลี่ยนลำบากกว่า

Attitude คือ ทัศนคติ หรือ ค่านิยมชั่วคราว เปลี่ยนง่ายกว่า

3) คือ Inner belief คือความเชื่อลึกๆ ที่อยู่ข้างใน เรียกว่าเป็น intangible และถูกอิทธิพลมาจากอาชีพการศึกษา การทำงาน และครอบครัว

4) ต่อมา Mindset กลายเป็นปรัชญาของชีวิต และงาน Philosophy of life and work ทำให้เกิดพฤติกรรมบางอย่าง หรือ Habit ซึ่งอาจจะไปสู่ความล้มเหลว เพราะโลกในอนาคตจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเป็นสิ่งที่อยากจะฝากไว้เป็นการบ้าน

5) Mindset มีหลายแนว คือ Positive, growth หรือ Fixed, negative หรือ flexible

6) Mindset ที่ไม่เหมาะสมอาจจะสร้างปัญหาให้องค์กรได้ เช่น การขัดแย้ง ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หรือ การขโมยไอเดีย และขาดไอเดียใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น

(7) วันนี้จึงยกเอางานวิจัยที่ Stanford ให้ดูซึ่งก็เป็นตัวอย่างกรณีศึกษาที่สำคัญ

ในความเห็นของผม..จุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับทุกท่านวันนี้ คือ เปลี่ยน Mindset

จาก Fixed Mindsetไปสู่ Growth Mindset เขียนโดย Dr. Carol

คนที่สามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ ก็มาจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นคนที่มี Flexible mindset

จากการที่ได้ทำหลักสูตรกับ PSU คณะแพทย์ก็อาจจะกระเด้งไปสู่แนวคิด Mindset ที่ใหม่กว่าเดิมก็ได้ หวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นทีดีในการเปลี่ยนแปลง

(8) เพื่อเสริมกรณีศึกษาของต่างประเทศ นอกจากกรณีของ Fixed/Growth แล้วได้ไปสัมภาษณ์อีก 2 ท่าน

ท่านแรก มองกว้าง : ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ

(เปิดเทปการสัมภาษณ์และวิเคราะห์ร่วมกัน)

และอีกกรณีหนึ่งที่อาจเปรียบเทียบได้กับคณะแพทย์ของเรา คือ กฟผ.ซึ่งผมเข้าไปพัฒนาผู้นำมา 10 ปีแล้วคุณภาวนา อังคณานุวัฒน์ (เปิดเทปการสัมภาษณ์ และ

วิเคราะห์ร่วมกัน)

หลักสูตรทั้งหลักสูตร คือ Mindset ครั้งแรกเน้นเรื่องปลูก เก็บเกี่ยว และ Execution เน้นเรื่อง Intangible Tangible Invisible และ Visible

คุณพิชญ์ภูรี: กรณีศึกษา MINDSET “พระมหาชนก” สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกสมเด็จพระราชบิดา จาก"สมเด็จเจ้าฟ้าทหารเรือสู่“พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย”

Workshop

กลุ่ม 1

1.Mindset ในอดีต และปัจจุบันของคณะแพทย์ คืออะไร และจะปรับตัวในอนาคตต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

ในอดีต ไม่พร้อมเรื่องหลักสูตร อุปกรณ์

ปัจจุบัน มุ่งเน้นระดับชาติ

คุณสมบัติ เตรียมคน ฝึกปฏิบัติให้มีความรู้ความสามารถให้มีการเรียนการสอน เตรียมหลักสูตรนานาชาติ ให้มีความหลากหลายทางด้านภาษา

2.ถ้าไม่ปรับปรุง Mindset ให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงจะเกิดผลเสียอย่างไร

เกิดความล้าหลัง ไม่มีทุนบริหารจัดการ

3.ยุทธวิธีที่จะปรับปรุง Mindset ให้เกิดประโยชน์ต่อคณะแพทย์ฯ จะต้องทำอย่างไร และมีอุปสรรคคืออะไร

ต้องปลูกฝังทัศนคติค่านิยม มีRole model ที่ดี

หาความเป็น unity ใน diversity

อุปสรรค

ให้ความหลากหลายของบุคลากร

แจ้งงานหลายระบบ

ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย

กลุ่ม 3

1. ในอดีต

- มีกฎระเบียบ วินัยที่ชัดเจน

- ความสัมพันธ์เป็นผู้ให้บริการกับผู้รับบริการ

-มีความผูกพัน รักองค์กร

ปัจจุบัน

  • -ความสัมพันธ์เป็นผู้ให้บริการกับผู้ใช้บริการ
  • -ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม

อนาคต

  • -มีการปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงกับสภาวะปัจจุบัน
  • -มีการปรับตัวในการใช้เทคโนโลยี

2. ถ้าไม่ปรับ Mindset

ทำให้องค์กรล้าหลัง

องค์กรไม่มั่นคง

3. – เปิดใจรับฟังระหว่างคนต่างรุ่นต่างวัย

- ยอมรับการเปลี่ยนแปลง

- มอบหมายงานที่ชอบ/ ท้าทาย

- นำค่านิยมขององค์กรมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม

- สร้างอัตลักษณ์คณะแพทย์ศาสตร์

- ปลูกฝังความคิดความสุขที่แท้จริง

อุปสรรค: ความหลากหลายของบุคลากร การสื่อสาร บุคลากรที่เป็นต้นแบบมีน้อย

กลุ่ม 4

1.Mindset ในอดีต และปัจจุบันของคณะแพทย์ คืออะไร และจะปรับตัวในอนาคตต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

  • -Mindset ไม่เคยเปลี่ยน
  • -ไม่เข้าใจแก่นแท้ ตั้งเป็น Me too You One
  • -เปรียบเทียบแล้วเป็น Intangible
  • -ตั้งเป็นการทำงานเป็นทีม มุ่งคุณภาพ
  • -ยึดถือความปลอดภัย

2.ถ้าไม่ปรับปรุง Mindset ให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงจะเกิดผลเสียอย่างไร

ทำให้มีความคิดตีกรอบ ทำให้ไม่พัฒนา ไม่สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติ

3.ยุทธวิธีที่จะปรับปรุง Mindset ให้เกิดประโยชน์ต่อคณะแพทย์ฯ จะต้องทำอย่างไร และมีอุปสรรคคืออะไร

ปรับ Mindset ของทีมผู้บริหารในปัจจุบัน และอนาคต และให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น

จัดกิจกรรมกลุ่ม ทำ Team building

หาเป้าหมายร่วมกัน มองผลลัพธ์มากกว่าวิธีการ

อุปสรรค: นโยบายของคณะที่ต่างกัน ทำให้ Mindset สับสน ไม่สามารถพัฒนาไปสู่อนาคตได้ ความคิดติดกรอบ มีช่องว่างของคนที่ต่างวัย

กลุ่ม 2

1.Mindset ในอดีต และปัจจุบันของคณะแพทย์ คืออะไร และจะปรับตัวในอนาคตต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

  • -เชื่อมั่นในความเก่ง ทำให้ไม่มีเครือข่าย ไม่ติดต่อกับข้างนอก
  • -ไม่มี Stakeholder
  • -วิธีการแก้ปัญหาค่อนข้างติดลบ
  • -ระบบแก้ปัญหา ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าวิธีการไม่เหมาะสม ไม่ตรงจุด
  • -ค่านิยมไม่เข้มแข็ง
  • -การบริหารส่วนใหญ่เป็นระบบ Top down

2.ถ้าไม่ปรับปรุง Mindset ให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงจะเกิดผลเสียอย่างไร

  • -ลูกค้าไปใช้บริการที่อื่น
  • -เกิดคู่แข่งระหว่างองค์กร
  • -กาเติบโตขององค์กรช้า
  • -สูญเสียโอกาสในการแข่งขัน การเป็นผู้นำ
  • -ลดความสามารถในการตอบสนองลูกค้าและกาตลาด

3.ยุทธวิธีที่จะปรับปรุง Mindset ให้เกิดประโยชน์ต่อคณะแพทย์ฯ จะต้องทำอย่างไร และมีอุปสรรคคืออะไร

  • -สร้างเครือข่ายทั้งภายใน ภายนอก
  • -มุ่งเน้นการบริการ
  • -มีการกระจายอำนาจ
  • -ปรับระบบเป็น Bottom up
  • -ปรับเป็น Team networking
  • -เป็นมิตรกับทุกฝ่าย

อุปสรรค

  • -การสื่อสาร
  • -ความแตกต่างของช่วงอายุ
  • -ขนาดขององค์กรใหญ่
  • -บุคลากรมองเห็นเป้าหมาย
  • -ไม่เห็นความเชื่อมโยง
  • -ความเชื่อใจในการมอบอำนาจ

กลุ่ม 5

1.Mindset ในอดีต และปัจจุบันของคณะแพทย์ คืออะไร และจะปรับตัวในอนาคตต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

รักษาโรคยาก ซับซ้อน มุ่งเน้นการรักษาพยาบาลเทียบเท่านานาชาติ

สร้างเครือข่าย

เน้นการทำงานเป็นทีม

2.ถ้าไม่ปรับปรุง Mindset ให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงจะเกิดผลเสียอย่างไร

  • -มีการล้าหลัง ตกยุค โดดเดี่ยว งานที่ล้นมือไม่มีคุณภาพ

3.ยุทธวิธีที่จะปรับปรุง Mindset ให้เกิดประโยชน์ต่อคณะแพทย์ฯ จะต้องทำอย่างไร และมีอุปสรรคคืออะไร

  • -เตือนให้บุคลากรตระหนักในการบริหาร
  • -ผู้นำต้องเป็นต้นแบบ
  • -การจัดกิจกรรม Mindset
  • -การประเมินผลสม่ำเสมอ

อุปสรรค: บุคลากรไม่เห็นความสำคัญ ไม่มองว่าเป็นวิกฤติ ติดกับดักความสำเร็จ

อ.จีระ: เมื่อมีการทำวิจัยต้องกลับไปดูพื้นฐานในการทำวิจัยร่วมกัน

ความสุขต้องดู 2 เรื่อง คือ Happy Workplace งานที่แต่ละคนทำ ต้องมี Purpose capability health

คุณพิชญ์ภูรี: ทำโจทย์ได้อย่างดี ต้องฝึกการนำเสนอ แต่ผลที่ออกมาค่อนข้างดี

หัวข้อ “LEADERSHIP & TEAMWORK”

โดย รศ.ดร.เฉลิมพล เกิดมณี

3 กรกฎาคม 2557

ขอเริ่มด้วยเรื่อง Change

1. ทำไมต้องเปลี่ยนแปลง

2. ใครได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง

3. ทำอย่างไร

4. ผลที่ได้รับคืออะไร ต้องคิดถึงการลงทุน outcome และ impact คืออะไร

เหตุผลของการเปลี่ยนแปลง

1. มีเหตุและผลขององค์กรที่ต้องเปลี่ยนแปลง

2. การเปลี่ยนแปลงเหมาะสมกับเราและองค์กร

3. มั่นใจว่าสมเหตุในวิธีการที่จะเปลี่ยน

4. เปิดใจทีจะสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ชัดเจน

ิ่งที่ทำให้ Mindset ต่างกัน

เหตุอะไรที่ทำให้เราแตกต่างกัน

อะไรเป็นตัวกระตุ้นการแสดงออก ก็คือสิ่งแวดล้อม

องค์กร หรือทีม ก็เกิดจากสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดความต่าง

ถ้าหากเห็นประโยชน์ร่วมกัน หรือ Win-Win ก็มุ่งไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

หากจินตนาการสิ่งใด ก็จะได้สิ่งนั้น หากได้รับประสบการที่ดีก็อยากทำอีก หากทำอีกก็เป็นนิสัย หากต้องการปรับเปลี่ยนตัวเองก็ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนจินตนาการ

จินตนาการ คือ การทำแบบ หลังจากนั้นเราจะทำพฤติกรรมให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมาเอง

หลังจากจินตนาการ จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถและการอดทน

คณะแพทย์มีเป้าหมายอย่างไร

สิ่งที่ทำให้องค์กรไปข้างหน้า ต้องคำนึงถึงความเห็นของคนในองค์กรเป็นสิ่งที่จำเป็น

กิจกรรม

เขียนชื่อของเรา และจงเขียนความสามารถ ความเก่ง ความเชียวชาญ พรสวรรค์ ความชำนาญของตนเอง

ให้เพื่อนเขียนความสามารถ ความเก่ง ความเชียวชาญ พรสวรรค์ ความชำนาญของคุณด้วยความปรารถนาดี

ความเก่ง เป็นจุดยืนของแต่ละคน

แต่ละ Gen เก่งอะไร และต้องดูว่า Gen นั้นเก่งอะไร เพื่อนำมาปรับใช้ในองค์กรเพื่อสร้างตัวงานร่วมกัน

4Q’s

Intelligence Quotient

Emotional Quotient

Moral Quotient

Survival Quotient

บุคลิกภาพของคน

C นักทฤษฎี: ชัดเจน ถูกต้อง ตามกฎ มีเหตุผล ระมัดระวัง เป็นทางการมีหลักการ ยึดติดกับรายละเอียด ไม่ชอบเสี่ยง

D นักผจญภัย

กล้าตัดสินใจ เข้มแข็ง มุ่งมั่น ชอบการแข่งขัน มีข้อเรียกร้องสูง เป็นอิสระ มั่นใจในตัวเอง ดุดัน ผ่าซาก เอาตัวเองเป็นหลัก ใช้อำนาจ

S นักปฏิบัติ

สงบนิ่ง ระมัดระวัง อดทน เป็นผู้ฟังที่ดีถ่อมตน เชื่อถือได้ ไม่รับแนวคิดใหม่ ไม่แสดงออก ดื้อเงียบ ไม่แสวงหาการเปลี่ยนแปลง

I นักกิจกรรม

ชอบเข้าสังคม ช่างคุย เปิดเผย กระตือรือร้น มีพลัง ชักจูงใจผู้อื่น ร่าเริง โวยวายเสียงดัง ไม่ระมัดระวัง ตื่นเต้น รีบร้อน ไม่สนใจเรื่องเวลา

  • -ต้องค้นหาตัวเองให้พบ

กระบวนการพัฒนาของคน

  • -เมื่อเกิด ใช้ตัวเองเป็นที่ตั้ง I โตขึ้น ต้องการ EQ ได้ความรัก ความอบอุ่น มี Role model ที่ดี ต่อมาเป็นนักทฤษฎี
  • -คน GEN Y พ่อแม่มีเงิน แต่ไม่มี MQ ใช้ IQ เรื่อยๆ ต่อไปเข้าสู่การผจญภัย ใช้เหตุและผล การสร้าง Gen Y ให้สมบูรณ์แบบต้องเสริมสร้าง MQ
  • -วีธีการพัฒนาคนแต่ละกลุ่ม คือ ต้องวนตามเข็มนาฬิกา เช่น จะพัฒนาคนตัว S ให้เป็น D ต้องพัฒนาให้เป็นนักทฤษฎีก่อน
  • -คนทั้ง 4 กลุ่ม สามารถขึ้นมาเป็นผู้บริหารได้ อยากให้องค์กรเป็นแบบใด ก็เลือกผู้บริหารเข้ามาแบบนั้น

บุคลิกภาพของผู้นำ : ผู้นำไม่ต้องมีตำแหน่ง เป็นคนชี้ทิศทาง เป็นคนชี้ process

มีความปรารถนาดีงาม ตื่นตัว มีแรงจูงใจ
ความชัดเจนในความคิด การประสานงานกายและใจ กิริยาอ่อนน้อม
ความคิดเชิงบวก การตัดสินใจ สบายใจ
มีสมาธิและการจดจ่อ มีวินัย มีความสุขกับชีวิต
มีพลังชีวิต ความแข็งแกร่งของร่างกาย มีความสามารถสื่อสาร
ความยืดหยุ่นทางใจ ประสิทธิผลในการมีชีวิต เชื่อมั่นในตนเอง
มุ่งมั่น สุขภาพแข็งแรง มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เข้าใจผู้อื่น
จิตใจมั่นคง มีกำลังใจ มีความกล้า
มีเป้าหมายชัดเจน ขยัน หลับสนิท
มีจิตนาการ ช่างเรียนรู้ เรียนรู้เร็ว
มีสติไม่วิตก ละเอียด มีความอดทนทางกายและใจ
มีความปรารถนาดีงาม ตื่นตัว เป็นผู้ให้
มีทักษะและความถนัด มีความจำดี ยอมรับในความแตกต่าง

บุคลิกในการเป็นผู้นำที่ดี คือ ความเข้าใจธรรมชาติ

IQ สูงสุดของมนุษย์คือการเข้าใจธรรมชาติ ทำให้เห็นสิ่งต่างๆเป็นธรรมชาติ ทำให้มีใจเป็นกลาง

เข้าใจลูกน้องว่านิสัยของลูกน้องแต่ละคนไม่เหมือนกัน จะทำให้เข้ากับทุกคนได้ง่าย

การเข้าใจสมดุล เป็นเรื่องของการเข้าใจธรรมชาติ

อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันยาก

การสร้างทีม : หากมีคนหนึ่งในสังคมพยายามทำตัวให้ใหญ่ สังคมก็ไปต่อไม่ได้

การที่จะทำให้อยู่ร่วมกัน และเข้าใจกันได้ดี คนที่จะขึ้นเป็นผู้บริหาร ต้องใจกว้าง ต้องทิ้งความเป็นตัวตน ความเห็นของตัวเองต้องน้อยลง ต้องเห็นแก่ความคิดเห็นร่วม

กระบวนการบริหารคนในองค์กร DCSIมีความสุข ทำได้ดังนี้ จับให้อยู่ตรงที่ ชูเอกลักษณ์ของแต่ละคน เอาความเด่นออกมาปรับให้เหมาะสม

การสื่อสาร : จุดอ่อนของการสื่อสาร คือคุยกันแล้วไม่เข้าใจกัน เพราะฉะนั้นต้องกลับไปทำความเข้าใจของคนทั้ง 4 กลุ่ม

ในการทำงาน เข็มทิศ เปรียบเหมือนทิศทาง สำคัญมากกว่าเวลา

เวลาทำงาน ต้องดูที่ Mindset ซึ่งคือคุณค่าที่แท้จริง ต้องเข้าใจธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ำ เป็นสิ่งดี แต่เวลาน้ำท่วมไม่ดี

ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีอย่างเดียว มันจะดีเมื่ออยู่ในที่ๆควรจะอยู่

เมื่อเราเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น เราก็จะดูแลสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นต้องหามุมบวกของสิ่งนั้น แล้วเราก็จะเห็นคุณค่า

ความสุขในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ หากยึดติดกับอดีต และกังวลกับอนาคตที่มาไม่ถึง ก็จะทำให้ชีวิตมีแต่ความกลุ้มใจ ไม่มีความสุข ต้องตั้งต้นด้วยความศรัทธา มีความสุขกับปัจจุบัน

การใช้ 4Q’s ในการทำงาน ในการแก้ปัญหา จะทำให้ไม่มีปัญหาในการตัดสินใจ

หากจะคิดทำอะไร ต้องคิดทำใหม่

KPI เชิงปริมาณ ไม่สามารถทำให้เต็มสเกลได้ KPI ที่ดีต้องเป็น KPI เชิงคุณภาพ ซึ่งจะทำให้เกิดความใหม่ในระบบ

กระบวนการสร้างความใหม่ คือ การเอาเหตุและผลมาชนกัน

ตา น้ำเสียง สีหน้า : น้ำเสียงมีอิทธิพลมากที่สุด

การคิดอย่างเป็นกลยุทธ์

1. เป้าหมาย

2. หาจุดยืน ปรับกรอบความคิด

3. วิเคราะห์ มีเป้าหมายมีปัญหาอะไร และทำอย่างไรจึงพึงพอใจ

4. แรงช่วย

5.วางแผน และ ปฏิบัติ ควรปรับปรุงและพัฒนาอย่างไร 

นันท์นภัสถ์ พรหมรักษ์

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้คือ การปรับเปลี่ยนทัศนคติmindsetที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ซึ่งการปรับเปลี่ยนตรงจุดนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงที่ว่าคณะแพทย์มีบุคลากรหลายระดับเราต้องทำให้บุคลากรได้รับรู้ถึงผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงและทำให้เขาเกิดความพึงพอใจให้ได้ เขาถึงจะยอมรับและพร้อมจะปรับเปลี่ยนทัศนคตินั้น

ภาวะความเป็นผู้นำ คือความศรัทธาของคนโดยไม่ต้องมีตำแหน่ง โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าการจะเป็นผู้นำได้นั้นนอกจากเก่งแล้วจะต้องกล้าด้วย เพราะถ้าคุณไม่กล้าแล้วคุณก็ไม่สามารถเอาความเก่งของคุณออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ได้ ถ้ามัวแต่คิดอยู่ในใจแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่แสดงออกมา

การที่เราจะเป็นผู้นำได้เราต้องเข้าใจธรรมชาติของคนก่อน คนเราทุกคนต้องมีทั้งด้านบวกด้านลบ เราต้องเอาด้านบวกของคนออกมาให้ได้เพื่อเพิ่มศักยภาพในตัว

การจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จนั้นจะต้องอาศัย 4Qs คือ ฉลาดด้านปัญญา อารมณ์ จริยธรรมและเอาตัวรอด 

"ทางออกของปัญหาอยู่ที่ช่องว่างเสมอ"

Leaderยุคปัจจุบันต้องสามารถ
จัดการการเปลี่ยนแปลงท่ามกลางmultiple crisis
ก้าวข้ามความกลัว พูดความจริงและเรียนรู้ร่วมกับทีมที่มีความหลากหลายทั้งวัยวุฒิและการคิดการตัดสินใจที้แตกต่างกัน

สวัสดีครับ ขอบพระคุณที่อาจารย์เปิดพื้นที่ให้ share and care

ผมขออนุญาตสรุปสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้สำหรับวันนี้ (ด้วยภาษาผมเองบ้าง) ดังนี้ครับ

สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ในวันนี้ 3 มิย 57

1. แนะนำทฤษฎีที่สำคัญเพื่อการเรียนรู้

สาระสำคัญคือ learning how to learn ซึ่งจะเป็นวิธีที่ทำให้สามารถเรียนรู้ได้ตลอด และเมื่อเรียนรู้แล้วก็มีการ share เพื่อต่อยอดความรู้ และยอมรับความคิดเห็นของผู้ที่แลกเปลี่ยนกับเรา (care)

อาจารย์ได้เสนอทฤษฎีซึ่งน่าสนใจคือ

กระบวนการ active learning ประกอบด้วย

วิธีการดี

บรรยากาศในการเรียนดี

มีการปะทะทางปัญญาบ่อยๆ สร้างโอกาสการเรียนรู้ หาโอกาส turn idea to action

และสร้างสังคมของการเรียนรู้ขึ้นมา

สิ่งสำคัญในการเรียนรู้คือ

Reality มองตามวามเป็นจริง เช่น ม.อ.มีภาระกิจที่สำคัญในการดูแลความมั่นคงของประเทศ เพราะเราอยู่ใต้ล่าง มีความรุนแรงในพื้นที่

Relevance เลือกประเด็นที่คิดว่าสำคัญ ที่จะพัฒนาเราไปสู่เป้าหมาย เช่น คณะแพทย์จะมีส่วนช่วยในภาระกิจนี้ได้อยางไร การสร้างเครือข่ายบริการสุขภาพ การผลิตแพทย์เื่อคนจังหวัดชายแดนใต้ เป็นต้น

การเรียนรู้มาได้จาก 3 ทางใหญ่

Learning from pain เรียนรู้จากความล้มเหลว

From experience เรียนจากประสบการณ์

From listening เรียนจากการฟัง ฟังมากๆ ลองฟังคนที่ดูเหมือนรู้น้อยกว่าเรา ว่าเขามีแนวคิดอย่างไร

และท้ายที่สุดสำหรับการพัฒนาก็เพื่อ value added, value creation and value diversity

2. ทุนมนุษย์ mindset and leadership

Leadership คือ trust ที่คนมีให้กับเรา (มิใช่เพราะตำแหน่ง) บางครั้งคือความหวัง และการเป็นผู้นำสามารถฝึกฝนได้

คนคือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดในองค์กร have unlimited potential ดังนั้นการพัฒนาคน จึงเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาองค์กร อาจารย์ได้ยกตัวอย่างบริษัท Microsoft ซึ่งความสำเร็จของเขาเกิดจากองค์ประกอบทางโครงสร้างเพียง 5% นอกจากนั้นเกิดจาก human imagination

ทุนมนุษย์

เป็นสิ่งจับต้องยาก เป็น intangible (เช่น ชื่อ ม.อ.)

Visible or invisible มองเห็นแต่เหมือนมองไม่เห็น ไม่รู้จัก

Leadership เป็นส่วนหนึ่งของ human capital มีสมรรถนะสำหรบองค์กร สามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว

Leadership มีหลายแง่มุม

- style แตกต่างกัน

- leader VS manager

- มาจากตำแหน่ง VS มาจากศรัทธา

- มาเพื่อเปลี่ยนแปลง VS มาเพื่อทำสิ่งเดิมต่อไป

- ผู้นำมาเพราะบุคลิกเป็นผู้นำ คนให้ความวางใจ หรือ มีมาเพราะสถานการณ์เฉพาะ เพื่อแก้ปัญหา

- born to be or trained to be

Mindset

มีความหมายมากกว่าทัศนคติ แต่มันคือ inner believe

มี 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ growth or flexible mindset กลุ่มนี้มักชอบเรัยนรู้ เรียนจากความล้มเหลว กับกลุ่ม fixed mindset ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง

3. Leadership and teamwork โดยอาจารย์เฉลิมพล

อาจารย์เริ่มด้วยกิจกรรมละลายพฤติกรรม และแสดงให้เห็นว่า Mindset เปลี่ยนแปลงได้ถ้าเห็นประโยชน์ร่วมกัน

Mindset ต้องเปลี่ยนแปลงได้ เพราะหากไม่เปลี่ยน องค์กรอาจไปไม่รอด ทุกคนต้องได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงอย่างยุติธรรม

อาจารย์อธิบายเรื่อง teamwork โดยแสดงให้เห็นความสำคัญของคนประเภทต่างๆ ในองค์กร คือ

1 นักทฤษฎี (thinking and sensing) ชัดเจน ถูกต้อง ตามกฎ มีเหตุผล ไม่ชอบเปลี่ยนแปลง

2 นักปฏิบัติ (sensing and feeling) สงบนิ่ง ระวัง อดทน ฟัง ดื้อเงียบ

3 นักกิจกรรม (feeling and intuition) ชอบเข้าสังคม ช่างคุย เปิดเผย

4 นักผจญภัย (intuition and thinking) กล้าตัดสินใจ เข้มแข็ง ชอบแข่งขัน

การทำงานกับคนกลุ่มต่างๆเหล่านี้ จำเป็นต้องใช้ทักษะและวิธีการที่แตกต่างกัน

สุทธิพงษ์ ทิพชาติโยธิน

ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณทีมผู้บริหารคณะแพทยศาสตร์ ม.อ. ที่ได้ให้โอกาสผมเข้าอบรมหลักสูตรนี้ หลังจากผ่านไปหนึ่งวันผมรู้สึกดีใจที่ได้เข้าร่วมโครงการนี้เพราะมองเห็นโอกาสที่จะได้ศึกษาและพัฒนาตนเองในมุมมอง ในรูปแบบที่ไม่เคยได้คิดมาก่อน

สิ่งที่ผมได้รับเพิ่มเติมเข้ามาจากการอบรมในวันนี้ได้แก่

- ตั้งแต่แนวทางการเรียนรู้แบบอาจารย์จีระ ที่เน้นการศึกษาจากความล้มเหลว คลวามเจ็บปวดในอดีต การตั้งใจจริงสู้ไม่ถอย

- ความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และmindset ขององค์กร และมนุษย์ เพราะ mindset จะเป็นสิ่งที่กำหนดการเป็นตัวตน การแสดงออกของบุคคลดังนั้นการปรับให้มีmindset ที่ดี ยืดหยุ่นจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาตนเองและส่วนรวมไปในทิศทางที่ถูกต้อง

- การเป็นผู้นำที่ดีหลักสำคัญต้องมององค์กรทั้งหมดอย่างเป็นกลาง ไม่มีความเป็นตัวตน เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริง โดยการจัดการองค์กรที่ดีต้องรักษาสมดุล จัดระเบียบ put the right man in the right place และส่งเสริมบุคลากรให้เหมาะสมตามลักษณะของแต่ละบุคคล

- สุดท้ายคือหลักการ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" เหมือนที่ผมเคยได้เรียนรู้มาก่อน แต่วันนี้วิทยากรได้อธิบายให้เข้าใจมากขึ้น พร้อมแสดงให้เห็นด้วยว่า ยิ่งให้ ยิ่งลดอัตตาตัวตน ยิ่งมีความสุขง่ายขึ้นเพราะอยู่กับปัจจุบัน

ขอบคุณครับ

ภาวะผู้นำที่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตำแหน่งนั้น เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้ก้าวไปสู่เป้าหมายที่ได้วางไว้  หากกลุ่มคนที่เป็นผู้สนับสนุนหลักในการขับเคลื่อนขององค์กรสามารถปลุกภาวะผู้นำที่มีอยู่ในตัวให้แสดงออกมาร่วมกับการทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว  องค์กรก็จะมุ่งสู่ความเป็นเลิศได้อย่างไม่ยาก

ประกอบกับทัศนคติก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งซึ่งในขั้นแรกก่อนการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมนั้น โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นสิ่งที่ปรับได้อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อคณะแพทย์มีความแตกต่างด้านลักษณะงาน แนวความคิดและวัยของบุคลากรในองค์กรขนาดใหญ่แห่งนี้ แต่เมื่อได้รับฟังมุมมองใหม่ ๆ จากทีมวิทยากร ก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย  ที่กลับไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถเช่นกันหากองค์กรจะปรับทัศนคติ Mindset ของคนในองค์กร ให้เกิดเป็นวัฒนธรรมและสร้างค่านิยมขององค์กรเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน

ท้ายที่สุดแล้ว  ทุนมนุษย์ หรือคน มีความสำคัญมากที่ผู้ที่เป็นผู้นำ ควรค้นหาคุณค่าและเข้าใจบุคลิกภาพของผู้บังคับบัญชา  ผู้ใต้บังคับบัญชา และเพื่อนร่วมงาน  เพื่อให้สามารถสร้างทีมงานที่เรียกได้ว่า Teamwork ได้อย่างเต็มความภาคภูมิใจ

ขอขอบคุณทีมบริหารคณะแพทยศาสตร์ ม.อ. และทีมวิทยากรที่จัดโครงการดีดีอย่างนี้ และให้โอกาสบุคลกรหลายระดับเข้าร่วมโครงการนี้ค่ะ สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้นะคะ

     

1.ปฐมนิเทศและแนะนำทฤษฎีที่สำคัญเพื่อการเรียนรู้
การปฐมนิเทศหลักสูตร ทำให้ได้ทราบภาพกว้างๆ ของหลักสูตร ซึ่งเมื่อได้ฟังที่มาของหลักสูตรแล้วรู้สึกขอบคุณผู้บริหารของคณะแพทย์ ทีมวิทยากรทุกท่าน และผู้มีส่วนร่วมช่วยเหลือให้เกิดหลักสูตรนี้ขึ้นมา ได้เห็นความทุ่มเทของคณะแพทย์ที่ให้คุณค่าต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม ในส่วนของการแนะนำทฤษฎีที่สำคัญเพื่อการเรียนรู้ช่วยให้ได้เปิดโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น แม้จะต้องกลับมาใช้เวลาศึกษาทำความเข้าใจอีกมากในการพัฒนาตนเองในโอกาสต่อไป โดยเฉพาะหลักการสำคัญของการเรียนรู้ คือ           Learn    share   care
                ซึ่งการอบรมโดยทั่วไปมุ่งเน้นการสอนทฤษฎีทางวิชาการ แต่ปัญหาสำคัญของคนในปัจจุบัน (รวมทั้งตัวเองด้วย) คือ ไม่สามารถจับประเด็น หรือการสร้างความคิดรวบยอด เพื่อประยุกต์หลักวิชาการลงสู่การปฏิบัติได้ จึงทำให้การส่งอบรมวิชาการอย่างเดียวไม่เพียงพอในการพัฒนาบุคลากร แต่การจัดโครงการในลักษณะนี้จะช่วยให้คนเกิดการเรียนรู้ (learn) สร้างสรรค์จินตนาการผ่านทฤษฎีการเรียนรู้ที่ทีมวิทยากรได้นำเสนอไป มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน (share) น่าจะเป็นวิธีการที่ดีในการสร้างผู้นำ และโดยเฉพาะมีการนำคำว่า “ care” มาผสมผสานในความเข้าใจของตนเอง care น่าจะเป็นส่วนที่ช่วยเชื่อมประสานให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน คือ ในการเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ต้องมีการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ให้เกียรติกันและกัน ไม่ยึดติดว่าความคิดเห็นของเราถูกฝ่ายเดียว ใครมีความเห็นเหมือนเรา เราก็ถูกใจ แต่ หากคนอื่นมีความเห็นต่างกัน แล้วแสดงว่าอยู่คนละฝ่ายกัน ซึ่งมักเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยในสังคมไทย


2.ทุนมนุษย์ – mindset leadership และการทำงานในยุคที่โลกเปลี่ยนของคณะแพทยศาสตร์ มอ.
จากสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ท่ามกลางการแข่งขันของผู้คนในสังคม บุคลากรทางการแพทย์เป็นสาขาวิชาที่มีความมั่นคง ดังนั้นจึงเป็นที่ใฝ่ฝันของใครหลายคนในการที่จะเข้ามาทำงานในคณะแพทย์ มอ. เนื่องจากเป็นองค์กรที่มีความมั่นคงสูง และในสภาพสังคมปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีบุคลากรจำนวนหนึ่งที่เข้ามาทำงานเพื่อหวังค่าตอบแทนสูงๆ และการที่คณะแพทย์เป็นสถาบันชั้นเลิศ เมื่อรับบุคลากรเข้ามาทำงานแล้วก็มุ่งมั่นในการสร้างให้เขาเป็นคนเก่งให้ได้ ที่ผ่านมาในข้าพเจ้าคิดว่าการสร้างคนเก่งมีความสำคัญมาก แต่วันนี้อาจารย์ได้เปิดโลกทัศน์ให้เห็นว่าแม้เราจะสร้างคนเก่งได้มากแค่ไหน แต่หากเราไม่สามารถทำให้เขาทำงานอย่างเต็มความสามารถแล้ว องค์กรก็ไม่บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ และดูเหมือนทีมบริหารคณะแพทย์ก็มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ขออนุญาตยกตัวอย่างตามความเข้าใจของตนเองนะคะคณะแพทย์มีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาคุณภาพการบริการที่มุ่งสู่นานาชาติและได้รับรางวัลมามากมายทั้ง 5ส kaizen HA TQC เป็นต้น ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าบุคลการมีความเหนื่อยล้าในการทำงานที่มุ่งเน้นรางวัลคุณภาพ และมีช่องว่างในช่วงที่ไม่มีการประเมิน คือไม่ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน ที่มุ่งเน้นการไปถึงเป้าหมายที่วางไว้คือ การประยุกต์มิติจิตปัญญา (spiritual Healthcare; SHA) เข้ามาผสมผสานในการทำงานให้มากขึ้นโดย อ.สงวนสินได้ให้ความหมายของ SHA ไว้ง่ายๆ คือ ระบบต้องเข้มแข็งแต่คนต้องอ่อนโยนซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับที่อาจารย์จีระพูดถึง tangible - in tangible และ visible - in visible ยกตัวอย่างง่ายๆ ตามความเข้าใจ เช่น การที่ทีมบุคลากรทางการแพทย์เปิดใจรับฟังความต้องการของผู้ป่วยให้มากขึ้น ทำให้เห็นความทุกข์ พบความต้องการที่แท้จริงของผู้ป่วย แล้วช่วยกันออกแบบวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละรายอย่างเป็นองค์รวม แทนการการรักษาแบบเดิม คือ วินิจฉัยโรค สั่งการรักษา นับเป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการ เป็นต้น


3.Leadership and teamwork
ประทับใจการจัดกิจกรรมของอาจารย์อย่างมาก ทำให้เข้าใจ mindset ได้ชัดเจนมาก รวมถึงการให้ความรู้และข้อคิดในการสร้าง Leadership and teamwork ด้วยหลักการง่ายๆ (แต่ต้องฝึกฝน) คือการเปิดใจกว้าง รับฟัง เข้าใจบุคลิกของผู้ร่วมงาน และใช้วิธีการพัฒนาที่เหมาะสมกับแต่ละคน
โดยสรุปในวันนี้ทำให้เห็นความสำคัญในการการพัฒนาทุนมนุษย์ คำคมที่รู้สึกประทับใจคือ การค้นหาของดีในของไม่ดี ค้นหาของไม่ดีในของดี คือการทำความรู้จักคนในองค์กร หากต้นทุนเขาไม่สูงก็ต้องพยายามค้นหาความดีในตัวเขาเพื่อเป็นแรงจูงใจในการพัฒนา แต่หากเขามีต้นทุนสูงก็ช่วยกันหาโอกาสพัฒนาเพื่อเติมเต็มต่อไป

                                                     ขอบคุณค่ะ

สิ่งทีได้เรียนรู้ในวันนี้คือ1.จุดเริ่มต้นทีสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยน mindsetจากfix mindset เป็นgrowth mindset 2.การทำง่านถ้าไม่มีเป้าหมายงานก็ไม่สนุก จะแก้ไขปัญหาเราต้องค้นหาว้ามันคืออะไร ไปทางไหน ทำอย้างไร เอาเป้าหมายมาวาง

3.ท.ษ.3V. ให้แยกให้ได้ ให้สนใจ value creationให้มากที่สุดเพราะจะได้ผลงานแบบก้าวกระโดด ทะลุเป้าหมาย หรือเปลี่ยนlookไปเลย4.ผู้นำต้องจัดการกับการป.ป.ได้ตลอด ต้องมีการปะทะกันทางปัญญาให้ก้าวข้ามความกลัวไปสู่ความจริงให้ได้และ5.เราอยู่ในสถาบันที่สำคัญของภาคใต้เราต้องร่วมรับผิดชอบดูแล3จังหวัดนี้ด้วย

วันนี้ฉันเป็นคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการพัฒนาบุคลากรเพื่ออนาคตของคณะแพทย์

รุ่นที่1 ฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจังที่ได้มีโอกาสเรียนรู้กับวิทยากรซึ่งจัดอยู่ในขั้นระดับชาติทั้งนั้น แต่วิทยากรผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แนวคิดต่างๆที่ได้ให้ไว้จะเกิดประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับพวกเรานี่แหละที่จะต้องนำไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม

" คน " เป็นทรัพยากรที่สำคัญยิ่งขององค์กร การเปลี่ยน mindset เป็นเรื่องยากที่ท้าทายความสามารถของผู้นำ ไม่ว่าจะเป็น mindset ของตนเอง หรือของทีมงาน ผู้นำมีหลายประเภทแต่ผู้นำที่จะนำองค์กรให้อยู่รอดภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาคือจะต้องแก้ปัญหาให้ได้และทำนายอนาคตให้ออก ซึ่งเป็น Leadership competency ที่สำคัญเพราะเป็นตัวผลักดันให้เกิดExcecution

คนของคณะแพทย์ส่วนใหญ่จะเรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์ เราจะคุ้นชินกับเรื่อง1+1เป็น2 วันนี้เราถูกกระตุ้นให้คิดนอกกรอบ การจินตนาการ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะจะได้สร้างสมดุลของสมองซีกซ้ายกับขวาบ้าง.  นอกจากนี้ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมชาติของ" คน "

ตอนนี้ฉันมีดอกไม้ร้อยกว่าดอกอยู่ในมือ เป็นดอกไม้ที่ไม่เหมือนกันเลยซักดอก ฉันต้องคิดและวางแผนว่าฉันจะจัดดอกไม้เหล่านี้ลงในแจกันได้ยังไงให้สวยงาม จะจัดเรียงสีสันเฉดใดไว้ไกล้กัน ดอกใหญ่ ดอกเล็ก ก้านยาว ก้านสั้น ฯลฯ เพื่อให้ได้แจกันสุดสวยตามที่ฉันได้จินตนาการไว้

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันแรกของโครงการบรรยากาศที่ต้องการ แบบactive learning   เห็นชัดเรื่องsharing แต่ caring ยังไม่เห็นภาพชัดนัก เมื่อกลับมาทบทวนและอ่านซ้ำทำให้ข้าใจมากขึ้น กลยุทธ์ที่ให้ผู้เรียนเข้ามาแลกเปลี่ยนในblog เป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะ

1.ได้ทบทวน ตกตะกอนความคิด ตกผลึก

2.ร่วมshareเพิ่มจากในห้องซึ่งมีข้อจำกัดด้านเวลา

3.ทำให้ได้แสดงความเห็นหลากกลาย อิสระ ด้วยเรื่องเวลาและสถานที่ (อย่างตอนนี้นอนเอกเขนก)

อันนี้ก็เป็นการเปลี่ยนmindsetของตัวเองอย่างนึงเรื่องวิธีการเรียน

แต่ผลสำเร็จจะไม่เกิดเลยถ้ากั๊กๆไม่share&care  ทุกคนต้องเปิดใจ และกล้าที่จะบอกสิ่งที่เป็นจริงและสิ่งที่คาดหวัง

เพราะจะทำให้เข้าใจ จำ นำสู่การปฏิบัติได้ดียิ่งขึ้น

ขอบคุณทุกๆท่านที่ทำให้เรามาพบกันและทำสิ่งดีๆด้วยกัน ผู้นำนอกจากจะกล้าและเก่งแล้วต้องดีด้วยใช่มะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

           วันนี้เป็นวันแรกของการเรียนรู้ก่อนอื่นต้องขอบคุณคณะแพทย์และคณะวิทยากรที่ได้สร้างโอกาส/บรรยากาศแห่งการเรียนรู้ ภายใต้พหุวัฒนธรรม  พหุความรู้ ได้พบผู้คนที่หลากหลาย เหมือนเข้าไปในสวนดอกไม้ที่เติมไปด้วยดอกไม่นาๆพันธุ์ ต่างแบ่งปันในสิ่งดีๆ ได้พบกับคนสวนมืออาชีพ  ทำให้ดอกไม้ทุกดอกได้ส่งเสียงคุยกัน วันนี้รับได้ด้วยความรู้สึกว่า หากทุกๆเป็นเหมือนวันนี้ชีวิตการทำงานในสวนแห่งนี้คงมีแต่ความสุข  หรือเป็นเพราะว่าเรามีสายเลือดเดียวกัน สายเลือด "ลูกพระบิดา" ทำให้พวกเราพร้อมที่จะเรียนรู้ พร้อมที่จะยอมรับกับสิ่งใหม่ๆ หรือเป็นเพราะพวกเราอยากจะก้าวไปสู่เป้าหมายใหม่ที่ดีกว่า..

         หลายคนเป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่คุ้นเคย หลายคนเป็นครู หลายคนเป็นเจ้านาย และวันนี้ก็พบอีกหลายคนที่เป็นเพื่อนใหม่ แต่บรรยากาศวันนี้ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกัน มาร่วมคิดร่วมฝันด้วยกัน ฝันกันมาทั้งวัน อาจารย์ให้การบ้านสรุปบทเรียนยังไม่มีโอกาสได้สรุปเลย  ตอนเย็นต้องต่ออีกหนึ่ง Event คือซ้อมขับร้องประสานเสียงกับวง Med PSU Chorus  วันนี้ครูเก่งซ้อมเพลง ความรัก ของ ออร์โตบาห์น โดยแยกร้องทีละสายเสียง อัลโต โซบราโน เบส อัลโต  ฝึกทีละวรรค รวมกันร้องให้เป็นเสียงเดียว ฝึกแล้ว ฝึกอีก พอใช้ได้ ค่อยต่อวรรคใหม่ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก แบบไม่ย่อท้อ  แม้เสียงพวกเราจะแปร่งไปบ้างครูก็ให้กำลังใจ Work ไป play ไป สร้างบรรยากาศให้เราอยากเรียนรู้ เทียบกับการเรียนวันนี้อาจารย์บอกว่าองค์การจะพัฒนาได้นั้นทุกคนต้องตั้งเป้าหมายร่วมกัน การก้าวไปสู่จุดหมายนั้นมีองคประกอบหลายประการ ประการแรกที่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญคือเริ่มที่ตนเอง เริ่มที่คนหนึ่งคน ที่หลากหลายด้วยความรู้ ความสามารถ รวมเป็นกลุ่มคน แล้วจึงรวมเป็นองค์กร ประการที่สองในการรวมกลุ่มคนต้องมีผู้นำที่ดี มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนา  แสวงหาเทคโนโลยีใหม่ๆ สิ่งเอื้ออำนวยความสะดวก สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน เพื่อให้ถึงซึ่งจุดหมาย  ประการที่สามคือการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ และอื่นๆอีกมากมาย วันนี้ง่วงมากแล้วค่ะ ค่อยเขียนต่อพรุ่งนี้

          ทำตามที่อาจารย์จิระบอก  ....อย่าเขียนตามอาจารย์

                                                                                                      บันทึก 3 กรกฏาคม 2557


“ รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รักและสนุกกับมัน ” และ “ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ” เป็นแนวคิดในการทำงานเดิม ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งโอกาสดี ๆของชีวิตที่ได้มาร่วมในหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรของคณะแพทย์ ฯ สิ่งที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติม ได้แก่

1.การทำงานในคณะแพทย์ ฯ เราในฐานะที่เป็นอีกหนึ่งฟันเฟือง เราต้องบริหารงานให้เท่าทันกับสภาพการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ทำงานแบบมีเข็มมุ่ง มองให้เห็นอนาคตที่จะเดินไปข้างหน้า ทำงานเป็นทีมเพื่อช่วยกันพาคณะ ฯ ไปสู่ความเป็นเลิศ องค์ความรู้ ที่ได้มาแล้วต้องเอามา learn -share -care เอามาแลกเปลี่ยน สร้างให้เกิดความเป็นผู้นำร่วม มีการ Turn Ideas into Actions

2.Leadership Competency ในสถานการณ์ตอนนี้ การทำงานต้องมีความยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ โดยต้องมองทั้ง 2 R คือ 1) Reality ต้องมองตามความเป็นจริง และ 2) Relevance คือ มองให้ตรงประเด็น การฟังบรรยายจากท่านวิทยากร เราต้องมีกรอบแนวคิด ฟังแล้วต้องมีการฝึกฝนบ่อย ๆ เพราะถ้าฟังผ่านอย่างเดียวเราอาจลืมได้

      บรรยากาศการเรียนในวันแรก อาจจะมีเกร็ง ๆ กันบ้าง ผู้เรียนมาจากหลาย position แต่ครั้งนี้มาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน คาดว่าวันที่สองในการเรียนกลุ่มของเราคงจะ Relax ขึ้น ให้บรรยากาศเป็นแบบ Happy Learning เพื่อว่าเมื่อเราผ่อนคลาย สมองเปิด มีความสุข เราจะได้คิดตามสิ่งที่อาจารย์สอนได้อย่างเต็มที่

     แต่วันนี้ได้ทำอย่างที่อาจารย์แนะนำแล้ว คือ อ่านหนังสือเพิ่ม และฝึกเขียนสรุปให้เป็น

     ขอบคุณเพื่อนร่วมชั้น ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านและทีมงาน ดิฉันพร้อมสำหรับการเรียนในวันที่สองแล้วค่ะ 

สิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้คือการปรับเปลี่ยน Mindset ของคนในองค์กร....จากกิจกรรมของอาจารย์เฉลิมพล ทำให้ได้เรียนรู้ว่า ปัจจัยที่จะสามารถนำไปสู่การปรับเปลี่ยน mindset คือ มีจุดวิกฤตร่วมกัน มีผลประโยชน์ร่วมกัน ที่ขอเพิ่มเติมจากการคุยกับเพื่อนในกลุ่มคือ มีศัตรูร่วมกัน

สิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้คือการปรับเปลี่ยน Mindset ของคนในองค์กร....จากกิจกรรมของอาจารย์เฉลิมพล ทำให้ได้เรียนรู้ว่า ปัจจัยที่จะสามารถนำไปสู่การปรับเปลี่ยน mindset คือ มีจุดวิกฤตร่วมกัน มีผลประโยชน์ร่วมกัน ที่ขอเพิ่มเติมจากการคุยกับเพื่อนในกลุ่มคือ มีศัตรูร่วมกัน

อาจดูแล้วเป็นโจทย์ที่ยาก....แต่อย่างน้อยวันนี้ก็ทำให้รู้ว่า อาจจะไม่ยากเกินฝัน

สิ่งที่โดนใจมากวันนี้ คือคำพูดของอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ที่ว่า...หลักสูตรนี้ต้องการสร้าง SITUATION LEADERSHIP ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนเองสนใจ เพราะการเป็น LEADERSHIPในสถานการณ์ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆ

ทฤษฎีที่สำคัญเพื่อการเรียนรู้

1.ทฤษฎี 3V Value added = สร้างมูลค่าเพิ่ม/Value Creation = สร้างคุณค่าใหม่

Value Diversity = สร้างคุณค่าจากความหลากหลาย

2. Learning How to learn ทฤษฎีที่สำคัญเพื่อการเรียนรู้ของดร. จีระ หงส์ลดารมภ์

- มีเครื่องมือที่สำคัญคือในทุกกระบวนการจะเริ่มต้นด้วย 2 R คือ Reality และ Relevance

เราต้องรู้Reality ของคณะแพทย์ ในมิติต่างๆเช่นบุคลากรที่หลากหลาย มีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร

เราต้องรู้ Relevance ของคณะแพทย์คืออะไร/ ประเด็นสำคัญหรือทิศทางของคณะแพทย์กำหนดไว้อย่างไร โดยควรมองให้รอบด้านแบบ Holistic เชื่อมโยงไปถึงด้านสังคม การเมืองและวัฒนธรรมด้วย

-การเรียนรู้ที่เป็นเลิศคือการ การเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมีวิธีการเรียน Learn-Share-Care

ทุนมนุษย์-Mindset Leadership

- คนเป็นทรัพยากรที่สำคัญ มีค่ามากที่สุดและสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร (people have unlimited potential) หลักการบริหารทุนมนุษย์คือ ปลูก เก็บเกี่ยว Execution

- Mindset = ทัศนคติ เป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร โดยเฉพาะทัศนคติเชิงบวก

- ปัญหาของMindset ที่สำคัญคือการคนในองค์กรอาจมีMindsetเดิมๆที่อาจไม่เหมาะสมกับสภาพองค์กรปัจจุบัน เช่น มีการแข่งขันที่สูงแต่คนในองค์กรยังยึดติดกับความสำเร็จในอดีต คิดว่าทำได้ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องพัฒนา

- Mindsetสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยมีหลักการสำคัญคือ ต้องทำให้คนในองค์กรเห็นประโยชน์ร่วมกัน ยอมรับร่วมกัน ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การให้ความรู้ การทำกิจกรรมกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หาจุดร่วม ระหว่างบุคลากรที่หลากหลาย รวมทั้งการใช้บุคคลต้นแบบ

- Leadership = ไม่ใช่การสั่งการแต่ เป็นTrust เป็นสิ่งที่ฝึกฝนพัฒนาได้

สิ่งสำคัญที่ผู้นำต้องมี คือ ความเข้าใจธรรมชาติ มองเห็นสิ่งต่างๆเป็นธรรมชาติ ทุกคนมีส่วนดี

มีจิตใจที่เปิดกว้างมองเห็นความสำคัญของคนอื่น รู้จักความแตกต่างของคนจัดคนให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม คนในทีมได้ประโยชน์ร่วมกัน (win-win) มีการสื่อสารที่ดีนำไปสู่Teamworkที่ดีขับเคลื่อนองค์กรไปสู้เป้าหมาย

สุรกิจ ส่งวรกุลพันธุ์

เปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ทำความเข้าใจบุคลากร Gen ต่างๆ

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากวันแรกเป็นเรื่องของทฤษฎีทั้ง Learning How to Learn /3V/Learn-share-Care ทำให้เรารู้จักตัวเอง ค้นหาตัวเอง แล้วรู้จักคนอื่นได้ดีขึ้นเข้าใจธรรมชาติของคนมากขึ้น ส่วนการเรียนรู้เรื่องบุคลิกภาพของคนก็เหมือนกันใช้ค้นหาตัวเองและคนรอบข้าง สามารถพัฒนาโดยการเติมเต็ม 4Qs และเข้าใจว่าผู้นำไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง ต้องใจกว้าง ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น และเมื่อทำสำเร็จต้องแบ่งปัน ฝึกเรื่องการให้ ยิ่งให้ยิ่งได้ มีประโยชน์ในการสร้างทีมของตัวเองมากค่ะ

วันที่ 3 กรกฎาคม 2557

วันนี้ได้รับประโยชน์อะไรบ้างจากการเรียนรู้ lesson learn ของเราคืออะไร

* คน เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่ามากที่สุดขององค์กร แต่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากที่สุด

* การบริหารทุนมนุษย์ให้ประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย

-การปลูก การอบรมครั้งนี้เน้นการพัฒนาสมรรถนะความสามารถเพื่อการทำงานในยุคใหม่และสมรรถนะที่สำคัญสำหรับบุคลากรคณะแพทย์ คือ การพัฒนา entrepreneurial competency

-การเก็บเกี่ยว เป็นการให้คนในองค์กรทำงานอย่างเต็มความสามารถภายใต้ความสุขที่สมดุล

-execution เป็นการทำให้สำเร็จโดยการเอาชนะอุปสรรค โดยเฉพาะ Silo based

* ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้องค์กรก้าวหน้า คือ mindset ของคนในองค์กร ถ้าคนในองค์กรมี mind set ไม่เหมาะสมอาจสร้างปัญหาให้องค์กรได้

* การจะเปลี่ยน mindset ให้สำเร็จจะต้องเห็นประโยชน์ร่วมกัน

* การจะเปลี่ยนแปลงอะไรให้สำเร็จได้ จะต้องร่วมกันสร้างจินตนาการหรือออกแบบการปฏิบัติ แล้วร่วมกันทำไปให้ถึงเป้าหมายที่ร่วมกันวางไว้

* การทำงานร่วมกันของบุคลากรที่หลากหลาย ควรใช้หลัก 4 Qs และควรทราบบุคลิกภาพของผู้ร่วมงานเพื่อสามารถดึงจุดเด่น จุดดี มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

* ผู้นำที่ดี ควรเข้าใจธรรมชาติ ใจกว้าง สมารถจัดการความหลากหลายให้อยู่ได้อย่างเหมาะสม และต้องมีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

* การตั้ง KPI ที่ดีนอกจากเชิงปริมาณแล้ว ควรเป็นเชิงคุณภาพด้วยเพื่อทำให้เกิดความคิดใหม่ๆจากระบบ

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณหัวหน้าภาควิชาฯ และคณะที่เห็นความสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ และได้ให้หนูเข้าร่วมอบรม วันแรกที่เห็นรายชื่อผู้เข้าร่วมอบรมรู้สึกตัวเล็กไปเลยเพราะตำแหน่งใหญ่ๆทั้งนั้น แต่เมื่อเสร็จการอบรมวันแรกแล้วก็เห็นว่าไม่ยากเกินกว่าที่จะเรียนรู้ และนำไปประยุกต์ใช้

ดังหัวข้อที่ได้เรียน

Mindset สิ่งที่ทำให้คนแต่ละคนต่างกันคือสิ่งแวดล้อมนี่เอง หากมีผลประโยชน์ร่วมกัน เป้าหมายร่วมกัน ก็อาจเปลี่ยนแปลง Mindset ของเราได้

ทุนมนุษย์ ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่จะเน้นในการพัฒนาบุคลากรเนื่องจากเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก

Leadership บุคลิกภาพคนที่ประกอบไปด้วย 4Qs วันนี้เมื่อพิจารณาแล้วตัวเองเป็นคนตัว I นักกิจกรรม ซึ่งก็ตรงมาก เพราะชอบเข้าสังคม ช่างคุย รีบร้อน หากการเป็น leadership คือการเข้าใจธรรมชาติของคนอื่น ในตอนนี้ก็รู้สึกหนักใจแทนหัวหน้าทุกๆ ท่าน เพราะถือเป็นเรื่องที่ยากมากๆ

สิ่งที่เรียนรู้จากการเรียนเรื่องทุนมนุษย์ mindset และ leadership 3กค.57

1. Life long learning ถ้ามีวัฒนธรรมการเรียนรู้จะชนะ ถ้าหยุดการเรียนรู้จะเป็นแค่เสมียน

ปลูกพืชล้มลุก ใช้เวลา3-4 เดือน

ปลูกพืชยืนต้นใช้เวลา. 3-4 ปี

ปลูกพืชคน. ทั้งชีวิต

2. ลูกศิษย์ทุกคนต้องมีความกล้า

3.ภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นแล้วอาจจะเกิดขึ้นได้อีก

4. คนคือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร

5. การเรียนรู้เพื่อพัฒนาบุคลากรที่เป็นเลิศ. ด้วยทฤษฎี 3V value added value create และ value diversity

6. หลายคนอาจจะเก่งเท่ากัน. แต่ทัศนคติที่ต่างกันอาจทำให้ความสำเร็จต่างกัน

7. ทฤษฎี 3 วงกลมเพื่อการบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

1. Context. องค์กรน่าอยู่ คล่องตัว ทันสมัย

2. Competencies. บุคลากรมีความรู้ ความสามารถ มีคนเก่ง

3. Motivation. มีแรงจูงใจให้คนทำงานอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ

ถ้าเราได้คนดีคนเก่งในองค์กร ต้องให้เขาทำงานให้เราอย่างเต็มความสามารถ โดยให้เป้าหมายของตัวเองและองค์กรไปด้วยกัน. เราจะได้ทุนมนุษย์ที่มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานไปสู่ความเป็นเลิศ. มีความสุขและมีความสมดุลย์

ต้องสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรทำงานอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ

8. Mindset ใหม่จะเปลี่ยนเมื่อเห็นประโยชน์ร่วมกัน. ร่วมมือไปด้วยกัน

9. จะปรับเปลี่ยนตนเองต้องเริ่มที่จินตนาการ เราจินตนาการสิ่งใดได้สิ่งนั้น ถ้าอยากให้บรรลุวัตถุประสงค์อะไรต้องจินตนาการให้ละเอียดที่สุด การจินตนาการทำให้เราทำพฤติกรรมเพื่อให้เกิดสิ่งนั้น

10. คนอื่นเห็นเรามากกว่าเราเห็นตนเอง. จึงต้องเปิดใจรับฟังผู้อื่นแล้วใช้วิจารณญาณตัดสินใจการเป็นเหตุเป็นผล

11. ค้นหาคุณค่าในตัวผู้อื่น. หามุมบวกผู้ร่วมงานให้เจอ เราต้องการคนทุกรูปแบบโดยเลือกส่วนที่ดีของเขามาทำงานร่วมกัน ผู้นำต้องเป็นนักปักแจกัน ปักอย่างไรให้สวยให้เดอกไม้แต่ละดอกมีคุณค่าของเขา จัดให้อยู่ตรงที่ให้แต่ละส่วนมีความเด่น ช่อดอกไม้ก็จะสวย

12. การเข้าใจธรรมชาติเป็นบุคลิกสูงสุดที่ผู้นำควรมี. ควรเข้าใจส่วนดีส่วนเสีย เข้าใจสมดุลของชีวิตปรับสมดุลชีวิตทำให้ชีวิตเป็นสุข

13. บุคลิกภาพของคน 4 ประเภท คือ นักกิจกรรม. นักปฏิบัติ. นักทฤษฎีและนักผจญภัย. การบริหารคนแต่ละกลุ่มต้องหาวิธีการพูดให้เหมาะกับบุคลิกภาพของเขา

14. หลักการแก้ปัญหา. ไปหาช่องว่างให้เจอและเชื่อมโยง

15. ชีวิตคนเราถ้าอยู่กับอดีตอนาคตทำให้เป็นทุกข์ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดอนาคตจะดี ถ้าไม่ดีถือว่าสุดวิสัย

อย่าเอากาลเวลามายุ่งเกี่ยว

16. การสอนคนให้มีพฤติกรรมที่ดี จะไม่สอนว่าห้ามทำอะไรแต่จะสอนให้เห็นคุณค่าในสิ่งนั้นแล้วเขาจะดูแลให้ดีเอง

17. ผู้บริหารต้องใจกว้างเอาความเป็นตนเองออกรับฟังผู้อื่น

18. ให้คิดทำเฉพาะสิ่งใหม่แม้แต่งานประจำต้องคิดใหม่ต้องแตกต่างจากการทำงานแบบเดิม

การนำไปใช้ประโยชน์

1. ปรับปรุงตนเองในการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยการหาความรู้ใหม่ๆเพิ่มทุกวัน และนำไปแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น และให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร เนื่องจากคนคือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร ต้องพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ และสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรทำงานอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ รวมถึงการสร้างสิ่งแวดล้อมบรรยากาศในการทำงานให้น่าอยู่

2.พัฒนาตนเองให้มีความกล้า อาจารย์จีระเป็นแบบอย่างที่ดีของการใฝ่รู้และความกล้า จึงประสบความสำเร็จ

ฝึกการพัฒนาตนเองและบุคลากรโยการวิเคราะห์งานที่ทำว่าจะทำอย่าไรให้เกิด value added value create และ value diversity

3. ฝึกการเข้าใจธรรมชาติของคน ค้นหาคุณค่าของแต่ละคน วิเคราะห์บุคลิกภาพคนในหน่วยงานว่าอยู่ในประเภทใด และหาวิธีการ approach พัฒนา และมอบหมายงานให้เหมาะกับบุคลิกภาพ เนื่องจากคนทุกคนมีมุมบวก มีส่วนดี หน่วยงานต้องการคนทุกรูปแบบ ต้องหมุนมุมบวกของแต่ละคนมาทำงานร่วมกัน

4. ปรับ Mindset ของตนเองและบุคลากรในหน่วยงาน โดยค้นหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของบุคลากรและหน่วยงาน

สวัสดีค่ะ

สิ่งที่ได้เรียนรู้€ในวันนี้เป็นเรื่องของการรู้จักตัวเอง เข้าใจผู้อื่น และเรียนรู้การที่จะอยู่ร่วมกัน

ทฤษฎีที่สำคัญเพื่อการเรียนรู้ :

วัตถุประสงค์: เพื่อต้องการให้เป็นผู้นำ ที่สามารถจัดการต่อการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคมโลก โดยเฉพาะเป็นผู้นำต่อการเปลี่ยนแปลงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้

วิธีการ: เครื่องมือ 4L’s(ปะทะทางปัญญา) / 2R’s (พิจารณาจากความจริง) / 2I’s (เกิดความคิดแบบจุดประกาย) / 3V’s (สร้างคุณค่าจากความหลากหลาย) / 3L’s (เกิดการเรียนรู้จากความผิดผลาด ประสบการณ์ และรับฟัง)/ C&E (สร้างเครือข่าย) / C-U-V (ถ่ายทอดสู่ผู้อื่น - สร้างมูลค่าเพิ่ม) สุดท้ายต้อง Learn – Share – Care จึงจะเกิดการเรียนรู้ และเป็นที่มาของทฤษฎี Learning How to Learn ของ ศ.ดร.จีระ หงศ์ลดารมณ์

องค์ประกอบ : คน และ องค์ความรู้ Learn – Share – Care

ประโยชน์ : รู้จักตนเอง รู้จักผู้อื่น (ลูกน้อง+เพื่อน) รู้จักการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกัน

€Mindset Leadership และการทำงานในยุคที่โลกเปลี่ยนของคณะแพทย์ มอ. :

Mindset: เป็น talent Capital ใน 3 อย่างที่สำคัญ ( Skills, Knowledge, Mindset) เป็นความเชื่อลึก ๆ ที่อยู่ข้างใน เรียกว่าเป็น intangible และถูกอิทธิพลมาจากอาชีพ การศึกษา การทำงานและครอบครัวจะอยู่มานานและพื้นฐานฝังรากลึกจะเปลี่ยนลำบากมาก ทำให้เกิดพฤติกรรมซึ่งสร้างปัญหาให้องค์กรได้ หากมี mindset ที่ไม่เหมาะสม

พัฒนา Mindset:ความคิด/ความเชื่อร่วมฟังเยอะขึ้น มีส่วนร่วมเยอะขึ้น

€Leadership & Teamwork :

สอนให้เห็นคุณค่าจากสิ่งที่เราเห็น และสิ่งที่เขาเป็น รู้จักค้นหาคุณค่า รู้จักวิเคราะห์บุคลิกภาพของคน (4Qs) เรียนรู้ และสามารถปรับตัวให้สามารถนำทีมและสามารถสร้างทีมได้ เนื่องจากคนเรามีพื้นฐานบุคลิกภาพที่แตกต่างกัน

สิ่งที่เรียนรู้: ผู้นำสามารถพัฒนาตนเองจากแนวคิดนี้ เพื่อให้เกิดการเข้าใจธรรมชาติ และนำไปใช้ในการตัดสินใจ (ใช้ 4Qs ทำงาน)

ภูวดล ธนะเกียรติไกร (Phuvadol Thanakiatkrai)

This marks the first day of a series of training sessions over 13 weeks to develop leadership skills for the Faculty of Medicine. There were a total of three talks today and here are the main lessons I have learnt:

1. Introdution: Prof. Dr. Chira talked about his past and gave a short history of how this course came about. Aj. Chira will teach us to "learn how to learn". What I like about this talk is his 2R's: reality and relevance. Reality means that we should be honest with ourselves. How can one identify what problems lurk beneath the surface if no one is willing to admit we have a problem? Relevance is asking yourself if what you do actually matter. If not, why do it? Aj. Chira also introduced a toolset incorporating all the L's, I's, V's, R's, and K's. Once we have all that, we can turn ideas into actions, then turn the actions into successful EXECUTIONS. Ultimately, we want to achieve sustainable developments through innovations.

2. Mindset and human capital: The second talk by Prof. Dr. Chira. He focused on mindset, or ingrained attitude that is extremely difficult to change. But having an inflexible mindset stagnates growth. To bring about change we must first realise what our mindsets are, then work on changing it. The other key point of this talk to develop human capital. Aj. Chira has the 8K + 5K theory, which lists the capitals that can be developed. But don't forget to harvest the capital that you invest in as well.

3. Leadership and Teamwork: This talk was hosted by Assoc. Prof. Dr. Chalermpon. The speaker was enthusiastic about his talk and this made his lesson very entertaining. The main points that I learnt from him is that if a change has to be introduced, the change must benefit all sides or else it will be met with resistance. In order to achieve this, communication is key. Negotiations must happen BEFORE the change is planned and implemented. The second main point of this talk is the importance of novelty. Novelty is crucial, because with it we can have constant improvement. Novelty can even be found in routine work.

That is all for today. 

สรุปการบรรยายหัวข้อ

วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ.”

โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล

อาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์

ดำเนินการอภิปรายโดย อาจารย์จีระเดช ดิสกะประกาย

4 กรกฎาคม 2557

ผศ.ดร.พงษ์ชัย: มีโอกาสได้ดูแลองค์กรคล้ายมอ. คือ

1. ดูแลที่รพ.กรุงเทพคริสเตียน ในการพัฒนาหลักสูตรใหม่ๆ เกี่ยวกับ Healthcare logistic

2. ไปช่วยรพ.กรุงเทพ มีแพทย์จากหลายโรงพยาบาลในกามสัมมนาร่วมกัน โดยมีสมเด็จพระเทพทรงเปิดงาน

3. ลูกศิษย์คือ แพทย์ และวิศวะมาร่วมมือกัน มีลูกศิษย์ทำบริษัทบุญถาวร ทำสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ลูกศิษย์เป็นรองผู้อำนวยการ โดยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องโลจิสติกส์เท่านั้นไม่มีความรู้เรื่องแพทย์ อยากสร้างรพ.ให้เป็นระดับ 3 ไม่ต้องการสอนนักศึกษาแพทย์ให้จบเป็นผู้เชี่ยวชาญแพทย์เท่านั้น แต่ต้องการให้จบมาสามารถเรียนรู้ด้านการบริหารโรงพยาบาลได้

เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ มี 31 เครือโรงพยาบาล เช่น รพ. พญาไท เปาโล สมิติเวช ภาคใต้มี 2 รพ.กรุงเทพ คือ อยู่ที่ สมุย และ ภูเก็ต

รพ.ภาคเอกชนที่มุ่งเน้น Tertiary คือ โรงพยาบาลเครือกรุงเทพ และบำรุงราษฎร์ มี partner ด้านหัวใจคือ รพ.เมโย

เพราะฉะนั้นเรามีรพ.ที่มีความแข็งแรงมากมาย นอกเหนือจากรพ.รัฐ เช่น ศิริราช จุฬาลงกรณ์ และ รามาธิบดี

กลุ่มตรงกลางไม่ใหญ่มากเป็นรพ.เอกชน เช่น เกษมราษฎร์ นนทเวช

ลักษณะรพ.ของรัฐ เน้นการรักษาโรค

ลักษณะรพเอกชน เน้นเรื่องการตรวจสุขภาพ แต่มอ.ควรเน้นมาทางด้านนี้มากขึ้น เพื่อทำให้ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพก่อน

กรณีมอ. มีข้อจำกัด ควรทำให้เป็นข้อดี และข้อด้อยของตัวเอง บางครั้งมีค่านิยมแปลกๆบ้าง บางครั้งความดึงดูดก็ยังดึงดูดคนในพื้นที่ได้เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับรพงแพทย์ในกรุงเทพถือว่าเสียเปรียบ

แต่ถ้าอยากทำให้มีโอกาสขึ้นมาคือ การเน้นไปยังประเทศเพื่อบ้านมากขึ้น

หรือการเปลี่ยนภาพโรงพยาบาล เช่น คณะแพทย์ศาสตร์มอ. ยังต้องปฏิบัติตามพรก.

รพ.ศิริราช ตั้งรพ.ปิยมหาราชการุณย์ ไม่ได้เป็นรพ.ในสถาบันการศึกษา

หากอาจารย์แพทย์เก่งๆ แต่จ้างในราคาถูกบางครั้งก็จะถูกรพ.เอกชนใหญ่ดึงตัวไปรพ.ก็อยู่ไม่ได้

ควรนึกถึง Medical tourism เพื่อรองรับคนไข้ที่มาจากหลากหลายพื้นที่ได้มากขึ้น

บุคลากร PSU ทางคณะแพทย์ ปัจจุบันไหลไปทางต่างๆมากมายดังนี้

1. Private Hospital

2. Public Health Hospital รพ.สาธารณสุข รายได้จาการเป็นแพทย์สังกัดนี้ มากกว่ารายได้ของคณะแพทย์ศาสตร์ มอ.

3. Oversea Hospital เช่น ประเทศมาเซีย อเมริกา เพราะได้รายได้สูงกว่ามาก

- ประเด็นท้าทายของคณะแพทย์ มอ. คือ ประเด็นนี้ว่าจะทำอย่างไรถึงจะ Keep บุคลากรเหล่านี้ไว้ได้

- ความต้องการทางการแพทย์ในอนาคตของประเทศไทยเกิดจาก

1. GDP Growth หากมีการเจริญทางด้านเศรษฐกิจ อัตราการเติบโตทางการแพทย์ก็จะสูงขึ้นด้วย ดังนั้นความสามารถทางการรักษา บุคลากรทางการแพทย์ เตียงคนไข้ ของคณะแพทย์มอ.จะโตทันหรือไม่ให้ทัน 7% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมคนที่อายุมาก

2. ลักษณะความต้องการไม่ได้เป็นเรื่องการเสียแล้วซ่อม แต่เป็นเรื่องการตรวจเช็คมากขึ้น

3. Medical Tourism คนกลุ่มที่มีเงินก็จะไปยังรพ.เอกชนมากกว่า เช่น เครือรพ.กรุงเทพ เป็นอันดับ 3 ของโลก

ความท้าทายในอนาคต คือ คณะแพทย์มอ. มีการเตรียมความพร้อมด้านนี้อย่างไร ต้องมีระบบทางการแพทย์มากขึ้นทำอย่างไร แต่ส่วนใหญ่ติดกับตัวเอง คือ มัวรองบประมาณรัฐบาล

ความกดดัน ที่จะเป็นการท้าทายของคณะแพทย์ศาสตร์

1. Patient Protection Act การวินิจฉัยคนไข้แล้วต้องมีการอัดวีดีโอเป็นหลักฐานเพื่อให้คนไข้ฟ้องร้องแพทย์เมื่อมีการวินิจฉัยผิดได้

2. งบประมาณที่ถูกตัดจากรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และคณะแพทย์ รพ. ไม่บูรณาการกัน เป็นสิ่งที่ต้องระวัง เพราะมอ.ต้องหาแหล่งเงินมาจากที่อื่น

3. มาตรฐานต้องสูงขึ้น ต้องมีการสร้างน่าความเชื่อถือ

4. Universal Coverage Scheme เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค รพ.ส่วนกลางได้เปรียบ คือ จุฬา ศิริราช รามา

5. การแข่งขันสูงขึ้น : สมัยก่อน เวลาเจ็บป่วยเข้ารพ.รัฐ แต่สมัยนี้ไปรพ.เอกชนได้ การแข่งขันสูงทำให้ทางเอกชนมองว่าเป็นโอกาส และเป็นธุรกิจที่โตอย่างยั่งยืนเมื่อสามารถสร้างชื่อเสียงได้

อัตราการเติบโตวัดจากจำนวนเตียง บุคลากร รพ.รัฐแพ้รพ.เอกชน

รพ.กรุงเทพ มีต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ทำเรื่อง Central lab และทำเรื่องประกันด้วยการตั้งบริษัทขึ้นมากเองเกี่ยวกับบริษัทโลจิสติกส์ และยังซื้อโรงงานผลิตน้ำเกลือ ผ้าก๊อซ ผลิตเข็ม ซึ่งเป็นธุรกิจที่โตอย่างไม่สิ้นสุด

ส่วนมอ. หรือรพ.รัฐ ต้องเปลี่ยนกรอบความคิด ปรับรูปแบบให้ได้ เพราะต่อจากนี้ยังจะมีการเปิดประชาคมอาเซียนอีกด้วย

6. ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น รพ.รัฐจำนวนหนึ่งจะมีงบประมาณไม่พอ บางครั้งอาจจะติดลบ และยังไม่มีวิธีการที่จะลดต้นทุนเป็นประเด็นท้าทายอีกประเด็นหนึ่ง

คณะแพทย์ศาสตร์มีเครื่องมือตัวหนึ่ง และมุ่งเน้นไปยังการพัฒนานักศึกษาแพทย์ หากทำได้ดีก็ยังทำเพื่อสังคมและยังได้รายได้ ต้องมองว่าจะทำการวิจัยการเรียนการสอนเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ใช้ความรู้ ประโยชน์ได้มากขึ้นอย่างไร

การออกแบบต้องมุ่งประโยชน์เพื่อการเรียนการสอน ไม่ใช่มุ่งการเพิ่มจำนวนเตียงเท่านั้น การเคลื่อนย้ายเครื่องมือทางการแพทย์มีการดำเนินการอย่างไร

ประเด็นท้าทาย

1. Modern Management Culture ต้องมีวิธีการบริหารสมัยใหม่ วัฒนธรรมก็ต้องใหม่ด้วย

2. Efficient PatientResponse การตอบสนองคนไข้ คำนึงถึงต้นทุนและรักษาหายอย่างมีประสิทธิภาพ

3. Internationalization ความเป็นสากล

4. New &High-tech Facilities เครื่องมือทางการแพทย์ ห้องปฏิบัติการ ต้องใหม่อยู่เสมอ

อ.จีระเดช: ประเด็นของท่านอาจารย์พงษ์ชัยคือ รพ.จะเน้นเรื่องการเชี่ยวชาญ ซึ่งรพ.ของรัฐจะมีปัญหา เนื่องจากหากรพ.รัฐมีโรงเรียนแพทย์จะเป็นแค่ศูนย์ฝึกของนักศึกษาแพทย์เท่านั้น

พิจารณา 2 ระบบ พร้อมกันทั้งรัฐและเอกชน ต้องปรับให้รพ.มีระบบการตลาด มีระบบวิศวะ มีระบบการบริการ

อ.จีระ: ครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ขอเสริมว่าอาจารย์พงษ์ชัยมองภาพกว้าง และรวมไปถึง Micro ควรจะพูดถึง Action response รวมไปถึง Sustainability ด้วย

เมื่อวานพูดเรื่องทุนมนุษย์ Mindset ในอนาคตเน้นเรื่องผู้นำถึงจะเปลี่ยนแปลงได้

เห็นแนวอย่างหนึ่ง คือ เส้นทางกับภาคเอกชน เป็นการต่างคนต่างทำ ทำให้มีการยั่งยืนที่ลำบาก เพราะฉะนั้นต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้ โดยต้องรวมพลัง มีประเด็นให้คนในสังคมยอมรับ ต้องจุดประกายเรื่องนี้ออกมา เช่น จีน นำโดย เติ้ง เสี่ยว ผิง ที่บริหารประเทศแบบ 2 systems 1 country

นพ.เกษม พูดเรื่องสมองไหลมา 10 กว่าปี คิดว่าด้าน Macro ถ้าทุกคนรวมพลัง จัดการการเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน ไม่สามารถทำนายได้ ถือเป็นจุดแข็งในอนาคตได้

การตระหนักเรื่องอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้ามีความใฝ่รู้ มีการจัดการการเปลี่ยนแปลงในอนาคต มีการ Self-learning

Competency ของ Bill Heinecke จะมีกฎของนักธุรกิจ คือ การมีจิตวิญญาณของการทำอะไรให้เกิด 3V หรือการคิดนอกกรอบ แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม จริยธรรม

Value added อย่างเดียวไม่พอ ต้อง Turn to action ต้อง Execution

นักบริหารต้องมีสำนึกของการหาเงินเข้าองค์กรได้ เนื่องจากบางครั้งงบประมาณแผ่นดินมีเยอะ แต่ก็มีปัญหา

ขอให้ทุกท่านมองเป้าหมายหลักขององค์กรร่วมกัน และมองไปยังอนาคตเพื่อหาเงินเข้าองค์กรได้ด้วยการวิจัยด้วยการร่วมมือกับคณะอื่น มุ่งเน้นไปยังต่างประเทศ มากขึ้น

Value creation ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ และมุ้งไปสู่นวัตกรรม แต่ต้องมีกรอบคุณธรรม จริยธรรม

Value diversity การร่วมมือ การมีโครงการกับนานาชาติ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และพร้อมรองรับกับการเปลี่ยนแปลง

คำถาม

1. รพ.รัฐจะเสียเปรียบด้านโฆษณาควรทำอย่างไร

อ.พงษ์ชัย: เรื่องโฆษณาภาคเอกชนต้องทำ เนื่องจากคนไข้ต้องเสียเงินแพงกว่า จึงจำเป็นต้องโฆษณาเพื่อดึงลูกค้าเข้า

ต้องคิดว่ามอ.จำเป็นต้องโฆษณาหรือไม่ ถ้าไม่มีคนไข้ที่จ่ายแพงกว่ามาที่รพ.เราก็ไม่จำเป็น เพราะลูกค้าของรพ.เป็นชาวบ้าน เป็นอาจารย์อยู่แล้ว

เรื่องเทคโนโลยีไม่นิ่ง จะมีสิ่งใหม่เข้ามาอยู่เสมอ ต้องอัพเกรดเครื่องมืออยู่ตลอดเวลา รพ.กรุงเทพใช้หุ่นยนต์ทดลองมาเป็นพยาบาลเฝ้าคนไข้ในตอนกลางคืน โดยมีกล้อง CCTV ถ่ายหน้าคนไข้ตลอดเวลา เพื่อให้แพทย์ดูได้ตลอดเวลา

ต้องคำนึงว่าเทคโนโลยีต้องคำนึงถึง ค่าใช้จ่ายถูกลง รวดเร็ว ชีวิตง่ายขึ้น เป็นเรื่องเทคโนโลยีที่เป็นทุกส่วน อาจจะทำเป็น Application ที่ใช้กับ Smart phone

2. นพ.สุทธิพงษ์ : การที่จะทำเป็นรพ.เอกชน จะถือเป็นการเลียนแบบหรือไม่ หากจะแข่งขันจริงๆ ก็คงจะไม่ชนะ ควรทำเป็นรูปแบบไหนถึงจะเหมาะสม

อ.พงษ์ชัย: ไม่ได้ให้เปลี่ยนตัวตนทั้งหมด แต่ให้คงหลักการที่ยังคงเดิม แต่ต้องยอมรับความจริงว่าเปลี่ยนบริบทไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเรายึดตัวเอง ไม่ดูสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปคงจะอยู่ไม่รอด เพราะสมัยนี้มีรพ.เอกชนที่เป็นตัวแข่งขัน

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมีดังนี้

1. ลูกค้าที่ใช้บริการเปลี่ยนแปลง ลูกค้ายอมจ่ายแพง เพื่อให้ได้รับการบริการที่ดี

2. คู่แข่งที่เปลี่ยนแปลง มีกำลังเงินที่จะจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์

3. สภาพแวดล้อมโดยรวมเปลี่ยน เมื่อมีการเปิด AEC ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ความเป็นภูมิภาคก็เปลี่ยนไป การลงทุน Facilitator เปลี่ยน

4. ตัวองค์กรเปลี่ยน องค์กรต้องคิดเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอด

นพ.วิวัฒนา: ส่วนเอ็กซ์เรย์ เห็นด้วยกับการปรับตัวที่ทันสมัย แต่การปรับตัวสามารถทำได้ 2 แบบ คือ ทำให้ร้อนขึ้น หรือทำให้เย็นลงก็ได้ เช่น ทฤษฎีความพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งแบบนี้จะต้องใช้ปัญญามากกว่า บางครั้งอาจารย์แพทย์ที่อายุมาก อาจจะไม่ได้มีความทันสมัยทางด้านเทคโนโลยี แต่มีความทันสมัยทางด้านความรู้หรือทางปัญญา

อ.จีระเดช: บางครั้งประเทศไทยรับ Impact จากต่างประเทศมาก แต่ต้องดูกำลังตัวเองด้วยว่าประเทศไทยจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้หรือไม่ ถ้าไม่ไหวก็ค่อยไปอย่างช้าๆ

อาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์: อยากทำอะไรที่เปลี่ยนไปจากเดิม

จากรพ.ตึกเก่าๆ เป็นตึกใหม่ๆ อยากจะเห็นผลลัพธ์ใหม่ๆในการเปลี่ยนแปลงโรงพยาบาล

การทำอะไรต่างไปจากเดิม ต้องมาจากความคิดที่ต่างไปจากเดิม ไอน์สไตน์กล่าวว่า คาดหวังผลลัพธ์ต่างๆจากเดิมแต่ทำแบบเดิมๆแบบนี้เรียกว่าฟั่นเฟือน

คำถาม

3. การมีระบบโลจิสติกส์มาปรับใช้อย่างมีคุณภาพ

อ.พงษ์ชัย: ระบบโลจิสติกส์ การเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจาย ต้องกำหนดว่าต้องจะการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจาย อย่างในรพ.ก็ต้องเป็นคนไข้ มีทั้ง Walk in คนไข้ที่จองเวลานัดหมาย คนไข้ที่เป็นตามอาการ

ขั้นแรก เริ่มต้นจากคนไข้ที่การจองนัดหมายมาควรทำให้มาก และคนไข้ที่เป็น Walk in มาควรน้อยกว่า

และเริ่มจากการสกรีนคนไข้ก่อน ควรคิดว่าจะมีการจัดตารางนัดหมายอย่างไร

กลุ่มที่ 2 คือ พวกยาเวชภัณฑ์ บริษัทยาก็มุ่งมาหาหมอแต่ละคน ยาประเภทเดียวกันบางครั้งก็สั่งมาจากหลายแบรนด์ทั้งๆที่รักษาอาการโรคเดียวกัน

ต้องมาทำStock rationalization

กลุ่ม 3 การเจาะเลือดของแต่ละวอร์ด วอร์ดไหนต้องการเดินเลือดที่ต้องการตรวจ ก็ส่งคนจากส่วนกลางไปเดิน และนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ โดยการใช้บาร์โค้ด ควบคุมการเดิน

กลุ่ม 4 ห้องคนไข้ที่มี 800 เตียง ต้องทำให้ช่วงเวลาที่ต้องเปลี่ยนคนไข้ใช้เวลาน้อยที่สุด ทำให้มีการใช้เวลาสั้นลง โดยให้ใช้ระบบคล้ายโรงแรม

กลุ่ม 5 เรื่องอาหาร ที่เสิร์ฟให้คนไข้ 3 มื้อ บางครั้งการจ้างคนภายนอกง่ายกว่า

กลุ่ม 6 การทำความสะอาดผ้าลีนิน ใช้บริษัทภายนอกมาทำให้จะดีกว่า

กลุ่ม 7 การบริหารจัดการเข็ม ผ้าก็อซที่ใช้แล้ว

รพ.รามาธิบดี มีแผนที่จะใช้ในการใช้โลจิสติกส์ระบบอิเล็คทรอนิกส์

ตัวอย่างในต่างประเทศ ในห้องคลอด ของต่างประเทศให้คุณพ่อเข้าไปในห้องคลอด

คำถาม

อ.นพ.ธีรพล : ในอนาคตอาจจะเกิด Career path ที่ถูก recruit เข้ารพ.เอกชน

อะไรเป็นสาเหตุที่บุคลากรไม่ไปรพ.เอกชน

องค์กรจะทำอย่างไรให้บุคลากรเหล่านี้ไม่ไปและอยู่ในองค์กร

อ.พงษ์ชัย: คิดว่าเอกชนมักง่ายในระบบนี้ ใช้เครื่องมือแบบไม่มีจริยธรรม แต่เราห้ามเอกชนไม่ได้ เพราะเขาใช้เงินล่อ แต่บางครั้งแพทย์ที่จบใหม่ๆก็ต้องการสร้างตัว สร้างครอบครัว ต้องการได้เงิน เพราะฉะนั้นเงินเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตต่อไป แนะนำว่าก็ต้องสร้างแรงจูงใจด้วยเงิน

คนอีกกลุ่ม เงินไม่ใช่ปัจจัย ต้องการทำอะไรที่ท้าทาย ไม่อยากมีกฎเกณฑ์ แต่อยากจะให้ปรับโดยที่ไม่ต้องเซ็นส์ชื่อ แต่อยู่ในระบบที่ไว้ใจได้

บางครั้งบุคลากรอยู่ไม่ได้เพราะผู้บริหารมี Mindset ที่ยึดเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง

คำถาม: คำว่าคุณค่าใครเป็นตัวกำหนด

อ.จีระ: ต้องบอกว่า Happy workplace คณะเป็นตัวกำหนด แต่สิ่งที่ตัวกำหนด คือ Happy at work เราทำงานแล้วมีความสุขหรือไม่ เราทำงานเพื่ออะไร

แต่เมืองไทยชอบเน้น Happy workplace มีความยืดหยุ่น/ มีwork at home

คณะแพทย์ควรเน้น Learning habit ต้องมีความใฝ่รู้

คำถาม: เรื่องสมองไหล ปัญหาขององค์กร เรื่องสมองไหลเป็นปลายทางและเห็นว่าสิ่งที่วัดได้คือ engagement ขององค์กร มี passion ในการทำงานหรือไม่ แต่เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่สุด แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ เรื่อง MOTTO คือ ยึดส่วนรวมเป็นที่หนึ่ง ส่วนตนเป็นที่สอง

คนที่มาทำงานเอกชนด้วยการไปด้วยเงิน ก็ไม่จริงทั้งหมด เพราะเอกชนก็Recruit คนเก่งเข้าไป หากไม่เก่งจริงเอกชนก็ไม่เอา ปัจจุบันเอกชนส่งคนไปเรียนมากขึ้น มอ.ปรับตัวตรงนี้ยังไม่ค่อยได้ ต้องหาที่อยู่ของเราเองให้เหมาะสม

สมองไหลเป็นปัญหาแต่ยังไม่critical แต่มีปัญหาเรื่องไม่โตเท่าที่ควร คนเก่งออกไป คนเก่งไม่เข้า คนเก่งไม่มา คนอยู่ก็ไม่เก่งเท่าที่ควร เนื่องจากไม่มีแรงจูงใจ ต่อไปก็จะเหวี่ยงทำให้เป็นโรงพยาบาลระดับกลาง

รพ.เอกชนและรัฐ สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่ในเชิงธุรกิจอาจเป็นคู่แข่ง เพราะยังเชื่อว่าแต่ละที่ยังมีที่ยืนต่างกัน

อ.จีระ: อยากให้ความคาดหวังของแต่ละคนสามารถเติมเต็มในส่วนที่แต่ละคนต้องการ และต่อไปก็ต้องเติมเต็มให้สังคมด้วย วันนี้ขอให้จับประเด็นให้ถูก เพื่อนำความคิดเห็นมาเรียนรู้กัน 

Learning Forum & Workshop

สรุปการบรรยายหัวข้อ

“Key words of success: Leadership – Mindset – Thinking outside the box

– Thinking new box.”

โดย อาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์

4 กรกฎาคม 2557

1.ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันถูกคาดหวังในการทำงานคืออะไร

2.ฉันมีอุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็นในการทำงานของฉัน

3. ในการทำงานฉันมีโอกาสทำในสิ่งที่ฉันทำได้ดีที่สุดทุกวัน

4. ในระยะเวลา 7 วันที่ผ่านมา ฉันได้รับการยกย่องชมเชยจากการทำงานดี

5. หัวหน้าโดยตรงของฉัน หรือคนอื่นๆในที่ทำงานแสดงออกว่าแคร์ฉัน

6. มีคนในที่ทำงานที่คอยสนับสนุนให้พัฒนาตนเอง7. คนในที่ทำงานรับฟังความเห็นของฉัน

8.ภารกิจหรือเป้าหมายขององค์กรทำให้ฉันรู้สึกได้ว่างานของฉันมีความสำคัญ

9.เพื่อนร่วมงานของฉันมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างมีคุณภาพ

10. ฉันมีเพื่อนที่ดีในที่ทำงาน

11. ในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา มีคนที่ทำงานพูดคุยเกี่ยวกับหน้าที่การงานของฉัน

12. ในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา มีโอกาสเรียนรู้ในการทำงาน

ความคิดสร้างสรรค์ คิดอะไรใหม่ๆ จะได้ผลลัพธ์การทำงานที่ต่างไปจากเดิม

คำถาม อะไร คือ แก่นของความสามารถหรือแก่นที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในการทำงาน

คำตอบคือ มนุษยสัมพันธ์ และความคิดสร้างสรรค์

  • -คนเราถ้าทำอะไรบ่อยๆก็เก่งเรื่องนั้น
  • การบริหารความคิดสร้างสรรค์
  • 1. Mindset
  • 2. Mood
  • 3. Mechanics กลไกขั้นตอนในการสร้างความคิดสร้างสรรค์
  • 4. Momentum ทำให้ความคิดเกิดขึ้นแล้วขึ้นอีก
  • คำถาม การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องฟ้าประทานหรือต้องสร้างขึ้นมาเอง

อ.ศรัณย์: ทั้ง 2 อย่าง ทั้งฟ้าประทาน คือ ความถนัดของเรา และเราก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง คือขั้นตอนในการคิด

ไอคิว กับความคิดสร้างสรรค์ ส่วนใหญ่เป็นอิสระต่อกัน เช่น ไอสไตน์, เอดิสัน , สตีฟ จอปส์

คนที่สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ สามารถเป็นได้หลายแบบ คือ

-นักประดิษฐ์ ISTP,INTP

- นักประพันธ์ ISFP,INFP

- นักผจญภัย ESTP,ESFP

- ผู้นำทาง ISTJ,ISFJ

- นักสำรวจ ENTP,ENFP

- ผู้มีวิสัยทัศน์ INTJ,INFJ

- นักบิน ESTJ,ENTJ

- นักประสานเสียง ESFJ,ENFJ

สิ่งที่ทำให้รู้ตัวตนว่าเก่งด้านไหน เพราะหากรู้แล้วจะสามารถเป็นคนที่มีตระหนักรู้ และมีความมั่นใจ

โดยการทำแบบประเมิน รหัส E/I S/N T/F J/P

ตามทฤษฎี Personality Type บุคลิกภาพของบุคคลมี 4 ประเภท :

i.Extraversion-Introversion (E-I) : สิ่งที่บุคคลให้ความสนใจ

ii.Sensing-Intuition (S-N) : องค์ประกอบที่ทำให้ทราบว่า บุคคลต้องการทราบข้อมูลต่างๆ เพราะเหตุใด

iii.Thinking-Feeling (T-F) : องค์ประกอบที่แสดงให้เห็นว่า บุคคลจะตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้อย่างไร

iv.Judging-Perceiving (J-P) : องค์ประกอบที่ใช้วัดว่า บุคคลต้องการติดต่อกับโลกภายนอกมากน้อยเพียงใด

คำถาม ความคิดสร้างสรรค์กับ IQ สิ่งไหนมาก่อน และควรจะใส่อะไรให้ก่อน

อ.ศรัณย์: ซีกขวาเรื่องอารมณ์ความรู้สึกมีมาตั้งแต่เด็ก ซีกซ้ายเรื่องความรู้ มาทีหลัง แต่ซีกซ้ายใส่มาเยอะกว่าในสมัยเรียนจึงอาจจะมีมากกว่าซีกขวา แต่เราก็สามารถพัฒนาขึ้นโดยการคิดสร้างสรรค์

ไอเดียใหม่ๆมักเกิดขึ้นมาตอนต้องแก้ปัญหา และตอนทำงานเยอะก็เป็นโอกาสให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ขึ้น

คนเราต้องยอมรับความคิดต่าง เพื่อช่วยเพิ่มไอเดียเสริมเข้าไปในการทำงาน

การคิดนอกกรอบ หากเป็นความคิดที่ผิดกรอบสังคมก็ใช้จริงในการทำงานไม่ได้ เหมือนเป็นผลไม้ดิบ เราทายไม่ได้ แต่หากเราบ่มไอเดีย เราก็สามารถนำมาใช้ได้เป็นการคิดคร่อมกรอบ

การคิดคร่อมกรอบ มี 4 วิธี คือ

1.โฟกัสข้อดีของไอเดีย Pluses

2. ข้อดีที่เกิดขึ้นในอนาคต Potential

3.หากคิดแล้วกังวล Concerns

4. ต้องหลบ เลี่ยง ทะลุ Opportuninties

เรียกขั้นตอนนี้ว่า PPCO

หากอยากจะมีไอเดียใหม่เกิดขึ้นอยากให้มีธงเรื่องอะไร

ขอเสนอโครงการศูนย์บริการเซ็กส์เสื่อม

ข้อดี Pluses

  • -ลูกค้าเยอะ
  • -ช่วยเหลือสังคม
  • -แก้ปัญหาครอบครัว

Potential

  • -ได้คนไข้ทั่วโลก
  • -เปลี่ยนจากคนแก่เป็นหนุ่ม

Concern

  • -อาย
  • -ขาดพรีเซนเตอร์
  • -วัฒนธรรมไทย
  • -ภาพลักษณ์

Opportuninties หาโอกาสพลิกจาก C

  • -เปลี่ยนชื่อโครงการ
  • -ประกวดชื่อภายในรพ.อย่างเป็นความลับ
  • -Positioning การแพทย์
  • -ใช้ Mascot แทนพรีเซนเตอร์
  • -ทำ CSR มูลนิธิครอบครัวสุขสันต์

Momentum จากหัวหน้า

  • -ต้องเสนอเจ้านายแต่ต้องมีจังหวะในการนำเสนอที่ดี

5 ขั้นตอนในการนำเสนอไอเดียใหม่

1. ทำให้หัวหน้าสั่งให้เราคิด

2. เสนอไอเดียตามที่หัวหน้าสั่ง (ถ่อมตน)

3. ถามหัวหน้าถึงข้อดี

4. ขอให้หัวหน้าสอนเพิ่มเติม

5. กลับไปเสนอไอเดียเพิ่ม จากข้อ4. ตามที่หัวหน้าสั่ง และสอน 

ปราถนา แดนพิชิตโขค

วิชาที่ 1ปฐมนิเทศและแนะนำทฤษฏีที่สำคัญเพื่อการเรียนรู้

วัตถุประสงค์เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ ใฝ่รู้ ตื่นตัว พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมในการเรียนรู้ พัฒนาศักยภาพ เปิดโลกทัศน์ และการสร้างเครือค่ายและแนวร่วมของบุคลากรและสร้างมูลค่า พร้อมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหาร บุคลากรภายในองค์การ และลูกค้า หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืน

ทฤษฎีการเรียนรู้ เพื่อ HRเป็นเลิศ Learning How to learn เพื่อLearn Share Care

วิชาที่ 2 ทุนมนุษย์ Mindset – Leadership และการทำงานในยุคที่โลกเปลี่ยนของคณะแพทยศาสตร์ มอ.

คน คือทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่ามากที่สุดในองค์กร การบริหารทุนมนุษย์ให้ประสบความสำเร็จไปสู่ความเป็นเลิศประกอบด้วยการปลูก เก็บเกี่ยว และ Execution ด้วยทฤษฏี 8 K,s: ทฤษฏีทุน 8 ประเภทซึ่งเป็นพื้นฐานของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และทฤษฎี 5 K,s: ทฤษฏีทุนใหม่ 5 ประการเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุคโลกาภิวัฒน์

ทัศนคติ (Mindset)คือ Inner belief คือความเชื่อลึก ๆที่อยู่ข้างในเรียกว่าเป็น Intangible และถูกอิทธิพลมาจากอาชีพ การศึกษา การทำงานและครอบครัว ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้

วิชาที่ 3 Leadership & Teamwork

การประสบความสำเร็จในชีวิตต้องอาศัย ทฤษฏี 4Qs ประกอบด้วย

Intelligence Quotient Emotional Quotient Moral Quotient Survival Quotient

บุคลิกภาพของผู้นำที่ดีต้องเข้าใจธรรมชาติ

การสร้างทีม ผู้นำหรือผู้บริหารต้องใจกว้าง มีการสื่อสารที่ดี ซึ่งความสำเร็จของทีมขึ้นอยู่กับเวลาเป็นตัวกำหนดเป้าหมายเปรียบเสมือนเข็มทิศ

การเรียนวันนี้ได้ความรู้และแนวคิดที่เป็นประเด็นท้าทายหลายอย่างทั้งๆที่เป็น Realityของเราอยู่ก่อนแล้วแต่เรายังเห็นภาพไม่ชัด พออาจารย์พงษ์ชัยมาสอนมากระตุ้นให้คิดจึงเกิดภาพชัดขึ้นทำให้มองเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่มอ.จะต้อ

1.มีวิธีการบริหารสมัยใหม่ วัฒนธรรมใหม่(Modern Management Culture)

2.มีการตอบสนองคนไข้โดย คำนึงถึงต้นทุนและรักษาหายอย่างมีประสิทธิภาพ(Efficient Patient Response)

3.พัฒนาสู่ ความเป็นสากล(Internationalization)ไม่ใช่มีชื่อเสียงอยู่เฉพาะในภาคใต้

4.มีเครื่องมือทางการแพทย์ใหม่และทันสมัย(New &High-tech Facilities)

นอกจากนี้อาจารย์ศรัณย์ยังได้สอนเทคนิคThinking outside the box ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับการทำงานและในชีวิตประจำวันได้.......ที่สำคัญรู้สึกประทับใจวิธีการสอนของอาจารย์ สนุก แปลกใหม่ ไม่น่าเบื่อ เยี่ยมยุทธ์จริงๆค่ะ

สวัสดีค่ะ...

สำหรับการเรียนวันที่สองรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ตอนเช้าได้ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯมอ.จากอาจารย์พงษ์ชัยหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการมี รพ.2 ระบบ ภาวะสมองไหล ความท้าทายต่อสิ่งที่ขยายตัวอย่าง GDP/ Aging population/Medical tourism และสรุปสุดท้ายที่ให้เอาโรงเรียนแพทย์เป็นตัวตั้ง โรงพยาบาลเป็นตัวตามและทิศทางที่จะไปให้ใช้ 3V โดยเฉพาะ Vตัวที่2 และระบบโลจิสติกส์กับงานของโรงพยาบาล เรื่องการเคลื่อนย้าย-จัดเก็บ-รวบรวม-กระจาย อาจารย์อธิบายได้เห็นภาพ ทำให้เข้าใจระบบโลจิสติกส์มากขึ้น 

ช่วงบ่ายอาจารย์ศรัณย์ทำให้ทั้งห้องหัวเราะได้บ่อยครั้ง อาจารย์สอนสนุกมาก เข้าใจเรื่องความคิดสร้างสรรค์ได้ละเอียดขึ้น เรื่องของการตั้งธงใหม่ อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่ต่างออกไป ต้องทำอะไรที่ไม่เหมือนเดิม การใช้ 4M เข้ามาช่วยโดยเฉพาะตัวที่ 3 กลไกทางความคิด เรื่องการติดกรอบ รู้สึกว่ามีประโยชน์มาก สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการแก้ปัญหาต่างๆได้ ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ

หัวข้อ ประเด็นท้าทายสำหรับการทงาน ได้เรียนรู้ประเด็นท้าทายที่สำคัญต้องคำนึงถึง คือ modern management culture..Efficient patient response.. Internationalization,, New& High-tech facilities รู้เท่าทันเพื่อปรับองค์กรให้ เหมาะสมอยู่รอดได่

หัวข้อ Thinking new box ได้เรียนรู้ว่าความคิด สร้างสรรค์ เป็นทั้งพรสวรรค์และสร้างขึ้นเอง สามารถคิดสร้างสรรค์ได้ตลอดเวลาถ้าเราตั้งใจพัฒนางานให้ดีขึ้น

สำหรับวันนี้ได้อะไรมามากมาย ได้มองเห็นตัวตนขององค์กร ของตัวเอง มากขึ้น ถึงเวลาที่เราต้องร่วมจิตร่วมใจกันแล้วหล่ะ เพื่อองค์กรของเรา

* ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ มอ.

-เป้าหมายที่ชัดเจน

-ความสามารถในการที่จะดึงดูดลูกค้านอกพื้นที่

-กลวิธีที่จะทำให้องค์กรอยู่รอด

-ความพร้อมที่จะขยายตามการเติบโตของ GDP

* อยากเห็นคณะแพทย์ มอ. เข้าไปทำงานระดับชาติมากขึ้น โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

* ถ้าต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ต่างไปจากเดิม ก็ต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม

* Key words of success: leadership Mindset Thinking outside the box and thinking new box

* หลักของความคิดสร้างสรรค์ คือ 4 M: Mindset Mood Mechanic and Momentum

* อ.ศรัณย์ ถ่ายทอด M ตัวที่3และ4 ได้อย่างเข้าใจและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง

ขอขอบพระคุณมากๆค่ะ

นันท์นภัสถ์ พรหมรักษ์

วันนี้เป็นวันที่สองแล้วสำหรับการเรียน สิ่งที่ได้รับในวันนี้เกี่ยวกับการสกัดประเด็นท้าทายออกมาว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้อยู่รอดได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยต้องแก้ปัญหาจากภายในเพื่อดันออกไปข้างนอกให้ได้

ความกล้าในการมีความคิดสร้างสรรค์โดยความคิดนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบเพราะเราจะได้แต่ความคิดเดิม ๆ ซ้ำๆ ต้องหัดคิดนอกกรอบซะบ้างจะได้ผลลัพธ์ใหม่ ๆ โดยความคิดนอกกรอบนี้ต้องอยู่ในกรอบขององค์กรและกรอบของสังคม

วันนี้ รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นไม่เกร็ง เริ่มสนุกกับการเรียนและอยากค้นหาบทเรียนต่อๆไป เนื้อหาทุกอย่างในวันนี้ที่ทางอาจารย์สรุปมาครอบคลุมหมดแล้ว วันนี้ที่ดลใจมากที่สุดคือ."ถ้าเรายังใช้กรอบแนวคิดเดิม เราก็จะอยู่กับที่"

4 กค 57 วันที่ 2 ของการเป็นนักเรียน

สรุปความเข้าใจในช่วงเช้า

อ.พงษ์ชัย ได้เปิดประเด็นเรื่องความท้าทายของคณะแพทย์ที่จะต้องเจอในอนาคต ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเด็นได้คือ

- การคุ้มครองคนไข้จากภาคส่วนต่างๆ

- งบประมาณอันจำกัดจากภาครัฐ

- high standard or operations and services

- 30 บาทรักษาทุกโรค

- การแข่งขันสูง โดยเฉพาะจากภาคเอกชน

- ค่าจัดการ ปละความเสี่ยงทสงการเงินสูง

จาก 6 หัวข้อดังกล่าว ก่อให้เกิดการวิพากษ์กันในประเด็นการสร้างรายได้เข้า รพ. เช่น การปรับเปลี่ยนด้านบริหารจัดการ การเปิดเป็น business sector เป็นต้น ประเด็นนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะหากเราไม่สร้างสมดุลย์ให้ดี ก็จะเกิดข้อขัดแย้งขึ้นทั้งในองค์กรและสังคม เช่น เราเป็น รพ.รัฐ ความเท่าเทียมเสมอภาคระหว่างคนจน คนมีเงิน การจัดสรรทรัพยากรไปยังส่วนต่างๆ เป็นต้น

ในช่วงบ่ายได้ร่วม workshop เรื่อง creativity and think out of the box

สนุกมาครับ ไม่สามารถหลับหรือลุกขึ้นไปเข้าห้งน้ำได้เลย

ประเด็นที่ดีที่สุดใน session นี้ก็คือ การจัดการเพื่อให้ idea สามารถถูกนำไปใช้ได้ โดยใช้

Plus มองให้เห็นข้อดีของ project

Potential ข้อดีในอนาคตและความเป็นไปได้

Concern ติดขัดอะไรสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ในวันนี้ 3 มิย 57

Opportunity แก้ปัญหาเป็นข้อๆไป

(ปล. เราน่าจะจัดตั้งคลินิกรักษา sex เสื่อม เพื่อเพิ่มรายได้ให้รพ.ได้ เริ่มต้นด้วยการแถ แต่จบด้วยสาระ)

ได้เข้าไปอ่าน blogของ อ.จิระ เรื่องผู้นำกับการคิดนอกกรอบ ท่านแนะนำหนังสือเรื่องThinking in New Boxes เขียนโดยLuc De Brabandere และ Alan Iny  ได้นำเสนอแนวคิด 3 แนว

1.อยู่ในbox เดิมแล้วทำให้ดีที่สุด

2.อยู่นอกbox แล้วพยายามหาวิธีการที่ดีกว่า เร็วกว่า ถูกกว่า อย่างเป็นรูปธรรม

3.สร้างboxใหม่ แล้วแต่ต้องเก็บข้อดีของboxเดิม มาสร้างใหม่ ทิ้งของไม่ดีไปเสีย  

นอกจากนี้ อ. ยังกล่าวถึงกฎ 5 ข้อที่จะทำให้ผู้บริหาร หรือผู้นำไปสู่Boxes ใหม่ได้

-Doubt everything ขี้สงสัยในทุกๆเรื่อง

-Probe the possibility แสวงหาโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ตลอดเวลา

k-Diverse มองหาวิธีการใหม่ๆ

-Converge หาจุดรวมที่พอดี

-Reevaluate ต้องประเมินซ้ำแล้วซ้ำอีก ดูว่าที่ทำอยู่เป็นอย่างไร แต่ไม่ใช่แค่หนเดียว แล้วมาสรุป หรือคิดตามmindsetเดิมๆ ก็คงเป็นเรื่องที่ท้าทาย สำหรับผู้นำที่จะกล้าพอจริงนะคะ

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณผู้บริหารทุกท่านที่ให้โอกาสในการอบรมครั้งนี้ การอบรมทั้งสองวันทำให้ตัวเองได้เรียนรู้ว่าคนเราต้องไม่หยุดในการเรียนรู้ ต้องมีการเรียนรู้ทุกวันจนตลอดชีวิตขอสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ทั้ง2วันตามความเข้าใจดังนี้ค่ะ วันที่ 3 กค 57 สิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้คือ 1.ทฤษฎีที่สำคัญเพื่อการเรียนรู้ การเรียนรู้ที่ดีคือ Life long learning คนเราต้องฝึกการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่สำคัญคือ Learning how to learn โดยใช้ 2R’s Reality และ Relevance เป็นการมองความจริงและตรงประเด็น เราต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดของเราและนำมาเรียนรู้ร่วมกันซึ่งอาจจะเรียนรู้จากความล้มเหลวในอดีต( Learning from pain) เรียนรู้จากประสบการณ์( Learning from experiences) และการเรียนรู้จากการรับฟัง (Learning from listening)เพื่อให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่ม ( Value Added) เกิดนวตกรรม ( Value Creation)และเกิดความหลากหลายจากการมีเครือข่าย(Value Diversity) สิ่งสำคัญที่สุดของการเรียนรู้คือ Learn-Share- Care 2.ทัศนคติ (Mindset) เป็นความเชื่อลึกๆที่อยู่ข้างในซึ่งได้รับอิทธิพลจากอาชีพ การศึกษา การทำงานและครอบครัวจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาคือเราต้องเปลี่ยนจากFixed Mindsetไปสู่ Growth Mindset โดยเริ่มจากตัวเองค้นหาตัวเองก่อนแล้วค่อยปรับคนอื่นโดยใช้วิธ๊การ4L’sคือ –วิธีการเรียนรู้ที่ดีโดยการกระตุ้นให้มีการพูดเยอะๆ การสร้างบรรยากาศที่ดี สร้างโอกาศจากการเรียนรู้โดยมีการปะทะทางปัญญาและเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อเนื่องคือมีการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงถ้าเราไม่มีการปรับเปลี่ยนMindset องค์ของเราจะไม่มีการเจรฺิญเติบโต จะอยู่ไปเรื่อยๆและท้ายที่สุดก็จะอยู่ไม่ได้เนื่องจากองค์กรอื่นๆมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงและมีการแย่งลูกค้าของเราไป 3.ภาวะผู้นำ(Leadership )คนเราทุกคนสามารถเป็นผู้นำได้ถึงแม้ไม่มีตำแหน่งใดๆก็ตามเพราะผู้นำเกิดได้จากความเชื่อ ความศรัทธาต่อคนๆนั้น ได้เรียนรู้ว่าคนเรามีบุคลิก 4 อย่างคือ C: นักทฤษฎี ชัดเจน ถูกต้อง ตามกฎ มีเหตุผล ระมัดระวัง เป็นทางการมีหลักการ ยึดติดกับรายละเอียดไม่ชอบเสี่ยง D:นักผจญภัย กล้าตัดสินใจ เข้มแข็ง มุ่งมั่น ชอบการแข่งขัน มีข้อเรียกร้องสูง เป็นอิสระ มั่นใจในตัวเอง ดุดัน ผ่าซาก เอาตัวเองเป็นหลัก ใช้อำนาจ S:นักปฏิบัติ สงบนิ่ง ระมัดระวังอดทน เป็นผู้ฟังที่ดี ถ่อมตน เชื่อถีอได้ ไม่รับแนวคิดใหม่ ไม่แสดงออกดื้อเงียบ ไม่แสวงหาการเปลี่ยนแปลง I: นักกิจกรรม ชอบเข้าสังคม ช่างคุย เปิดเผย กระตือรือร้น มีพลัง ชักจูงให้ผู้อื่นร่าเริง โวยวายเสียงดัง ไม่ระมัดระวัง ตื่นเต้น รีบร้อน ไม่สนใจเรื่องเวลา ซึ่งแต่ละคนก็สามารถเป็นผู้นำได้ขึ้นอยู่กับยุค สมัย บุคลิกของผู้นำที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเข้าใจธรรมชาติ ต้องเข้าใจว่าทุกคนมีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี ลักษณะผู้บริหารที่ดีต้องใจกว้างและฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นส่วนใหญ่ต้องละทิ้งตัวตนและบริหารคนโดยมองส่วนดีของเขาและนำมากระตุ้นส่งเสริมเพื่อให้เกิดการพัฒนาเรียนรู้ที่ดี วันที่ 4 กค 57 สิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้คือ 1. การวิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ 2. ความคิดสร้างสรรค์ การคิดนอกกรอบ อาจารย์พงษชัย อธิคมรัตนกุลได้วิเคราะห์SWOT ของมอ.แล้วนำเสนอให้เราตื่นต้วว่าในฐานะโรงเรียนแพทย์แห่งเดียวในภาคใต้ว่าสิ่งที่ท้าทายสำหรับเราคือ เราต้องมีความเป็นInternational ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ต้องมีการบริหารจัดการแบบสมัยใหม่มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและต้องเตรียมการรองรับต่อปัจจัยที่จะมีผลกระทบกล่าวคือเปอร์เซนต์การเพิ่มของค่าGDP การมีอายุขัยที่ยาวขึ้นของประชากร และความกดดันต่างๆที่จะมีผลเช่นกฏหมายคุ้มครองผู้บริโภค งบประมาณ การตรวจประเมินมาตรฐานโรงพยาบาล และการแข่งขันจากโรงพยาบาลเอกชนซึ่งเราต้องมีการปรับMindset และต้องมีการคิดต่างไปจากเดิมเพื่อให้ผลการดำเนินการต่างๆต่างไปจากเดิมด้วยซึ่งคงต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ของคนซึ่งคนทุกคนสามารถสร้างความคิดสร้างสรรค์ได้โดยใช้ 4Mคือ Mindset Mood MechanicและMomentum และใช้ PPOC เพื่อปรับความคิดนอกกรอบให้สามารถนำมาใช้ได้

วิภารัตน์ จุฑาสันติกุล

ครั้งที่1

สรุปสิ่งที่ได้เกิดการเรียนรู้และนำมาปรับใช้กับการทำงาน

1.ทฤษฏีการเรียนรู้ ในแต่ละทฤษฏีมีความสำคัญ ในการขับเคลื่อนให้เกิดการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาหน่วยงาน ผู้บริหารต้องมีความรู้ด้านทฤษฏีก่อนเพื่อที่จะนำมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความถูกต้องที่สำคัญจะช่วยให้เรามีหลักคิดในการจัดการกับปัญหาโดยการเลือกประเด็นที่สำคัญในการมองหาโดยใช้ทฤษฏี2R’S เป็นจุดเริ่มต้น หลังจากนั้นที่สำคัญคือต้องใช้ทฤษฏี4l’sในการเกิดการเรียนรู้และที่สำคัญคือlearn-share-careก็มีความสำคัญในการนำมาเป็นแนวคิดที่ใช้ในการเรียน

  • ซึ่งที่กล่าวมาสามารถนำมาใช้ประโยชน์กับหัวหน้างานในการมองปัญหาที่แท้จริงของหน่วยงานเพื่อทำการแก้ไขได้ตรงประเด็น

2. mindset เป็นความเชื่อที่ฝังลึกอยู่ข้างในซึ่งเมื่ออยู่นานจะทำให้กลายเป็นปรัชญาชีวิตทำให้เกิดพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงยากส่งผลให้เกิดความล้มเหลว

นำมาปรับใช้ในการทำงาน ในองค์กรส่วนใหญ่มักติดกรอบmindsetความสำเร็จในอดีตที่คิดว่าดีอยู่แล้วจึงไม่เกิดการพัฒนา

ได้เรียนรู้ถึงการสร้างคนและพัฒนาmindsetโดย

  • 10% บางเรื่องต้องมีการประชุม 20% มีcoaching 70% ให้ฝึกปฏิบัติและต้องมีต้นแบบที่ดี

3. leadership and team work

Leadership เป็นผู้ซึ่งทำprocessชี้ทิศทางให้เห็นการนำprocessได้ซึ่งบุคลิกของผู้นำมีหลายแบบที่สำคัญได้แก่

ความเข้าใจธรรมชาติ การทำให้คนอยู่ร่วมกัน การสื่อสารซึ่งคุณค่าของความสุขที่แท้จริงเป็นการให้คุณค่าของผู้ร่วมงานหามุมบวก มุมที่ดีของผู้ร่วมงานจะส่งผลให้ทำงานกันอย่างมีความสุข

วิภารัตน์ จุฑาสันติกุล พยาบาลชำนาญการพิเศษ หน่วยงานวิสัญญี

ครั้งที่ 2 4 ก.ค.2557

สรุปสิ่งที่ได้เกิดการเรียนรู้และนำมาปรับใช้กับการทำงาน

หัวข้อ วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์มอ

ในยุคของการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ระบบhealth care logistic เป็นสิ่งจำเป็นที่รพของรัฐบาลต้องนำมาใช้พัฒนาสำหรับรพ มอ ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ซึ่งเป็นลักษณะเสียแล้วซ่อม ให้การรักษาผู้ป่วยที่ซับซ้อน คงต้องกลับมามองมาปัจจุบันมีปัญหาสมองไหลคนออกจากองค์กรเยอะมาก จึงต้องคิดใหม่ทำใหม่ในการให้องค์กรสามารถอยู่รอด คงต้องถึงเวลาและเปิดใจรับในการก่อตั้ง psu clinical personal จัดเป็น 2 ระบบทั้งรัฐบาลเดิมและเอกชน และนำระบบlogisticในconcept เคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวมและกระจาย มาปรับใช้ ซึ่งโรงพยาบาลรัฐบาลอื่นเช่นเชียงใหม่ซึ่งเป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยทำสำเร็จมาแล้ว คิดต่างว่าไม่ใช่เป็นการเลียนแบบแต่เป็นทางออกที่จะสามารถแก้ปัญหาได้ในขณะนี้ ถ้าผู้บริหารใจกว้างและกล้าพอที่จะทำ

หัวข้อ key words of success: leadership-mindset-thinking outside the box

จุดประกายให้ผู้บริหารคิดโดยหากหน่วยงานอยากเห็นสิ่งใหม่ผลลัพธ์ใหม่ เราต้องทำสิ่งใหม่ที่ต่างจากเดิมโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นตัวขับเคลื่อนให้ได้ผลลัพธ์ต่างไปจากเดิม สิ่งที่น่าสนใจและมีหลักฐานเชิงประจักษ์จากงานวิจัยคือ คนที่ประสบความสำเร็จ 86%ต้องเก่ง2เรื่องคือ มนุษย์สัมพันธ์และความคิดสร้างสรรค์ การบริหารความคิดสร้างสรรค์ ด้วย4 m เป็นเรื่องที่น่าสนใจและทำได้ไม่ยาก ขั้นตอนในการทำ ppco น่าสนใจมาก

สิ่งที่นำมาปรับใช้ในการทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใหม่และน่าสนใจมากคือ 5ขั้นตอนในการนำเสนอไอเดียใหม่ให้ประสบผลสำเร็จ

  • 1.ทำให้หัวหน้า สั่ง ให้เราคิด
  • 2.เสนอไอเดีย ตามที่หัวหน้า สั่ง
  • 3.ถาม หัวหน้าถึงข้อดี
  • 4.ขอให้หัวหน้า สอน เพิ่มเติม
  • 5.เสนอไอเดีย เพิ่มตามที่หัวหน้า สั่งและสอน

วิภารัตน์ จุฑาสันติกุล พยาบาลชำนาญการพิเศษ หน่วยงานวิสัญญี

ในวันนี้ได้เรียนรู้ลอจิสติกส์กับการพัฒนาทางการแพทย์ ซึ่งท่านวิทยากรได้ให้หลักการสำคัญของลอจิสติกส์ไว้ว่า เป็นการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจายให้เหมาะสม เพื่อลด waste เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มรายได้แก่องค์กร และ อ.จีระยังเน้นย้ำการใช้หลัก 3 V มาใช้ในการพัฒนาบุคลากรเพื่ออนาคตของคณะแพทยศาสตร์ และในช่วงบ่ายยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้หลัก 4 M ผ่านวิธีนำเสนอของวิทยากรที่สร้างสรรค์มาก จากการเรียนรู้ในวันนี้ดิฉันได้ลองวิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ มอ. (ตามที่ได้สัญญากับอ.ศรัณย์ไว้ว่าจะนำวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาใช้) ดังนี้ค่ะ

ด้านบุคลากร ประเด็นท้าทายที่สำคัญน่าจะเป็นเรื่องการธำรงรักษาคนเก่ง และการพัฒนาคนที่เป็นตัวเกาะกินคณะแพทย์ให้มีศักยภาพที่สูงขึ้น ซึ่งทีมนำขององค์กรต้องสร้างสมดุลเพื่อพัฒนาบุคลากรที่มีความแตกต่างกันให้เป็นคนคุณภาพ และนำพาองค์กรสู่นานาชาติให้ได้

ด้านผู้ป่วย สำหรับคนในภาคใต้การได้มารับการรักษาที่ มอ.ถือเป็นความต้องการสูงสุด จนมีคำพูดว่า “มาถึง มอ.แล้ว แม้จะตายก็สมศักดิ์ศรี” แต่ความเป็นจริงมีคนเพียงกลุ่มน้อยเท่านั้นที่เข้าถึงบริการ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีกำลังจ่ายสูง เข้าถึงได้ยาก เพราะคนเหล่านี้ไม่อยากเสียเวลาที่เป็นเงินเป็นทองของเขา หากต้องการลูกค้ากลุ่มนี้คงต้องมีการออกแบบระบบพิเศษที่ตอบสนองความต้องการของเขาเหล่านั้น รวมทั้งการพัฒนา excellence center ต่างๆ ให้เป็นศูนย์กลางการดูแลผู้ป่วย และศูนย์กลางการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ในระดับอาเซียนต่อไป

นอกจากนั้นต้องทบทวนในกลุ่มที่มีสวัสดิการการรักษาพยาบาล โดยการพัฒนาเครือข่ายให้โรงพยาบาลใกล้บ้านมีศักยภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย และสร้างความมั่นใจแก่ผู้ป่วยว่าเขาจะได้รับบริการที่ใกล้เคียงกับ มอ.

ความคิดนี้อาจจะยังเป็นภาพเล็กๆ สำหรับองค์กรใหญ่อย่างคณะแพทย์ ขอเรียนรู้ (learn) ต่อในโอกาสต่อไป ขอบคุณ อ.จีระและทีมงานที่ทำให้ได้ share ความคิดเล็กๆ และน้อมรับคำแนะนำ และความคิดอื่นๆที่แตกต่างค่ะ                      ................. ขอบคุณค่ะ

                     

ประเด็นความท้าทายช่วงเช้า ได้แนวคิดว่าเป้าหมาย มีไว้พุ่งชน จะชนด้วยวิธีใด อยู่ที่การวางกลยุทธ์ที่จะให้ได้ผลดั่งหวัง  ซึ่งบริบทของแต่ละองค์กร ที่แตกต่างกัน เป้าหมายก็จะต่างกัน ดังนั้นให้มองเป้าหมายหลักให้ชัดเจน และร่วมกันทำให้สำเร็จค่ะ

  ส่วนช่วงบ่ายอจ.ศรัณย์ มาแบบฮา ความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบ มีการปลุกวิญญาณให้รักการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และจบลงด้วยการปฏิญาณตนว่าจะนำความรู้ที่ได้กลับไปปฏิบัติต่อ อย่าลืมสัญญานะคะ เตือนตัวเองค่ะ

สิ่งที่ได้รับวันนี้เป็นแนวคิดหนึ่งของการพัฒนางานให้สามารถครองคน ครองตน ครองงานให้สามารถอยู่ต่อไปได้ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคหรือคู่แข่ง เช่น รพ.ชุมชน หรือ รพ.เอกชน โดยใช้หลัก 1. ต้องการผลลัพธ์ต่าง ต้องมีแนวคิดต่างจากเดิม

2. หลักความคิดสร้างสรรค์ 4 M : Mindset Mood Mechanics  และ Momentum 

3. การคิดนอกกรอบ เพื่อเข้าสู่กรอบ (PPCO)

"การประสบความสำเร็จ จะได้มาเมื่อเรามี 2 สิ่ง ได้แก่ มนุษยสัมพันธ์ และ ความคิดสร้างสรรค์"

<p>บันทึกการเรียนรู้วันที่สอง ของการอบรม Learn Share Care</p><p>วันนี้วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม 2557เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับ“วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ.”ก่อนเข้าสู่บทเรียนรู้วันนี้ตอนเช้าบรรยากาศสบายๆ มีอาหารเช้าสำหรับผู้ที่ตื่นเช้ารีบมาเรียนยังไม่ได้ทานอาหารเช้าดูทุกคนสวยใส หล่อลากดินเป็นพิเศษเนื่องจากวันนี้ทีมงานนัดถ่ายรูปเพื่อทำ อัลบั้มของรุ่น </p><p>คณะวิทยากรในวันนี้ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ยังอยู่กับเรา มีวิทยากรใหม่มา สองท่านคือ ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านลอกิสติกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และอาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์ Chief Learning Officer (CLO) บจก.37.5 องศาเซลเซียส ดำเนินการอภิปรายโดย อาจารย์จีระเดช ดิสกะประกาย </p><p>สิ่งที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติมจากตอนที่แล้วคือ ระบบ Logistic กับประเด็นที่ท้ายในระบบ Healthcare และระบบการเรียนการสอนนักศึกษาแพทย์ในปัจจุบัน คือรัฐจ่ายเงินและงบประมาณน้อยลง สภาพการแข่งขันสูงขึ้น มาตรฐานสูงขึ้นการเคลื่อนย้ายของผู้คน การเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ความต้องการการใช้เตียงมากขึ้น แต่การขยายเตียงไม่ทันต่อความต้องการของผู้ใช้บริการ เช่นโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ของเรา จำนวนเตียงไม่เพิ่มอยู่หลายปีส่งผลให้ต้องปรับรูปแบบการบริการจากผู้ป่วยในมาเป็นผู้ป่วยนอกมากขึ้น แต่พื้นที่รอของผู้ป่วยนอกก็ขยายได้ไม่ทัน เนื่องจากขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ </p><p>บุคลากรทางการแพทย์หายไปไหน บ้างก็ว่าสมองไหลไป ไหลไป ไหลไป โรงพยาบาลเอกชนโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลในต่างประเทศได้มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางว่าทำไมสมองเหล่านั้นจึงไหลออกไปค่าตอบแทน ความมั่นคง หรือความอยู่รอดของตนเองและครอบครัว คงไม่มีคำตอบที่ถูกที่สุดนั่นจึงเป็นสิ่งที่ยากสำหรับผู้บริหารท้าทายความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจให้คนในองค์กรรักและทุ่มเทให้กับองค์กร ภายใต้สังคมระบบเปิดสู่ยุคข้อมูลข่าวสารภาวะกดดันทางสังคม การเมือง ข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด นโยบายสาธารณสุขเน้นการสร้างเสริมมากกว่าการซ่อมมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากมาย ประเด็นที่ควรพิจารณาคือ</p><p>1.การพัฒนาผู้นำให้มีวิสัยทัศน์นำพาองค์กรให้อยู่รอด กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน</p><p>2.ปรับระบบการบริหารจัดการ ปรับ Mindset ของทีมงาน ใช้ระบบการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่</p><p>3.ปรับระบบการเรียนการสอนนักศึกษาแพทย์ ไม่ใช่ให้รู้เรื่องแพทย์อย่างเดียว แต่ต้องรู้เรื่องบริหารจัดการด้วย</p><p>4.เพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผ้ป่วย ปรับจาก Local เป็น International </p><p>5.นำระบบ HealthcareLogistic มาปรับใช้เคลื่อนย้าย จัดเก็บรวบรวมและการกระจาย โดยบูรณาการให้เข้ากับ Lean Think Thinkingวิเคราะห์ทั้งระบบ Micro ในระดับโรงพยาบาล และMacro ในระบบเครือข่ายเพื่อกระจายผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงให้ใช้บริการในโรงพยาบาลรอบนอก </p><p>6.นำแนวคิดสร้างสรรมาปรับใช้ในการปรับระบบงานที่สำคัญต้องการผลลัพธ์ที่แต่งต่างต้องทำในสิ่งที่แตกต่าง หากทำได้ ถือว่า “เก่ง” และพัฒนาคนให้เป็นคนดี”EQ” ทั้งสองอย่างนี้จะนำมาซึ่งความสำเร็จทั้งในระดับบุคคล หน่วยงาน และองค์กร</p>

ท่าจบของอาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์

สำหรับการเข้าเรียนวันที่ 2   ในวิชาว่าด้วยเรื่องประเด็นท้าท้ายสำหรับการทำงาน คณะแพทย์ มอ. นั้น ท่านอาจารย์พงษ์ชัย  ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาและสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันรวมทั้งทิศทางในอนาคตของการพัฒนาทางการแพทย์ ซึ่งจะผลักดันให้เราไม่หยุดนิ่งและค้นหา Position ที่เหมาะสมกับองค์กร  ไม่ทิ้งตัวตนขององค์กรในขณะเดียวกันก็ไม่เพิกเฉยกับสิ่งท้าท้ายจากภายนอก  ซึ่งระบบลอจิสติกส์นั้นจะเป็นประโยชน์อย่างมากหากเราปรับมาใช้ในองค์กร ด้วยกระบวนการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจายอย่างเหมาะสม  นอกจากจะนำมาซึ่งการลดต้นทุนแล้ว  ยังทำให้การทำงานเป็นระบบมากขึ้น ลดระยะเวลา และขจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นในกระบวนการทำงานออกไปได้อีกด้วย

สำหรับช่วงบ่ายในเรื่องของ Thinking outside the box- thinking new box นั้นเป็นประเด็นที่ท้าทายความคิดอย่างมาก การขจัดความกลัว ความกังวล และพยายามเอาชนะอุปสรรคโดยการทะลายกรอบความคิดเดิม ๆ การทำงานเดิม ๆ อันทำให้เกิดผลลัพธ์เดิม ๆ นั้นยาก แต่ท่านอาจารย์ศรัณย์ได้แสดงให้เห็นว่าเราทำได้ และทำได้ไม่ยาก โดยนำหลักการ และความเชื่อที่ว่าความคิดสร้างสรรค์ สร้างได้  โดยกระบวนการ PPCO คือการมองถึงข้อดี  (Pluses)  - มองให้เห็นข้อดีในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้(Patentials) - สิ่งที่ติด แต่ว่า...หรือสิ่งที่กังวล (Concerns) และ หลบ เลี่ยง ทะลุ แก้ปัญหาจากสิ่งที่ติดขัดเป็นปัญหาหรือกังวลเพื่อหาทางออกในแต่ละข้อ (Opportunities) ...

ท้ายนี้ขอขอบพระคุณอ. พงษ์ชัย ที่ทำให้เห็นระบบลอจิสติกส์ได้กว้าง ชัดเจน และใกล้ตัวมากขึ้น

ขอบพระคุณ อ. ศรัณย์ ที่ช่วยให้ดิฉันค้นพบว่า ความคิดสร้างสรรค์ที่ซ่อนอยู่ในตัวนั้น สามารถดึงออกมาใช้ได้ทุกเวลาแม้ในยามที่เราบ่นว่างานยุ่งสุด ๆ เลยค่ะ

^_^  ....ขอบคุณค่ะ

ศิริพัชร ลอยประเสริฐ

สวัสดีค่ะ  รู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้เข้าร่วมอบรม กับอาจารย์ค่ะ  การเรียนรู้ในวันแรก  ทฤษฏี 3 v การทำให้เกิดมูลค่า โดยใช้แนวคิดนอกกรอบ สร้างสรรค์  สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และพยายามให้พวกเรานำไปทำวิจัย  สอนเรื่อง Mindset  ซึ่งเป็นความเชื่อ ความคิด ที่ฝังลึกในตัวบุคคล  โดยให้ทำ Workshop  เพื่่อให้ทุกคนเข้าใจ และนำไปปรับใช้กับตนเอง  และเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น โดยให้เป็นผู้ฟังที่ดี ซึ่งผู้นำไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง แต่เป็นผู้ชี้ทิศทาง สามารถสร้างทีมงาน และหามุมมองเชิงบวกของสิ่งนั้น เข้าใจธรรมชาติ หยืดหยุ่น  กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และต่อยอด

วิชาที่ 5 Key words of success (วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม 2557)

แก่นที่ทำให้คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน พบว่า 86 % คือ มนุษยสัมพันธ์ดี และ ความคิดสร้างสรรค์

สำหรับการเรียนรู้ประเด็น “ ความคิดสร้างสรรค์ ” ในวันนี้ ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่า
“ ไอคิว” ไม่ใช่เป็นตัววัด “ ความคิดสร้างสรรค์ ”
ทุกคนสามารถมี “ ความคิดสร้างสรรค์ ” ได้ สามารถสร้างขึ้นมาเองได้
“ความคิดสร้างสรรค์ ” เป็นการคิดต่างที่ลงตัว
เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา อยู่รอบๆตัว อยู่ในชีวิตประจำวัน รอคอยให้มันแวบเข้ามาในสมอง
และนำออกมาใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา และถูกกาลเทศะ

ส่วน “ การคิดนอกกรอบ ” อุปสรรคสำคัญที่ทำให้เราไม่สามารถคิดนอกกรอบได้ คือ ความกลัว
ไม่กล้าคิด ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ
“การคิดนอกกรอบทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ “เกิดเป็นไอเดียใหม่ๆ 

อาจารย์คะ สงสัยอีก

ทำแบบเดิมได้ผลแบบเดิมทุกครั้งจริงหรือ.......คิดว่าจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง

ทำแบบใหม่ได้ผลแบบเดิมมีมั๊ย .......คิดว่ามีนะ  งานบางอย่างไม่ยึดติดวิธีการ ขอผลงานตามเป้า 

ทำแบบเดิมได้ผลผลิตแบบใหม่(เพิ่ม/ลด) มีมั๊ย....มีอีก ทำนาแบบเดิมได้ผลไม่เท่าเดิมสักปี  ฝนฟ้าไม่เคยปราณี                                                          

จากคนช่างสงสัย

4 กค.57

วันนี้ฉันได้เรียนรู้การวิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ของเรา โดยมองในมุมของเพื่อนต่างวิชาชีพ คือ ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล ทำให้เราเห็นตัวเองได้รอบด้านมากขึ้น มีประโยชน์ในการวางแผนเตรียมรับมือกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เรามักจะพูดกันติดปากว่า รู้เขา-รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ฉันคิดว่าเราไม่ได้ต้องการรบกับใคร แต่ในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีสิ่งต่างๆคุกคามเรา กดดันเรา มากขึ้นทุกที เราจะปกป้ององค์กรของเราอย่างไรให้อยู่รอด และก้าวต่อไปอย่างสง่างามต่างหาก สิ่งนี้แหละที่จะวัดศักยภาพของผู้นำ

ตอนบ่ายสนุกสนานกับการคิดนอกกรอบ โดยอาจารย์ศรัณย์ จันทผลาบูรณ์ ฉันชอบคำคมของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่กล่าวว่า Insanity is doing the same thing over and over again  and expecting different results. มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่จะทำสิ่งเดิมซ้ำๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง

ทำให้ฉันต้องทบทวนตัวเอง ว่าที่ผ่านมาฉันเข้าข่ายนี้มั้ย และเมื่ออาจารย์ให้ทำกิจกรรมทดสอบบุคลิกภาพ พบว่าฉันเป็นนักสำรวจ ไม่ใช่นักประพันธ์ ตามที่เพื่อนๆคาดไว้

ฉันรู้สึกว่าพวกเราล้วนมีการคิดนอกกรอบหรือคร่อมกรอบอยู่นะ เพียงแต่เราคิดแล้วก็ทิ้ง คิดแล้วก็ทิ้ง ขาดการสานต่อเพราะมักจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ กลัวที่จะนำเสนอสิ่งที่ตัวเองคิด ซึ่งวันนี้อาจารย์ได้จุดประกายให้แล้วต่อไปก็เป็นเรื่องของพวกเราแล้วล่ะ ที่จะพัฒนาตัวเองให้หัดคิดนอกกรอบเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนางานและที่สำคัญคือ อย่าไปสะกัดกั้นความคิดแปลกๆหรือสุดโต่งของใคร

วันนี้ฉันไม่จัดดอกไม้ใส่แจกันแล้วล่ะ ทำไมดอกไม้ต้องอยู่ในแจกัน ดอกไม้อยู่ในรองเท้าได้มั้ย ดอกไม้ห้อยอยู่กับนาฬิกาแขวนผนังก็ได้ .... แต่ยังไงก็ตาม ฉันว่า ดอกไม้อยู่กับต้นของมันนั่นแหละ สวยที่สุด

ศิริพัชร ลอยประเสริฐ

วันที่ 2 แห่งการเรียนรู้   ช่วงเช้าทั้งร้อน - ทั้งเย็น กับการคิด+ฝัน ไปเปรียบกับองค์กรเอกชน และองค์กรขนาดใหญ่ ในหัวข้อ "วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ." เป็นการอภิปรายที่มองเห็นภาพชัด   แต่ก็คงต้องยอมรับในบริบทของคณะแพทย์ มอ. เพราะทุกคนรู้ว่าเราอยู่ตรงใหน แต่ใจพร้อมที่จะสู้ ๆ ค่ะ   ช่วงบ่ายได้เรียนรู้กระบวนการค้นหาความคิดสร้างสรรค์  ใช้หลัก ความเข้าใจ  อารมณ์  ขั้นตอนหรือกลไก  หยั้งยืน ( 4 M  ) อาจารย์กล่าวว่ามนุษยสัมพันธ์ ทุกคนมีติดตัวมาแล้ว  และต้องค้นหาความคิดสร้างสรรค์  ซึ่งได้นำสูตร การค้นหา แล้วนำมาเปรียบเทียบกับความสร้างสรรค์  บางคนมีพรสวรรค์  แต่บางคนต้องฝึกทำบ่อย ๆ ถึงคิดได้  ซึ่งส่วนใหญ่จะได้มาจากการคิดนอกกรอบ  และพยายามเข้ามาในกรอบเพื่อขจัดสิ่งที่เป็นกำแพงกรอบ  โดยแบ่งกรอบออกเป็น 3 กรอบ กรอบแรกเป็นข้อดีในปัจจุบัน  กรอบที่ 2 ข้อดีในอนาคต  กรอบที่ 3 ความกังวล ความกลัว สิ่งกีดขวางต่าง ๆ  ซึ่งจะก้าว ให้ผ่านไปให้ได้ สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ  โดยนำความคิดเชิงบวก

                                                                                                   บันทึกวันที่ 4 กรกฏาคม 2557

“ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ.” คือ การที่ต้องรู้ว่าเราอยู่ตรงจุดไหน และกำลังจะก้าวไปสู่จุดไหน จุดขายของคณะแพทย์ ฯ มอ. เราคงไม่ได้มีแค่ medical care ถ้ามองตามแนวคิดด้านการบริหารเศรษฐกิจแบบใหม่ ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ เทคโนโลยีใหม่ ตลาดใหม่ และลูกค้าใหม่ เป้าหมายของเราในด้านการบริการ เราต้องรักษาลูกค้าเก่า แสวงหาลูกค้าใหม่ และหันกลับมามองดูความต้องการตลาดว่ามีความต้องการอะไร เช่น การให้มอ. เป็นโรงพยาบาลแพทย์ทางเลือก แพทย์เฉพาะทาง ในเมื่อปัจจุบันการแข่งขันมีสูงเราต้องขายคุณภาพบวกด้วยความเชื่อมั่นและเชื่อถือ การใช้เรื่องของประชาสัมพันธ์จะเป็นอีกทางที่ช่วยให้คนเห็นความเป็น Brand ของคณะแพทย์ ฯ มอ

อีกประเด็นที่อาจารย์พูดถึง คือ เรื่อง "สมองไหล" เนื่องจากการถูกดึงตัวไปอยู่ที่ภาคเอกชน สิ่งที่เราต้องทำ คือ ดูแลคนของเรา นอกจากเราจะ Support ความต้องการของคนผู้รับบริการ เราต้อง Suport บุคลากรของเราให้เขาทำงานอย่างมีความสุข รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า การพัฒนาเพราะรู้สึกว่าต้องเสียสละ อาจไม่ยั่งยืน

ในช่วงบ่ายเป็นการสอนที่ให้เราเรียนรู้ผ่านการทำกิจกรรมที่สนุกสนาน ทุกคนในห้องมีส่วนร่วมกับการเรียนตลอดเวลา การทำ workshop เรื่อง creativity and think out of the box หลักการคิดแบบสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดความคิดใหม่ ๆ และได้รับการยอมรับ ความคิดใหม่นอกกรอบ บางครั้งอาจเอามาปฏิบัติจริงไม่ได้ จึงมีอีกหนึ่งเทคนิคการสร้างสรรค์ คือ เทคนิคการคิด “คร่อมกรอบ”โดยการใช้หลักของ P-P-C-O คิดถึงข้อดีของไอเดียเรา คิดถึงข้อดีในอนาคต หาทางข้ามกรอบและความกังวลนั้น หาโอกาสให้ความคิดเชิงสร้างสรรค์นี้เกิดขึ้น นับเป็นสิ่งที่จะสร้างให้บุคลากรกล้าคิดกล้าทำ ความคิดอันหลากหลายของแต่ละคนนั้น สามารถผลักดันองค์กรให้เกิดความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว

ขอถามว่าวันนี้คุณคิดอะไร “คร่อมกรอบ” บ้างแล้วยัง ?

        เข้าสู่วันที่สอง เริ่มรู้สึกจริงๆ ว่า รูปแบบการฝึกอบรมที่จะได้ผลเป็นอย่างดีมากของแต่ละคนเอง ในขณะนี้คือ ต้องแสดงความคิดเห็นของตนเองออกไปเมื่อได้รับฟังความรู้จากวิทยากรไปแล้ว เพราะการรับฟังแล้วนั่งเฉยๆ ก็จะลืมในที่สุด ดีขึ้นมาหน่อยคือฟังแล้วคิดตาม หรือเถียงในใจ หรือบางคนก็อธิบายตนเองในใจเสร็จสรรพ แล้วก็นั่งเฉยๆ ดีขึ้นมาอีกนิดก็คือ สงสัยและถาม เพราะจะทำให้เราเข้าใจยิ่งขึ้น แต่ดีที่สุดคงเป็นการแสดงความคิดเห็น อย่างที่ อ.จีระ และ อ. จ้า เรียกว่า "ปะทะ" กันทางความคิด ในวันแรกของการอบรม ก็รู้สึกเก๋ดีสำหรับคำนี้ แต่จริงๆแล้วจะฟังผ่านไม่ได้เลย การปะทะกันนี้จะทำให้เราทั้งจดจำและเข้าใจในเรื่องราวที่เรียนมาได้ดีกว่ายั่งเฉยๆ ดีที่สุดถ้าการแลกเปลี่ยนความคิดนั้น มาจากหน้างานจริงที่เราเผชิญอยู่ ก็อาจได้ความเห็น ได้คำตอบ ที่เราอาจนำไปใช้ได้เลยทันที หรือเกือบจะทันที  โดย ระหว่างที่ฟังวิทยากรแต่ละท่าน เราเองที่อยู่หน้างาน ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เป้นทั้งผู้ปฏิบัติงานเองและ เป็นผู้นำหน่วยงาน เป็นทั้งลูกน้องเป็นทั้งหัวหน้า เราย่อมเห็นมุมมองของผู้ปฏิบัติจากจุดที่เราอยู่ ทั้งข้างบนบน ในฐานะลูกน้อง ที่มีหัวหน้าที่สูงขึ้นไป และข้างล่างในฐานะหัวหน้า ที่มีลูกน้องอีกหลายคน เราอาจจะเห็นประเด็นที่สามารถเทียบเคียงกับเรื่องราวหน้างานนั้นได้เลย เป็นต้นทุนในการแลกเปลี่ยนความคิดที่จะทำให้การฝึกอบรมสำฤทธิ์ผลดียิ่งขึ้น แต่ระบบที่ อ.จีระและทีมงานได้วางไว้ถัดๆไปก็ล้วนแต่ จะช่วยส่งเสริมการอบรมทั้งสิ้น ซึ่งมองผ่านหรือละเลยไม่ได้เลย อย่างการเขียนอันนี้ในแต่ละวันก็จะช่วยตกผลึกความคิดที่จะเอาไปต่อยอดในวันถัดๆได้

          สำหรับ เมื่อวานเป็นการทำความรู้จักกับ MINDSET ที่จะถูกใช้ตลอดการอบรม ซึ่งอาจจะต่างจากทัศนคติที่ตนเองเข้าใจอยู่เหมือนกัน บางครั้งก็ งง งง ไปปนกับ ค่านิยม หรือ attitude  ปัจจัยที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง mindset เพื่อให้มีการ "เปลี่ยนแปลง" (นั่นเพราะว่าเราต้องการ "สิ่งใหม่" ที่ดีกว่า ซึ่งหมายถึงการพัฒนา ต่อยอด ไปจนถึง นวัตกรรมใหม่ ขึ้นมาเลย) ดูเหมือนจะเป็นอุปสรรค โดยเฉพาะหน่วยงานใดที่ไม่มีการรับคนใหม่เลยมาตั้งแต่เริ่มเปิด รพ และคนเหล่านั้น ก็จะยังอยู่กับเราไปอีกหลายปี (อาจหมายถึง รับคนเยอะมาตั้งแต่แรก ด้วยปัจจัยบางอย่างที่ต้องมีครบตามตำแหน่ง พอ ระหว่างการเติบโตของหน่วยงาน มีการปรับรู้แบบการทำงาน ทำให้ แม้ผู้รับบริการจะเพิ่มมากขึ้นไปอีก 4-5 เท่าตัว เราก็สามารถ ใช้คนเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องเพิ่มคน โดยคนเรานั้นอาจรู้สึกว่าตนเองทำงานหนักขึ้น ทั้งที่จริงๆแล้ว ในช่วงเริ่มต้นของชีวิตการทำงานนั้น อาจทำงานเบามาตลอด) คนเหล่านี้ถ้าไม่ได้มีความรู้สึกที่ต้องพัฒนาตนเองและหน่วยงานอยู่เรื่อยๆ ก็จะรู้สึกสุขสบายกับภาวะที่เป็นอยู่ และไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไร (ซึ่งอย่างหลัง ผมว่ามีมากกว่า) อาจมีบ้างที่ กลไกการเปลี่ยนแปลงนั้น สามารถผูกไป กับ "ผลประโยชน์" ที่จะได้รับ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ผลประโยชน์ต่อ "ตนเอง" โดยตรง เช่น เงินเดือน ซึ่งดูเหมือน หัวหน้าของผมก็ใช้ กลไกนี้อยู่ (จากการเรียนรู้อย่างหนึ่งในวันแรก ของปัจจัยที่จะมีการเปลี่ยน mindset จนมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คือต้องเกิดผลกระทบ ยิ่งกระทบแรงก็ยิ่งเปลี่ยนแรงและเร็ว ผลกระทบก็คงมีทั้งแง่บวกและลบ แต่จะให้ดีคงต้องเป็นแง่บวกดีกว่า )

            การเข้าใจเรื่องบุคลิกภาพ ทำให้เกิดการเข้าใจและรู้จักตนเอง หัวหน้า และลูกน้อง ทุกคนต้องถูกจัดกลุ่มบุคคลิกภาพทั้งหมด เพื่อให้เกิดความเข้าใจ (หรือทำใจ?) กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลง ก็ต้องยุ่งเกียวกับคนสามสี่กลุ่มนี้เป็นหลัก (หมายถึง ตนเอง คนข้างบน และคนข้างๆ หรือ ข้างล่าง) สิ่งที่ยากขึ้นมาหน่อยคือ เมื่อเข้าใจแล้ว เราจะเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมเฉพาะ ในแต่ละกลุ่มคน ก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และไม่ง่ายนัก (อาจหมายถึงหลากหลาย มากกว่าจะใช้วิธีเดียว ไปกับทุกๆคนในหน่วยงานเลย)  ก็เป็นเรื่องที่น่าเรียนรู้และฝึกฝนกันต่อไป

               สำหรับประเด็นท้าทายกับคณะแพทย์ ก็เป็นเรื่องโชคดีมาก ที่เราได้รับฟังความเห็นจาก อ.พงษ์ชัย ที่ท่านทำการบ้าน ทำความรู้จักคณะแพทย์ของเรามาเป็นอย่างดี มุมมองของท่านมีประโยชน์ ประเด็นท้าทายที่ท่าน "มอง" โดยผ่านการเปรียบเทียบกับ รพ เอกชน นั้น เรามองข้ามไปไม่ได้เลย บางท่านอาจคิดว่า อยู่กันคนละสถานะ ไม่เห็นต้องไป "ขี้ตามช้าง" แต่ผมกลับมองว่า มีหลายประเด็น น่าจะเป็น "ภาวะคุกคาม" เร่งด่วน ที่เราต้องขยับ หรือขยับมากกว่าที่เป็นอยู่ (โชคดีที่ ท่านผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย) 

               เรื่องความคิดสร้างสรรค์ และการออกนอกกรอบความคิดเดิมๆ อ.ศรันย์ ทำให้ผมได้ภาพรวมอย่างหนึ่ง ว่า เราอาจต้องตั้งต้นความคิดที่ "บ้าๆ" ก่อนเลย ไม่ว่าจะคิดอะไร แล้วค่อยๆใช้กระบวนการ นำมาสู่ความเป็นไปได้ (สนุกมาก และจดจำง่าย และต้องฝึกหัดเสมอๆ คณะแพทย์ เราจะต้องมีคนคิด "บ้าๆ" ให้มากๆ) 

               

Born to be มีจริง แต่ไม่ใช่ "ฉัน" การเข้ามารอบรมในครั้งนี้ จึงมีค่าและมีผลกระทบต่อตัวฉัน ไม่น้อย           เริ่มต้นจากความประทับใจในการปฐมนิเทศ ด้วยการพูดถึงวัตถุประสงค์ การอบรมอย่างชัดเจน ด้วยการเล่าเรื่อง จูงใจ ทำให้ฉันได้เห็น เป้าหมาย ชัด ว่าการเรียนรู้ที่ได้ไม่เพียงแต่ ตนเอง เท่านั้น    สิ่งสำคัญต้องนำไปใช้เพื่อให้ส่งผล ให้เกิด 3 V ต่อองค์การ  และสร้างเครือข่าย เพื่อให้เกิดความยั่งยืนด้วย ทฤษฎีการเรียนรู้มากมาย มองดูยากแต่ก็อีกนั่นแหละ สไลด์ Learning how to learn บวกกับวิธีการอธิบายของอาจารย์ สอนให้ฉันรู้จักคำว่าความคิดรวบยอด เป็นอย่างไร Learning how to learn

        หัวใจ คือ Learn Share Care ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเอง ต้องเริ่มต้นจากตนเองเกิดประกาย  (inspiration) และแรงบันดาลใจ(imagination) ซึ่งบางครั้งเกิดขึ้นเอง แต่ถ้าไม่เกิดก็สร้างได้ ร่วมกับการมองสิ่งต่างๆอย่างเป็นจริง(reality)และตรงประเด็น(relevance) ผ่านการเรียนรู้มาแต่ละรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน บางคนเรียนรู้จากความเจ็บปวด(learning from pain) อันนี้เขาเรียกว่า "เจ็บแล้วจำ" บางคนเรียนรู้จากประสบการณ์(learning from experiences) บางคนเรียนรู้จากการฟัง(learning from listening)และบางคนอาจมีทั้ง 3 อย่างประกอบกัน โดยการเรียนรู้นั้น มีวิธีการเรียนรู้ที่ดี(learning Methodology)เข้าไปอยู่ในบรรยากาศของการเรียนรู้ (learning environment)และต้องได้รับโอกาสที่จะได้เรียนรู้(learning opportunities) ตรงนี้หลายคนอาจเข้าใจผิด ว่าเป็นแค่โอกาสของการได้ไปเรียนรู้จากคนอื่น จริงๆการได้นำความรู้ความสามารถของตนไป แสดงออก บอกกล่าว ผู้อื่นก็เป็นโอกาสในการเรียนรู้เช่นกัน ซึ่งเป็นความเชื่อ (mindset)ของฉัน คือ "ยิ่งให้ยิ่งได้" และสุดท้ายต้องทำให้เกิดชุมชนแหล่งการเรียนรู้(learning communities) ก็คือการshare รู้อย่างเดียวคงไม่ได้ อาจารย์บอกต้องทำ (turn ideal to actions) มันจึงจะเกิด 3 V แต่อาจารย์ก็พูดบ่อยมาก ถึงคำว่า กระเด้ง (transformation) คงหมายถึง การเรียนรู้หากผ่านกระบวนการไปเรื่อยๆ ไม่มี innovation แน่ๆ คือมันอาจจะช้าไป กระโดดมันไกลกว่าเดินนะ และช่วยกันทำให้เกิดเป็น วัฒนธรรม(learning culture) มันจึงจะยั่งยืน(sustainable development) 

      " ไหมเส้นเดียวไม่เป็นด้าย ไม้ต้นเดียวไม่เป็นป่า" ฉันใดก็ฉันนั้น

 Leadership and teamwork จึงเป็นหัวข้อการบรรยายต่อมา ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของการพัฒนาองค์การ การอบรมชี้ให้เห็นถึงการสร้างทั้งผู้นำและทีม ซึ่งต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจถึง Mindset และวิธีเปลี่ยนmindset ให้คนในองค์การทำงานอย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ โดยต้องทำให้เขาเห็นประโยชน์ร่วมกันให้ได้ 

      มีความสุขและขอบคุณมากค่ะ

      

      

        

สวัสดีค่ะ  

สำหรับวันแรกของการเรียน  วันพฤหัสบดี ที่ 3 กรกฎาคม 2557

Mindset เป็นกระบวนการทางความคิด การปรับทัศนคติ มองโลกในแง่มุมที่ควรจะเป็น

  • จริงแท้
  • ยั่งยืน
  • สมดุล

บุคลิกภาพของผู้นำ (ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง)

   1. การเข้าใจธรรมชาติ รู้ว่าคน ๆ นั้น เป็นอย่างไร มีนิสัยแบบไหน

   2. ใจกว้าง รับฟังความคิดเห็น

  • การทำหรือคิดอะไร ให้หาช่องว่างให้เจอ แล้วจะประสบความสำเร็จ


และวันที่สอง วันศุกร์ ที่ 4 กรกฎาคม 2557

ความท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ในการดึงดูดลูกค้า ส่วนใหญ่จะมีเฉพาะลูกค้าในพื้นที่ เท่านั้น อยากให้มีนอกพื้นที่บ้าง เช่น ต่างจังหวัด หรือดประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาใช้บริการมากขึ้น

คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน ประกอบด้วย

    1. การมีมนุษย์สัมพันธ์

    2. มีความคิดสร้างสรรค์

  • การพัฒนาให้ตัวเองเก่งขึ้น ต้องลงทำมือทำบ่อยๆ
  • คิดเยอะ ทำเยอะ มีความคิดสร้างสรรค์เยอะ ย่อมได้กับตัวเราเอง

ขออนุญาติแสดงความคิดเห็นแบบสั้นๆ ก็แล้วกันนะครับ สิ่งที่ผมคิดว่าผมจะนำไปใช้ได้มากที่สุดคือ ทฤษฎี 3 V value added /value creation and value diversity ผมคิดว่าความยากสำหรับคนที่ทำงานประจำอย่างเราๆ คือความคิดที่ว่าทำงานงานไปวันๆ จะไปเพิ่มมูลค่าได้อย่างไร เป็นสิ่งที่น่าคิดและผมจะคิดต่อครับ ส่วนวันที่ 2 สิ่งที่ผมได้จากท่านวิทยากรคือแรงบันดาลใจในการคิด.  คิดให้นอกกรอบ ผมได้คำตอบที่ผมบ่นมานานว่า เรางานยุ่งจะตายจะเอาสมองที่ไหนไปพัฒนางาน แต่จริงๆแล้วคนเราคิดได้ตลอดเวลา และผมยังได้เครื่องมือ PPCO เป็นตัวช่วยทำให้ความคิดนอกกรอบเราเป็นไปได้มากขึ้นครับ ขอบคุณครับ

day2

คิดตามการเรียนรู้ ถ้าเราหาตัวตนคณะแพทย์ท่ามกลางความกดดันท้าทาย

เราจะมุ่งเน้นด้านการเรียนการสอน การวิจัย การบริการ การเตรียมระยะเปลี่ยนถ่ายและหารายได้เลี้ยงการดำเนินงานขององค์กรอย่างไร

คิดแบบการเป็นเจ้าของกิจการ

คิดแบบออกนอกกล่อง

คิดแบบสร้างสรรค์ผสมผสานในความเป็นนักคิดที่มีเอกลักษณ์แห่งตน

คิดแบบใช้กรอบPPCO( Pluses Potentials Concerns Oppotunities)

สิ่งที่เรียนรู้จากการเรียนเรื่อง ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดย ผศ.ดร. พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล

และ

Key words of success : leadership- mindset-thinking outside the box- thinking new box

อ.ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์.             4 กค. 57

           การเรียนรู้ในวันนี้ ทำให้หันมามองคณะแพทยศาสตร์ตามความเป็นจริงในโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งความกดดันด้านการร้องเรียนของผู้รับบริการ งบประมาณที่มีจำกัด การบริการที่มีมาตรฐานสูง หลักประกันสุขภาพ การแข่งขันและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้นรวมถึงความท้าทายด้านการวัฒนธรรมการบริหารจัดการสมัยใหม่ การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เราจะอยู่รอดและสร้างความเป็นเลิศได้อย่างไรในขณะที่เรามีต้นทุนสูงตลอดแต่ยังไม่มีกลไกใดๆลดต้นทุนและเรายังไม่สามารถดึงดูดผู้ใช้บริการต่างชาติได้  อีกทั้งมีปัญหาสมองไหลไปยังโรงพยาบาลเอกชนมากขึ้น รางวัลต่างๆเป็นเพียงอดีตและปัจจุบันเท่านั้นไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตถ้าเราไม่ทำสิ่งใหม่  สิ่งเหล่านี้จะเป็นโจทย์ในการหาแนวทางแก้ปัญหารวมถึงการคิด miniresearch ต่อไป

            อ.ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์ ทำให้เราเห็นมุมมองใหม่ที่เป็นจริงอีกประการว่าเงินไม่ใช่ปัจจัยหลักของการดึงดูดบุคลากรให้คงอยู่กับองค์กร แต่มีปัจจัยที่สำคัญอีกหลายประการเช่น การเห็นคุณค่าของบุคลากร ให้การยกย่องชมเชย การให้ทำงานที่ถนัด ได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ การพัฒนาให้มีความก้าวหน้า เติบโตในงานและมีอุปกรณ์สิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยในการทำงาน เป็นต้น

             อ.ศรัณย์ได้ชี้ให้เห็นว่า Gap ของความสามารถหรือความเก่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ คือ มนุษยสัมพันธ์และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเดิมเราคิดว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องยากถ้าไม่มีติดตัวมาก่อน ทำให้เปลี่ยนแนวคิดใหม่ว่าทุกคนสามารถมีความคิดสร้างสรรค์ได้ การทำงานหนักและมีปัญหาอุปสรรคหลายอย่างยิ่งทำให้มีโอกาสเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาและแก้ปัญหาและความรู้ใหม่ที่ได้เรียนรู้ในวันนี้คือ หลักการคิดสร้างสรรค์ ขั้นตอนและทำอย่างไรให้ความคิดสร้างสรรค์มีโอกาสได้รับการยอมรับจากหัวหน้าและเกิดได้อย่างยั่งยืน ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านมากค่ะ

ปฐมนิเทศ และแนะนำทฤษฎีที่สำคัญเพื่อการเรียนรู้

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

โครงการพัฒนาบุคลากรเพื่ออนาคตของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

รุ่นที่ 1

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2557

เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 57 ผมและคณะได้รับเกียรติมาให้คำปรึกษาและบรรยาย เรื่องทิศทางการบริหารงานบุคคลสู่ความเป็นเลิศ ในกิจกรรมการนำเสนอผลงานพัฒนาและการประกันคุณภาพของภาควิชาต่างๆ

กฟผ.ต่างกับมอ. คือมอ.เป็นกลุ่มผู้เข้ารับการอบรมที่คละกันหลายฝ่าย เช่น เภสัชกร ผู้บริหาร และมีรุ่นที่หลากหลาย

หลักการและเหตุผล

โลกาภิวัตน์ / ประชาคมอาเซียน &AEC

ความเสี่ยง / Multiple Crisis & Permanent Crisis ความเสี่ยงที่เป็นขนมชั้น มาแล้วมาอีก หากไม่พร้อมกับการจัดการกับวิกฤติก็ไม่รอด และต้องการให้เติบโตอย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง

การสร้างความสามารถทางการแข่งขัน

การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

การเติบโตอย่างยั่งยืน

ทฤษฎี 3 V

Value added เป็นพื้นฐาน และทำให้เกิดมูลค่า หรือพื้นฐานมากขึ้น เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่การเรียนในวันนี้ทำให้รู้มากขึ้น

Value creation การรวมตัวกันคิดนอกกรอบ มีความคิดสร้างสรรค์ มีนวัตกรรมขึ้นมา มีโครงการใหม่ๆ ข้ามสายงาน ข้าม Silo รู้จักกับคนภายนอกองค์กรให้มากๆ

Value diversity เช่น โครงการกศน. ที่เกี่ยวกับการเกษตรและอาเซียน เป็นการฝึก Training for Trainer 1 ต่อ 100 คน ต้องมีเครือข่ายกับประเทศในอาเซียนให้ได้

การสร้าง 3 V ของคณะแพทย์เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก หากทำสำเร็จจะประสบความสำเร็จมาก

ทุนมนุษย์ และ ผู้นำรุ่นใหม่ขององค์กร

วัตถุประสงค์

เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ ใฝ่รู้ ตื่นตัว และตระหนักถึงการพัฒนาตนเองและองค์กร อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมในการเรียนรู้

เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้ได้รับความรู้ มุมมอง และแนวคิดที่เป็นประโยชน์จากผู้ทรงคุณวุฒิผู้มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่เป็นที่ยอมรับในสังคมไทย ซึ่งจะสามารถนำความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้กับการทำงานขององค์การในอนาคตได้

เพื่อสร้างเครือข่าย (Network) และแนวร่วม (Partners) และสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาสร้างโอกาสต่าง ๆ และมูลค่าเพิ่ม แก่องค์การ

เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหาร บุคลากรภายในองค์การ และลูกค้า หรือประชาชน โดยการปรับเปลี่ยนแนวคิด วิธีการทำงานให้มุ่งเน้นไปที่ปัจจัยแห่งความสำเร็จ และการบริการที่มุ่งเน้นไปที่ลูกค้า ทั้งลูกค้าภายในองค์กร และลูกค้าภายนอกองค์กร ชุมชนและสังคมให้มากยิ่งขึ้นซึ่งจะเป็นแนวทางที่สำคัญในการพัฒนาอย่างสมดุลและยั่งยืน

บรรยากาศในการเรียนรู้

Morning Coffee / Morning Brief

Round Tables

Mobile Library

Internet Corner

Coffee Corner

Plants / Flower Decoration

วิธีการเรียนรู้ของ ดร.จีระเพื่อ HR เป็นเลิศ

การเรียนแบบ Learn Share และ Care เป็นแนวคิดในการเรียนทุกครั้ง

ทฤษฎี 4L’s

- Learning Methodologyมีวิธีการเรียนรู้ที่ดี

- Learning Environment สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้

- Learning Opportunities สร้าง/เกิดโอกาสจากการเรียนรู้ ได้ประทะกันทางปัญญา ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

- Learning Communities สร้าง/เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้

การ Execution ในประเทศไทยทำได้ยาก เนื่องจากเวลาเจออุปสรรคก็จะทำไม่สำเร็จ

สิ่งที่ต้องคิดคือ อุปสรรคของคณะแพทย์คืออะไร

ทฤษฎี 2 R’s

Reality - มองความจริง

Relevance - ตรงประเด็น หากอยู่ด้วยกันแล้ว ต้องคิดว่าสิ่งที่สำคัญของคณะแพทย์คืออะไร

ต้องบริหารแบบมองกว้าง มองครบ แบบ Holistic

เป้าหมายของมอ.

1. ต้องเข้าสู่อาเซียน

2. ต้องแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

- ปรับ mindset เป็นแบบ Flexible ให้ได้ เพื่อพร้อมในการเปลี่ยนแปลง

ทฤษฎี 3L’s

  • -Learning from pain เรียนรู้จากความเจ็บปวด
  • -Learning from experiences เรียนรู้จากประสบการณ์
  • -Learning from listening เรียนรู้จากการรับฟัง

การทำงานทีหนักเกินไปต้องมีการปรับสมดุลให้กับชีวิตด้วยเพื่อให้ชีวิตมีความสุข

Learning How to Learn

คุณพิชญ์ภูรี:

ท่านคณบดี รศ.นพ.สุธรรม ปิ่นเจริญ กล่าวว่า ต้องการให้ทุกท่านเป็นผู้นำที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามเหตุการณ์ เทคโนโลยี สังคมโลก ซึ่งเป็นภาพแวดล้อมที่เราต้องเผชิญ

วิธีการ คือ ต้อง Active Participation เป็นการประทะการทางปัญญา วันนี้เราเริ่มด้วยการ Pre planning ก่อน เพื่อให้เห็น 2R’s

มีทฤษฎีจากต่างประเทศมากมาย เช่น 7 habits , crucial conversation

2R’s ต้องดูว่าความจริงของคณะแพทย์คืออะไร ต่อให้มีกูรูจากต่างประเทศที่ค่าตัวแพง ก็อาจได้แนวคิด แต่หากเอามาปฏิบัติจริงๆก็อาจจะไม่ได้ผลเสมอไป เนื่องจากการบริหารจัดการของคณะแพทย์เปลี่ยนแปลงเสมอ

ต้องเริ่มจาก ความจริงเสมอ คือ Reality

1. บุคลากรคณะแพทย์มีความหลากหลาย มีระดับขั้นมาก Change Agent เป็นสิ่งที่ดร.จีระ อยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลง คือ มีความเก่ง กล้า และมีคนสนับสนุน

2. วิธีการต่างๆต้องเข้าประเด็น องค์ประกอบ 3 ประการ คือ

- บุคลากร ต้องลงทุนให้เป็นทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพ

- องค์ความรู้ ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต คือต้อง learn share care

- เครื่องมือที่สำคัญ คือ ต้องมีกรอบแนวคิด ในการรับฟังความรู้ที่ได้จากวิทยากร

ต่อมาก็จะเกิดความคิด แล้วนำไปปฏิบัติจริง เพื่อนำสู่ความสำเร็จ อย่างยั่งยืน

อ.จีระ: หนังสือที่ Assignให้อ่าน HR Execution

อาจารย์จีระเดช: หลังจากที่ติดตามอาจารย์จีระเป็นเวลานาน วันนี้ผมจับประเด็นได้ว่า ผมเป็นคนคิดนอกกรอบผมเป็นโรคเบาหวาน มียาชนิดใหม่ออกมา ที่ใช้สะดวกมากขึ้น คือฉีดพ่นทางปาก ผมมีความสนใจในเรื่องแพทย์แผนไทย แต่แพทย์แผนไทยมีปัญหาภายใน วันนี้ในโครงการนี้ผมขอถือโอกาสมาเรียนรู้ด้วย และอยากให้ผู้เข้าอบรมเรียนแบบไม่ต้องมี Pattern แต่ขอให้คิดนอกกรอบ

แสดงความคิดเห็น

คุณลักษมี สารบรรณ: ขอถามถึงการดูงานไปต่างประเทศ

อ.จีระ: การเดินทางไปต่างประเทศตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลง เป็นการดูงานในภาคใต้ และในกรุงเทพ

คุณภูวดล ผู้ช่วยคณบดี: ชอบแนวทางการมอบหมาย Assignment แบบเช็ครายบุคคล เนื่องจากเป็นการกระตุ้นที่ดี

คำถาม: เรื่อง AEC คณะแพทย์มีความร่วมมือกับประเทศมาเลเซีย อยากทราบว่าจะนำไปต่อยอดอย่างไรบ้าง

อ.จีระ: ผมสามารถติดต่อกับทูต ตอนนี้ยังมีความเป็นไปได้ในการนั่งรถบัสข้ามไปยังประเทศมาเลเซีย

อ.นพ.ธีรพล ภาควิชารังสีวิทยา: ตื่นเต้นมาก ไม่ชอบพูดกลางที่ประชุม วันนี้ผมดีใจที่ได้เข้าร่วมหลักสูตรนี้ ทำงานมา 10 ปี รู้สึกว่าอยู่ใน Comfort Zone อย่างที่อ.สุธรรมพูด รู้สึกว่าผมอยากพัฒนาตัวเอง ให้เป็นผู้ช่วยคณบดี สารสนเทศ อยู่ตำแหน่งมาครึ่งปี มีอุปสรรคบางอย่างเข้ามา จึงคิดว่าการพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และติดตามรายการโทรทัศน์อ.จีระมานานแล้ว คาดหวังกับการอบรมครั้งนี้มาก จึงต้องแสดงออก และกล้าที่จะพูดมากขึ้น

ผู้จัดการพยาบาล: คราวที่แล้วเป็นนักเรียนหลังห้อง มองว่า HR ในปัจจุบันเปลี่ยนมากมาย มองว่าเรื่องสมาธิสามารถนำมาประยุกต์ในการทำงานได้เมื่อมีอายุมากขึ้น เมื่อมองว่าการบริหารคนนั้น การพัฒนาคนและ HR ต้องนำมารวมกับเรื่องสมาธิได้เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น

ดร.จีระ: ทำเรื่องคนมา 40 ปี เห็นว่าประเทศสิงค์โปร์จะขาดเรื่องความสุข ความสมดุล และเรื่องสมาธิ แนะนำว่าต้องกลับไปที่ Basic culture เป็นเรื่อง Intangible ที่วัดยาก ต้องคิดถึงส่วนรวม คณะแพทย์มีทุกอย่างแต่บางครั้งไม่มีคนมาคอยแนะนำ หลักสูตรนี้ต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วมถึงจะบรรลุเป้าหมาย

คุณอุมา พยาบาลอายุรกรรมชาย 1 : เป็นหลักสูตรที่มี่คุณค่ามาก สิ่งที่คาดหวัง คืออยากรู้ทฤษฎี และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานได้ คิดสิ่งที่เรียนรู้เพื่อทบทวนความคิด และคิดในสิ่งที่สร้างสรรค์ การไปดูงานใน 4 องค์กรที่เป็นเลิศก็เป็นประโยชน์มาก เพื่อให้มีการเรียนรู้แบบ Learn Share Care

อ.จีระ: หลังจากที่ฟังความคิดเห็น เห็นว่ามีช่องทางเป็นอย่างมาก ข้อเสนอแนะก็ให้รุ่น 2 ได้รับทราบด้วย ต้องทำงอย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่อง และต่อเนื่อง

การศึกษาไทยหากอยู่ในมือของนักการเมืองก็ทำให้ระบบการศึกษาไทยล้มเหลว

มอ. ต้องรักษาการปราศจากจากนักการเมือง และลงไปถึงชุมชนมากขึ้น
คุณรุ่งทิพย์ ภาควิชารังสี: มีความคาดหวังว่าจะต้องกล้า ก่อนที่จะเก่ง ต้องเรียนรู้

อันตรายของคณะแพทย์ คือ จัดการกับ Stakeholder ภายนอกได้ไม่ดี เป็นเหยื่อของเชื้อโรค แต่ไม่ได้มองคนที่เอาเชื้อโรคมา วันนี้ต้องปรับ Mindset ให้กว้างขึ้น

คนไทยพบว่า ถ้าเป็นคนที่มีวัฒนธรรมการเรียนรู้จะชนะกับ Comfort zone ไม่อย่างนั้นคนที่ทำงานไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นเสมียน  

This marks the second day of reading. To whomever is reading this, I'm writing in English because (1) I can type much faster in English and (2) my Thai sucks.

The second day is marked by two lively sessions. My impression of Assistant Prof. Pongchai (might misspell, didn't google his name) is his crisp analysis of the current situation of PSUMED. It's refreshing to receive an engineer's viewpoint on a medical establishment. It makes me realise that cross-discipline analysis or multidiscipline analysis can be greatly beneficial. I think the key question that PSUMED has to answer is this: How can PSUMED get more customers, make money, and still be a prestigious government-funded medical school. One has to be prepared to ask the tough questions (pink elephant in the room, do we just ignore it or do we tackle it?).

The afternoon session was conducted by Aj. Saran from 37.5 degree Celsius. This was an activity-filled and fun-filled experience. It's good to hear the Myer-Briggs's classification once again after doing one in high school. I'm still an INTJ, although I don't feel like one now. Perhaps the workload I'm handling right now pushes me away from who I really am. Perhaps? The best toolset that I received from Aj. Saran is the 4M's of creative thinking. I think of myself as not creative, so the practical example of PPCO (pluses, potentials, concerns, opportunities) strikes home with me. I plan to implement this in my future work. Besides, the sex clinic is hilarious.

That's it for my assessment for the 2nd day of training.

Ps. Not spell-checked or grammar-checked for error. #RAW 

สรุปการบรรยาย

หัวข้อ “Managing Self Performance”

โดย อาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์

5 กรกฎาคม 2557

อ.อิทธิภัทร: วันนี้ถือว่ามาแบ่งปันความรู้ระหว่างกัน ปัญหาตอนนี้คือการมี Gap ระหว่างผู้ใหญ่กับGen ใหม่ๆ ซึ่งเด็กสมัยนี้มีความสามารถมาก ควรมีโค้ชระหว่างวัยรุ่นกับวัยรุ่นจะดีมาก

ระบบการเรียนรู้มี 3 ขั้น 3L’s Coaching

1. ต้องรู้เรื่องผู้นำ

2. ต้องรู้เรื่องทักษะชีวิต สิ่งสำคัญคือเวลา กับ เข็มทิศ

3. ต้องมีการเรียนรู้

คนในองค์กรหากทำงานทุกวัน แต่ไม่ผูกพันกับที่บ้านทำให้คนสูญเสียความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้การ Coaching เข้าไปengagement ด้วย

หลักของการCoaching คือ เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ รอเพียงโอกาสที่จะได้รับศักยภาพนั้นอย่างเต็มที่

การ Create Positive Change Agents เป็นเรื่องสำคัญ เป็นการสร้างความรู้สึกบวกให้กับผู้ที่ได้รับคำชม

หัวข้อสัมมนาและวัตถุประสงค์

1. ตัววัดความสำเร็จ ศักยภาพและสมรรถนะการทำงาน รู้ว่าองค์กรมองและการพัฒนาบุคลากรและผู้นำด้านใดบ้าง

2. การเข้าใจตัวเองและรู้สึกว่าตัวเองมีเป้าหมาย

3. สมมติฐานที่เชื่อแล้วจะช่วย

Competency มี 3 ด้าน หมายถึง

ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่สุดของคนที่จะประสบความสำเร็จ ประกอบด้วยพฤติกรรม ทัศนคติ และแรงบันดาลใจ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์กร

  • -ความอ่อนแอเป็นพลังที่สำคัญที่สุด

ทำไมจึงต้องรู้เรื่อง Competency

  • -High level of Competency

หนังสือ 7 habit บอกว่า คนเรามีธนาคารแห่งอารมณ์ มี positive emotion หมายถึงเรากำลังฝากอารมณ์ด้านบวกให้กับตัวเราและคนอื่น

Competency ข้างนอกเป็น ทักษะ กับความรู้ แต่สิ่งที่อยู่ลึก คือ Self-concept โดยการสร้างทัศนคติ กับค่านิยม

ส่วนที่มองเห็นได้ชัด (Visible) คือ ทักษะ และความรู้

ตัวอย่างการโค้ช :นักศึกษาคนหนึ่งกลัววิชาคณิตศาสตร์มาก ต้องใช้วิธีหาความรู้สึกของนักศึกษาคนนี้ แล้วคำตอบจะออกมาว่าทำไมถึงกลัว

Body and mind จะออกมาจากการแสดงความรู้สึกของทุกๆคน

สิ่งที่สำคัญคือ

  • -คุณลักษณะที่มองเห็น: ทักษะ และความรู้
  • -คุณลักษณะที่มองไม่เห็น : ความเข้าใจ ทัศนคติ ค่านิยม การมองตัวเอง บุคลิกภาพและแรงจูงใจ

องค์กรจะหล่อหลอมได้ด้วย การมีค่านิยมที่เหมือนกัน

ค่านิยม ที่ยึดถือของคนที่ประสบความสำเร็จคือ ความมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จ: เป็นความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมายและมาตรฐานที่กำหนดไว้

  • -ตัวอย่างหนังสือที่ดี คือ วิธีก้าวจากจุดที่คุณอยู่ข้ามไปสู่จุดที่คุณต้องการ The success principle โดย Jack Canfield

กิจกรรม: ให้เลือกรูปภาพที่ชอบมา 3 รูป

  • รูปที่ 1 รูปไหนที่เป็นตัวเองใน5-10 ปีที่แล้ว
  • รูปที่ 2 รูปไหนที่แสดงถึงปัจจุบัน

รูปที่ 3 รูปไหนที่แสดงถึงเป้าหมายชีวิต 5-10 ปีข้างหน้า

- ใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3 นาที

รอบที่ 1 มองหาใครก็ได้ที่อยากคุยเอารูปไปด้วยแล้วให้คุยกัน

ให้เลือกว่าใครเป็น A หรือ B ให้ A พูดก่อน B รับฟัง แล้วสลับกัน

รอบที่ 2 ให้เล่าให้เพื่อนฟังอีกคนหนึ่ง

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Coaching conversation

คำถาม: เมื่อฟังแล้วได้รับแรงบันดาลใจอย่างไรบ้าง

เมื่อเราวิเคราะห์ลึกๆเมื่อได้คุยกับเพื่อนแล้ว เราสามารถสัมผัสได้ว่าเราอยากเป็นอะไร

กฎแห่ง เลือกที่จะรับผิดชอบตัวเอง 100 % จากหนังสือ success principle โดย Jack Canfield กล่าวว่า คนที่ประสบความสำเร็จ ต้องมีหลักในการคิด ต้องรู้ว่าคุณอยู่ตรงไหนและจะก้าวไปตรงไหน ปัญหาคืออะไร

สูตร: รับผิดชอบต่อชีวิตคุณ 100%

เหตุการณ์ (E)+การตอบสนอง (R) = ผลลัพธ์ (O)

ถ้าเราไม่พอใจในผลลัพธ์ปัจจุบัน มี 2 ทางเลือก

1. โทษเหตุการณ์ ที่ทำให้ไม่เกิดผลลัพธ์

2. เปลี่ยนการตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างที่เป็นอยู่จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

คนเราตอนนี้อยู่ในภาวะอะไร

Cause ทำให้เกิดขึ้น เป็นสาเหตุของความสำเร็จ > Effect รอสิ่งที่เกิดขึ้น (คนที่ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์)

  • -ให้คิดว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรยาก มีแต่สิ่งที่ไม่คุ้นเคย

กฎแห่ง การเข้าใจให้ชัดว่าทำไมคุณถึงอยู่ตรงนี้

  • -เข้าใจตัวตนว่าคุณเป็นคนเช่นไร
  • -อะไรคือเหตุเบื้องหลังที่ทำ

ในชีวิตคนเรามีสิ่งที่มีอิทธิพลในชีวิตประจำวัน 3 สิ่งคือ

1. Be ตัวเองเป็นคนอย่างไร เช่น มีความคิดสร้างสรรค์ มีความมุ่งมั่น หากเรารู้สึกขาดในเรื่องการทำงานก็ต้องหาสิ่งอื่นมาทดแทนเพื่อให้สามารถเติบโตจากภายใน

2. Do

3. Have เป็นผลลัพธ์ ว่าจริงๆแล้วต้องการอะไร เป็นเป้าหมายในชีวิต หากเปรียบเป็นเรื่องการทำงาน ก็คือเป้าหมายในการทำงาน

กิจกรรม: เพื่อให้รู้จักตัวเองและคนอื่นเพื่อสร้างสัมพันธ์ในการทำงาน

  • -ให้เขียนว่าคนประเภทไหนหรือพฤติกรรมที่เราไม่ชอบ เช่น ไม่ตรงเวลา เอาเปรียบ
  • -ให้เขียนประเภทของพฤติกรรมที่เราชอบ เราใฝ่ฝัน เช่น รักษาเวลา เสียสละ

ผมได้อ่านBlog  ที่ทุกท่านส่งมาแล้ว

ขอแสดงความยินดีกับผู้เข้าอบรมทุกท่าน ขอให้มีความมุ่งมั่นต่อไปในเวลาที่่เหลือครับ

สรุปการบรรยาย

หัวข้อ “Personality and Social Skills Development”

โดย อาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์

5 กรกฎาคม 2557

First Impression

  • -บุคลิกภาพ
  • -ภาพลักษณ์ภายนอก เสื้อ ผ้า หน้า ผม
  • -น้ำเสียง
  • -คำทักทาย
  • -ภาษากาย
  • -การแต่งกาย

การนั่งเก้าอี้ : มือขวาจับพนักเก้าอี้ สอดตัวทางด้านซ้าย ผู้หญิงนั่งครึ่งเดียว หลังตรง

ผู้ชาย นั่งเต็ม ถ่างขาหลังตรง นั่งไขว่ห้างไม่สุภาพ

ถ้าเก้าอี้ที่นั่งมีที่เท้าแขน ควรนั่งให้เต็มเก้าอี้ แขนพาดไปข้างไปข้างหนึ่ง

การยืน : ผู้หญิง เท้ายืนแบบ 14.00 น. เก็บคาง

ผู้ชาย: ยืนส้นเท้าไม่ต้องติดกัน ประมาณฝ่ามือ มือไว้ข้างลำตัว

วิธีการเดิน เอาส้นลงก่อน แล้วเอาปลายเท้าลงตาม

เสื้อเชิ้ตผู้ชาย: คอปกต้องแข็ง

การเดินตามเจ้านาย : การเดินตาม เดินตามด้านซ้าย

ถ้าต้องเดินนำเจ้านาย นำด้านขวา ใช้มือขวาผายนำทาง

การไหว้: พนมมือกลางอก ไม่กางศอก ไม่ต้องทำพุ่ม ก้มศีรษะลงมา ไม่ต้องเลื่อนมา

การแนะนำระหว่างหญิงกับชาย: ให้เกียรติผู้หญิงก่อน หากต้องแนะนำให้เจ้านายรู้จัก ต้องให้เกียรติเจ้านายก่อน คือ ต้องมีการแนะนำตัวระหว่างกัน ไม่ควรถามเรื่องส่วนตัว พูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ตรงหน้า คนกลางที่แนะนำก็จะได้รู้สึกสบายใจด้วย

Tips 5 ข้อ

1. ปลอดภัย

2. สะดวกสบาย

3. ให้เกียรติ

4. อัธยาศัยไมตรี

5. ความมีระเบียบเรียบร้อย

การขึ้นบันได: ผู้หญิงควรขึ้นบันไดก่อนผู้ชาย

การลงบันได: ผู้ชายลงก่อน เพราะหากผู้หญิงพลาดตกผู้ชายช่วยได้

การรดน้ำสังข์: ผู้หญิงนั่งด้านซ้าย ผู้ชายนั่งด้านขวา ต้องรดเจ้าสาวก่อน แล้วค่อยรดเจ้าบ่าว

การจัดงานเลี้ยง: แขกคนสำคัญอยู่ทางขวามือของเจ้าภาพเสมอ

การนั่งตามตำแหน่งที่ถูกต้อง: หากมี 3 คน เบอร์ 1 โซฟาเป็นที่ของแขก

เก้าอี้ ที่ใกล้ประตูเป็นที่ของเจ้าของบ้าน เบอร์ 2 นั่งเก้าอี้

ผู้หญิงไม่ควรนั่งใกล้ประตู เพราะต้องเน้นเรื่องความปลอดภัย

แต่ถ้าบังเอิญผู้ใหญ่นั่งโซฟา ก็ให้ผู้อาวุโส หรือผู้ใหญ่นั่งใกล้ที่สุด

การนั่งรถ: รถยนต์ ผู้ช่วยเจ้านายนั่งหลังคนขับ เจ้านายนั่งเยื้องคนขับ

ถ้าเจ้านายขับเอง เรานั่งข้างๆแบบเจียมเนื้อเจียมตัว

รถตู้ : ถ้าไปกันเยอะ เด็กขึ้นก่อน และเข้าด้านใน ผู้ใหญ่นั่งแถวแรกตรงกลาง

ภาพลักษณ์ขององค์กรเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่งต้องแต่งกายให้สุภาพ มีกาลเทศะ

การแต่งกาย:

ผู้ชายมีมาด ตอนใส่สูท

ผู้หญิง รองเท้าส้นสูง

3 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อบุคลิก :สีสัน เส้นสาย สัดส่วน

ผู้ชาย: ดูที่คอเสื้อ

คนอ้วน: ไม่ควรใส่เสื้อลายขวา

สายสิญจน์: บางครั้งเป็นสีดำแล้วจะทำให้ดูไม่ดี

คนทำงานในออฟฟิต หากไม่รู้จักกันการเรียกขานชื่อคน : ใช้คำว่าคุณสุภาพที่สุด

หากเรียนใครว่าท่าน ต้องตามด้วยตำแหน่ง

นามบัตร: การแลกนามบัตร ใส่ซองนามบัตร อย่าใส่ในกระเป๋าสตางค์ ควรยื่นให้ผู้ที่จะรับอ่าน

หากรับนามบัตรมาอย่าเพิ่งรีบเก็บ ควรอ่านชื่อ แล้วถามว่าอ่านถูกต้องหรือไม่ เป็นมารยาทที่ดี ตัวอักษรในนามบัตร ควรมีขนาดที่เหมาะสม

การรับไหว้: ผู้ใหญ่ควรจะรับไหว้เด็ก

คำถาม: ผู้ชายสามารถใส่กระเป๋าสตางค์และมือถือในกระเป๋ากางเกงได้หรือไม่ และควรใส่กระเป๋าไหน

อ.ณภัสวรรณ: ควรใส่กระเป๋าข้าง ไม่ควรใส่กระเป๋าหลัง แต่ขนาดกระเป๋าสตางค์และมือถือไม่ควรใหญ่เกินไป

เครื่องประดับผู้หญิง: ต่างหู ควรใส่ชนิดติดหู ไม่ห้อยและมีขนาดใหญ่เกินไป

คำถาม: อาชีพบางอาชีพไม่สามารถแต่งหน้าได้ มีวิธีการอย่างไร

อ.ณภัสวรรณ: ไม่ต้องแต่งหน้า แค่เขียนขอบตา และทาปากก็พอ

สิ่งที่ได้ความรู้ในวันนี้

1. เรื่องตำแหน่งที่นั่ง

2. การนั่งรถตู้ว่าต้องนั่งตำแหน่งไหน

3. การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม

4. การแต่งตัวของผู้หญิงและผู้ชาย

5. การปรับเปลี่ยนทรงผม

6. การเลือกสีสันให้เหมาะกับสีผิว

7. วิธีการยืนให้สง่า

8.การเลือกเสื้อให้เหมาะกับเสื้อผ้า

9.การแลกนามบัตร อย่ารีบเก็บควรอ่านชื่อนามสกุลทวนก่อน

10. เวลาใส่สูทของผู้หญิงไม่จำเป็นต้องติดกระดุม

11. การเดินต้องลงส้นก่อน

12. เรื่องสายสิญจน์ ไม่ควรผูก

13. เราไม่ต้องคำนึงถึงอายุ ขึ้นอยู่กับจิตใจ

14. ต้องพัฒนาตัวเอง

15. ใช้คำพูดให้สุภาพ

16. เวลาอยู่ในห้องประชุม ควรปิดมือถือ

17. การแนะนำตัวอย่าไปถามเรื่องส่วนตัว

18. การมีความละเอียดและประณีตกับตัวเอง ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมได้

19. Tips 5 ข้อ

1. ปลอดภัย

2. สะดวกสบาย

3. ให้เกียรติ

4. อัธยาศัยไมตรี

5. ความมีระเบียบเรียบร้อย

อ.ณภัสวรรณ: บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องเริ่มพัฒนาที่ตัวเอง ถึงจะเป็นตัวอย่างที่ดีได้ 

สรุปการบรรยาย

หัวข้อ “Personality and Social Skills Development”

โดย อาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์

5 กรกฎาคม 2557

First Impression

  • -บุคลิกภาพ
  • -ภาพลักษณ์ภายนอก เสื้อ ผ้า หน้า ผม
  • -น้ำเสียง
  • -คำทักทาย
  • -ภาษากาย
  • -การแต่งกาย

การนั่งเก้าอี้ : มือขวาจับพนักเก้าอี้ สอดตัวทางด้านซ้าย ผู้หญิงนั่งครึ่งเดียว หลังตรง

ผู้ชาย นั่งเต็ม ถ่างขาหลังตรง นั่งไขว่ห้างไม่สุภาพ

ถ้าเก้าอี้ที่นั่งมีที่เท้าแขน ควรนั่งให้เต็มเก้าอี้ แขนพาดไปข้างไปข้างหนึ่ง

การยืน : ผู้หญิง เท้ายืนแบบ 14.00 น. เก็บคาง

ผู้ชาย: ยืนส้นเท้าไม่ต้องติดกัน ประมาณฝ่ามือ มือไว้ข้างลำตัว

วิธีการเดิน เอาส้นลงก่อน แล้วเอาปลายเท้าลงตาม

เสื้อเชิ้ตผู้ชาย: คอปกต้องแข็ง

การเดินตามเจ้านาย : การเดินตาม เดินตามด้านซ้าย

ถ้าต้องเดินนำเจ้านาย นำด้านขวา ใช้มือขวาผายนำทาง

การไหว้: พนมมือกลางอก ไม่กางศอก ไม่ต้องทำพุ่ม ก้มศีรษะลงมา ไม่ต้องเลื่อนมา

การแนะนำระหว่างหญิงกับชาย: ให้เกียรติผู้หญิงก่อน หากต้องแนะนำให้เจ้านายรู้จัก ต้องให้เกียรติเจ้านายก่อน คือ ต้องมีการแนะนำตัวระหว่างกัน ไม่ควรถามเรื่องส่วนตัว พูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ตรงหน้า คนกลางที่แนะนำก็จะได้รู้สึกสบายใจด้วย

Tips 5 ข้อ

1. ปลอดภัย

2. สะดวกสบาย

3. ให้เกียรติ

4. อัธยาศัยไมตรี

5. ความมีระเบียบเรียบร้อย

การขึ้นบันได: ผู้หญิงควรขึ้นบันไดก่อนผู้ชาย

การลงบันได: ผู้ชายลงก่อน เพราะหากผู้หญิงพลาดตกผู้ชายช่วยได้

การรดน้ำสังข์: ผู้หญิงนั่งด้านซ้าย ผู้ชายนั่งด้านขวา ต้องรดเจ้าสาวก่อน แล้วค่อยรดเจ้าบ่าว

การจัดงานเลี้ยง: แขกคนสำคัญอยู่ทางขวามือของเจ้าภาพเสมอ

การนั่งตามตำแหน่งที่ถูกต้อง: หากมี 3 คน เบอร์ 1 โซฟาเป็นที่ของแขก

เก้าอี้ ที่ใกล้ประตูเป็นที่ของเจ้าของบ้าน เบอร์ 2 นั่งเก้าอี้

ผู้หญิงไม่ควรนั่งใกล้ประตู เพราะต้องเน้นเรื่องความปลอดภัย

แต่ถ้าบังเอิญผู้ใหญ่นั่งโซฟา ก็ให้ผู้อาวุโส หรือผู้ใหญ่นั่งใกล้ที่สุด

การนั่งรถ: รถยนต์ ผู้ช่วยเจ้านายนั่งหลังคนขับ เจ้านายนั่งเยื้องคนขับ

ถ้าเจ้านายขับเอง เรานั่งข้างๆแบบเจียมเนื้อเจียมตัว

รถตู้ : ถ้าไปกันเยอะ เด็กขึ้นก่อน และเข้าด้านใน ผู้ใหญ่นั่งแถวแรกตรงกลาง

ภาพลักษณ์ขององค์กรเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่งต้องแต่งกายให้สุภาพ มีกาลเทศะ

การแต่งกาย:

ผู้ชายมีมาด ตอนใส่สูท

ผู้หญิง รองเท้าส้นสูง

3 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อบุคลิก :สีสัน เส้นสาย สัดส่วน

ผู้ชาย: ดูที่คอเสื้อ

คนอ้วน: ไม่ควรใส่เสื้อลายขวา

สายสิญจน์: บางครั้งเป็นสีดำแล้วจะทำให้ดูไม่ดี

คนทำงานในออฟฟิต หากไม่รู้จักกันการเรียกขานชื่อคน : ใช้คำว่าคุณสุภาพที่สุด

หากเรียนใครว่าท่าน ต้องตามด้วยตำแหน่ง

นามบัตร: การแลกนามบัตร ใส่ซองนามบัตร อย่าใส่ในกระเป๋าสตางค์ ควรยื่นให้ผู้ที่จะรับอ่าน

หากรับนามบัตรมาอย่าเพิ่งรีบเก็บ ควรอ่านชื่อ แล้วถามว่าอ่านถูกต้องหรือไม่ เป็นมารยาทที่ดี ตัวอักษรในนามบัตร ควรมีขนาดที่เหมาะสม

การรับไหว้: ผู้ใหญ่ควรจะรับไหว้เด็ก

คำถาม: ผู้ชายสามารถใส่กระเป๋าสตางค์และมือถือในกระเป๋ากางเกงได้หรือไม่ และควรใส่กระเป๋าไหน

อ.ณภัสวรรณ: ควรใส่กระเป๋าข้าง ไม่ควรใส่กระเป๋าหลัง แต่ขนาดกระเป๋าสตางค์และมือถือไม่ควรใหญ่เกินไป

เครื่องประดับผู้หญิง: ต่างหู ควรใส่ชนิดติดหู ไม่ห้อยและมีขนาดใหญ่เกินไป

คำถาม: อาชีพบางอาชีพไม่สามารถแต่งหน้าได้ มีวิธีการอย่างไร

อ.ณภัสวรรณ: ไม่ต้องแต่งหน้า แค่เขียนขอบตา และทาปากก็พอ

สิ่งที่ได้ความรู้ในวันนี้

1. เรื่องตำแหน่งที่นั่ง

2. การนั่งรถตู้ว่าต้องนั่งตำแหน่งไหน

3. การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม

4. การแต่งตัวของผู้หญิงและผู้ชาย

5. การปรับเปลี่ยนทรงผม

6. การเลือกสีสันให้เหมาะกับสีผิว

7. วิธีการยืนให้สง่า

8.การเลือกเสื้อให้เหมาะกับเสื้อผ้า

9.การแลกนามบัตร อย่ารีบเก็บควรอ่านชื่อนามสกุลทวนก่อน

10. เวลาใส่สูทของผู้หญิงไม่จำเป็นต้องติดกระดุม

11. การเดินต้องลงส้นก่อน

12. เรื่องสายสิญจน์ ไม่ควรผูก

13. เราไม่ต้องคำนึงถึงอายุ ขึ้นอยู่กับจิตใจ

14. ต้องพัฒนาตัวเอง

15. ใช้คำพูดให้สุภาพ

16. เวลาอยู่ในห้องประชุม ควรปิดมือถือ

17. การแนะนำตัวอย่าไปถามเรื่องส่วนตัว

18. การมีความละเอียดและประณีตกับตัวเอง ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมได้

19. Tips 5 ข้อ

1. ปลอดภัย

2. สะดวกสบาย

3. ให้เกียรติ

4. อัธยาศัยไมตรี

5. ความมีระเบียบเรียบร้อย

อ.ณภัสวรรณ: บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องเริ่มพัฒนาที่ตัวเอง ถึงจะเป็นตัวอย่างที่ดีได้

คำถาม: เวลานั่งรับประทานอาหารให้ผู้ใหญ่ จำเป็นต้องตักอาหารให้หรือไม่

อ.ณภัสวรรณ: ไม่ควรตักให้ ควรถามแค่ความต้องการว่าต้องการรับหรือไม่ แล้วส่งให้ผู้ใหญ่ตักเอง

การสะพายกระเป๋า: ไม่ควรสะพาย ควรถือจะดูดีกว่า

สำหรับการเรียนในวันที่ 3 ของสัปดาห์แรกกับอาจารย์อิทธิภัทร อาจารย์เริ่มจากทุกอย่างที่เราเรียนไป จะติดอยู่ในตัวเรา และเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ในตัว รอเพียง "โอกาส" ที่จะได้ใช้ศักยภาพนั้นอย่างเต็มที่ และพูดถึง Competency ว่าหมายถึงกลุ่มของความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ ซึ่งประกอบด้วยพฤติกรรม ทัศนคติ และแรงบันดาลใจ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์กร

การใช้ 3 Verbs Concept เป็นตัวขับเคลื่อน Be - Do - Have เพื่อค้นหาเป้าหมายในชีวิต และอีกอย่างที่ชอบมากคือคำพูดของคุณโจน จันได ที่พยายามค้นหาตัวเอง ฝึกที่จะฝืนอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ ให้ใจเป็นใหญ่ ไม่มีเหตุผลที่ต้องอาย โลกเปลี่ยนไปเมื่อใจเปลี่ยนแปลง

ช่วงบ่ายกับอาจารย์ณภัสวรรณ มีประโยชน์มากกับทั้งที่ทำงาน การเข้าสังคม การแต่งกายทั้งเรื่องสี เส้น รองเท้า มารยาทการนั่ง การยืน การไหว้ การแนะนำตัวควรแนะนำผู้ใหญ่/ผู้หญิงก่อน  การขึ้นบันไดควรขึ้นทีหลังส่วนการลงบันไดควรลงก่อน และอีกหลายอย่าง ซึ่งจำได้ไม่หมดแต่อาจารย์มีข้อคิด 5 ข้อไว้ให้ปฏิบัติคือ

1.ความปลอดภัย

2.ความสะดวกสบาย

3.การให้เกียรติ

4.อัธยาศัยไมตรี

5.ความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ปลูกฝังทัศนคติที่ว่า เราเป็นหน้าตาขององค์กร

                             เป็นตัวอย่างที่ดีของลูก/ลูกน้อง 

นันท์นภัสถ์ พรหมรักษ์

วันที่ 3 สำหรับการเรียนในweekนี้ ช่วงเช้ากับอาจารย์อิทธิภัทร อาจารย์บอกว่า "คนทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ รอเพียงโอกาสที่จะได้ใช้ศักยภาพนั้นอย่างเต็มที่"เพียงแต่ว่าเราต้องหาศักยภาพของตัวเองให้เจอและใช้มันอย่างถูกต้อง

การพูดที่ดีต้องเป็นการบอกวิธีการ มากกว่าบอกความสำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น การกล่าวชมลูกว่าเก่ง ก็ให้พูดว่า ลูกขยัน ลูกทุ่มเท ลูกมีความตั้งใจ จึงทำให้ลูกเป็นคนเก่งได้จนถึงทุกวันนี้

อาจารย์สอนให้เรารู้สึกว่าเราต้องมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของเราเอง เพราะฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไรเราต้องคิดก่อนที่จะทำเสมอเพราะเราต้องรับผิดชอบต่อผลของการกระทำสิ่งนั้น

ในช่วงบ่ายกับอ.ณภัสวรรณ จิลลานนท์ ต้องบอกว่าตั้งใจฟังมากเพราะมันเป็นสิ่งใกล้ตัวเรามากที่สุด มันคือการสร้างบุคลิกภาพของตัวเราเอง ได้เทคนิคหลายอย่างมากทั้งการไหว้ การนั่ง การเดิน การถือกระเป๋ารวมทั้งการแต่งกาย  และอีกมากมาย เราจะนำไปปรับใช้ในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน

วิชาที่ 7 Personality and Social Skills Development (วันที่ 5 กรกฎาคม 2557)

- “ Look ” ที่บุคคลภายนอกมองเห็นเราครั้งแรกว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นส่วนเสริมสร้างบุคลิกภาพของเราและสร้างความประทับใจแรกแก่ผู้พบเห็น

- การพัฒนาบุคลิกภาพและมารยาทในการเข้าสังคม (ขอแบ่งกลุ่มตามที่เข้าใจเองนะคะ)

(1) การพัฒนาบุคลิกภาพด้านกายกรรม ได้แก่ การแต่งกาย (เสื้อ กางเกง รองเท้า ฯ ใส่ให้เข้ากับรูปร่าง เช่น คนผอม คนใส่เสื้อลายขวาง คนผิวสีแทน ไม่คอยใส่เสื้อผ้าสีเทาหรือสีที่ผสมสีดำ เป็นต้น)

(2) การพัฒนาบุคลิกภาพด้านวจีกรรม ได้แก่ การแนะนำผู้ใหญ่(ให้เกียรติใครก่อน ก็แนะนำคนนั้นก่อน) การเรียกชื่อ (ใช้คำว่า “คุณ” นำหน้าชื่อ)

(3) การพัฒนาบุคลิกภาพด้านพฤติกรรม ได้แก่ การนั่ง การยืน การไหว้ การยื่นนามบัตร การต้อนรับแขก การรดน้ำสังข์ในงานแต่ง (รดน้ำสังข์ให้ฝ่ายหญิงก่อน) เป็นต้น

โดยมี Tips 5 ข้อ คือ

(1) ปลอดภัย

(2) สะดวกสบาย

(3) ให้เกียรติ

(4) อัธยาศัยไมตรี

(5) ความมีระเบียบเรียบร้อย

สุดท้าย การฝึกฝนและพัฒนาบุคลิกภาพของตัวเองให้ประสบผลสำเร็จ แรงผลักดันที่ทำให้สำเร็จคือ “เราต้องรักตัวเองก่อน” 

5 กค.57 

                 วันนี้ได้เรียนรู้เรื่อง Managing self Performance วิทยากรคืออ.อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์ โดยมีความเชื่อพื้นฐานว่า ทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ รอเพียงโอกาสที่จะได้แสดงศักยภาพนั้นออกมา ในบทบาทที่ฉันเป็นผู้บริหาร ฉันคงต้องหาวิธีในการดึงศักยภาพของน้องๆแต่ละคนออกมา สร้างโอกาสให้เขาได้แสดงออกอย่างเต็มที่ ทำตัวเป็นโค้ชที่ดี เพื่อช่วยให้เขาประสบผลสำเร็จทั้งเป้าหมายส่วนตัวและเป้าหมายขององค์กร

                  ตอนบ่าย อ. ณภัสวรรณ จิลลานนท์ ได้มาให้ความรู้เรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพ ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับพวกเราทั้งผู้หญิงและผู้ชาย สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย การสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกพบเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเขายังไม่ทราบว่าเราเป็นคนมีนิสัยยังไง มีจิตใจดีงามหรึอเปล่า แต่เขาจะตัดสินเราจากบุคลิกภาพภายนอกที่เขาเห็นก่อน ซึ่งฉันเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องเสื้อผ้า-หน้า-ผมอยู่แล้ว ดังนั้นใครที่ชอบแซวว่าฉัน "เยอะ" วันนี้ก็จะได้คำตอบว่าจริงๆแล้วพวกเขานั่นแหละ " น้อย " อิ..อิ...

                   วันนี้ฉันนั่งมองดอกไม้ของฉันอย่างพินิจพิจารณา ในฐานะโค้ช ฉันจะเริ่มด้วยการรู้จักดอกไม้แต่ละดอกของฉันให้รอบด้าน เพราะ แต่ละดอกมีบุคลิกแตกต่างกัน  หาจุดเด่นจุดด้อยของแต่ละดอก จัดแบ่งเป็นกลุ่มๆให้ช่วยเสริมกัน ไม่ใช่แข่งกัน ช่วยกันปิดจุดอ่อนของกันและกัน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ดอกไม้ได้โชว์มุมที่สวยที่สุดของตัวเอง .......แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

วันที่ 5 ก.ค.57 (วันที่ 3 ของการเรียน) ในหัวข้อ “Managing Self Performance”  โดย ท่านอาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์ นั้น  ดิฉันรู้สึกประทับใจมากกับคำพูดที่ว่า "โลกนี้ไม่มีอะไรยาก มีแต่คำว่าไม่คุ้นเคย" และชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่ออาจารย์ได้แนะนำให้รู้จักกับคำว่า "โลกเปลี่ยนไป เมื่อใจเปลี่ยนแปลง" จากตัวอย่างการ กล้าเผชิญกับความอาย ของคุณโจน จันได ปราชญ์เดินดิน ซึ่งก็สอดคล้องกับหลักคิดของท่านอาจารย์อิทธิภัทร ว่าหากเราไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่เป็นอยู่ ก็มี 2 ทางให้เราเลือก คือ 1.  โทษเหตุการณ์ ที่ทำให้ไม่เกิดผลลัพธ์ และ 2. เปลี่ยนการตอบสนองต่อเหตุการณ์จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการคะ

หัวข้อที่ 2 ช่วงบ่าย หัวข้อ “Personality and Social Skills Development” โดย อาจารย์           ณภัสวรรณ  จิลลานนท์  อาจารย์ได้ให้ข้อคิด มารยาททางสังคมหลายอย่างที่พบเจอในชีวิตประจำวันและต้องนำมาปรับใช้จริง ซึ่งเป็นประโยชน์มากทั้งทางด้านการสร้างบุคลิกภาพที่ดีให้กับตนเอง  รวมทั้งส่งผลด้านบวกให้กับองค์กรและงานที่เราทำคะ

ขอบพระคุณอาจารย์มาก ๆ ค่ะ

วันนี้เป็นวันที่ 3 ของการเรียนมีอาจารย์สอน 2 ท่าน ซึ่งเรื่องที่ได้เรียนวันนี้มีประโยชน์มากๆ สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงาน

 -เช้าอาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์สอนเรื่องManaging self Performance มีคำหลายคำที่อาจารย์พูดและคิดว่าเอาปรับใช้ได้ เช่น ทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ รอเพียงโอกาสที่จะได้แสดงศักยภาพนั้นออกมา การชมลูกน้องควรชมสิ่งทีมองเห็นภายในเขาด้วย คนเราเมื่ออ่อนแอสุดๆจะกระเด้งขึ้นมาได้เหมือนลูกเทนนิส ซึ่งอาจเรียกว่าพลังของความอ่อนแอ เหล่านี้เป็นความรู้ใหม่ของหัวหน้างานเล็กๆอย่างฉันจะนำไปใช้กับตัวเองและน้องๆในหน่วยงาน

-บ่ายอาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์ แค่เห็นท่าทางการเดิน การแต่งกาย และการพูดที่อาจารย์ถามพวกเราว่าวันนี้ต้องการให้อาจาย์สอนแบบใด ทุกคนตอบว่าขอแบบ'จัดเต็ม' หลังจากนั้นอาจารย์ก็จัดเต็มให้เราจริงๆในเรื่อง Personality and Social Skills Development รายละเอียดมีมากมายที่จะพัฒนาช่วยบุคลิกภาพของเราให้ดีขึ้นได้  ชั่วโมงนี้นักเรียนตั้งคำถามจนอาจารย์ไม่มีเวลาพักbreak แต่อาจารย์ก็ตอบทุกคำถามสุดยอดจริงๆ  ครั้งต่อไปเปิดเรียนมาคงเจอแต่คนบุคลิกภาพดีเต็มห้องเรียนค่ะ

กราบขอบพระคุณ คุณครูใหญ่จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่คัดสรรคุณครูและทีมงานขั้นเทพมาให้ความรู้แก่พวกเราชาวคณะแพทยศาสตร์ สงขลานครินทร์ค่ะ..........

ผมเข้าใจถูกไหมเนี่ย

เช้า ได้ดูคลิปวิดีโอ ของคุณ โจน ที่เริ่มจากทุกข์ ด้วยความอายจากความเป็น "ตนเอง" ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา การแต่งกาย การพูดจา ล้วนกลายเป็น "กำแพง" หรือ "โซ่ตรวน" ที่จำกัด ความเป็นอยู่ การทำงาน ตลอด จนถึงการดำรงชีวิต ให้อยู่ได้เพียงชั้นล่างๆ อย่างที่คนที่มี "สภาพ" อย่างคุณโจน สมควรจะเป็นแต่แล้ว เขาเอง ก็ได้ค้นพบว่าด้วยความเป็นคนอย่างที่เขาเป็นนั้น ยังมีคนทุกข์กว่าเขามากมายที่เห็นเขาเป็นอย่างที่เขาเป็น โดยไม่เสแสร้งแกล้งทำหรือปรุงแต่ง คุณโจน ได้ "หลุดพ้น" จาก ความกลัว หรือความอาย ในความเป็น "ตัวเอง" และก้าวพ้นจุดที่เคยบดบังความสามารถของตนเองจนเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นอุปสรรค เขาทิ้งความกลัวทุกอย่าง และคงสภาพที่ตนเองเป็นอยู่ แต่พัฒนา และแสวงหาความสำเร็จ จากภายใน จนเป็น คุณโจน "คนใหม่" ที่เต็มไปด้วยความสามารถ โดยอยู่ใน "สภาพภายนอก" แบบเดิมไม่ต่างจากวันที่ตนเองเต็มไปด้วยความทุกข์ ความอาย ที่ยึดติดกับ "สภาพภายนอกของตนเอง"  ในวันที่เริ่มต้น 

บ่าย   ผมได้เห็นถึงความสำคัญของ  First impression ที่มันเกิดขึ้นจากที่ "ตาเนื้อ" ของเรามองเห็น รูปลักษณ์ ภายนอก บุคคลิกลักษณะ การพูดจา การแต่งกาย เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งปรุงแต่งภายนอก ที่ "สำคัญ (มาก)" ในการอยู่ในสังคมที่เราเป็นอยู่ ยิ่งมี ตำแหน่ง มีหน้าที่ทางสังคม สิ่งปรุงแต่งภายนอกเหล่านี้ ล้วนเป็น ประตูด่นแรก ที่สามารถเปิดใจ ให้กับผู้พบเห็นได้ และอาจต่อยอด ส่งเสริม ให้การทำงานของเรา ก้าวหน้า ราบลื่นไปมากกว่าที่เป็นอยู่ได้

โชคดี ที่เราเห็นทั้งสองด้าน ที่เราสามารถจะเรียนรู้ และนำไปใช้ได้ทั้งคู่ โดยไม่ต้องปฏิเสธ อย่างใดอย่างหนึ่ง

นี่คือ กำไร ชีวิต

หัวข้อ Managing self performance ได้เรียนรู้ การเปิดใจยอมรับผู้คนมากขึ้นเพราะคนเรามีคุณลักษณะที่มองเห็นและที่มองไม่เห็น เบื้องหลังที่เรามองไม่เห็น อาจมีเรื่องราวมากมาย ถ้าเราเปิดใจกว้หาง รับรู้ จะทำให้เราเข้าใจผู้คนมากขึ้น

หัวข้อ Personality and social skills development ได้เรียนรู้ว่า Imageของเรา สะท้อน Imageขององค์กรด้วย เราควรพิถีพิถันในการดูแลตนเองแลบุคลิกภาพขอตนเองเพื่อตนเองและองค์ดรของเรา

    วันที่ 5 กค.ภาคเช้า managing self performance เริ่มด้วยหลักการ Coaching คือจะต้องเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนเล้นอยู่ รอเพียงโอกาสที่จะได้แสดงออกเท่านั้น ดังนั้นหากเราจะชมใครเราอย่าเพียงชมเขาเฉพาะเรื่องงานอย่างเดียว ให้ชมคุณลักษณะภายในตัวเขาด้วย และเราต้องช่วยกันเสริมคุณลักษณะที่ซ่อนอยู่ของคนรอบข้างเรา และดึงออกมาใช้ให้เกิดคุณค่าต่อไป และชอบหลายๆประโยคของอาจารย์ เช่น"ในโลกนี้ไม่มีคำว่ายาก มีแต่ความไม่คุ้นเคย" ดังนั้นเมื่อเราได้ทำบ่อยๆจนคุ้นเคยแล้ว คำว่ายากก็จะค่อยๆจางหายไป 

     ส่วนภาคบ่าย : บุคลิกภาพ เป็นสิ่งที่ต้องกลับมาฝึกจนเป็นนิสัย แล้วจะสุดยอดพระเจ้าจอร์ท

ข้อความจากแนวหน้า อ่านแล้วเข้าใจว่า การที่เราอยากจะรู้เรื่องราวอะไรสักอย่าง อย่ามัวแต่หาคำตอบว่าเป็นอย่างไร แต่ให้ถามคำถามที่น่าสนใจ และฟังจากผู้ที่รู้จริงหลายๆท่านมาแลกเปลี่ยนกัน อย่าเชื่อจากคนๆเดียวที่อาจไม่ใช่ผู้รู้จริง ดังตัวอย่างที่ 3 อจ.....นักวิชาการมือใหม่

สรุปวันที่3กค.2557 หัวข้อ ทุนมนุษย์-mindset-leadership ได้เรียนรู้ทฤษฏี 3V ซึ่งมีประโยชน์มากในการนำแนวคิดนี้มาพัฒนาคณะ โดยเฉพาะเรื่อง Value creation และ Value diversity ได้เรียนรู้ วืธีการทำให้ HR เป็นเลิศ คือ Learn-share-care ชอบทฤฏี 2R's คือต้อง realityในการจัดการ ปกติเรามักคาดหวังอะไรที่เป็นIdel ไม่reality จึงทำให้ไม่บรรลุเป้าหมาย  หัวข้อLeadership&Teamwork ได้เรียนรู้ทฤษฏีบุคลิกภาพของคน 4Qs ทำให้เข้าใจและจะนำหลักการนี้ไปเติมเต็มช่องว่างระหว่างGenต่างๆ เพื่อการทำงานที่มีความสุข

สรุป วิเคราะห์จาาบทความ ในการพัฒนาคณะ ผู้นำต้องเข้าใจธรรมชาติ ใจกว้างและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ร่วมงานให้มาก ส่วนใหญ่ผู้นำมักเชืาอมั่นในตนเอง คิดว่าตัวเองเก่ง ไม่ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ทำให้ขาดความร่วมมือร่วมใจ การพัฒนาก็จะช้า

ส่งการบ้านวันที่ 3 กค.ค่ะ

เร่ิมจากจะต้องรู้ว่าอุปสรรคของเราคืออะไร ต้องมองความจริงให้ออก และมองให้ตรงประเด็น(ทฤษฏี2R s)จากนั้นใช้การบริหารจัดการแบบมุมกว้าง(holistic)ให้มีactive participationเพื่อให้มีการเรียนรู้ พูดคุยกันโดยใช้ทฤษฎี 3Ls และ 4Ls ซึ่งการเรียนรู้ที่ดีใช้หลัก LEARN-SHARE-CARE ในบรรยากาศการเรียนรู้ที่มีหลายรูปแบบให้เลือกตามเหมาะสม เพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ และที่สำคัญการทำงานจะต้องปรับสมดุลย์ระหว่างครอบครัวกับงานเพื่อให้ชีวิตมีความสุข

  ทุนมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญในองค์กร เราต้องเพิ่มทักษะในการทำงานให้มากขึ้น และต้องหาวิธีให้เขาอยากทำงานให้เราอย่างเต็มความสามารถ โดยให้เป้าหมายของตัวเองกับเป้าหมายขององค์กรไปด้วยกัน นอกจากนั้น mindsetของคนเราจะสำคัญมาก การที่เราจะเปลี่ยน mindsetเขาได้เขาจะต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะต้องมีประโยชน์ร่วมกัน และมีแนวทางไปด้วยกันได้

เช้าวันอาทิตย์เป็นช่วงที่ผมออกกำลังกายและได้สะท้อนงาน 3 วันที่ผ่านมา 

2 วันแรก โครงการพัฒนาบุคลากรเพื่ออนาคตของคณะแพทยศาสตร์ มอ. และเมื่อวานนี้บรรยายที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นอกจากมีส่วนกระตุ้นให้เขาเป็นเลิศ พวกเรายังได้เรียนรู้เกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และศักยภาพของแต่ละคน

ในช่วงวันแรกผมและทีมงาน คุณจ้า คุณจีระเดช คุณวราพร คุณเอ้ และคุณยานี มีไอเดียเรื่องการปลูก เก็บเกี่ยวทุนมนุษย์ ผมนำเอาทฤษฎี 3 วงกลมมาแนะนำฉบับย่อ แต่ได้เน้นไปถึงวงกลมที่ 2 เน้นการปลูกเรื่องสมรรถนะ หรือ Competency ของบุคลากรคณะแพทย์ ซึ่งเป็นแนวคิดเริ่มต้นของ Milton Friedman นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลที่เสียชีวิตไปแล้ว ได้มีทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ Entrepreneurial ซึ่งทางด้านการบริหารจัดการมักไม่ค่อยเชื่อมโยงกับศักยภาพของคน

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณ William E. Heinecke ให้ผมแปลหนังสือเถ้าแก่มือโปร ซึ่งคงจะเป็นเล่มแรกและเล่มสุดท้ายที่ผมแปล ซึ่งจะมีกฎ 25 ข้อ และผมได้นำไปบรรยายให้กับท่านคณาจารย์ในคณะแพทย์ มอ. ซึ่งผมจะไปติดตามดูว่ามีข้อไหนบ้างที่เป็นจุดอ่อนในคณะแพทย์ต่อไป
ในความเห็นของผม ผมมีความเป็น Entrepreneur Spirit คือจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ ไม่น้อย ถึงแม้ว่าผมไม่เคยทำธุรกิจแต่ผมดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ของเอเปค ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการทางวิชาการแก่สังคมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ ซึ่งผมถือว่าเป็น Knowledge Entrepreneur ผู้ประกอบการทางความรู้คนหนึ่ง

วันนี้ผมขอแบ่งปันความรู้ให้แฟนๆชาว FB และคณะแพทย์มอ. ทั้ง 50 ท่าน ในเรื่องของจิตวิญญาณของผู้ประกอบการของผม ทั้ง 14 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. Focus
2. Read of what you like
3. Follow up what you do
4. Know what is important and your organization each day
5.ต่อยอด 3V
6. Networking
7. Pain and Gain
8. Work hard but willing to accept the hard work
9. Deadline
10.ต่อเนื่อง ต่อเนื่อง และต่อเนื่อง
11. Intelligent conversation (ฉลาดพูด)
12. Respect and Dignity
13. Inspiring
14. Empowering 


                                                                                           บันทึกวันที่ 5 กรกฏาคม 2557


หัวข้อ Managing Self Performance โดย อาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์

การพัฒนาตนเอง ต้องพัฒนาทั้งทักษะ ความรู้ ทัศนคติ และแรงบันดาลใจ ด้วยการมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จอย่างมีเป้าหมาย มีการวางแผนชีวิต เริ่มจากการสำรวจตนเอง เข้าใจตัวเองก่อน จากนั้นมองหาเป้าหมาย ซึ่งเป้าหมายเปรียบเสมือนเข็มทิศ (ช่วยให้เราพุ่งไปได้ถูกทาง) ความมุ่งมั่นทำงานให้เสร็จ access ให้เข้าถึงภายใจตัวเองและเอาพลังงานที่อยู่ภายในออกมาใช้ (ภายในตัวเรามีพลังงานอีกมากที่ยังไม่ถูกดึงมาใช้)

ดิฉันประทับใจในกิจกรรมชมวีดีทัศน์ของคุณโจน จันได ชาวนาผู้ใช้ชีวิตแบบพึ่งตนเอง สร้างบ้านดิน บทเรียนจากคุณโจนคือ เราเป็นผู้ที่มีสิทธิ์จะเปลี่ยนชีวิตตนเองได้ เพียงแต่ต้องยอมรับที่จะเผชิญหน้ากับความจริง และก้าวผ่านความกลัวไปให้ได้

หัวข้อ Competency จะประกอบไปด้วยเรื่องของ ความรู้ ทักษะซึ่งเป็นcompetency ภายนอก และสิ่งที่อยู่ภายในคือพฤติกรรม ทัศนคติ และแรงบันดาลใจ องค์กรที่จะประสบผลสำเร็จบุคลากรต้องมี competency ทุกด้านเพื่อปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จ ตรงตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายองค์กร

หัวข้อPersonality and Social Skill Development โดย อ.ณภัสวรรณ จิลลานนท์

เป็นเรื่องของศิลปะการแต่งกายสไตล์นักบริหารยุคใหม่ อาจารย์แนะนำเทคนิคการดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีทั้งภายนอกและภายใน ดูแลตนเองตั้งแต่ head to toe ให้มีมาดและท่วงท่าที่ดีเหมาะสมกับวัยและตำแหน่งหน้าที่ ให้เข้าใจมารยาทระเบียบในสังคมเพื่อที่จะวางตัวได้ด้วยความมั่นใจ

อาจารย์ฝากให้เรานำสิ่งที่เรียนไปฝึกปฏิบัติ และจะมาติดตามความก้าวหน้าของพวกเราในการเรียนครั้งต่อไป 

ขอบคุณทีมบริหารคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และหัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยา ที่ให้โอกาสมาเรียนรู้ในหลักสูตรพัฒนาบุคลากรเพื่ออนาคตของคณะแพทยศาสตร์ และขอบคุณเพื่อนร่วมงานทุกคนที่ช่วยทำงานแทนระหว่างการอบรมฯ

วันที่ 3 กรกฎาคม 2557 : เป็นวันแรกของการอบรม

        -ทุนมนุษย์ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และการบริหารทุนมนุษย์ให้ประสบความสำเร็จไปสู่ความเป็นเลิศต้องประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ปลูก เก็บเกี่ยว และ execute

        -Mindset ที่เป็นตัวกระตุ้นการแสดงออก คือ สิ่งแวดล้อม สำหรับในการทำงานต้องรู้ที่ Mindset ซึ่งคือคุณค่าที่แท้จริง ต้องเข้าใจธรรมชาติต่างๆ และในโลกนี้ไม่มีอะไรดีอย่างเดียว มันจะดีเมื่ออยู่ในที่ๆ ควรจะอยู่

        -Leadership & Team work การเป็นผู้นำต้องเปิดใจกว้าง รับฟัง และเข้าใจบุคลิกของผู้ร่วมงาน และวันนี้ได้เรียนรู้เรื่องบุคลิกของ Teamwork ซึ่งประกอบด้วย C = นักทฤษฎี D = นักผจญภัย S = นักปฏิบัติ  I = นักกิจกรรม เมื่อทราบบุคลิกของ Teamwork ก็สามารถเลือกใช้วิธีพัฒนาที่เหมาะสมกับแต่ละคน เพื่อจะได้แจกันที่สวยงาม

        และก่อนจบบทเรียนอาจารย์ได้ยกตัวอย่างให้สะท้อนความเป็นจริงมาก และชอบมากค่ะ “คนเราจำเป็นต้องมีคุณธรรม จริยธรรม” แล้วทุกอย่างจะไปในสิ่งที่ดี

วันที่ 4 กรกฎาคม 2557 : วันที่สองของการอบรม

หัวข้อ “วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทยศาสตร์ มอ. โดย อาจารย์พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล

จากการเรียนทำให้เห็นตัวเราได้รอบด้าน และมีประโยชน์ในการวางแผนเพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

ช่วงบ่าย -: หัวข้อ Key words of success : Leadership – Mindset – Thinking outside the box – Thinking new box.” โดยอาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์ อาจารย์สอนสนุกมาก และทำให้ได้แนวคิดและเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น

โดยแก่นของความสามารถ หรือแก่นที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในการทำงาน คือ มนุษยสัมพันธ์ และความคิดสร้างสรรค์แต่คนเราจะมีมนุษยสัมพันธ์ ติดตัวมาแล้ว และสิ่งที่ต้องเพิ่มเติม คือ ความคิดสร้างสรรค์

คนที่สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ สามารถเป็นได้หลายแบบ คือ นักประดิษฐ์ นักประพันธ์ นักผจญภัย ผู้นำทาง นักสำรวจ ผู้มีวิสัยทัศน์ นักบิน และ นักประสานเสียง

และได้รับเทคนิค Thinking outside the box ซึ่งคิดว่าสามารถนำมาปรับใช้ได้ และได้เรียนรู้เทคนิคการนำเสนองานต่อหัวหน้า ซึ่งมี 5 ขั้นตอน

           1.ทำให้ หัวหน้า “สั่ง” ให้เราคิด

           2.กลับไปเสนอไอเดีย ตามที่หัวหน้า “สั่ง” (ถ่อมตน)

           3.“ถาม” หัวหน้า ถึงข้อดี

           4.ขอให้ หัวหน้า “สอน” เพิ่มเติม

           5.กลับไปเสนอไอเดียเพิ่ม ตามที่หัวหน้า “สั่ง” และ “สอน”

วันที่ 5 กรกฎาคม 2557 : วันที่สามของการอบรม

หัวข้อ Managing Self Performance โดย อาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานท์ 

           ซึ่งหลักของการ Coaching เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ รอเพียง “โอกาส” ที่จะได้รับศักยภาพนั้นอย่างเต็มที่ และเทคนิคการชม โดยใช้การ Create Positive Change Agents ทำให้ผู้ได้รับคำชม เกิดความรู้สึกบวก ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ

           จากการทำกิจกรรมโดยเลือกภาพที่ชอบ 3 รูป ได้เรียนรู้ถึง การคิด การวิเคราะห์ และการเล่าสิ่งที่เราคิด วิเคราะห์ ให้เพื่อนฟัง

          จากการดูวิดิทัศน์ “สิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จได้ต้อง เปลี่ยนแปลงตัวเอง --> เผชิญกับมัน-->หนีกับสิ่งที่กลัว-->ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง”

           สิ่งที่คนเราใช้ในชีวิตประจำวัน มี 3 อย่าง คือ

           1. Be ตัวเองเป็นคนอย่างไร เช่น มีความคิดสร้างสรรค์, เข้าใจตนเอง, มีความมุ่งมั่น

           2. Do สิ่งที่จะทำ

           3. Have เป็นผลลัพธ์

ช่วงบ่าย: หัวข้อ “Personality and Social Skills Development” โดย อาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์

           เป็นการเรียนที่สนุกมากอีกวันหนึ่ง และได้เรียนรู้จากการสาธิตและปฏิบัติจริง ทั้งแต่เรื่อง การไหว้ การนั่ง การยืน การเดิน (เดินกับหัวหน้า, เดินแนะนำทาง) การแนะนำ การรดน้ำสังข์บ่าวสาว การเลือกเสื้อผ้า การยื่นนามบัตร การเลือกรองเท้าให้เหมาะกับตัวเอง การขานชื่อคน ฯลฯ ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับการนำไปปรับปรุงตัวเอง และได้หลักคิด 5 ข้อ

          1.ความปลอดภัย

          2.ความสะดวกสบาย

          3.การให้เกียรติ

          4.อัธยาศัยไมตรี

          5.ความมีระเบียบเรียบร้อย

ขอบคุณทีมบริหารคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และหัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยา ที่ให้โอกาสมาเรียนรู้ในหลักสูตรพัฒนาบุคลากรเพื่ออนาคตของคณะแพทยศาสตร์ และขอบคุณเพื่อนร่วมงานทุกคนที่ช่วยทำงานแทนระหว่างการอบรมฯ

วันที่ 3 กรกฎาคม 2557 : เป็นวันแรกของการอบรม

         -ทุนมนุษย์ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และการบริหารทุนมนุษย์ให้ประสบความสำเร็จไปสู่ความเป็นเลิศต้องประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ปลูก เก็บเกี่ยว และ execute

         -Mindset ที่เป็นตัวกระตุ้นการแสดงออก คือ สิ่งแวดล้อม สำหรับในการทำงานต้องรู้ที่ Mindset ซึ่งคือคุณค่าที่แท้จริง ต้องเข้าใจธรรมชาติต่างๆ และในโลกนี้ไม่มีอะไรดีอย่างเดียว มันจะดีเมื่ออยู่ในที่ๆ ควรจะอยู่

         -Leadership & Team work การเป็นผู้นำต้องเปิดใจกว้าง รับฟัง และเข้าใจบุคลิกของผู้ร่วมงาน และวันนี้ได้เรียนรู้เรื่องบุคลิกของ Teamwork ซึ่งประกอบด้วย C = นักทฤษฎี D = นักผจญภัย S = นักปฏิบัติ I = นักกิจกรรม เมื่อทราบบุคลิกของ Teamwork ก็สามารถเลือกใช้วิธีพัฒนาที่เหมาะสมกับแต่ละคน เพื่อจะได้แจกันที่สวยงาม

          และก่อนจบบทเรียนอาจารย์ได้ยกตัวอย่างให้สะท้อนความเป็นจริงมาก และชอบมากค่ะ “คนเราจำเป็นต้องมีคุณธรรม จริยธรรม” แล้วทุกอย่างจะไปในสิ่งที่ดี

วันที่ 4 กรกฎาคม 2557 : วันที่สองของการอบรม

หัวข้อ “วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทยศาสตร์ มอ. โดย อาจารย์พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล

          จากการเรียนทำให้เห็นตัวเราได้รอบด้าน และมีประโยชน์ในการวางแผนเพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

ช่วงบ่าย -: หัวข้อ Key words of success : Leadership – Mindset – Thinking outside the box – Thinking new box.” โดยอาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์ อาจารย์สอนสนุกมาก และทำให้ได้แนวคิดและเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น

         โดยแก่นของความสามารถ หรือแก่นที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในการทำงาน คือ มนุษยสัมพันธ์ และความคิดสร้างสรรค์แต่คนเราจะมีมนุษยสัมพันธ์ ติดตัวมาแล้ว และสิ่งที่ต้องเพิ่มเติม คือ ความคิดสร้างสรรค์

          คนที่สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ สามารถเป็นได้หลายแบบ คือ นักประดิษฐ์ นักประพันธ์ นักผจญภัย ผู้นำทาง นักสำรวจ ผู้มีวิสัยทัศน์ นักบิน และ นักประสานเสียง

          และได้รับเทคนิค Thinking outside the box ซึ่งคิดว่าสามารถนำมาปรับใช้ได้ และได้เรียนรู้เทคนิคการนำเสนองานต่อหัวหน้า ซึ่งมี 5 ขั้นตอน

          1.ทำให้ หัวหน้า “สั่ง” ให้เราคิด

          2.กลับไปเสนอไอเดีย ตามที่หัวหน้า “สั่ง” (ถ่อมตน)

          3.“ถาม” หัวหน้า ถึงข้อดี

          4.ขอให้ หัวหน้า “สอน” เพิ่มเติม

          5.กลับไปเสนอไอเดียเพิ่ม ตามที่หัวหน้า “สั่ง” และ “สอน”

วันที่ 5 กรกฎาคม 2557 : วันที่สามของการอบรม

หัวข้อ Managing Self Performance โดย อาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานท์

         ซึ่งหลักของการ Coaching เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ รอเพียง “โอกาส” ที่จะได้รับศักยภาพนั้นอย่างเต็มที่ และเทคนิคการชม โดยใช้การ Create Positive Change Agents ทำให้ผู้ได้รับคำชม เกิดความรู้สึกบวก ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ

         จากการทำกิจกรรมโดยเลือกภาพที่ชอบ 3 รูป ได้เรียนรู้ถึง การคิด การวิเคราะห์ และการเล่าสิ่งที่เราคิด วิเคราะห์ ให้เพื่อนฟัง

          จากการดูวิดิทัศน์ “สิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จได้ต้อง เปลี่ยนแปลงตัวเอง-->เผชิญกับมัน  --> หนีกับสิ่งที่กลัว-->ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง”

          สิ่งที่คนเราใช้ในชีวิตประจำวัน มี 3 อย่าง คือ

          1. Be ตัวเองเป็นคนอย่างไร เช่น มีความคิดสร้างสรรค์, เข้าใจตนเอง, มีความมุ่งมั่น

          2. Do สิ่งที่จะทำ

          3. Have เป็นผลลัพธ์

ช่วงบ่าย: หัวข้อ “Personality and Social Skills Development” โดย อาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์

           เป็นการเรียนที่สนุกมากอีกวันหนึ่ง และได้เรียนรู้จากการสาธิตและปฏิบัติจริง ทั้งแต่เรื่อง การไหว้ การนั่ง การยืน การเดิน (เดินกับหัวหน้า, เดินแนะนำทาง) การแนะนำ การรดน้ำสังข์บ่าวสาว การเลือกเสื้อผ้า การยื่นนามบัตร การเลือกรองเท้าให้เหมาะกับตัวเอง การขานชื่อคน ฯลฯ ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับการนำไปปรับปรุงตัวเอง และได้หลักคิด 5 ข้อ

          1.ความปลอดภัย

          2.ความสะดวกสบาย

          3.การให้เกียรติ

          4.อัธยาศัยไมตรี

          5.ความมีระเบียบเรียบร้อย

วิชาที่ 6 Managing Self Performance(วันที่ 5 กรกฎาคม 2557)

วันที่ 3 สำหรับการเรียนรู้ เป็นการเพิ่มพลังให้กับตัวเอง กับประโยคที่ว่า “ทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ รอเพียงโอกาส ที่จะได้ใช้ศักยภาพนั้นอย่างเต็มที่”

กฎแห่ง : การรับผิดชอบต่อชีวิตคุณ 100% ทำให้ปรับทัศนคติใหม่ในการมองปัญหา เปลี่ยนปัญหา ให้เป็นประโยคคำถาม ไม่เป็นเหยื่อของปัญหา แต่จะแก้ไขปัญหาด้วยสติ

ประทับใจ “คุณโจน จันได” เปลี่ยนวิธีคิด เผชิญกับสิ่งที่กลัว เพื่ออยู่กับมัน และฝึกที่ฝืนเผชิญกับสิ่งที่ไม่ชอบ ฝึกจนคุ้นเคย จึงจะประสบความสำเร็จ ดังนั้นการที่จะทำอะไรให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย คนเราต้องเปลี่ยนวิธีคิด มีความกล้าที่จะเปลี่ยน

Bug you ค่านิยมของเรา รุกล้ำคนอื่น : การที่เราตัดสินคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอก หรือความคิดเห็นส่วนตัว อาจทำให้เรามองข้ามศักยภาพของบุคคลนั้นได้

ข้อคิดจากวิชานี้ จะนำมาปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพของตนเอง ทั้งในด้านความรู้ความสามารถ ทักษะ มุมมอง และความรับผิดชอบต่อชีวิต 100% เพื่อให้องค์กรขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายค่ะ

วันที่ 5 ก.ค.57 สิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้คือ ห้วข้อ Managing Self Performance ของอิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์ อาจารย์สอนให้เราเชื่อในความสามารถของตัวเรา เชื่อว่าเราทำได้เพราะคนทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ในตัวเองรอเพียง”โอกาส” ที่จะได้ใช้ศักยภาพนั้นอย่างเต็มที่ ศักยภาพ( Competency) คือ Skills และknowledge ประกอบกับการรู้จักตนเองมีเป้าหมาย และต้องบริหารเข็มทิศและเวลาชีวิตให้เป็น เราต้องฝึกคิดว่าเราคือ cause ของความสำเร็จที่เกิดขึ้น -เราควรฝึกที่จะฝืนและเผชิญกับสิ่งที่ไม่ชอบหรือสิ่งที่เรากลัวเพราะนานๆก็จะชินไปเอง -เราอย่าอายในสิ่งที่ทำความถูกต้องและไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เหมือนคุณ โจน จันได ที่กล้าเผชิญกับความกลัวของตนเองจึงประสบความสำเร็จในชีวิต หัวข้อการพัฒนาบุคลิกภาพของอาจารย์ภัสวรรณ จิลลานนท์ อาจารย์สอนให้เรารู้ว่าก่อนอื่นเราต้องปรับทัศนคติ เราต้องรู้ว่าเราเป็นใคร ทำงานอะไร ภาพลักษณ์ขององค์หรือวิชาชีพเป็นอย่างไร และพัฒนาตนเองเพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่ผู้ร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดจนลูกหลานของเราเองตั้งแต่การแต่งกาย การแนะนำตัว มารยาทต่างๆตั้งแต่การนั่ง การเดิน การยืน การไหว้ และมารยาทการเข้าสังคมในโอกาสต่างๆ

สิ่งที่เรียนรู้จากการเรียนเรื่อง Managing self performance

อ. อิทธิภัทร์ ภัทรเมฆานนท์ 5กค. 57

เรียนรู้หลักการที่จะทำงานให้ประสบความสำเร็จ จะต้องมี competency รู้ว่าองค์กรมองและพัฒนาบุคลากรและผู้นำด้านใดบ้าง รู้ผลลัพธ์ในการทำงานของเราและลงมือปฏิบัติอย่างเต็มความสามารถ มีความยืดหยุ่น สิ่งสำคัญต้องรู้จักตนเองและมีเป้าหมาย (know and discover self/have goal) รู้จักและค้นหาความต้องการในใจตนเอง จะทำให้เราเข้าใจตนเองมากขึ้น เกิดความมุ่งมั่นตั้งใจมีความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้มีอนาคตและเป้าหมายที่ต้องการ การรู้จักตนเองรู้จักผู้อื่นทำให้ปฏิสัมพันธ์การทำงานดีขึ้น เราควรทำกิจกรรมอื่นๆบ้างนอกจากงานประจำ ทำให้เรามี resource จากภายในและเติบโตจากภายใน ข้อคิดที่ได้อีกอย่างคือ ก่อนจะตัดสินผู้อื่นให้ดูที่ค่านิยมของเขาทำให้เข้าใจและมองผู้อื่นทางบวกมากขึ้น
บุคลิกภาพ Personality and skill development 4กค. 57

อ.ณภัสวรรณ จิลลานนท์

ได้เรียนรู้หลายเรื่องในการพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก ทั้งการนั่ง ยืน เดิน ไหว้ การแนะนำ ตำแหน่งการนั่งในที่ต่างๆให้เหมาะกับสถานภาพ การแต่งกาย การให้นามบัตร การเรียกขานชื่อคน เป็นต้น โดยหลักที่สำคัญคือ ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย การให้เกียรติอัธยาศัยไมตรี และความมีระเบียบเรียบร้อย

วิชานี้เป็น 3 ชั่วโมงที่สนุกสนานและได้เรียนรู้อย่างมากในเรื่องบุคลิกภาพที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ทั้งชีวิตประจำวันและการทำงาน เป็นสิ่งพื้นฐานสำคัญที่ทุกคนในองค์กรควรเรียนรู้ อาจารย์ยอดเยี่ยมมากค่ะ

<p>สรุปบทเรียน วันเสาร์ที่ 5 กรกฏาคม 2557</p><p>วันนี้ทั้งวันเติมอิ่มไปด้วยเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพ โดยช่วงเช้าได้รับเกียรติจาก อ.อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์เน้นเรื่องการค้นหาเนื้อในของตนเอง หรือที่เรียกว่าบุคลิกภาพภายใน ที่เป็นแรงขับให้บุคคลแสดงลักษณะภายนอกออกมากหากเราสามารถรู้จักตนเองได้ เข้าใจตนเอง เข้าใจแนวคิด ทัศนคติ แรงจูงใจ เป้าหมายในชีวิต ก็จะสามารถพัฒนาตนเองไปสู่จุดหมายนั้น </p><p>ประทับใจรูปแบบการสอนการค้นหาตนเองโดยใช้ภาพเป็นสื่อ ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ได้ทั้งห้อง ไม่เบื่อช่วยฝึกทักษะการฟังสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ดีเลยทีเดียว</p><p>ภาคบ่ายได้ Update การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก โดยอาจารย์ ณภัสวรรณ จิลลานนท์ วิทยากรพัฒนาบุคลิกภาพ จากสถาบันพัฒนาบุคลิกภาพจอห์น โรเบิร์ต เพาเวอร์ส บรรยากาศเป็นกันเอง ได้เรียนรู้มากมายทั้งการแต่งกาย การเดิน การนั่ง การไหว้ การขึ้นลงลิฟท์ การนั่งรถไปกับวิทยากร การรดน้ำสังข์ การนั่งโต๊ะรับแขกเป็นต้น</p>

วันเสาร์ที่ 5 ก.ค.2557 เป็นวัน 3 ของการอบรม ช่วงเช้าอ.อิทธิภัทร ได้บรรยายให้ฟังชอบมาก อาจารย์นำเอาตัวอย่างชิวิตจริง จากประสบการณ์จริงมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอาจารย์ให้ข้อคิดว่าเช่น เมื่อลูกน้องหรือลูกก็ได้ มาถามคำถามหัวหน้า ถามพ่อแม่ หัวหน้าหรือพ่อแม่ ควรถามกลับไปเพื่อไปกระตุ้นเขาดึงให้เขาเอาทรัพยากรในตัวเขาออกมาใช้ นอกจากนี้ได้ข้อคิดว่าทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่รอเพียงโอกาส ที่จะได้ใช้ศักยภาพนั้นอย่างเต็มที่  คนเป็นหัวหน้าชมงานเขาแล้วชมตัวตนเขาด้วย และอาจารย์ได้ให้ข้อคิดว่าทุกอย่างไม่มีคำว่ายากเพียงแต่เราไม่คุ้นเคย  ช่วงบ่ายอ.ณภัสวรรณบรรยายเรื่อง Personality and Social Skill Development ช่างเป็นช่วงเวลาที่ฮอตฮิตมาก ทุกคนให้ความสนใจ 

ทุกอิริยบทของอาจารย์ ก็สุดยอด อยากให้อาจารย์บรรยายนานกว่านี้ เวลาช่างน้อยเหลือเกินสำหรับหัวข้อนี้

สรุปบทเรียน 5.7.57

คำคม สำหรับ Section เช้าของ อ.อิทธิภัทร คือ “ทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ในตัวรอเพียงโอกาส ที่จะได้ใช้ศักยภาพนั้นอย่างเต็มที่” กิจกรรมที่ทำให้เราเห็นได้จัดว่าคำกล่าวข้างต้นเป็นจริง คือ กิจกรรมให้เลือกรูปภาพมาคนละ 3 รูป แล้วให้แต่ละคนเล่าเรื่องจากรูปภาพที่ตัวเองเลือกโดยแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งทุกคนสามารถร้อยเรียงเรื่องเล่าได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้กิจกรรมดังกล่าวยังได้เทคนิค coaching conversation และยังได้เห็นตัวอย่างชีวิตของคุณโจน จันใด ที่ใช้วิธีการเผชิญกับสิ่งที่เรากลัว สิ่งที่เราอาย เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา

Section บ่ายของ อ.ณภัสวรรณ Personality and social skills development เป็นช่วงเวลาที่ไม่อยากให้หมดเวลาเรียน เพราะเป็นเรื่องที่เราต้องนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างเสริมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในตัวเรา ที่อยู่บนตัวเรา และที่อยู่รอบข้างเรา ให้ดูดี มีคุณค่า รู้จักมารยาทที่ดีทางสังคม และหลักในการดูแลผู้อื่นให้คิดถึง ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย การให้เกียรติ์ อัธยาศัยไมตรี และความเป็นระเบียบเรียบร้อย

วันแรกที่ผมได้เรียนรู้ วันพฤหัสบดี ที่ 3 กรกฎาคม 2557 สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ
  1. ความหมาย Mindset ที่แตกต่างกับ Attitude
  ยุทธวิธี ในการปรับเปลี่ยน Mindset เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของคณะแพทย์
  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะต้อง
  -ใช้นำมาแก้ไขปฎิบัติได้จริง
  - ตรงประเด็นกับปัญหาที่เกิดขึ้น
  - มีความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหา
2. ภาวะความเป็นผู้นำ
  การเป็นผู้นำ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นหัวหน้า หรือมีตำแหน่ง เพราะเกิดจากความศรัทธาของคน
  - ต้องเข้าใจธรรมชาติ ของคนว่าเป็นแบบไหน
  - รับฟังความคิดเห็นของทุกคน
วันที่สอง วันศุกร์ ที่ 4 กรกฎาคม 2557
  -  เกิดแรงบันดาลใจในการคิด. 
  -  เครื่องมือในการคิดนอกกรอบ PPCO( Pluses Potentials Concerns Oppotunities)
วันที่สาม วันเสาร์ ที่ 5 กรกฎาคม 2557
  - Personality and Social Skills Development ได้หลักคิดในการปรับปรุงบุคคลิกและมารยาท โดยยึดถือหลัก 5 ข้อ
  1.ความปลอดภัย
  2.ความสะดวกสบาย
  3.การให้เกียรติ
  4.อัธยาศัยไมตรี
  5.ความมีระเบียบเรียบร้อย

วันที่ 2 ของการเรียน (4 ก.ค.57)

€วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ.อ.พงษ์ชัย ได้ให้แง่คิดไว้ว่า สิ่งที่ท้าทายการทำงานของโรงเรียนแพทย์ คือ ทำอย่างไรจึงจะให้ประชากรภายใน 200 กม. ไม่จำเป็นต้องไปรักษาที่อื่น ต้องมารักษาที่มอ. เพิ่มสาขาทางการแพทย์ที่เรารักษาให้ได้มากขึ้น และให้พึ่งพิงตัวเองให้มากที่สุด (อย่ารอการสนับสนุนจากรัฐบาล)

 €Key words of success: Leadership – Mindset - Thinking outside the box - Thinking new box. :

อ.ศรัณย์ สอนให้เราได้ฝึกความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ต่างไปจากเดิม วิธีคิด มี 4 step คือ focus ข้อดี ของเรา (Pluses) พิจารณาข้อดีในอนาคต (Potentials) พิจารณาจุดที่กังวล (Concerns) หาวิธีที่จะหลบ..เสี่ยง..ทะลุ (Opportunities)

วันที่ 3 ของการเรียน (5 ก.ค.57)

€Managing Self Performance : อ.อิทธิภัทร สอนให้เราเข้าใจผู้อื่นด้วยทฤษฎี 3L’s Coaching  รู้จักเป็นผู้ฟังที่ดี การพยายามที่จะปรับเปลี่ยนและพัฒนารูปแบบพฤติกรรมของทั้งตนเองและของผู้อื่น ให้อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการอยู่ร่วมกันในสังคม

€Personality and Social Skills Development : อ.ณภัสวรรณ จัดหนัก สนุก จำไม่รู้ลืม สอนให้รู้จักตัวเอง และรู้จักที่จะพัฒนาปรับปรุงตนเอง ทั้งร่างกายและจิตใจ พิจารณาตัวเอง จากภายนอก ที่เป็นองค์ประกอบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ตั้งแต่ทรงผม เสื้อผ้า รองเท้า การไหว้ ธรรมเนียมการเข้าสังคม เรื่องง่าย ๆ แต่หลายคนละเลย  สอนหลัก 5 ประการในการนำไปใช้  คือ ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย การให้เกียรติ อัธยาศัยไมตรี และความมีระเบียบเรียบร้อย

Phuvadol T. (ภูวดล ธนะเกียรติไกร)

I'm not hearing negative feedback about posting in English so I'll just continue posting in English until the Chira Academy team says I can't.

Day 3

Two talks were also given on this day. Both of them were coaching sessions. The first one was life coaching and the second one was personality coaching. My take-away lesson from the first session given by Aj. Ittipat was that I have to be an agent of change. Be the cause of success and the effect of the situation. I personally translate this to being proactive in life. Spot the problems, ask the tough questions, initiate improvement! 

The second coach was Miss Napatsawan Chillanond. She's blunt but entertaining at the same time so that made the poisons in her words a bit easier to swallow. People were being criticised for how they dress and look but nobody seemed to mind her. That is what I call an excellent personality coach. I'm sure many of us received practical and useful tips about dressing, conducting oneself, and working in the Thai and International society from her. Look and credibility goes hand-in-hand. You can't have one without the other. 

And we have group work and personal homework. So I'll be back posting soon.

สรุปการเรียนรู้วันที่ 1 วันที่  3 กค.57

ได้เรียนรู้ทฤษฎีสำคัญต่างๆ มากมาย  ด้วยวิธีการ Learning How to Learn  ซึ่งประกอบไปด้วย  (1) วิธีการเรียรู้ learning methodology  (2) การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ learning environment  (3)  การสร้างโอกาสในการเรียนรู้หรือการปะทะทางปัญญา learning opportunities (4)  การสร้างชุมชนแห่งการเรียรู้ learning communies  ซึ่งเราจะใ้้ช้กระบวนการเหล่านี้ในการเอาชนะอุปกรณ์ในการดำเนินชีวิตจริง หรือขจัดอุปกรรค์ของคณะแพทย์ได้อย่างไร

ปราถนา แดนพิชิตโชค

วิชาที่ 4 วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทยศาสตร์ มอ.

ขึ้นอยู่กับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของคณะแพทยศาสตร์ มอ. ผลกระทบจากการออกนอกระบบราชการ ปัญหาการบริหารจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ การจัดหาเงินลงทุน และวิธีการบริหารจัดการ การเข้าสู่สมาคมอาเซียน การแข่งขันในระบบวิชาชีพเดียวกันหรือธุรการเดียวกัน ความรับผิดชอบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เดียวกันและใกล้เคียง

วิชาที่ 5 Key words of success: Leadership – mindset – Thinking outside the box – Thinking new box.

86% คนที่ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับหัวข้อดังนี้

มนุษย์สัมพันธ์ดี

มีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งต้องปรับปรุง พัฒนาบ่อย ๆ โดยอาศัยหลัก 4 M

  • 1.Mindset 2. อารมณ์ 3. กลไกการทำงาน 4. ความยั่งยืน

5 –ขั้นตอนในการเสนอไอเดียความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ

  • 1.ทำให้หัวหน้า สั่ง ให้เราคิด
  • 2.เสนอไอเดียตามที่หัวหน้า สั่ง (ถ่อมตน)
  • 3.ถาม หัวหน้าถึงข้อดี
  • 4.ขอให้หัวหน้าสอนเพิ่มเติม
  • 5.เสนอไอเดียเดิม (4) ตามที่หัวหน้า สั่งและสอน
ปราถนา แดนพิชิตโชค

3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย

ความสำคัญเกี่ยวกับอนาคตของประเทศไทยขึ้นอยู่กับผู้บริหารประเทศ ผู้บริหารประเทศต้องบริหารจัดการหรือกระบวนการที่ดีก่อให้ประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด ซึ่งในระบบประชาธิปไตยในประเทศที่ดีต้องได้ผู้นำและทีมที่มีคุณธรรม จริยธรรม โปร่งใส เน้นประโยชน์ส่วนรวม ไม่คอร์รับชั่นในทุก ๆ ด้าน ต้องมีจิตสำนึก ทัศนคติที่ดี หรือMindset มีความคิดสร้างสรรค์ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนของประเทศ ต้องรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของประเทศและโลกในอนาคต

ปราถนา แดนพิชิตโชค

วิชาที่ 6 managing Self Performance

ความมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จ เป็นการมุ่งมั่นในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย ให้บรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมาย มาตรฐานที่ได้กำหนดไว้ โดยคำนึงถึงผลงานและคุณภาพเป็นสำคัญ ตลอดจนการรักษาไว้ซึ่งผลการปฏิบีติงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ

กฎแห่ง การเข้าใจให้ชัดว่าทำไมคุณถึงอยู่ตรงนี้

เข้าใจตัวตนว่าคุณเป็นคนเช่นไร

อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังสิ่งที่คุณทำ

คุณเห็นภาพการแสดงออกของผู้คนรอบคัวอย่างไรในโลกอันสมบูรณ์แบบต่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

วิชาที่ 7 Personality and Social Skills Development

การพัฒนาบุคลิกภาพและการเข้าสังคมต้องมุ่งเน้นด้านวัฒนธรรมในท้องถิ่นนั้น ๆ และต้องคำนึงถึง

  • 1.ความปลอดภัย
  • 2.ความสะดวกสบาย
  • 3.ให้เกียรติ
  • 4.อัธยาศัยไมตรี
  • 5.ความมีระเบียบเรียบร้อย

หน้าตาขององค์กรขึ้นอยู่กับบุคลิภาพของผู้บริหารในการสร้างองค์กร ต้องมีค่านิยม Mindsetและทัศนคติที่ดีและเป็นแบบอย่างขององค์กรนั้น

วิภารัตน์ จุฑาสันติกุล

ครั้งที่ 3 5 ก.ค.2557 สรุปสิ่งที่ได้เกิดการเรียนรู้และนำมาปรับใช้กับการทำงาน

หัวข้อ manageing self performance

Competency ประกอบด้วยความรู้ ทักษะและคุณลักษณะ ซึ่งคุณลักษณะมีความสำคัญที่สุดที่จะทำให้คนประสบผลสำเร็จ ความตื้นลึกของ Competency อธิบายด้วยโมเดลน้ำแข็งลอยน้ำ เมื่อเรานำมาประยุกต์ใช้ โดยอยากให้บุคคลากรมอมีลักษณะไหนต้องทำให้ค่านิยมผู้พันธ์กับองค์กรโดยผ่านการจัดกิจกรรม

Concept ที่น่าสนใจคือ กฎแห่งการรับผิดชอบต่อชีวิตคุณ 100%

การรับผิดชอบ : เธอเป็นคนสร้างทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเธอเองมันหมายถึงเธอเป็นต้นเหตุของประสบการณ์ของเธอทั้งหมดเธอต้องเลิกกล่าวโทษและเลิกบ่นแล้วหันมารับผิดชอบชีวิตทั้งหมดของเธอ

สูตร ความรับผิดชอบต่อชีวิตคุณ 100% เหตุการณ์+การตอบสนอง= ผลลัพธ์

ถ้าเรายังไม่พอใจผลลัพธ์ในปัจจุบันเรามี 2 ทางเลือกคือ 1.โทษเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่เกิดผลลัพธ์ 2.เปลี่ยนเหตุการณ์การตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างที่เป็นจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ (คิดสูตรโดยดร.โรเบิร์ต เรสนิก นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน)จากสูตรข้างต้นถ้าเราเข้าใจชัดเจนเราจะแก้สถานการณ์ได้

การเรียนรู้ในการนำไปใช้ แก้ปัญหา คือ กรณีผู้ใต้บังคับบัญชามีปัญหา เราควรฟังเค้าก่อนและถามความต้องการของเค้าถ้าเค้าเปลี่ยนให้เป็นบวกได้ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้ถ้าเรารู้ว่าoutcomeเป็นอย่างไรเราจะเป็นสาเหตุของความสำเร็จได้ นอกจากนี้กฎแห่ง การเข้าใจให้ชัดเจนว่าทำไมคุณถึงอยู่ตรงนี้ อธิบายได้ว่า ควรเข้าใจตัวตนว่าเราเป็นคนอย่างไร อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังสิ่งที่คุณทำ คุณเห็นภาพการแสดงออกของผู้คนรอบข้างคุณอย่างไร

ดังนั้นถ้าเรารู้จักตัวเองและรู้จักคนอื่น สัมพันธภาพในการทำงานก็จะดีขึ้น

หัวข้อ personality and social skills development

ประเด็นที่น่าสนใจเมื่อเราเป็นผู้นำผู้บริหารมีความจำเป็นที่ต้องมีการปรับตัวและพัฒนาบุคลิกภาพ

เพราะบ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือ มีสง่าราศี ในการพัฒนาบุคลิกภาพที่สำคัญต้องคำนึงถึง 5 อย่างดังนี้

1.ความปลอดภัย 2. ความสะดวกสบาย 3.ให้เกียรติ 4. อัธยาศัยดี 5. ความมีระเบียบเรียบร้อย

สามารถนำสิ่งที่วิทยากรสอนมาปรับใช้ได้อย่างดีและถูกต้องในทุกเรื่องทั้ง การเดิน นั่ง แต่งกาย เป็นต้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก

บทวิเคราะห์ จากบทความ ใน "แนวหน้า" ฉบับ วันเสาร์ที่ 5 กรกฏาคม 2557

                                                                                                โดย ลักษมี สารบรรณ

จากบทความ "3คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตของประเทศไทย" ของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจกล่าวได้ว่าในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่สดใสนั้นผู้นำประเทศจะต้องมีบุคลิกเป็นแบบผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีความเชื่อว่าทุกปัญหามีทางออก ทุกคำถามมีคำตอบคำตอบที่น่าสนใจย่อมมาจากคำถามที่น่าสนใจ เห็นด้วยกับ Peter Drucker ที่เน้นการตั้งคำถามที่น่าสนใจมากกว่าการหาคำตอบและคำตอบที่ดีคงไม่ใช่คำตอบเดียวขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ร่วมกันจากคนรอบข้างเรา ศึกษาค้นคว้าทั้งความรู้เก่าใหม่เพื่อหาคำตอบที่เหมาะสมในบริบทของประเทศไทย ซึ่งปัญหาการพัฒนาประเทศนั้นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและการปกครอง หากไม่สามารถศึกษาโครงสร้างเหล่านี้ให้ถ่องแท้ ทางแก้ก็ดูเหมือนว่ายังอีกยาวไกล

คำถามแรกเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางสังคม สังคมไทยเป็นคนง่ายๆรักสบาย รักสงบ ไม่ชอบอยู่ในกฎระเบียบ ไม่ชอบทำงานหนัก ทำให้ขาดชนชั้นแรงงาน เกิดภาวะแรงงานต่างด้าวย้ายถิ่นฐานเข้ามาในเมืองไทย ผิดกฎหมายบ้างถูกกฎหมายบ้างแรงงานเหล่านี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม ขาดการศึกษา ขาดสวัสดิการด้านรักษาพยาบาล มีปัญหาสุขภาพ เกิดการรวมกลุ่มประท้วงนายจ้าง หากจะแก้ให้ได้ต้องเริ่มต้นที่การศึกษา การจัดสวัสดิการทางสังคมให้เหมาะสม ปลูกฝังค่านิคมรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ร่วมกัน

คำถามที่สองเป็นปัญหาทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องของอำนาจ คาร์ล มาร์กซ์ กล่าวว่า"ชนชั้นใดออกกฎหมาย ก็เพื่อชนชั้นนั้น" กี่ยุคกี่สมัยคำกล่าวนี้ยังเป็นจริงตามนั้น หากนักการเมืองไร้จริยธรรม การเมืองภาคประชาชนก็จะเข้มแข็ง และเมื่อถึงที่สุดวงจรอุบาท (Vicious Cycle) ก็ตามมา ดังเช่นการเมืองไทยในปัจจุบัน ตามมาด้วยการปฏิวัติ จากนั้นคนก็จะเรียกร้องประชาธิปไตยขึ้นมาอีกครั้งวงจรการเมืองไทยวนเวียนเช่นนี้อยู่หลายต่อหลายรอบ เราก็ยังอยู่ได้โดยไม่ต้องให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง

คำถามที่สามเป็นประเด็นการปกครองของไทย ตั้งแต่การปกครองแบบพ่อปกครองลูก (ธรรมราชา) ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หลัง 24 มิถุนายน 2475 การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข” เนื้อแท้แล้วตกอยู่ภายใต้การครองอำนาจของเผด็จการทหาร นายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารครองอำนาจอย่างยาวกว่า 3 ทศวรรษได้แก่ สามจอมพลต่อไปนี้ คือจอมพลป.พิบูลสงครามจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จอมพลถนอม กิตติขจร ทั้งสามท่านให้บทเรียนกับคนไทยมากมาย รวมทั้งเป็นบทเรียนให้กับ คสช ในการที่จะเรียนรู้ที่จะปกครองคนไทยอย่างไทย เพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย "14 ตุลา 2516"

ที่เขียนมาทั้งหมดก็ด้วยความรักชาติ ขอขอบคุณ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. (อังกฤษ: National Council for Peace and Order (NCPO)ที่ท่านเข้ามาแบกรับภาระในการแก้ปัญหาให้กับประเทศ เท่าที่ได้รับรู้ท่านได้พยายามแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทางสังคม การศึกษาเศรษฐกิจ รวมทั้ง การเมืองการปกครอง มีการปรับกลยุทธ์ทางการทหารทำให้จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา อิสรภาพให้กับนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น (คปต.) กลับเมืองไทย หลังจากถูกจองจำในเรือนจำเปรย์ซอว์ ประเทศกัมพูชา เป็นเวลา 3 ปี 6 เดือน คำถามทั้งหมดนี้สำหรับนักวิชาการรุ่นใหม่สามารถหาคำตอบเพิ่มเติมเรื่องของคนไทยได้ในภาพยนตร์เรื่อง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

อย่างไรก็ตามมองดูปัญหาข้างบนดูเหมือนว่าการแก้ปัญหาของประเทศไทยต้องใช้เวลาในการเยียวยา อย่างน้อยก็เท่ากับเวลาที่เจ็บป่วย คณะแพทย์ของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศ บทบาทที่สำคัญประการหนึ่งคือช่วยให้ประเทศอยู่รอดก่อน คณะเราจึงจะอยู่ได้ ดังนั้นการแก้ปัญหาคณะแพทย์เราส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในระดับประเทศด้วย และผู้นำการเปลี่ยนแปลงก็ต้องหันมาตั้งคำถามที่สำคัญสำหรับคณะแพทย์ของเรา เช่น ปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างบุคลากรความสัมพันธ์และการสื่อสารของคนในองค์การภาวะเศรษฐกิจและความเป็นอยู่การจัดสวัสดิการให้กับบุคลากรอย่างเป็นธรรม การสร้างสมรรถะเพื่อความอยู่รอดและการแข่งขันในสังคมเทคโนโลยีและการสื่อสาร การสร้างสัมพันธ์กับสังคมรอบข้าง บูรณาการกับความเป็นไทยภายใต้แนวคิดเศรษกิจพอเพียง และปรัชญา ''ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง Our Soul is for the Benefit of Mankind"

นุดี จิตตภิรมย์ศักดิ์

วันแรก (3 กค 57)

วิชาที่ 1 ปฐมนิเทศและแนะนำทฤษฎี :

ได้เรียนรู้ว่า การเข้ามาศึกษากิจกรรมแบบกลุ่ม ต้องคิด ต้องอ่าน และต้องสรุปให้เป็น และการเรียนรู้ลักษณะกลุ่มที่มีความหลากหลายทั้งแพทย์ พยาบาล รวมทั้งหน่วยงานสนับสนุน เราต้องขยันให้มากขึ้น ต้องตั้งใจฟังและคิดมากขึ้น เพราะความคิดที่หลากหลายนี่เองที่จะช่วยให้เกิด value added กับตัวเราเอง และเราเองต้องมี value creation อย่างไรให้เกิดความแปลก ความใหม่ การเปิดโลกทัศน์ การได้รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างกันก็จะช่วยให้ mindset ของเราเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

วิชาที่ 2 ทุนมนุษย์ – Mindset – Leadership

“คน คือ ทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่ามากที่สุด” เชื่อว่าเป็นคำที่จริงแท้ที่สุด เพราะศักยภาพภายในของแต่ละคนมีมากมาย เสมือนภูเขาน้ำแข็งที่แม้เราจะเห็นเพียงยอดที่โผล่ออกมา แต่เราไม่รู้หรอกว่าข้างล่างหรือภายในนั้น ยังมีอะไรอีกมากมาย เหมือนที่เคยได้ยินมาหลายครั้งว่าคนเราสามารถยกโอ่งใส่น้ำได้เมื่อได้ยินคนตะโกนว่าไฟไหม้ เราจึงต้องดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในออกมาให้ได้ และต้องทำอย่างมีความสุขด้วย ผลลัพธ์จึงจะออกมาอย่างดีแน่นอน

วิชาที่ 3 Leadership & Teamwork

การเป็นผู้นำที่ดีต้องเข้าใจธรรมชาติ ใจกว้าง ต้องสื่อสารให้เป็น และต้องมีข้อตกลงของกลุ่มร่วมกัน เพื่อให้การทำงานมุ่งสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างสัมฤทธิ์ผล ยิ่งในสภาวะปัจจุบันคนทำงานส่วนใหญ่จะเป็น Generation Y ผู้นำจะตั้งกรอบตึงเกินไปก็ไม่ได้ ตั้งกรอบอ่อนไปก็ไม่ดี ผู้นำต้องหาสมดุลย์ในการจัดระเบียบเพื่อให้งานและทีมเดินไปได้อย่างราบรื่น ดังที่ อ.เฉลิมพลได้กล่าวไว้ว่า “Mindset อยู่ที่ใจเรา ที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข”

สิ่งที่ได้จากการอ่านบทความ"บทเรียนจากความจริงโดย ดร.จีระ"ที่จะนำมาปรับใช้กับคณะแพทย์คงไม่ใช่....เพราะภายในคณะแพทย์ไม่มีผู้นำที่ขาดคุณธรรม จริยธรรมและโกงกิน เหมือนรัฐบาลทักษินหรือยิ่งลักษณ์ แต่คงจะเป็นตัวอย่างที่ไว้เตือนสติคนในองค์กรคณะแพทย์ฯว่า องค์กรใดก็ตามถ้าผู้นำขาดคุณธรรม จริยธรรม ก็จะเป็นช่องทางให้คนในองค์กรกระทำการตา่งๆที่ผิดคุณธรรมจริยธรรมหรือทำความชั่วได้อย่างไม่เกรงกลัว ทุกคนช่วยกัน"เอา"หรือตักตวงผลประโยชน์ใส่ตนเองหรือพวกพ้อง ไม่มีใครคิดจะ"ให้" กับองค์กร สุดท้ายองค์กรนั้นก็ล้มเหลว..

วิภารัตน์ จุฑาสันติกุล

ครั้งที่ 4

บทความจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ” 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย ”

หลักคิดในการทำงานและการบริหารงาน ได้อย่างประสบความสำเร็จ มี 2 สิ่งที่น่าสนใจคือ การถามคำถามที่น่าสนใจเสมอเพราะจะเรียนรู้จากการตั้งคำถามมากกว่าการหาคำตอบที่ถูกต้องเสมอ เรื่องที่ 2 ผู้นำควรเรียนรู้จากการเป็นผู้ฟังให้มาก หรือครูควรเรียนรู้จากลูกศิษย์ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการฟังหรือจากลูกศิษย์จะทำให้เราเกิดความรู้และแนวคิดใหม่ๆตรงกับทฤษฏี 4L’ S เป็นการเรียนรู้ที่ดี โดยกระตุ้นให้เกิดความคิด สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ มีการปะทะกันทางปัญญา แลกเปลี่ยนเรียนรู้และเกิดชุมชนของการเรียนรู้

สรุปแนวคิดของ Peter Drucker ในคำถาม3 เรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาที่ คสช เผชิญอยู่และต้องหาทางแก้ไขเพื่อให้ประเทศอยู่รอด

- ประเด็นปัญหารุนแรงเรื่องการค้ามนุษย์ มองในประเด็นจากการที่รัฐบาลในระบอบทักษิณและต่อเนื่องถึงยิ่งลักษณ์ปล่อยให้มีการคอรัปชั่นอย่างมหาศาลในทุกจุด ในเรื่องการค้ามนุษย์ก็เช่นกัน เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งตรวจคนเข้าเมืองและตำรวจภูธรขาดจริยธรรม เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน นักการเมืองบางกลุ่มจึงปฏิบัติผิดกฎหมายทำให้แรงงานต่างด้าวต่างหลั่งไหลเข้ามา คสช ควรเข้ามารื้อระบบการคอรัปชั่นปรับทุกอย่างโดยเน้นความจริงไม่กระทบต่อการจ้างงานพร้อมวางแผนระยะยาวมากกว่า20ปีในการจัดระบบกับแรงงานต่างด้าว

-ประเด็นคุณวีระ สมความคิดไม่ถูกปล่อยตัวในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ได้เป็นตัวแทนของประเทศเนื่องจากพวกพ้องตนเองไม่ได้ประโยชน์จึงไม่สนใจ หรือเพื่อประชาธิปไตยในรูปแบบเท่านั้น

-ประเด็นสื่อต่างประเทศมีอคติกับรัฐบาลไทย สาเหตุจากข้อเขียนของนักเขียนไทยในต่างประเทศมีอคติมองระบอบประชาธิปไตยของทักษิณว่ามาจากการเลือกตั้งเท่านั้นไม่มองประชาธิปไตยให้ลึกซึ้งและรักประเทศไทย รักศักดิ์ศรีความเป็นคนไทย

บทความนี้ได้เรียนรู้ว่า ผู้บริหารควรเปิดใจในการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ควรฟังมากกว่าพูด

และผู้บริหารที่เห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องอย่างมากเมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้ประเทศชาติล่มจมเสียชื่อเสียงขาดความชื่อถือจากต่างชาติอย่างมาก

                  สิ่งที่ได้จากการอ่านบทความ บทเรียนจากความจริง โดร ดร.จิระ จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันเสาร์ที่ 5 กค.2557   ฉันคิดว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเป็นเพราะผู้นำขาดคุณธรรม จริยธรรม เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ทำให้ผู้อื่นทำตามหรือเลียนแบบเพราะไม่รู้ว่า  การโกงกิน    การทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ เป็นสิ่งที่ผิด ทุกคนใฝ่หาแต่ประโยชน์ส่วนตน  กระทำความผิดโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพราะผู้นำเองก็ไม่เคารพกฏหมายบ้านเมือง    เมื่อนานวันเข้าก็กลายเป็นพฤติกรรมถาวรไม่สามารถแยกแยะ ชั่วดีได้ประเทศก็เข้าสู่ภาวะวิกฤติรอวันล่มสลาย 

                  การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันสร้างสังคมให้มีความเข้มแข็งทางจิตใจและอารมณ์ ไม่ติดกับดักอยู่กับวัตถุนิยม คนดีต้องกล้าแสดงจุดยืน   โดยเลือกยืนอยู่บนความถูกต้องทุกสถานการณ์     ฉันคิดว่าระบบการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะสร้างคนเก่ง คนดี และมีคุณธรรมให้ยืนอยู่ในสังคมได้อย่างองอาจ     เพื่อชี้นำสังคมให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

To bring love back, how long will it take ?
Please wait , we will get through this conflict .
Goodness will return to the nation soon.
Love you , Thailand.

สรุปประเด็นการเรียนรู้ วันที่ 5 กรกฎาคม 2557

วันนี้ได้เรียนรู้ใน 2 วิชา คือ Managing Self Performance โดยอาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์ และ วิชา Personality and Social Skills Development โดยอาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์

แม้วันนี้เป็นการเรียนรู้ใน 2 หัวข้อ แต่เป็นประเด็นที่มีความสัมพันธ์กันมาก จะขอตั้งชื่อภาษาไทยในสองหัวข้อนี้ว่า เป็นการพัฒนาบุคลิกภาพภายในและภายนอก ซึ่งในช่วงเช้าอาจารย์ได้ถ่ายทอดวิธีการพัฒนาบุคลิกภาพภายในโดยการค้นหาบุคลิกที่ซ่อนอยู่ภายในซึ่งเปรียบเหมือนเป็นพลัง เป็นแรงผลักให้เกิดการพัฒนา การเป็นผู้นำขององค์กรไม่ว่าในระดับใดก็ตามควรพัฒนาตนเองให้มีความพร้อมในการที่จะเป็น “โค้ช” ให้กับบุคลากรในหน่วยงานของเรา ซึ่งการจะพัฒนาบุคลากรแต่ละคนได้ ผู้นำก็ต้องค้นหาบุคลิกภาพที่ซ่อนอยู่ของแต่ละบุคคลและหากลยุทธ์ในการพัฒนาให้เหมาะสม ไม่ใช่ผู้นำมีบุคลิกอย่างไร ลูกน้องต้องเอาใจให้เป็นเท่านั้น นอกจากนั้นอาจารย์ยังให้ข้อคิดที่สำคัญของการพัฒนา คือ เป้าหมายต้องชัดเจน แต่ยืดหยุ่นวิธีการ โดยการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ไม่ตัดสินคนจากสิ่งที่เราเห็น แต่ต้องทำความเข้าใจกับวิธีคิดของแต่ละคน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องได้

การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก คือ การสร้างความประทับใจแรกพบ นั่นก็คือ การแต่งกายที่เหมาะสม โดยการเลือกใช้ สีสัน ลายเส้น ให้เหมาะกับบุคลิก สีผิว รวมถึงการมีกิริยามารยาททางสังคมที่ถูกต้อง ถูกกาลเทศะ โดยใช้หลักการง่ายๆ 5 ข้อ คือ

1.ความปลอดภัย 2. ความสะดวกสบาย 3.ให้เกียรติ 4. อัธยาศัยดี 5. ความมีระเบียบเรียบร้อย

สรุปประเด็นการเรียนรู้ วันที่ 5 กรกฎาคม 2557

วันนี้ได้เรียนรู้ใน 2 วิชา คือ Managing Self Performance โดยอาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์ และ วิชา Personality and Social Skills Development โดยอาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์

แม้วันนี้เป็นการเรียนรู้ใน 2 หัวข้อ แต่เป็นประเด็นที่มีความสัมพันธ์กันมาก จะขอตั้งชื่อภาษาไทยในสองหัวข้อนี้ว่า เป็นการพัฒนาบุคลิกภาพภายในและภายนอก ซึ่งในช่วงเช้าอาจารย์ได้ถ่ายทอดวิธีการพัฒนาบุคลิกภาพภายในโดยการค้นหาบุคลิกที่ซ่อนอยู่ภายในซึ่งเปรียบเหมือนเป็นพลัง เป็นแรงผลักให้เกิดการพัฒนา การเป็นผู้นำขององค์กรไม่ว่าในระดับใดก็ตามควรพัฒนาตนเองให้มีความพร้อมในการที่จะเป็น “โค้ช” ให้กับบุคลากรในหน่วยงานของเรา ซึ่งการจะพัฒนาบุคลากรแต่ละคนได้ ผู้นำก็ต้องค้นหาบุคลิกภาพที่ซ่อนอยู่ของแต่ละบุคคลและหากลยุทธ์ในการพัฒนาให้เหมาะสม ไม่ใช่ผู้นำมีบุคลิกอย่างไร ลูกน้องต้องเอาใจให้เป็นเท่านั้น นอกจากนั้นอาจารย์ยังให้ข้อคิดที่สำคัญของการพัฒนา คือ เป้าหมายต้องชัดเจน แต่ยืดหยุ่นวิธีการ โดยการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ไม่ตัดสินคนจากสิ่งที่เราเห็น แต่ต้องทำความเข้าใจกับวิธีคิดของแต่ละคน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องได้

การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก คือ การสร้างความประทับใจแรกพบ นั่นก็คือ การแต่งกายที่เหมาะสม โดยการเลือกใช้ สีสัน ลายเส้น ให้เหมาะกับบุคลิก สีผิว รวมถึงการมีกิริยามารยาททางสังคมที่ถูกต้อง ถูกกาลเทศะ โดยใช้หลักการง่ายๆ 5 ข้อ คือ 1.ความปลอดภัย 2. ความสะดวกสบาย 3.ให้เกียรติ 4. อัธยาศัยดี 5. ความมีระเบียบเรียบร้อย

สรุปประเด็นจากการอ่านบทความ 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย และการนำมาประยุกต์ใช้

ทิศทางอนาคตของประเทศไทยถูกกำหนดโดยปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศ ดังนี้

ปัจจัยภายในประเทศ น่าจะเกิดจากความอ่อนแอของสังคม ที่รับวัฒนธรรมจากภายนอกมากเกินไป กลายเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยแข่งขัน แต่ละคนคิดถึงประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเป็นหลัก ให้ความสนใจต่อคน/กลุ่มคนที่ให้ผลประโยชน์ต่อตนเอง ไม่คำนึงถึงคุณธรรม จริยธรรม จนเป็นบ่อเกิดของการคอรัปชั่นมากมาย

ปัจจัยภายนอกประเทศ ใน 2 ลักษณะ คือ อย่างแรกคือ ประเทศที่กำลังพัฒนา เห็นว่าประเทศไทยเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ มีงานทำ มีเงินดี และมีคนโกงที่ทำให้เขาเข้าประเทศมาได้ง่ายๆ โดยที่พวกเขาก็ได้ประโยชน์ คือการไม่ต้องจ่ายเงินธรรมเนียมให้รัฐ (แต่อาจจ่ายส่วยให้เอกชน)

ลักษณะที่ 2 อิทธิพลจากการได้รับการยอมรับจากประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นดาบสองคม หากประเทศเหล่านั้นมีความเข้มแข็งทางคุณธรรมจริยธรรมแล้ว ข้อมูลที่ได้รับก็จะเป็นโอกาสพัฒนาประเทศไทยต่อไป แต่หากประเทศเหล่านั้นให้ตัดสินโดยใช้หลักพวกพ้องก็จะกลายเป็นผลเสียอย่างมาก

คุณธรรมจริยธรรมจึงเป็นคุณลักษณะที่สำคัญของบุคคลทุกระดับ ไม่เฉพาะผู้นำระดับประเทศ แต่น่าจะต้องเริ่มต้นสร้างคุณธรรมจริยธรรมตั้งแต่สถาบันครอบครัว และสถาบันการศึกษาเพื่อหล่อหลอมให้เป็นคนดีในสังคม และต้องปลูกฝังความเป็นผู้กล้าแสดงออกเพื่อต่อต้านความไม่เป็นธรรมในสังคม ในขณะเดียวกันต้องเป็นผู้ที่เปิดใจยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างเพื่อให้เกิดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาประเทศไทยไม่ให้เป็นเหยื่อของคอรัปชั่นอีก

คณะแพทยศาสตร์ มอ.มีค่านิยมองค์กรที่สำคัญคือ ประโยชน์เพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง หากทุกคนร่วมมือร่วมใจปฏิบัติตามค่านิยมจนเป็นวัฒนธรรมองค์กร นอกจากจะนำพาคณะแพทยศาสตร์ มอ.ไปถึงเป้าหมายแล้ว เราก็จะเป็นฟันเฟืองที่จะช่วยพัฒนาประเทศไทยให้กลับสู่ความเป็น "ไท" จากคอรัปชันได้ในอนาคต 

นุดี จิตตภิรมย์ศักดิ์

วันที่สอง (4 กค 57)

วิชาที่ 4 วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ.

ในปัจจุบันโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในสังกัดรัฐบาล) ต้องพบกับความเสี่ยงที่แพทย์ย้ายออก ได้แก่ การให้บริการของโรงพยาบาลเอกชน การย้ายที่ทำงานไปยังโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข และโดนดึงตัวไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่า อีกทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นปีละ 7% ความต้องการทางแพทย์ก็เพิ่มขึ้นด้วย โรงพยาบาลจึงควรศึกษาและทบทวนว่ามีการเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตนี้อย่างไร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ หากเราลองมองนอกกรอบ และลงมือทำสิ่งที่แปลกใหม่มากขึ้น

วิชาที่ 5 Key word of success

ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในการทำงาน? นับเป็นคำถามที่น่าค้นหาคำตอบของหลายๆคน เช่น เก่งคน เก่งงาน เก่งคิด เก่งพูด เก่งทำ ฯ ซึ่ง อ.ศรัณย์ ได้ให้คำเฉลยไว้ว่าเราต้องมี 1) การมีมนุษยสัมพันธ์ และ 2) ความคิดสร้างสรรค์ โดยต้องให้มีคิดสร้างสรรค์แบบ Positive Thinking , Creative Thinking และ Descriptive Thinking ที่สำคัญเราต้องมี mindset ที่ดีด้วย การเรียนในวิชานี้ทำให้ได้รู้ว่าตัวเองเป็นนักคิดสร้างสรรค์แบบผู้นำทาง (Navigator) แปลความได้ว่าคิดสร้างสรรค์ได้ดีบนพื้นฐานของประสบการณ์ และมีวิธีการใหม่ๆ ได้จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว พอมองย้อนกลับไปดูตัวเองก็ค่อนข้างตรงเลยทีเดียว และอาจารย์ยังสอนเทคนิคการนำเสนองานใหม่อย่างไรให้ผ่าน เรื่องใกล้ตัวที่บางทีคิดว่ามันง่าย แต่มันก็ไม่ง่ายเหมือนกัน นับเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

วันที่สาม (5 กค 57)

วิชาที่ 6 Managing Self Performance

ทุกอย่างที่เราได้เรียนรู้จะเป็นคลังสมบัติในตัวของเราเอง ยิ่งเรียน ยิ่งรู้ แต่ทำอย่างไรที่จะดึงความรู้นั้นๆ มาใช้ประโยชน์ได้ อาจารย์อิทธิภัทรได้สอนเทคนิคอย่างหนึ่งคือการถามคำถามกลับ ซึ่งนับเป็นการกระตุ้นให้นำศักยภาพภายในมาใช้ทั้งความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ ที่สามารถใช้ได้ทั้งในชีวิตของการทำงานและชีวิตครอบครัว เรื่องใกล้ตัวที่หากไม่เข้าใจ/ไม่เข้าถึงก็ยากที่จะดึงคำตอบออกมา นอกจากนี้ได้ทำกิจกรรมบรรยายภาพกับช่วงชีวิต 3 ช่วงของเรา ทุกคนสามารถบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองได้อย่างลื่นไหล อาจารย์บอกว่าทุกคนมีเรื่องราว แต่ไม่รู้จะใช้อะไรอ้างอิง สำหรับตัวเองตอนหยิบภาพขึ้นมายังคิดอยู่เลยว่าจะอธิบายภาพนั้นอย่างไรดี แต่เมื่อได้โจทย์มาเรื่องราวต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมาพร้อมที่จะบอกเล่าทันที

วิชาที่ 7 Personality and Social Skills Development

ความประทับใจแรกเห็นนับเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นการบ่งบอกถึงตัวตนของเรา แต่ไม่จำเป็นต้องแพงเว่อร์ ขอให้ดูดีและเหมาะสม อาจารย์สอน class นี้สนุกมาก ทุกคนสนใจและมีส่วนร่วม พร้อมรับฟัง เกี่ยวกับแทบจะทุกอิริยาบทในการใช้ชีวิตประจำวันของเรา อาจารย์บอกว่าเราต้องมีทัศนคติที่ดีกับตัวเองและต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ บางเรื่องที่เราคิดว่าดีแล้ว แต่ในมุมมองของคนภายนอกอาจจะยังไม่เหมาะสม การเรียนในวันนี้ได้เพิ่มคลังสมบัติของตัวเองด้านบุคลิกภาพที่เริ่ดดดดดด....มากค่ะ

นุดี จิตตภิรมย์ศักดิ์

วันที่สอง (4 กค 57)

วิชาที่ 4 วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ.

ในปัจจุบันโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในสังกัดรัฐบาล) ต้องพบกับความเสี่ยงที่แพทย์ย้ายออก ได้แก่ การให้บริการของโรงพยาบาลเอกชน การย้ายที่ทำงานไปยังโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข และโดนดึงตัวไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่า อีกทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นปีละ 7% ความต้องการทางแพทย์ก็เพิ่มขึ้นด้วย โรงพยาบาลจึงควรศึกษาและทบทวนว่ามีการเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตนี้อย่างไร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ หากเราลองมองนอกกรอบ และลงมือทำสิ่งที่แปลกใหม่มากขึ้น

วิชาที่ 5 Key word of success

ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในการทำงาน? นับเป็นคำถามที่น่าค้นหาคำตอบของหลายๆคน เช่น เก่งคน เก่งงาน เก่งคิด เก่งพูด เก่งทำ ฯ ซึ่ง อ.ศรัณย์ ได้ให้คำเฉลยไว้ว่าเราต้องมี 1) การมีมนุษยสัมพันธ์ และ 2) ความคิดสร้างสรรค์ โดยต้องให้มีคิดสร้างสรรค์แบบ Positive Thinking , Creative Thinking และ Descriptive Thinking ที่สำคัญเราต้องมี mindset ที่ดีด้วย การเรียนในวิชานี้ทำให้ได้รู้ว่าตัวเองเป็นนักคิดสร้างสรรค์แบบผู้นำทาง (Navigator) แปลความได้ว่าคิดสร้างสรรค์ได้ดีบนพื้นฐานของประสบการณ์ และมีวิธีการใหม่ๆ ได้จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว พอมองย้อนกลับไปดูตัวเองก็ค่อนข้างตรงเลยทีเดียว และอาจารย์ยังสอนเทคนิคการนำเสนองานใหม่อย่างไรให้ผ่าน เรื่องใกล้ตัวที่บางทีคิดว่ามันง่าย แต่มันก็ไม่ง่ายเหมือนกัน นับเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

วันที่สาม (5 กค 57)

วิชาที่ 6 Managing Self Performance

ทุกอย่างที่เราได้เรียนรู้จะเป็นคลังสมบัติในตัวของเราเอง ยิ่งเรียน ยิ่งรู้ แต่ทำอย่างไรที่จะดึงความรู้นั้นๆ มาใช้ประโยชน์ได้ อาจารย์อิทธิภัทรได้สอนเทคนิคอย่างหนึ่งคือการถามคำถามกลับ ซึ่งนับเป็นการกระตุ้นให้นำศักยภาพภายในมาใช้ทั้งความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ ที่สามารถใช้ได้ทั้งในชีวิตของการทำงานและชีวิตครอบครัว เรื่องใกล้ตัวที่หากไม่เข้าใจ/ไม่เข้าถึงก็ยากที่จะดึงคำตอบออกมา นอกจากนี้ได้ทำกิจกรรมบรรยายภาพกับช่วงชีวิต 3 ช่วงของเรา ทุกคนสามารถบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองได้อย่างลื่นไหล อาจารย์บอกว่าทุกคนมีเรื่องราว แต่ไม่รู้จะใช้อะไรอ้างอิง สำหรับตัวเองตอนหยิบภาพขึ้นมายังคิดอยู่เลยว่าจะอธิบายภาพนั้นอย่างไรดี แต่เมื่อได้โจทย์มาเรื่องราวต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมาพร้อมที่จะบอกเล่าทันที

วิชาที่ 7 Personality and Social Skills Development

ความประทับใจแรกเห็นนับเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นการบ่งบอกถึงตัวตนของเรา แต่ไม่จำเป็นต้องแพงเว่อร์ ขอให้ดูดีและเหมาะสม อาจารย์สอน class นี้สนุกมาก ทุกคนสนใจและมีส่วนร่วม พร้อมรับฟัง เกี่ยวกับแทบจะทุกอิริยาบทในการใช้ชีวิตประจำวันของเรา อาจารย์บอกว่าเราต้องมีทัศนคติที่ดีกับตัวเองและต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ บางเรื่องที่เราคิดว่าดีแล้ว แต่ในมุมมองของคนภายนอกอาจจะยังไม่เหมาะสม การเรียนในวันนี้ได้เพิ่มคลังสมบัติของตัวเองด้านบุคลิกภาพที่เริ่ดดดดดด....มากค่ะ

 วันที่ 5 ก.ค.57  ได้เรียนรู้เรื่อง Managing Self Performance โดยอาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์ และ วิชา Personality and Social Skills Development โดยอาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์

สิ่งที่อยากแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมคือประเด็นเรื่องการบริหาร  อ.อิทธิภัทร บอกว่า เวลาเราเป็นหัวหน้ามอบหมายงานให้ผู้ร่วมงานไปทำ งานสำเร็จเราก็จะชื่นชมยินดี กับงานเสียจนลืมนึกถึงคนทำงาน  เพราะงานจะดีไม่ได้ถ้างานนั้นไม่ได้รับการทุ่มเท  หยาดเหงื่อแรงกายและแรงใจอย่างแข็งขันจากทีมงาน

 ซึ่งที่ผ่านมาหลายคนก็มักจะปฏิบัติอย่างนี้จนทำให้คนทำงานเกิดความท้อ เหนื่อยหน่าย  จากการศึกษาพบว่าหัวหน้าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทีมงานจะทำได้ดีหรือไม่

  อีกประเด็นหนึ่งที่อยากจะแลกเปลี่ยน คือการกลับมามองตัวเอง ว่าเราเป็นใคร ทำอะไรและ มีอะไรบ้าง   ได้ทบทวนตัวเอง รวมถึง การฝึกการพัฒนาบุคลิกภาพ ของตนเองท่ามกลางเสียงหัวเราะสนุกสนานที่ อ. ได้ประเมินและวิจารณ์ทีละท่านละท่าน เชื่อแน่ว่าถูกใจและสะกิดไม่มากก็น้อย

 วันที่ 5 ก.ค.57  ได้เรียนรู้เรื่อง Managing Self Performance โดยอาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์ และ วิชา Personality and Social Skills Development โดยอาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์

สิ่งที่อยากแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมคือประเด็นเรื่องการบริหาร  อ.อิทธิภัทร บอกว่า เวลาเราเป็นหัวหน้ามอบหมายงานให้ผู้ร่วมงานไปทำ งานสำเร็จเราก็จะชื่นชมยินดี กับงานเสียจนลืมนึกถึงคนทำงาน  เพราะงานจะดีไม่ได้ถ้างานนั้นไม่ได้รับการทุ่มเท  หยาดเหงื่อแรงกายและแรงใจอย่างแข็งขันจากทีมงาน

 ซึ่งที่ผ่านมาหลายคนก็มักจะปฏิบัติอย่างนี้จนทำให้คนทำงานเกิดความท้อ เหนื่อยหน่าย  จากการศึกษาพบว่าหัวหน้าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทีมงานจะทำได้ดีหรือไม่

  อีกประเด็นหนึ่งที่อยากจะแลกเปลี่ยน คือการกลับมามองตัวเอง ว่าเราเป็นใคร ทำอะไรและ มีอะไรบ้าง   ได้ทบทวนตัวเอง รวมถึง การฝึกการพัฒนาบุคลิกภาพ ของตนเองท่ามกลางเสียงหัวเราะสนุกสนานที่ อ. ได้ประเมินและวิจารณ์ทีละท่านละท่าน เชื่อแน่ว่าถูกใจและสะกิดไม่มากก็น้อย

วันแรก (3 กรกฎาคม 2557

วิชาที่ 1 ทฤษฎีเพื่อการเรียนรู้ 

            ทฤษฎี 2 R,s Reality – มองความจริง และ Relevance –ตรงประเด็น เป็นทฤษฎีที่ควรจะมีในตัวบุคลากรทุกคน จะเห็นได้ว่าสภาพความเป็นจริงในการทำงาน เกิดปัญหาหลากหลายมากมาย บางปัญหาเป็นปัญหาจนรู้สึกคุ้นเคยจนเป็นความเคยชิน ไม่ได้รับการแก้ไข หรือการรายงานผลของหน่วยงานบางครั้งก็จะเลือกที่ดีเด่น ส่วนที่มีปัญหาหรือผลไม่เป็นที่น่าพอใจก็จะเก็บไว้ ทำให้ความจริงบิดเบียน ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขหรือแก้ไขไม่ตรงจุด ซึ่งการมองความจริงของปัญหาไม่ใช่เป็นการจับผิดคนที่ทำผิด เป็นเป็นการร่วมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาให้ดีขึ้น

วิชาที่ 2 ทุนมนุษย์-Mindset-Leadership (

           - คน คือ ทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร ทุกคนมีศักยภาพหรือสมรรถนะอยู่ในตัว เพียงแต่เราจะดึงออกมาใช้เพื่อพัฒนาองค์กรอย่างไร หลักการบริหารทุนมนุษย์ คือ ปลูก เก็บเกี่ยว Execution

          -Mindsetเป็นทัศนคติติดตัวบุคคล ที่อยู่มานานและพื้นฐานฝังรากลึกจะเปลี่ยนลำบาก Mindset ในแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ได้รับอิทธิพลมาจากอาชีพ การศึกษา การทำงาน และครอบครัว ดังนั้นบุคคลอาจมี Mindset ในเชิงบวกและเชิงลบ หรือไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำงาน หรือการพัฒนาองค์กรได้

         - Mindset มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อบุคคลเห็นผลประโยชน์ร่วมกันและเดินทางสู่ทิศทางใหม่ร่วมกัน

         -Leadership ภาวะผู้นำไม่จำเป็นจะต้องเป็นหัวหน้า ที่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตำแหน่ง แต่เกิดจากความศรัทธาของคน

วิชาที่ 3 LEADERSHIP & TEAMWORK 

           บุคลิกภาพของผู้นำที่ควรมี คือ ความเข้าใจธรรมชาติ ใจกว้าง รับฟังมากกว่าสั่งการ เป็นนักสื่อสารที่ดี สร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ดึงศักยภาพของทีมงานที่โดดเด่นให้ถูกที่ ถูกเวลา และถูกคนเหมาะสมกับตำแหน่งงาน ให้ได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน (Win Win) เมื่อทีมงานมีความสุขในการทำงาน ก็จะช่วยให้มีแรงบันดาลใจในการพัฒนาองค์กรไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

After reading the article by Prof. Chira in แนวหน้า Newspaper, I can't help but wonder if Prof. Chira is backing the undemocratic actions of NCPO. Since he asked three questions in the articles and followed them up with his own answers, I will attempt to ask three follow-up questions to continue the mind-clash:

1. I think his first answer to the first question is a non-sequitur. Prof. Chira put the full blame on the Thaksin system for the problem of slave-workers in Thailand, but his reasonings prior to the generalisation did not justify the conclusion. My question is: Why do Thais lack ethics? Is it really because of the Thaksin system or because we've been brought up this way? Is there hard data to support that corruption has increased during the Thaksin and Yingluck's era? Perhaps interested readers should compare our corruption index for the past 20 years or so.

2. Why did NCPO facilitate the release of Veera Somkwamkid? Mr. Veera is a known leader of yellow-shirts, who are constantly at war with the red shirts. It is rather obvious that Yingluck won't want to help him, as his ideals clash with her supporters and attempting to free him would definitely make her lose supporters. The more interesting question then becomes why did NCPO helped him, and what did they use to trade for his release?

3. Prof. Chira's last question is not a question. In fact, it is a statement claiming that the International New York Times is biased. However, he ended up citing only one article to support his claim. That issue aside, my question is, what system does Prof. Chira prefer for Thailand if not constitutional monarchy? Prof. Chira stated that more than 80% of Thais support the coup. Now if he does not support "democracy" or "people's votes", then how could he cite a majority vote in his reasoning? And who is to blame for the Yingluck's government inability to pay the farmers? Who blocked the loan during Yingluck's era but allowed the same scheme to take place during NCPO's era?

Let me say that I do not support corruption in any way. I am scientist, and I'd like to see more data when someone makes a generalisation, even if that person is Prof. Chira.

ได้อะไรจากบทความ บทเรียนจากความจริงของดร.วีระ ฉบับเสาร์ที่ 5 ก.ค. 2557

ได้ว่าเมื่อมีประเด็นหรือปัญหาเกิดขึ้นให้มองไปถึงความจริง รากเหง้าของปัญหานั้นๆคืออะไร เกิดจากอะไร เข้าไปดูให้ครบทุกมิติ มองเป็นระบบตั้งแต่ปัจจัย (Input)อะไรบ้างเข้ามาเกี่ยวข้องเจาะลึกลงไปอาจเข้าไปดูหน้างาน มีกระบวนการ(Process)อย่างไร มีระบบตรวจสอบอย่างไร ใช้การเรียนรู้จากผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีการปะทะกันทางปัญญาเพื่อให้เพิ่มทวีคูณ และสุดท้ายดูผลลัพธ์(Out put)เป็นอย่างไร เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ถูกจุด แต่อย่างไรที่สำคัญที่สุดต้องสลายตัวตนออกมาก่อนไม่คลุกอยู่กับculture เดิม ยึดหลักจริยธรรม 

3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย

จากแนวคิดของ Peter Drucker ที่สำคัญ 2 เรื่องคือ

1.ถ่ามคำถามที่น่าสนใจเสมอ เพราะจะเรียนรู้จากการตั้งคำถามมากกว่าการหาคำตอบที่ถูกต้องเท่านั้น

2.ถ้าสอนหนังสือหนือสัมมนาให้เรียนรู้จากผู้ฟังหรือลูกศิษย์อยู่เสมอ

ใช้แนวคิดนี้ในการตั้งคำถาม 3 เรื่องเกี่ยวกับปัญหาที่ คสช.เผชิญอยู่

คำถามแรก ปัญหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ เพราะรัฐบาลหรือผู้นำไม่มีจริยธรรมเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง

คำถามที่ 2 เรืื่องการปล่อยตัวคุณวีระ สมความคิดเป็นเรื่องที่รัฐบาลหรือผู้นำไม่ได้เป็นตัวแทนของประเทศในการช่วยเหลือคุณวีระเพราะไม่ใช่พวกพ้องของตัว

คำถามที่ 3 เรื่องสื่อต่างประเทศที่มีอคติกับรัฐบาลไทยโดยเฉพาะ คสช.ที่มองว่าระบบประชาธิปไตยต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น โดยไม่สนใจว่ารัฐบาลต้องมี คุณธรรม จริยธรรม โปร่งใส เน้นประโยชน์ส่วนรวมและไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวงในทุก ๆ ด้าน

วิชาที่ 4 วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ. (วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม 2557)

                     จากการเรียนวันนี้ ได้วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ. คือ การแข่งขันทางธุรกิจระหว่าง รพ.เอกชนและรพ.รัฐ ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ แนวทางที่จะให้องค์กรอยู่รอดและพึ่งตนเองได้ จึงควรมองจากพื้นฐานของเรา มองจุดเด่น จุดด้อย ต่อยอด ขยาย และปรับใช้ให้เข้ากับเรา ตัวอย่างเช่น รพ.มอ. คณะแพทย์ฯ มีทำเลดี อยู่ใกล้ชายแดนมาเลเซีย ทำอย่างไรให้คนมาเลเซียมาใช้บริการที่ รพ.มอ. ช่วยให้ รพ.มีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น

สุทธิพงษ์ ทิพชาติโยธิน

ความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความเรื่อง 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย

- เห็นด้วยกับการตั้งคำถามที่น่าสนใจเสมอ คนไทยสมัยนี้ตั้งคำถามไม่ค่อยเป็น และยิ่งไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นโดยเฉพาะในที่ประชุม ส่วนสาเหตุผมคิดว่าอาจจะเกี่ยวกับระบบการศึกษาที่สอนให้เด็กแสดงความคิดเห็นน้อยลง เน้นความจำเป็นหลัก ประกอบกับสังคมไทยมีแนวโน้มขี้เกรงใจไม่กล้าแสดงความเห็นต่าง หรือแสดงความเห็นในเรื่องที่ไม่ถูกต้องซึ่งนำไปสู่ปัญหาของคำถามที่อาจารย์จีระตั้งไว้ในบทความ

- คำถามแรกเรื่องการใช้แรงงานต่างด้าวนอกระบบ ส่วนนึงเกิดจากความมักง่ายของนายจ้าง แต่ส่วนนึงเกิดจากระบบราชการที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจได้จนเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน จนเป็นช่องทางการคอรรัปชั่น

- คำถามที่สองและสาม ผมคิดว่าต้นตอของปัญหาจริงๆมาจากความขัดแย้งทางการเมืองที่สะสมมานาน และความพยายามที่จะปกปิดข้อมูลหลายๆอย่างไม่ให้ต่างชาติได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วน จึงง่ายที่จะให้ข้อมูลบิดเบือนเพื่อชี้นำให้สื่อต่างชาติเกิดความเข้าใจผิดได้ จนเกิดเป็นปัญหาในปัจจุบันที่ต่างชาติไม่เข้าใจถึงความจำเป็นในการยึกอำนาจรัฐของทหาร จนมีมาตรการคว่ำบาตรต่างๆตามมา

- ความเห็นส่วนตัวจึงต้องการเห็นการให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนในเรื่องการคอร์รับชั่น การใช้อำนาจเพื่อพวกพ้อง เพื่อเรื่องส่วนตัว ให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้ ให้ต่างชาติได้รับรู้ และร่วมแรงร่วมใจกันปฎิรูปประเทศให้ดีขึ้น

- สุดท้ายจึงอยากจะตั้งคำถามทิ้งไว้ว่า ประเทศไทยควรจะมีแคมเปญ มีกลยุทธ์อย่างไรบ้างที่จะทำให้ประชาชนคนไทยรักชาติ และร่วมกันหวงแหนประเทศชาติไม่ให้มีการคอร์รับชั่น ฉ้อราษฏร์บังหลวง มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดงออกเพื่อช่วยกันพัฒนาประเทศต่อไป

ขอบคุณครับ

บทวิเคราะห์ จากบทความ ใน "แนวหน้า" ฉบับ วันเสาร์ที่ 5 กรกฏาคม 2557

จากบทความดังกล่าว อาจารย์ให้วิเคราะห์ว่าเราสามารถนำอะไรมาใช้ได้บ้าง 

ในมุมมองของตัวเอง คิดว่าสิ่งที่จะนำมาใช้ได้มีดังนี้

1.ก่อนจะตอบคำถามอะไร ต้องวิเคราะห์คำถามให้เข้าใจ หาข้อมูลประกอบเพื่อช่วยในการค้นหาคำตอบ

2.ผู้นำต้องไม่เป็นคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง

3.ต้องรู้จริงในเรื่องที่จะวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น

นุดี จิตตภิรมย์ศักดิ์

การบ้าน : วิเคราะห์ 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย

จากคำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย คำตอบที่ได้ขึ้นอยู่กับ “ผู้นำ” ประเทศจะถอยหลัง เสื่อมโทรม และเสียชื่อหากผู้นำสร้างความอยากมี อยากได้ อยากเป็น และขาดคุณธรรม จริยธรรม ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไรหากผู้นำเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน กระทำทุกอย่างเพื่อตนเอง ไม่ปกป้องช่วยเหลือคนในชาติ ประเทศไทยบอบช้ำมาเป็นระยะเวลานานเพราะระบบการโกงกินและคอรัปชั่นอย่างมหาศาลโดยผู้นำและกลุ่มคนบางกลุ่มที่เอื้อประโยชน์กัน หากวันนี้ไม่มี คสช. ประเทศก็ยังถูกปิดหูปิดตา ไม่มีการรับฟังปัญหาของประชาชน คนไทยจะลืมตาอ้าปากได้อย่างไร ปัญหาต่างๆก็ยังถูกหมกเม็ด

โอกาสของการพัฒนาประเทศคือการร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกันค้นหาปัญหาและร่วมกันวิเคราะห์สาเหตุ รวมถึงทางออกของการพัฒนาประเทศร่วมกัน

บทความจากแนวหน้า  :   3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย

อ.จีระ ได้นำเสนอแนวคิดการเรียนรู้ ของ Peter Drucker ซึ่งท่านใช้แนวคิดนี้ในการทำงานเสมอมา หนึ่ง : ถามคำถามที่น่าสนใจเสมอ มากกว่าการหาคำตอบที่ถูกต้อง (เรียนรู้จากการตั้งคำถาม) สอง : ให้เรียนรู้จากผู้ฟังและลูกศิษย์อยู่เสมอ และท่านเชื่อว่า แนวคิดของ Peter Drucker นี้ จะสามารถทำให้เกิดการเรียนรู้ทั้งระดับบุคคล องค์กร สังคม และ ประเทศ โดยบทความนี้ ท่านได้ตั้งคำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทยไว้ 3 เรื่อง ซึ่งท่านคิดว่าน่าจะนำพาไปซึ่งหนทางแก้ไข และนำพาประเทศไปสู่ความสงบ มีความสุข เพื่อความยั่งยืนได้

สวัสดี PSU Leadership class อีก 2 วัน ผมและคณะจะได้พบกับทั้ง 50 ท่าน

วันนี้ผมเข้ามาอ่าน Blog มีคนส่งข้อมูลเกือบ 700 click นอกจากปริมาณสูงแล้วยังได้ความรู้มากซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ

หวังว่าช่วงที่ 2 จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ถ้ามีวินัยในการอ่านหนังสือและข้ามศาสตร์หลุดจาก Mindset เดิม

งานในอนาคตของคณะแพทย์ คือ การผลิตนักศึกษาแพทย์ให้มีคุณภาพทั้งในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดน ในการดูแลเรื่องโรงพยาบาลยังมีปัญหามาก เพราะรัฐบาลมีประชานิยม 30 บาทรักษาทุกโรค ความสมดุลระหว่างการรักษาพยาบาลระดับล่างกับระดับรายได้ที่เป็นธรรม

ดังนั้นทฤษฎี 3v ของผม เป็นแนวคิดที่เป็นความคิดคล้ายๆกัน ที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ 2 จะมีไอเดียใหม่ๆใน 3 วัน คือ 17-19 กรกฎาคม ซึ่งคราวนี้ไม่มีภารกิจต้องบินกลับ ดังนั้นผมจะอยู่กับทุกๆคน และใช้เวลานอกรอบให้เป็นประโยชน์ และจะเข้าไปแบ่งปันความรู้และรับฟังทุกวัน เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงครับ 

3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย : บทเรียนความจริง โดย ดร จิระ

; นสพ แนวหน้า เสาร์ที่ 5 กค 57

บทนำ : ข้อสรุปจากการทำงาน 70 ปีของ Peter Drucker (Good to Great ;โดย John Collin)

1. ถามคำถามที่น่าสนใจเสมอ เพราะจะเรียนรู้จากการตั้งคำถามมากกว่าการหาคำตอบที่ถูกต้อง

2. ถ้าสอนหนังสือ หรือสัมมนา ให้เรียนรู้จากผู้ฟังหรือลูกศิษย์อยู่เสมอ

เนื้อหา : 3 คำถามที่เป็นปัญหาที่ คสช. เผชิญอยู่ และต้องหาทางแก้ไข เพื่อให้ประเทศสงบ มีความสุข เพื่อความยั่งยืน

1. ทำไมปัญหาการค้ามนุษย์รุนแรงขึ้น ทำให้ถูกสหรัฐลดอันดับลง

คำตอบ คุณธรรม จริยธรรมของ นายจ้าง จนท และนักการเมืองอ่อนแอ มีการนำเข้าแรงงานผิดกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง รัฐบาลละเลยทำให้เกิดการคอรัปชั่นในทุกจุด

2. ทำไมไม่มีการปล่อยตัวคุณวีระ สมความคิด ในยุครัฐบาลที่สนิทสนมกับนายฮุนเซน

คำตอบ คุณวีระ ไม่มีประโยชน์กับรัฐบาลยุคนั้น

3. ทำไมสื่อต่างชาติ (international New York Times) มีอคติกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะ คสช

คำตอบ ผู้ให้ข้อมูล (คุณปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์) มีอคติและไม่เป็นธรรมกับประเทศไทย

นันท์นภัสถ์ พรหมรักษ์

การบ้านสำหรับอาทิตย์นี้เป็นบทความที่ให้อ่านแล้วสรุปว่าเขาพูดเกี่ยวกับอะไรและสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างไร

ซึ่งบทความดังกล่าวนี้ได้นำเอาประสบการณ์ของคนที่ประสบความสำเร็จมา 2 เรื่องคือ

1. การตั้งคำถาม ให้เราเรียนรู้จากการตั้งคำถามของคน เมื่อมีการถามก็ทำให้เราต้องหาคำตอบ มันก็เกิดกระบวนการเรียนรู้ขึ้น

2. การเรียนรู้จากผู้ฟังหรือผู้ร่วมสนทนา ซึ่งจะต้องมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนกันทางความคิด จะได้เกิดไอเดียใหม่ ๆ ขึ้นมา

ซึ่งอาจารย์ก็ได้ยกตัวอย่างในการตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวทางการเมืองซึ่งเป็นเรื่องที่ดิฉันไม่ถนัดเลย แต่โดยส่วนตัวดิฉันเอาใจช่วย คสช.และขอขอบคุณ คสช.ที่ได้ช่วยประเทศให้รอดพ้นจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์และล้มล้างระบบทักษิณ

ข้อคิดที่ได้จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า

- การเรียนรู้จากคำถามที่น่าสนใจ หรือเรียนรู้จากผู้ฟัง เกิดการปะทะปัญญา นำไปสู่แนวคิดใหม่ๆเสมอ

- 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย มองว่าเป็นเกมส์การเมือง การเมืองถูกแทรกแซง หากผู้นำประเทศหรือผู้บริหาร ขาดคุณธรรม เห็นแก่ประโยชน์ตนเองและพวกพ้องเป็นหลัก โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน ประเทศหรือองค์กรก็ไม่สามารถพัฒนาต่อไปจนถึงเป้าหมายได้

- ดังนั้นอนาตคประเทศไทยหรือองค์กร จึงต้องการผู้นำหรือผู้บริหารที่มีคุณธรรม จริยธรรม ไม่คอรัปชั่น ยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก

บทเรียนจากความจริง โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ 

จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันเสาร์ที่ 5 กค.2557

ประเด็นที่ชอบ คือ สิ่งที่อาจารย์บอกว่าไม่มีห้องเรียน ไม่มีสูตรสำเร็จที่สอนความเป็นสุดยอดผู้นำ เราเรียนรู้ได้ตลอดเวลา จากการตั้งคำถามมากกว่าการหาคำตอบ หาโอกาสที่จะปะทะทางปัญญา เพื่อนำไปสู่ความคิดและแนวคิดใหม่ ๆ

ส่วน “ 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย” แนวคิดของ Peter Drucker เป็นคำถาม 3 เรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาที่ คสช.เผชิญอยู่ และต้องหาทางแก้ไขสิ่งที่ได้จากการอ่านบทความมีมุมมองที่ดี และน่าจะนำมาใช้เพื่อปรับปรุงตัวเอง องค์กรและประเทศของเรา ดังนี้

1.เราเพิ่งผ่านยุคนักการเมืองโกง แม้นักการเมืองเหล่านี้จะพ้นจากอำนาจไปแล้ว แต่เครือข่ายโกงยังคงอยู่ในทุกซอกของโครงสร้างสังคมไทย มองว่าเราควรกลับมาเน้นการปฏิรูปค่านิยมพื้นฐานเช่น คุณธรรม จริยธรรม ของคนไทย การบริหารการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์จะต้องเริ่มจากการมีรากฐานที่ดี

2.การปฏิรูปควรทำทุกองค์กร และต้องการการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลาเพราะโลกมีการปรับเปลี่ยนเรื่อย ๆ เราต้องเปลี่ยนให้ทันโลก

3.คำสอนทางธรรม ” จงทำหน้าที่ให้สุจริต” คุณทำหน้าที่ไหนก็ตาม ต้องยึดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ในทุก ๆ หน้าที่ ถ้าคนแต่ละคนทำหน้าที่ของตนอย่างสุจริต

สรุป คือ ในยุคปัจจุบัน แม้ว่าผู้นำเก่งคิด เก่งคน เก่งงาน แต่ถ้าปราศจากคุณธรรมก็จะสูญสิ้นซึ่งบารมี ความชอบธรรม และไม่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกน้องได้

วิชาที่ 1 สิ่งที่ได้รับคือได้เพิ่มความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคคลากร ให้มีวิสัยทัศน์ ความรู้ทัศนคติ พร้อมทำงานในยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งจะพูดถึงเรื่อง การเรียนแบบ Learn-Share-Care และพูดถึงทฤษฎีการเรียนรู้หลายทฤษฎี

วิชาที่ 2  ทุนมนุษย์-Mindset  :  ทัศนคติ  ที่สำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรซึ่งองค์ในปัจจุปัน จะยึดติดกับความคิดเดิมๆไม่ได้ถ้ายังยึดติดกับความคิดเดิมๆแสดงว่าองค์กรไม่ได้พัฒนา แต่การที่จะเปลี่ยน Mindset ของคนทั้งองค์กรเปลี่ยนแปลงได้โดยคนในองค์กรต้องมีประโยชน์ร่วมกันทำงานร่วมกัน ส่ิ่งที่สำคัญผู้นำต้องมีความเข้าใจ เปิดใจกว้าง มีการสื่อสารที่ดี ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมาย

วิชาที่ 3   บุคคลิกภาพ ผู้นำที่ดีต้องเข้าใจธรรมชาติ   การที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตต้องมี 4 Q

วิชาที่ 4    ฟังวันนี้แล้วดูเหมือนว่าทุกปัญหาที่พูดเป็นประเด์นที่ท้าทายคณะแพทยศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันสูง  ซึ่งจะมีการกดดันหลายด้านๆ เช่นงบประมาณ  การบริการที่มีมามาตรฐานสูง  การเช้าสู่สมาคมอาเชี่ยน ซึ่งส่ิงเหล่านี้เราจะพบในไม่ช้า เราต้องดูความสามารถของเราและพัฒนาให้ถูกทาง

วิชาที่ 5    หลักการคิดสร้างสรรค์ 4M     Mindset    Mood   Manganic   Momentum    การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เป็นทั้งฟ้าประธานและความถนัดของเรา ซึ่งถ้าเราทำงานยุ่ง ๆ เราจะมี Idea

เกิดขี้นซึ่งทำให้เราเห็นโอกาสการพัฒนาได้มากกว่า

วิชาที่  6   Managing  Self performane    เริ่มด้วยหลักการ Coaching  ซึ่งเชื่อว่าคนทุกคนมีศักยภาพและทุกคนมีส่วนที่แตกต่างกันมีทั้งส่วนดีและไม่ดี การพัฒนาตนเองต้องพัฒนาทั้งทักษะ ความรู้ ทัศนคติ

วิชาที่ 7    ส่ิ่งที่ได้รับคือได้รับคำแนะนำเพื่อปรับปรุงตัวเอง และได้นำไปใช้ในการทำงาน ซึ่งเมื่อเจอสถานการณ์คิดอะไรไม่ออกให้นึกถึง   ความปลอดภัย  สะดวกสบาย  ให้เกียรติ  อัทธยาศรับไมตรี  

ความเป็นระเบียบเรียบร้อย

          

สรุปจากการอ่านบทความของ ดรง จีระ  จากหนังสือพิพม์แนวหน้ามีความเห็นว่า  ปํญหาของประเทศไทยมาจากผู้นำที่ีขาดคุณธรรม  ไม่สุจริต  คดโกง  ทำทุกอย่างเพื่อหวังผลประโยชน์ใส่ตัวเอ

งและพวกพ้อง   ถ้าใครไม่เห็นด้วยไม่ใช่คนของตนเองซึ่งเริ่มจากผู้นำกลุ่มเล็กขยายเป็นกลุ่มใหญ่

           การแก้ไขปัญหา  เริ่มจากการปลูกจิตสำนึกของคนในชาติให้มีจุดยืนที่ถูกต้องและผู้นำทุกระดับต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณธรรม  เพื่อชี้นำสังคมให้เดินอย่างมั่นคงต่อไป

สรุปเนื้อหาที่เรียน 

4/ก.ค./57  โดย ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล “วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ มอ.”

  • Private Tertiary Hospital Þ Keep people healthy
  • Government Hospital Þ Get sickness fixed
  • ความต้องการ Health care ในปัจจุบันขึ้นอยู่กับ GDP Growth
  • ความกดดันในแง่การรักษาพยาบาลในปัจจุบัน
  • üPatient Protection Act
  • üGovernment Budget Culting
  • üHigh Standard of Operation & Services
  • üUniversal coverage scheme
  • üHigh competition
  • üHigher Operating costs & Financial Risk
  • การดำเนินการเพื่อการเปลี่ยนแปลง
  • üModern Mgt. Culture
  • üEfficient Patient Response
  • üInternationalization
  • üNew & High-tech Facilities

* Logistics Þ เคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม กระจาย

โดย อ.ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์

“Key words of success: Leadership-Mindset-Thinking outside the box-Thinking new box”

บุคคลที่ประสบความสำเร็จส่วนมากมีคุณสมบัติ 2 ข้อ สำคัญ คือ

  • 1.มีมนุษย์สัมพันธ์
  • 2.มีความคิดสร้างสรรค์
  • - Mindset
  • - Mood
  • - Mechanics
  • - Momentum

5/ก.ค./57    โดย อ.อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์ “Managing self Performance”

  • เวลาและเข็มทิศต้องมาด้วยกัน
  • การไปให้ถึงเป้าหมาย Þ จิตใจต้องคิดถึงเป้าหมาย Þ ร่างกายต้องทำ Þ เอาอารมณ์เข้าไปใส่

ความคิดเห็นเกี่ยวกับ 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย

- หนูเห็นด้วยเกี่ยวกับการตั้งคำถาม เพราะการตั้งคำถามสำหรับคนไทยถือเป็นเรื่องยาก อาจด้วยเพราะเกรงใจ หรือกลัวคนอื่นคิดว่าตัวเองโง่ จึงทำให้บางเรื่องที่ยังไม่รู้ ก็ไม่รู้ต่อไป ไม่มีความรู้ใหม่ๆเลย

- เรื่องที่ครูผู้สอนเรียนรู้จากลูกศิษย์ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ครููผู้สอนมี 2 แบบ คือ แบบที่พร้อมยอมรับความเห็นต่างของลูกศิษย์ กับแบบที่สอนอย่างเดียว ซึ่งหากอาจารย์แบบหลังเจอกับลูกศิษย์ที่ตั้งคำถามไม่เป็น การเรียนการสอนครั้งนี้ก็ไม่เกิดความรู้ใหม่ๆ เด็กก็ได้ความรู้เท่าที่ครูสอน ส่วนอาจารย์ไม่ได้อะไรเพ่ิ่มเลย

- เรื่องปัญหาแรงงานในประเทศไทย ถือเป็นปัญหาที่ค่อนข้างมีมานาน ทางหัวหน้า คสช. และคณะ คสช. คงจะเล็งเห็นปัญหาข้อนี้อยู่แล้วเช่นกัน แต่ยังไม่มีโอกาสเข้ามาแก้ปัญหา เมื่อได้เข้ามาจึงจัดการปัญหาเหล่านั้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นของแรงงาน โดยทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ปิดทุกช่องทางที่จะทำให้เกิดการทุจริตจากหน่วยงานราชการและหน่วยงานอื่นๆ

- เรื่องการเมืองของไทยกับท่าทีของหลายๆ ประเทศ หนูมองว่าถ้าประเทศเหล่านั้นไม่เข้าใจในบริบทของประเทศไทยดีพอ เราก็ไม่ควรใส่ใจ เพราะหากเราทำระบบในประเทศเราให้ดี จนทุกอย่างเข้าที่เข้าทางในเวลานั้นไม่ว่าประเทศไหนๆ ก็คงมาว่าเราไม่ได้ เพราะเราทำในส่ิงที่ถูกและควรกระทำภายในประเทศของเราเอง

วันเสาร์ ที่ 5 กรกฎาคม 2557

ช่วงเช้า วิชาที่ 6

ได้เรียนรู้ถึง การพัฒนาตนเอง ซึ่งต้องพัฒนาทั้งทักษะ ความรู้ ทัศนคติ และแรงบันดาลใจ เริ่มจากการเข้าใจตัวเองก่อนและจากการได้ชมวีดีโอของคุณโจน จัน ได พยายามค้นหาตัวเอง

-ฝึกที่จะฝืนในสิ่งที่ไม่ชอบ

-ฝึกที่จะไม่อาย

-ฝึกที่จะไม่กลัว

* เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ เพียงรอ โอกาส ที่จะใช้ศักยภาพนั้น

ช่วงบ่าย วิชาที่ 7

การพัฒนาบุคลิกภาพ 

1.การนั่ง

2.การยืน

3.การเดิน

4.การไหว้

5.การแต่งกาย

6.การแนะนำตัว

5 ข้อ ที่ควรคำนึงถึง

1.ปลอดภัย

2.สะดวกสบาย

3.ให้เกียรติ

4.อัธยาศัยไมตรี

5.ความมีระเบียบวินัย

สรุปบทความจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า : 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย

อ.จีระได้นำเสนอแนวคิดของ Peter Drucker ซึ่งเป็นแนวคิดที่อาจารย์ใช้ในการทำงานและการดำรงชีวิตมากว่า 70 ปี ซึ่ง Drucker สอนให้เราเรียนรู้จาก 2 เรื่อง คือ 1. เราควรถามคำถามที่น่าสนใจเสมอ (เรียนรู้จากการตั้งคำถามมากกว่าหาคำตอบ) และ 2. สอนให้เราเรียนรู้จากผู้ฟังและลูกศิษย์ (เป็นผู้ฟังที่ดี ข้อมูลของศิษย์สองทาง ทำให้เราเกิดความรู้และแนวคิดใหม่) และในบทความฉบับนี้ ท่านได้ตั้งคำถาม 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย และได้นำเสนอแนวทางของการแก้ไขในแต่ละคำถาม ซึ่งเป็นการจุดประกายให้กับประชาชน และผู้นำประเทศได้ตระหนักและนำไปแก้ปัญหา

อ.จีระ เชื่อว่า การตั้งคำถามที่น่าสนใจเสมอนั้น จะสามารถหาหนทางในการแก้ไขปัญหา ทั้งในระดับบุคคล องค์กร สังคม และประเทศได้

บทความจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย

(ฉบับวันเสาร์ ที่ 5 กรกฎาคม 2557)

หลักคิดในการทำงานและการบริหารงาน ประสบความสำเร็จ มี 2 เรื่อง

1.การตั้งคำถามมากกว่าการหาคำตอบ

2.เรียนรู้จากการเป็นผู้ฟังให้มาก

3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย

1.ประเด็นปัญหารุนแรงเรื่องการค้ามนุษย์มองในประเด็นเพราะรัฐบาลหรือผู้นำไม่มีจริยธรรมเห็นแก่     ประโยชน์ส่วนตัว

2.ประเด็นคุณวีระ สมความคิดไม่ถูกปล่อยตัวเนื่องจากพวกพ้องตนเอง ไม่ได้ประโยชน์จึงไม่สนใจ

3.ประเด็นสื่อต่างประเทศมีอคติกับรัฐบาลไทยซึ่งเชื่อว่าระบบประชาธิปไตยต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้นโดยไม่สนใจว่ารัฐบาลต้องมี คุณธรรม จริยธรรม โปร่งใสและเน้นประโยชน์ส่วนรวม

วิเคราะห์บทความ 3คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตของประเทศไทย จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันเสาร์ ที่ 5 กรกฎาคม 2557    ก่อนอื่นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากบทความนี้ คือ แนวคิดการฝึกเรียนรู้จากการตั้งคำถาม และการเรียนรู้จากผู้ฟัง ลูกศิษย์ หรือคู่สนทนา มักให้ผลลัพธ์เกินความคาดหมายได้แนวคิดใหม่ๆ และปัญญาที่เพิ่มทวีคูณมากกว่าการเรียนรู้แบบเป็นผู้รับหรือผู้ให้ฝ่ายเดียว  สำหรับประเด็นเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทยนั้น ยังยากที่จะคาดเดา แต่อย่างไรก็ตามทางออกที่จะให้ประเทศหลุดพ้นจากวิกฤตในครั้งนี้ คงต้องล้างบางระบอบพวกพ้อง ยึดถือประโยชน์ของตนและพวกพ้องเป็นที่ตั้ง การโกงกินคอรัปชั่น  แม้ระบบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งก็ไม่อาจนำพาประเทศก้าวต่อไปได้หากไร้ซึ่งคุณธรรม จริยธรรม

3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทยว่าด้วยการบริหารงานของผู้นำประเทศไทยแต่ละสมัย ซึ่งมีกลยุทธในการบริหารแตกต่างกันไป ได้แก่

  • -คำถามแรก เป็นปัญหาของการจ้างแรงงานต่างด้าว
  • -คำถามที่สอง การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้าน
  • -คำถามที่สาม การให้คนไทยรักชาติ ร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

หัวข้อการวิเคราะห์ประเด็นท้าทายคณะแพทย์ มอ.4 ก.ค.57

ซุนวู กล่าวว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง"การวิเคราะห์ประเด็นท้าทายของกลุ่มผู้เรียน เป็นการมองตน เพื่อให้ "รู้เรา" และการมองหาโอกาสและภาวะคุกคามเป็นกลยุทธ์ในการมองเพื่อให้

"รู้เขา" อ.พงษ์ชัย มาช่วยเราวิเคราะห์ความท้าทายของเรา เป็นการช่วยมองทั้งเราและเขาไปพร้อมกัน เพื่อมองหากลยุทธ์ในการวางแผนเพื่อความอยู่รอดขององค์กร ให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น

โดยการยกตัวอย่างประสบการณ์ การเป็นที่ปรึกษาของโรงพยาบาลเอกชน อาจารย์สอนให้เราคิดออกนอกกรอบเดิมๆ ซึ่งเรายังเน้นการรักษาพยาบาล มากกว่าการผลิตบัณฑิตแพทย์ ซึ่งเป็นพันธกิจหลักของเรา โดยสร้าง 3 value จาก reserch เพื่อเพิ่มมูลค่าเชิงธุรกิจ และขยายเป็นทรัพย์สินทางปัญญา

ได้มากขึ้น โดยมีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ

1.มีวิธีการบริหารสมัยใหม่ วัฒนธรรมใหม่(Modern Management Culture)

2.มีการตอบสนองคนไข้โดย คำนึงถึงต้นทุนและรักษาหายอย่างมีประสิทธิภาพ(Efficient Patient Response)

3.พัฒนาสู่ ความเป็นสากล(Internationalization)ไม่ใช่มีชื่อเสียงอยู่เฉพาะในภาคใต้

4.มีเครื่องมือทางการแพทย์ใหม่และทันสมัย(New &High-tech Facilities)

หัวข้อ Thinking outside the box อ.ศรัณย์ 4 ก.ค.57

คนที่ประสบความสำเร็จ ในปัจจุบัน86เปอร์เซนต์ มีงานวิจัยชัดเจนแล้วว่า มีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ ความคิดสร้างสรรค์และมนุษยสัมพันธ์ อ.ศรัณย์ บอกเราทำให้ ความคิดเดิมๆ ที่ติดกรอบมาแต่เดิม ที่ว่า " อัจฉริยะเป็นเพียง 1 เปอร์เซนต์ เท่านั้น นอกนั้นเกิดจากความพยายาม " เริ่มเปลี่ยนไป

เพราะในโลกปัจจุบันเราไม่ได้ทำงานคนเดียว ทีมจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญมาก ลีลาการสื่อสารความรู้ของอาจารย์ แสดงตัวอย่างให้เราเห็นวิธีคิดและทำนอกกรอบ " อยากได้ผลลัทธ์ใหม่ ต้องทำสิ่งใหม่" นั่นคือพลังของความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้อาจารย์ยังนำเสนอ เคล็ดลับที่จะทำให้

เราสามารถนำความคิดไปทำให้เป็นผลงานที่ปฏิบัติได้จริง โดย ขั้นตอน PPCO

1. Pluses โฟกัสข้อดีของไอเดีย

2 Potential . ข้อดีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

3. Concerns ข้อที่กังวล

4. Opportuninties ต้องหลบ เลี่ยง ทะลุ สิ่งที่ติดกังวล

สรุปบทความ 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย โดยดร.จีระ หงส์ลดารมย์

สิ่งสำคัญ 2 เรื่องในชีวิตการทำงานของ Peter Drucker

เรื่องแรกคือ ถามคำถามที่น่าสนใจเสมอเพราะจะเรียนรู้จากการตั้งคำถามมากกว่าการหาคำตอบที่ถูกต้องเท่านั้น

เรื่องที่สอง ถ้าสอนหนังสือหรือสัมมนาให้เรียนรู้จากผู้ฟังและลูกศิษย์เสมอ

อาจารย์จีระได้นำแนวคิดนี้มาตั้งคำถาม 3 เรื่อง คือ

1. ทำไมประเทศไทยมีปัญหารุนแรงเรื่องการค้ามนุษย์มากขึ้นถูกสหรัฐฯลดอันดับไปอยู่อันดับที่แย่กว่าเดิม

คำตอบคือทุกอย่างมาจากระบอบทักษิณที่โลภไม่สิ้นสุด การค้ามนุษย์รุนแรงขึ้นเพราะรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ไม่สนใจปล่อยให้เปิดโอกาสการคอรัปชั่นอย่างมหาศาล

2. ทำไมรัฐบาลยุคคุณยิ่งลักษณ์ คุณวีระสมความคิด จึงไม่ถูกปล่อยตัวทั้งๆที่คุณทักษิณสนิทกับฮุนเซน

คำตอบคือ รัฐบาลยุคคุณยิ่งลักษณ์ ไม่ใส่ใจเรื่องคุณวีระเพราะรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ประโยชน์ทั้งที่เป็นคนไทยด้วยกัน

3. สื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะ International New York Times มีอคติกับประเทศไทยโดยเฉพาะ คสช.

คำตอบ คือการมองประชาธิปไตยว่ามาจากการเลือกตั้งเท่านั้นไม่ได้มองว่ารัฐบาลทีมาจากการเลือกตั้งต้องมีคุณธรรม จริยธรรม โปร่งใส เน้นประโยชน์ส่วนรวม ไม่คอรัปชั่น

ความคิดเห็น

             ความโลภ การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและคอรัปชั่น ทำให้เกิดความหายนะอย่างใหญ่หลวงแก่ตนเอง ครอบครัวและประเทศชาติ แม้จะมีเงินมากแต่ถ้ามาจากการทุจริต ก็ยากที่จะมีความสุขที่แท้จริง ผู้บริหารทุกระดับควรปรับเปลี่ยนค่านิยมทัศนคติของคนในชาติให้เห็นว่าการคอรัปชั่นเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่สามารถยอมรับได้

การนำไปใช้

1. การฝึกตั้งคำถามในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการอภิปรายพร้อมทั้งคิดหาคำตอบและแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น

2. นำสิ่งที่เรียนรู้จากผู้ฟังไปต่อยอดความรู้ ทำให้ความคิดกว้างขึ้น

3. ปลูกฝังค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริตกับบุคลากรในหน่วยงานทุกระดับ

ประเด็นสำคัญจากเรื่อง 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย ประเด็นแรกคือปัญหาด้านการเมืองที่ทั่วโลกเข้าใจว่าเป็นประชาธิปไตยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งแท้จริงแล้วเป็นประชาธิปไตยที่จอมปลอมอาศัยกระบวนการประชาธิปไตยแต่ไม่โปร่งใสมีการคอรัปชั่นในทุกๆจุดเนื่องจากคนไทยเรามีค่านิยมที่ผิดๆ มีความโลภมากคิดแต่ประโยชน์ส่วนตนไม่คำนึงถึงองค์กรหรือประเทศชาติไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย คนขาดความรู้ ขาดคุณธรรมจริยธรรม ประเด็นที่สองเรื่องคุณวีระผู้นำไม่มีระบบการปกครองแบบธรรมาภิบาล ผู้ที่ไม่มีประโยชน์กับตนเองหรือมีความคิดต่างจะไม่มีการดูแล เห็นแต่ประโยชน์ของพวกพ้องเป็นหลัก ประเด็นทีสามเรื่องการสื่อสาร เรื่องที่ต้องการจะสื่อสารให้ผู้อื่นรับรู้หรือเข้าใจสื่อที่ดีต้องมีการศึกษาเรื่องราวให้ดีก่อนและสื่อสารให้ตรงกับความจริงไม่มีอคติ จากเรื่องราวทั้งหมดสามารถนำมาปรับใช้ในองค์คือองค์กรจะไม่เกิดปัญหาถ้าผู้นำองค์กรมีการปกครองแบบธรรมาภิบาลมีความยุติธรรม และครองตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีความโปร่งใสในการทำงาน มีการปลูกฝังค่านิยมให้ทุกคนเห็นประโยขน์ของผู้อื่นเป็นกิจที่หนึ่ง t

        จากบทความ สรุปได้ว่าคนเราต้องมีจริยธรรม คุณธรรม และหากผู้นำของประเทศขาดทั้งจริยธรรม คุณธรรม ไม่เห็นประโยชน์ของบ้านเมือง เห็นแต่ประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง ไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ผลเสียก็จะเกิดกับประเทศชาติ

หัวข้อ Managing self Performance และ การพัฒนาบุคลิกภาพ โดย อ.อิทธิภัทร และ อ.ณภัสวรรณ 5 ก.ค.57

วันนี้ เป็นวันที่สดชื่นและมีความสุขในการเรียนอย่างที่สุด เนื่องจากวิทยากร หน้าตาและบุคลิกดีมากทั้งสองท่าน

    Coach มีความสำคัญมากในเรื่องของกีฬาพอๆ กับนักกีฬาเลยทีเดียว เพราะเป้าหมายหลักของCoach คือ ทำให้ทีม/ผู้เล่นชนะการแข่งขัน บทบาทหน้าที่ของ Coach คือ เป็นผู้วางตัว  กำหนดตัวนักกีฬาในการเล่นตำแหน่งต่างๆ ให้แต่ละคนเล่นตามศักยภาพของตัวเอง Coach จะเห็นจุดเด่น และจุดอ่อนของผู้เล่น ร่วมวางกลยุทธ์ในการเล่นร่วมกับผู้เล่น เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ด้วยการช่วยเหลือจูงใจผู้เล่น เพื่อให้ผู้เล่นเล่นให้ดีที่สุดนั่นเอง ทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ รอเพียงโอกาสที่จะได้แสดงศักยภาพนั้นออกมาอย่างเต็มที่ การที่บางคนทำอะไรไม่ได้ หรือไม่ดีใช่เพียงเพราะเขาไร้ความสามารถ แต่อาจเป็นเพราะเรื่องราวในอดีต ทัศนคติ สิ่งแวดล้อม ได้บดบังศักยภาพของเขาไว้ หน้าที่ coach คือ ต้อง empower ให้เขาเอาชนะตนเองและนำเอาศักยภาพนั้นออกมาใช้ให้ได้ ตัวอย่างเรื่องราวของ โจน จันได เป็นบทสรุปที่ดีของบทเรียนนี้

   การดูดี ดูไม่ดี สำคัญมากนะ นั่นคือสิ่งที่ อ.ณภัสวรรณ ใช้เวลา 3 ชั่วโมงเต็มๆ อย่างสนุกสนานเพื่อถ่ายทอดเรื่องราว เหล่านี้ให้พวกเรา พร้อมเคล็ดลับ ตบท้าย ที่น่าจะทำให้จดจำได้ดี คือ 1. ปลอดภัย 

2. สะดวกสบาย 3. ให้เกียรติ 4. อัธยาศัยไมตรี 5. ความมีระเบียบเรียบร้อย 

บทเรียนจากแนวหน้า "3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย"

แนวคิวของ Peter Drucker 2 แนวคิดหลัก  คือ  การเรียนรู้จากการตั้งคำถามดีกว่าการหาคำตอบที่ถูกต้องเท่านั้น   และให้เรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียนอยู่เสมอ

ดร.จิระ ได้นำแนวคิดข้างต้นมาตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับปัญหาที่ประเทศไทยพบอยู่ 3 ข้อหลัก คือ ปัญหาการคอรัปชั่น  ปัญหาผลประโยชน์พวกพ้อง  และปัญหาข่าวสารและข้อเท็จจริง  ซึ่ง คสช. ต้องเร่งแก้ปัญหา

วันที่ 3 กรกฎาคม 2557  

"ทุนมนุษย์ - mind set - leadership และการทำงานในยุคที่โลกเปลี่ยนของคณะแพทย์ฯ มอ."

- ทุนมนุษย์ - mind set   :  เปลี่ยนได้เมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกันด้วยการพูดคุยหาจุดที่พึงพอใจ

- ผู้นำ - leader ship  :  ไม่ได้เกิดจากการสั่งการแต่เกิดตามความศรัทธาที่ผู้อื่นให้กับตัวเรา ต้องแก้ไขปัญหาวิกฤตได้  มองอนาคตออก  ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง  การแสดงออกจะแตกต่างกันตามสิ่งแวดล้อมและการปลูกฝั่ง

วันที่ 4 กรกฎาคม 2557

"การวิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ."

- ต้องวิเคราะห์ SWOT ให้ได้  มององค์กรให้ออก   ระบบโลจิสติกส์ขององค์กร  (ตั้งแต่เคลื่อนย้าย / จัดเก็บ / รวบรวม / กระจาย) เป็นไปอย่างไร

- การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ  ได้แก่  1. ลูกค้า   2. คู่แข่ง    3. สภาพแวดล้อม    4. องค์กร

  "Key  words  of  success  :  Leadership - Mindset - Thinking outside the box - Thinking new box"

- คำตอบของ 12 คำถามที่สำคัญในการจะวิเคราะห์ความคาดหวังในการทำงาน ต้องตอบ "yes"

- ความคิดสร้างสรรใหม่ๆ จะทำให้เกิดผลลัพธ์ใหม่ต่างจากเดิม

- ผู้ประสบความสำเร็จในงานจะต้อง "เก่งคน" คือ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี   และ "คิดต่างทำต่าง" คือ มีความคิดสร้างสรรค์

- ความคิดของเรามักติดกรอบขององค์กร และกรอบสังคม

- กระบวนการบ่มความคิด PPCO  ได้แก่  Pluses ให้คิดข้อดี   Potential  คิดข้อดีในอนาคต   Concern  ความคิดนั้นติด...อะไร    Opportuninties  หลบออกจากสิ่งที่ติด/สิ่งที่กังวล

วันที่ 5 กรกฎาคม 2557

"Managing  Self  Performance"

- ตัววัดความสำเร็จ  :  ศักยภาพและสมรรถนะการทำงาน  (Competency)  รู้ว่าองค์กรมองและพัฒนาบุคลากรและผู้นำในด้านใดบ้าง

- สำรวจตนเองว่ามีเป้าหมายใด และจะบรรลุเป้าอย่างไร

- สมมติฐานที่เชื่อ จะช่วยให้การทำงานพัฒนาและมีความก้าวหน้า

"Personality  adn  Social  Skills  Development"

- บุคลิกภาพเป็นสิ่งสำคัญ  โดยเฉพาะการได้พบกันครั้งแรก 

- หลักง่ายๆ ในการปฏิบัติตน ให้คำนึงความปลอดภัย  ความสะดวกสบาย  การให้เกียรติ  อัทยาศรัยไมตรี  และความเป็นระเบียบเรียบร้อย

นันท์นภัสถ์ พรหมรักษ์

จากการได้อ่านบทความของ อ.จีระ เรื่อง "3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย" พอจะสรุปได้ว่าวิธีการเรียนรู้มีมากมาย แต่จากประสบการณ์จากผู้ที่สำเร็จมีวิธีหนึ่งสำหรับการเรียนรู้ คือ การตั้งคำถาม ซึ่งเมื่อมีการตั้งคำถามเราต้องหาคำตอบเมื่อคำถามมีคำตอบกระบวนการเรียนรู้ก็เกิดขึ้น ซึ่งดิฉันจำได้ว่าตอนสมัยเรียนอาจารย์ให้เด็กนักเรียนตั้งคำถามจากบทเรียนมา100ข้อ ซึ่งอาจารย์จะสุ่มถามจากคำถามที่เราตั้ง ไม่น่าเขื่อว่าวิธีการเรียนรู้แบบนี้มีมานานแล้ว เพียงแต่ว่าใครรู้จักนำมาปรับใช้  นอกจากนั้นยังมีการเรียนรู้จากผู้ฟังโดยการปะทะกันทางปัญญา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

ส่วนความเห็นเกี่ยวกับ คสช. ดิฉันมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คสช. จะเข้ามาช่วยประเทศไทยให้สามารถหลุดพ้นจากระบอบทักษิณ ระบอบวัตถุนิยมทำอะไรก็เพื่อเงิน เงิน เงิน อะไรที่ไม่เป็นผลโยชน์ของตนก็ไม่สนใจ ไม่นึกถึงความเป็นไท ความมีจริยธรรม ถึงเวลาแล้วที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันเพื่ออนาคตของประเทศไทยและเพื่อพ่อหลวงของคนไทยทุกคน

ธีระชัย ยอดแก้ว กลุ่ม 3

1.Managing Self Performance

โดย อาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์

หลักของการ Coaching คือ เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ รอเพียงโอกาสที่จะได้รับศักยภาพนั้นอย่างเต็มที่ นั้นน่าจะเป็น เครื่องมืออันหนึ่งที่สำคัญในการช่วยการเสริมสร้างภาวะผู้นำรุ่งใหม่ ที่มีแววและมีศักยภาพในตัวแต่ยังต้องการเวลาและโอกาสในการได้แสดงความสามารถ จริงๆ ที่คณะก็มีรูปแบบของการ coaching อยู่บ้างแล้วแต่ยังไม่เป็นรูปธรรมมากนัก ผมจึงอยากเห็น คณะมีความเปลี่ยนแปลงในด้านนี้ เพื่อนำเครื่องมือนี้ ช่วยในการพัฒนาองค์กรอย่างเต็มที่ โดยบุคลากร ที่อาสามาเป็น Coach ในด้านต่างๆ

และอีกประเด็น ที่ประทับใจคือ วลี หนึ่งของอาจารย์ที่ว่า “ความอ่อนแอเป็นพลังที่สำคัญที่สุด” ผมเคยประสบกับมันมาแล้วและเมื่อเราผ่านมันมาได้ ทุกอย่างก็ไม่ยากเกินความสามารถเราไปได้ครับ

2.หัวข้อ“Personality and Social Skills Development”

โดย อาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์

ผมเองก็ตระหนักในเรื่องของบุคลิกภาพและมารยาททางสังคม ซึ่งมีความจำเป็นกับงานของผมอยู่พอสมควร กับวิชาชีพนักวิเทศสัมพันธ์ของผม แต่หลังจากที่ได้รับความรู้จากท่านวิทยากรแล้ว มันกลับเปิดมุมมองใหม่ที่กว้างขึ้น มากๆ บางสิ่งบางอย่างเราอาจมองเป็นประเด็นไม่สำคัญมากและหากเรามีความเอาใจใส่กับมัน ผลลัพธ์ที่ดี ย่อมมาที่ตัวเราโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง บุคลิกภาพ นี่เองครับ ผมนำความรู้ไปถ่ายทอดบางส่วนให้กับเพื่อนร่วมงานและคิดว่า เป็นความรู่ที่ดีมากๆ และจำเป็นอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบันครับ

3.การวิเคราะห์ บทความเรื่อง 3 คำถามที่สำคัญที่เกี่ยวกับอนาคตประเทศไทยผมเห็นด้วยกับท่านอาจารย์ จิระทั้ง 3 คำถามครับ 

  • คำถามที่ 1 ทำไมประเทศไทยมีปัญหาเรื่องความรุนแรงในการค้ามนุษย์มากขึ้นถูกสหรัฐลดอันดับไปอยู่ประเทศที่แย่กว่าเดิม ผมเห็นด้วยกันท่านอาจารย์ครับ ความจริงคือประเทศของเราขาดแคลนแรงงาน เรามีปัญหาเรื่องอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งยิ่งตอกย้ำปัญหาขาแคลนแรงงานเข้าไปอีก จึงเป็นช่องทางให้กับนายจ้างและข้าราชการบางกลุ่มหาประโยชน์จากปัญหานี้ของประเทศ ทางแก้ผมเห็นว่าการนำแรงงานทุกประเภทมาเข้าสู่ระบบการขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งที่ถูกต้องและสมควรทำเป็นอย่างยิ่ง แม้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งระบบแต่การปัญหาก็อยู่ในขอบเขตของการควบคุมได้ในระดับหนึ่ง
  • คำถามที่ 2ทำไม่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ คุณวีระจึงไม่ถูกปล่อยตัว อันนี้เป็นตัวสะท้อนได้อย่างชัดเจนของการแตกแยกและความเห็นแก่ตัวของ ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองของเราอย่างชัดเจน แต่ผมกลับเชื่อว่าต่อจากนี้ทุกอย่างจะดีขึ้นครับ เราพอมองเห็นโอกาสแล้ว
  • คำถามที่ 3 อันนี้ผมเห็นด้วยกับท่านอาจารย์เป็นอย่างมาก การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบเสมอไป นายกหรือ สส ที่มาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้หมายถึง ประชาธิปไตยที่แท้จริง ในเมื่อยังมีประชาชนส่วนใหญ่ที่มองเห็นแต่ประโยชน์ของส่วนตน เลือก สส แบบซื้อเสียงเข้ามา โดยที่คิดว่า ใครๆ ก็โกงเหมือนกัน แต่วัดกันที่ โกงแล้ว พวกเขาได้อะไร ในขณะที่ ไม่มีใครคิดว่า แล้วประเทศชาติจะเสียอะไร  

จากบทความ “3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย”  ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยที่ผ่านมาเป็นเพราะโลกหมุนเวียนไปสู่ยุควัตถุนิยม คนให้ความสำคัญกับวัตถุมากขึ้น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวกันมากขึ้น ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณธรรมจริยธรรม จึงทำให้เกิดเรื่องราววุ่นวายและความเสียหายต่างๆ ตามมา ผู้นำประเทศหากเป็นผู้ที่ขาดคุณธรรมจริยธรรม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนแล้ว อนาคตของประเทศจึงตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเขาที่จะนำพาไปสู่ความวิบัติต่างๆ ได้

เป็นข้อคิดว่า ในการเป็นผู้นำองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ สิ่งสำคัญที่ผู้นำต้องมีเป็นพื้นฐานคือคุณธรรมจริยธรรม เพื่อการบริหารองค์กรให้เจริญรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จต่อไป

    ภาคเช้า      การพัฒนาระบบสุขภาพของไทยกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน

           จากที่กลุ่มได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ระบบสุขภาพในอนาคต ทำให้เห็นถึง การตอบสนองต่อประชากรผู้สูงวัย, ผู้ย้ายถิ่น การตอบสนองต่อชุมชน และ สากล ซึ่งต้องการความเป็นเลิศ ,นวัตกรรม,เทคโนโลยีสูง ขณะที่มีการแข่งขันสูง ซึ่่งสุขภาพจะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายด้าน เช่น ทางการแพทย์ สังคม การเมือง วัฒนธรรม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ ดังนั้น จึงจำเป้นต้องอาศัยความสามารถของบุคลากรทุกสาขา ที่จะต้องวิเคราะห์ หาคำตอบ ด้าน Technical, ethic และ politic แต่อย่างไรก็ดี เราจะต้องจัดระบบภายในของเราให้ดี สร้างคุณค่าในงานของเราเอง และใช้วิชาชีพอื่นมาเสริมให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม 

     ภาคบ่าย      กรณีศึกษาด้านการวิจัยและพัฒนา และการพัฒนางานของคณะแพทย์ มอ.

           การทำวิจัยได้ดี จะต้องเป้นผู้ช่างสงสัย อยากรู้คำตอบ และตั้งคำถามเป็น และการพัฒนาทุนทางนวัตกรรม จะต้องมีความคิดใหม่ๆ+มีความรู้  เปลี่ยนความคิดเป็นการกระทำและทำให้สำเร็จ  ซึ่งมี strategies คือ shared responsibility, ethical standard,มีnetwork ทราบแหล่งลงทุน, และมี Transparency ใน research management

           คำถามให้คิด where are we / where do we want to go / how to do it / how to do it successfully เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มแบบ 3V

​นันท์นภัสถ์ พรหมรักษ์

จากการได้อ่านบทความของ อ. จีระ เรือง “3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย” พอจะสรุปได้ว่าวิธีการเรียนรู้มีมากมาย แต่จากประสบการณ์ของผู้สำเร็จมีวิธี 2 วิธีสำหรับการเรียนรู้ คือ

  • 1.การเรียนรู้จากการตั้งคำถาม ซึ่งเมื่อมีการตั้งคำถามจำเป็นต้องมีการหาคำตอบและเมื่อคำถามมีคำตอบกระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้น จำได้ว่าสมัยเรียนวิชาประวัติศาสตร์อาจารย์ให้การบ้านเด็กโดยการให้ไปตั้งคำถามคนละ 100 ข้อ แล้วอาจาร์ยจะสุ่มถามจากคำถามที่นักเรียนตั้งเอง ไม่น่าเชื่อว่าวิธีการแบบนี้มีมานานแล้วแต่มันขึ้นอยู่กับว่าใครจำนำไปปรับใช้อย่างไร
  • 2.การเรียนรู้จากผู้ฟังหรือผู้ร่วมสนทนา ซึ่งจะมีการปะทะกันทางปัญญาโดยเราจะต้องเปิดให้เขาได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นเพื่อจะได้แลกเปลี่ยนกันมันก็จะเกิดการเรียนรู้ในสิ่งใหม่และได้วิธีคิดแบบใหม่ ๆ

ส่วนความเห็นเกี่ยวกับ คสช. ดิฉันมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คสช. จะเข้ามาช่วยประเทศไทยให้รอดพ้นจากระบบทักษิณ ระบบวัตถุนิยม ระบบที่เรียกว่าไม่มีความยุติธรรม เห็นแต่ผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ไม่มีจริยธรรม ไม่มีความโปร่งใส ถึงเวลาแล้วที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันและปลูกฝังคนรุ่นใหม่ รวมทั้งลูกหลานของเราให้รักความเป็นไท รักในสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

วันที่17 กรกฎาคม 2557 สิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้

  1. การนำเสนองานกลุ่มประเด็นที่น่าสนใจจากหนังสือ Excution the Discipline of Getting things Done ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการที่ทำให้งานสำเร็จคือ Strategy People และ Operationวางแผนดีเลือกคนที่ถูกกับงาน และการกำกับกระบวนการดีจะทำให้ประสบผลสำเร็จในงานได้
  2. หัวข้อการพัฒนาระบบสุขภาพของไทยกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบันของอาจารย์ชเนฏฐวัลลภ ณ ขุมทอง อาจารย์ได้เปิดประเด็นให้พวกเราทราบถึงระบบสุขภาพของไทยในปัจจุบันและการมองภาพระบบสุขภาพในอนาคตว่าจะมีแนวโน้มอย่างไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่จะมาเกี่ยวข้องทั้งด้านอุปสงเช่นโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงวัยมากขึ้น การย้ายถิ่นจากการเปิดการค้าเสรี ด้านอุปธานเช่นความเป็นเลิศในการรักษาโรคยากซับซ้อน การวิจัยเพื่อหาองค์ความรู้ใหม่ ตลอดจนถึงปัจจัยทางด้านเศษฐกิจการเมืองการปกครอง ซึ่งเราต้องกลับมาศึกษาตัวเราโดยการทำ SWOTว่าเรามีแผนพร้อมหรือยัง

    ที่จะรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

  3. หัวข้อกรณีศึกษาด้านการวิจัยและการพัฒนาได้เรียนรู้ว่าการทำวิจัยเปรียบเหมือนดวงตาของหน่วยงานผู้ที่จะเป็นนักวิจัยที่ดีจะต้องเป็นผู้ที่มองเห็นปัญหาแล้วช่างสงสัยและหัดตั้งคำถามแล้วพยายามค้นหาคำตอบการทำวิจัยที่ดีต้องสร้างมูลค่าเพิ่มและจากการทำ Workshop ทำให้เราทราบว่าคณะแพทย์ของเรามีงานวิจัยและนวตกรรมมากมายที่รอหน่วยงานที่จะส่งเสริมผลักดันเพื่อให้มีการพัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร

ขอบคุณทีมบริหารคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ให้โอกาสมาเรียนรู้ในหลักสูตรนี้ค่ะ

วันที่ 3 กรกฎาคม 2557

สำหรับการเรียนรู้ในวันแรก รู้สึกบรรยากาศเป็นทางการมีความขลังและพลังร่วมของทุกคนมากมายที่เดียว ซึ่งมีความกดดันและต้องตั้งใจเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นโครงการอบรมที่ได้รับความคาดหวังมากมายทีเดียว

เริ่มด้วยการสะดุดตรงคำพูดที่ว่า ภาวะวิกฤตมาแล้วก็ไป มาแล้วก็มาอีก เราต้องพัฒนาตนเองเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ให้ได้

ประทับใจทฤษฎี 3V ซึ่งประกอบด้วย

1.Value added = สร้างมูลค่าเพิ่ม

2.Value Creation = สร้างคุณค่าใหม่

3.Value Diversity = สร้างคุณค่าจากความหลากหลาย

ประทับใจ Mindset เป็นสิ่งที่เพิ่งเข้าใจว่า คือความเชื่อที่ฝังลึกอยู่ข้างใน จนเป็นปรัชญาชีวิตบางอย่างซึ่งทำให้เกิดพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงยาก ซึ่งอาจส่งผลให้เราไม่มีการพัฒนาได้ และการนำมาปรับใช้ในการทำงาน ในองค์กรส่วนใหญ่มักติดกรอบ mindset บางอย่างจึงไม่เกิดการพัฒนา เช่น คิดว่าความสำเร็จในอดีตที่คิดว่าดีอยู่แล้วจึงไม่คิดจะพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เป็นต้น

ขอบคุณค่ะ

วันที่ 4 กรกฎาคม 2557

สำหรับการเรียนรู้ในวันที่ 2 ประเด็นความท้าทายช่วงเช้า ได้แนวคิดที่ว่า ความภูมใจต่างๆ เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องพอเหมาะพอดี เพราะบางครั้งหากเรามโนมากไปก็หลอกตัวเอง แต่ถ้าหากไม่มีเลยก็ขาดกำลังใจ จึงต้องตั้งอยู่บนความเป็นจริงค่ะได้ แนวคิดว่าเป้าหมายเป็นสิ่งท้าทาย การที่จะให้ได้ผลลัพธ์ที่ต่างจากเดิม กระบวนการทำงานต้องต่างจากเดิม

ส่วนช่วงบ่าย อ.ศรัณย์ มาแบบสนุกสนานและเต็มไปด้วยสาระ เน้นการคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบ มีการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และจบลงด้วยการปฏิญาณตนว่าจะนำความรู้ที่ได้กลับไปปฏิบัติต่อรู้สึกประหลาดใจ และประทับใจมากค่ะ

ขอบคุณค่ะ

วันที่ 5กรกฎาคม 2557

สำหรับการเรียนรู้ในวันที่ 3 ประทับใจเนื้อหาที่อาจารย์กล่าวว่า เมื่อเราชมใครให้ชมที่ตัวตน ไม่ใช่ชมที่ผลงาน เช่นน้องทำงานออกมาได้ดีเยี่ยม เราต้องชมความตั้งใจ ขยัน ทุ่มเทของน้อง ไม่ใช่บอกว่างานออกมาดี

ประทับใจในส่วนที่กล่าวว่า ในโลกนี้ไม่มีคำว่ายาก หากแต่มีคำว่าไม่คุ้นเคยเท่านั้น

ทำให้มีกำลังใจในการพัฒนางานต่างๆ ต่อไปค่ะ

*****กิจกรรม: ให้เลือกรูปภาพที่ชอบมา 3 รูป รูปที่ 1 รูปไหนที่เป็นตัวเองใน5-10 ปีที่แล้ว,รูปที่ 2 รูปไหนที่แสดงถึงปัจจุบัน,รูปที่ 3 รูปไหนที่แสดงถึงเป้าหมายชีวิต 5-10 ปีข้างหน้า แล้วสลับกันเล่าเรื่องรู้สึกประทับใจในกิจกรรมนี้มาก อยากนำไปขยายต่อกับน้องๆ ที่ทำงานค่ะ****

...............................................................

ช่วงบ่าย หัวข้อ “Personality and Social Skills Development”โดย อาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์ เป็นกิจกรรมที่ดีมากได้รับความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย สนุกและมีสาระเต็มเปี่ยมค่ะ

ขอขอบคุณ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ซึ่งเป็นคุณครูใหญ่ที่ทำให้นักเรียนคนนี้ได้เรียนรู้กับอาจารย์ผู้ทรงคุณค่าทุกท่านค่ะ

งานครั้งที่ 4

บทความจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า 3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย

ตนเองได้แนวคิด การฝึกเรียนรู้จากการตั้งคำถาม และการเรียนรู้จากผู้ฟัง และสิ่งต่างๆ ซึ่งเราต้องคิดวิเคราะห์ด้วยความรอบคอบ รวมทั้งรับรู้ถึงความสำคัญของการปลูกจิตสำนึกของคนให้มีจุดยืนที่ถูกต้องในทุกระดับ โดยเฉพาะระดับผู้นำต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณธรรม เพื่อเป็นแบบอย่างและบรรทัดฐานในสังคม

ขอบคุณค่ะ

วันที่ 17 กรกฎาคม 2557

วันแรกของสัปดาห์ที่ 2 เริ่มจากการนำเสนองานกลุ่มประเด็นที่น่าสนใจจากหนังสือ Excution the Discipline of Getting things Done เห็นความตั้งใจและกระตือรือล้นในการเรียนรู้ของเพื่อนทุกกลุ่ม มีการรวบรวมข้อมูลและนำเสนอผลงานดี ๆ ให้ได้เรียนรู้ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นของทุกคน ขอบคุณค่ะ

ตามด้วยหัวข้อการพัฒนาระบบสุขภาพของไทยกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน            โดยอาจารย์ชเนฏฐวัลลภ ณ ขุมทอง อาจารย์เปิดประเด็นชวนคิดและสรุปภาพกว้างให้เราไปต่อยอดด้วยตัวเอง เป็นการจุดประกายที่ดี

และหัวข้อกรณีศึกษาด้านการวิจัยและการพัฒนา ได้เรียนรู้ว่าการทำวิจัยเปรียบเหมือนดวงตาของหน่วยงานซึ่งทำให้เห็นภาพของการวิจัยชัดเจนขึ้น เพราะหากองค์กรใดไม่มีดวงตาคงจะพัฒนาลำบากค่ะ นอกจากนี้ยังประทับใจการทำงานกลุ่มในเวลาจำกัดแต่ทุกคน ทุกกลุ่มตั้งใจจนได้ผลงานมาแลกเปลี่ยนอย่างกว้างขวางค่ะ

ขอบคุณค่ะ 

วิเคราะห์ข่าวแนวหน้า 5 กรกฎาคม 2557

3 คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย

อ.จีระ ได้ลองตั้งคำถาม ที่ทันต่อสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ หาทางแก้ไข และนำพาประเทศไปสู่ ความสงบ ความสุขและยั่งยืน

คำถามทั้ง 3 คำถาม มีคำตอบที่ไม่หนีกันเลย คือ ประเทศไทยมีประชาธิปไตย จอมปลอม เลือกที่จะมีผู้นำที่ขาดจริยธรรม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และพวกพ้อง ละเลยปัญหาที่ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตน เช่น ปัญหาแรงงาน ปัญหาผู้อพยพ หรือ ปัญหาเรื่องคุณวีระ ก็แค่ คนๆหนึ่งที่ไปติดคุกในต่างแดน ช่วยคุณแล้วได้อะไร กอร์ปกับพฤติกรรมของ เจ้าหน้าที่รัฐ นายทุนที่เห็นแก่ตัว รวมไปถึงนักวิชาการประชาธิปไตย จอมปลอม ที่วัดประธิปไตย แค่เพียงการหย่อนบัตรเลือกตั้งเท่านั้น ทำให้มองเห็นว่า คนไทยเกือบจะถูกกลืนไปกับระบอบที่เลวร้ายนี้แล้ว เพราะทุกคนพร้อมที่จะโกงกิน เมื่อมีโอกาส

และมองเห็นการโกงกิน การเอารัดเอาเปรียบ หรือทำทุกอย่างไม่ว่า จะผิดหรือถูกเพื่อตนเองและประโยชน์พวกพ้องเป็นเรื่องปกติ ยังไม่สายเกินไป ที่เราจะหันกลับมามองบทเรียนที่แสนแพงนี้ เป็นการเริ่มต้นสิ่งดีๆ มาช่วยกันทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ไม่ละเลยความเดือดร้อนของผู้อื่นและสังคม สถาบันครอบครัวที่ดี การศึกษา และการให้การสื่อสารที่ถูกต้องอย่างทั่วถึง เป็นฟันเฟืองสำคัญ ที่ไม่ควรมองข้าม

จากบทความ สรุปได้ว่าคนเราต้องมีจริยธรรม คุณธรรม และหากผู้นำของประเทศขาดทั้งจริยธรรม คุณธรรม ไม่เห็นประโยชน์ของบ้านเมือง เห็นแต่ประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง ไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ผลเสียก็จะเกิดกับประเทศชาติ

เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ของการเรียน วันที่ 17 กค 57 มีหัวข้อเรื่องการพัฒนาระบบสุขภาพของไทยกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน โดยอาจารย์ชเนฎธวัลลภ ณ ขุนทอง อาจารย์ให้พวกเราคิดคำ 3 คำที่เป็นอนาคตระบบสุขภาพไทยในอนาคต ทุกกลุ่มได้แสดงมุมมองภาพอนาคตที่หลากหลายและมีความเป็นไปได้ทั้งหมด เราจะมีการจัดการกับภาพอนาคตนั้นๆอย่างไรเป็นโจทย์ที่สำคัญและท้าทาย  เช่น อนคตเราจะพบกับสังคมผู้สูงอายุ คนอายูยืนยาวขึ้นการแพทย์ต้องรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งปัจจุบันมีการพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้น แต่ยังไม่เห็นการวางแผนจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นระบบที่ชัดเจน ซึ่งคงไม่ใช่การรับมือทางด้านการแพทย์อย่างเดียว ต้องมีการจัดการทางด้านเศษฐกิจและสังคมเพื่อให้ผู้สูงอายุที่ทำงานไม่ได้แล้วมีรายได้หรือเลี้ยงตัวเองได้ มีชีวิตในสังคมอย่างมีความสุขตามอัตภาพ  นอกจากนี้การแพทย์จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้แก่ society / politic/ culture/ technology/ economy เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการแพทย์ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในทุกเรื่องการจัดการด้านการแพทย์ต้องอาศัยความร่วมมือกับทีมวิชาชีพอื่นๆ เช่น แพทย์ต้องร่วมมือกับนักบัญชีในการจัดการด้านการเงินให้โรงพยาบาลมีความมั่นคงทางด้านการเงิน มีสภาพคล่องทีดี จะเห็นว่าการสร้างเครือข่าย(network) เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมากๆ ซึ่งถ้าเรามองคณะแพทย์ของเราโดยใช้ทฤษฎี 2R ตามความเป็นจริง(reality)คณะแพทย์ของเราต้องพัฒนาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนที่สุด เพราะที่ผ่านมาเรามักจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง อาจจะเป็นเพราะเรามีความสามารถ แต่ในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงมากมายรอเราอยู่ การทำทุกอย่างหรือเริ่มทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่คิดถึงการต่อยอดจากสิ่งที่มีหรือคนอื่นทำไว้ส่วนหนึ่งแล้ว เราจะมีวิธีการทำงานที่ไม่ฉลาด เหนื่อย และองค์กรของเราจะก้าวกระโดดไม่ได้เลย... 

ครั้งที่ 5 17 ก.ค.2557 วิภารัตน์ จุฑาสันติกุล

สรุปสิ่งที่ได้เกิดการเรียนรู้และนำมาปรับใช้กับการทำงาน

การเรียนรู้ที่ได้จากการร่วมกัน present แปลจากหนังสือ Execution แต่ละกลุ่มมีความพร้อมและมีความตั้งใจในการนำเสนอด้วยความเข้าใจและเมื่อนำทุกบทมารวมกันผู้ร่วมอบรมทุกท่านก็สามารถเข้าใจเนื้อหาหลักๆได้ถึงกระบวนการที่จะทำให้องค์กรประสบผลสำเร็จ เห็นถึงหน้าที่หลักของผู้นำ พฤติกรรมที่สร้างความผู้นำ วัฒนธรรมขององค์กร สิ่งสำคัญที่เราสามารถนำมาปรับใช้ คือ ผู้นำต้องเลือกผู้ใต้บังคับบัญชาให้ถูกกับงานที่ทำ ถูกที่และถูกเวลา รวมถึงมีการเชื่อมโยงในการให้รางวัลบ้างเมื่อทำผลงานได้สำเร็จ

สรุปประเด็นทิศทางการแพทย์และสาธารณสุขในประเทศไทยกับการทำงานที่มีประสิทธิภาพของคณะแพทย์มอ

เมื่อมองระบบสุขภาพไทยในอนาคต ซึ่งมองได้หลายประเด็นจากการระดมความคิดของแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วย 1) โครงสร้างประชากร health promotion 2) ระบบบริการแบบพันธมิตร3) แข่งขันกันสูง มุ่งความเป็นเลิศ บริการที่เท่าเทียม4) เป็นระบบสุขภาพผู้สูงวัย มีการย้ายถิ่น และไม่แน่นอน 5) สานความหลากหลาย ประชากรอายุยาวนานขึ้น

ซึ่งจะเห็นได้ว่าระบบสุขภาพไทยต้องตอบสนองชุมชน ต้องรู้จักชุมชน ตอบสนองประชากรที่ย้ายถิ่น

ซึ่งเมื่อมองที่รพมอ เราตอบคำถามได้หรือยังว่ามอตอบสนองได้ครบถ้วนหรือยัง ประเด็นที่น่าสนใจคือ มอไม่ต้องมองความเป็นเลิศแข่งขันกับโรงพยาบาลใหญ่ๆในส่วนกลางแต่ควรมองในมุมของAEC ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูงเนื่องจากเราอยู่เขตชายแดน ซึ่งวิธีการ คือ เราต้องหาคุณค่าก่อนว่าเราจะตอบสนองอย่างไร หาตัวช่วยร่วมกันแก้ปัญหา และพยายามทำต่อไปไม่หยุดนิ่ง เชื่อมโยง 3 คำที่น่าสนใจคือ AEC เชื่อมโยงและแบ่งปัน

สรุปประเด็นวิเคราะห์บทบาทของคณะแพทย์มอและความสัมพันธ์กับภาคธุรกิจและภาคอื่นเรื่องการวิจัยและพัฒนา

สำหรับการทำวิจัยชองคณะแพทย์มอที่ควรมีการพัฒนา มีความคิดเห็นดังนี้ ควรร่วมกันสร้างเครือข่ายในการต่อยอดงานวิจัยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยอาจมีการตั้งศูนย์รวมวิจัยที่มีเครือข่ายของทุกคณะในมหาวิทยาลัย เพื่อผลักดันและช่วยเหลือในการทำงานวิจัย มีการให้ความรู้และที่ปรึกษาในทุกขั้นตอนของการทำวิจัยอย่างจริงจัง ควรมีการต่อยอดเพื่อสร้างรายได้และมีการจดสิทธิบัตร หัวข้อวิจัยที่น่าสนใจและน่าทำคือด้านสมุนไพรไทย กับการวิจัย สำหรับผู้นำควรสร้างบรรยากาศของการทำวิจัย มีการให้รางวัลเมื่อทำงานวิจัยสำเร็จ

การพัฒนาระบบสุขภาพไทย

อ. ชเนฏฐวัลลภ ณ ขุมทอง 17 กค. 57

ระบบสุขภาพเกี่ยวข้องกับ

1. Health

2. Medicine

3. Science

4. Society

5. Politics

6. Culture

7. Technology

8. Economy

9. Management

ระบบสุขภาพของไทยในอนาคตเป็นอย่างไร

โครงสร้างประชากรมีผู้สูงวัยมากขึ้น ภาวะสุขภาพเลี่ยนแปลงผู้ป่วยโรคเรื้อรังมากขึ้น ในขณะที่งบประมาณในด้านสุขภาพมีจำกัด มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการรักษาพยาบาล มีการแข่งขันด้านบริการสุขภาพ คิดค้นนวัตกรรมเพื่อให้เกิดความเป็นเลิศ นโยบายด้านการเมือง ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีผลต่อการจัดบริการสุขภาพ

การให้บริการพยาบาลเปลี่ยนจากการรักษามาเป็นการป้องกัน

การวางแผนทางสุขภาพและนโยบายต้องการการวิเคราะห์ในเรื่อง

1. Technical analysis

2. Ethical analysis

3. Political analysis

4.Medical intervention

5.Health risk management

6.Health resource allocation

          ไม่มีทางที่เราจะได้คำตอบที่ดีที่สุดในการก้ปัญหาหรือป้องกันปัญหาในอนาคต แต่คำตอบนั้นอาจดีในสถานการณ์นั้น การเรียนรู้ในยุคต่อไปจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ข้ามศาสตร์ ทั้งด้านวิชาชีพเรา ด้านเศรษฐศาสตร์ การเมืองวัฒนธรรม การจัดการเพื่อให้มีศักยภาพไปรองรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

            บทเรียนนี้ทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาตนเองและบุคลากรให้ตื่นตัวในการเรียนรู้ขัามศาสตร์ที่หลากหลายสาขาที่เกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพทั้ง 9 ข้อดังกล่าว ในภาวะที่มีข้อจำกัดด้านการเงินการคลังของประเทศ รวมถึงนโยบายการเมืองที่เปลี่ยนแปลงตามยุค อนาคตการประกันสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็น ประชาชนต้องมีส่วนรับผิดชอบภาวะสุขภาพตนเองและร่วมจ่ายในกองทุนสุขภาพต่างๆเช่นการประกันสังคม การประกันสุขภาพในรูปแบบต่างๆ ระบบให้บริการสุขภาพจำเป็นต้องคิดนวัตกรรมในการป้องกันส่งเสริมสุขภาพประชาชนเพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรงและป้องกันความเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ

                                             

                                    งานวิจัยกับการพัฒนางาน

                                                              นท.นพ.จักรพงศ์ ไพบูลย์ 17 กค. 57

             การพัฒนางานโดยการทำวิจัยต้องเลือกทำวิจัยให้เหมาะกับบริบทของเรา รู้จักตนเองค้นหาความเชี่ยวชาญของเราและสิ่งที่เด่นในภูมิภาคเรามาทำวิจัยเพื่อให้เกิดความโดดเด่น จึงจะสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ

              การทำงานกลุ่มเพื่อวิเคราะห์บทบาทของคณะแพทยศาสตร์ ความสัมพันธ์กับธุรกิจและภาคอื่นๆในเรื่องการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแบบ 3 V ทำให้ทราบบริบทของเราว่าด้านวิจัยเราอยู่ที่ไหน ต้องการจะไปที่ไหน วิธีที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายและประสบความสำเร็จทำได้อย่างไร ซึ่งจะเป็นแนวทางในการคิดต่อยอดในการเพิ่มคุณค่าในสิ่งที่มีอยู่ รวมถึงงานวิจัยในบริบทภาคใต้

day3 เป็นวันที่เรียนสนุกมาก

ใช้ปรับตัวเองได้จริง ปรับได้ทันที

Bug You The Introduction to inner voice dialogue

exerciseด้วยการตอบ4คำถาม

เริ่มด้วยช้องที่2  คนที่ไม่ชอบ ลักษณะ

ช่องที่3  คนที่ชอบ ลักษณะ

ช่องที่2  ข้อดีของช่องที่2

ช่องที่4   ไม่ดีของช่องที่3

สอนให้เรารู้  เข้าใจ เขา ก่อนที่เราจะมีปฎิกริยา

ช่วงบ่าย ได้ประโยชน์และความสนุกสนานในการปรับปรุงpersonalityและการเข้าสังคม

ทั้งกิริยามารยาท การแต่งกาย การนั่ง ยีน เดิน 

ฉมาภรณ์

วันที่18 กค.2557

วิชาที่10 "3Vs and Mini Research for the Innovative Project"

ได้หลักคิดด้วยการตั้งคำถาม ตอนนี้เราอยู่ตรงไหน เราจะไปไหน และจะไปอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

และที่ไม่สำเร็จ น่าจะมีสาเหตุจากอะไร เมื่อแยกแยะปัญหาได้แล้ว คิดหาแนวทางแก้ไข และลงมือปฏิบัติ

จากนั้นจะได้นวัตกรรมออกมา ส่วนช่วงบ่าย หัวข้อCEO - New HR- Non HR- Stakeholders  ซึ่ง

ดร.เกริกเกียรติ ศรีเสริมโภค ได้เล่าถึงแนวทางในการคัดเลือกคนเข้าทำงาน โดยเลือกจากทัศนคติ 

ความคิดเชิงบวก และให้ทำงานที่ไม่ถนัด ให้ผู้ที่เขาเกี่ยวข้องด้วย เป็นผู้ประเมิน หัวหน้าจะมีนำ้หนัก

น้อยในการประเมิน  และไม่ได้เอาเป้าหมายเป็นตัวนำ แต่จะเน้นที่ให้คนสามารถทำงานให้เขาได้ เมื่อคน

ทำงานได้ เป้าหมายก็จะตามมา ใช้คำว่าท้าทาย แทนปัญหา  ไม่โทษว่าใครทำผิด แต่จะหาสาเหตว่า

จากอะไร  ที่สำคัญ ให้มองคนทุกคน คือ innovator ทั้งหมด

ผมสนใจการวิเคราะห์ตามแนว PPCO ที่อ.ศรัณย์เสนอมากครับ

19 กค.ภาคเช้า วัฒนธรรมองค์กร -การบริหารการเปลี่ยนแปลง

"การอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาด หรือความแข็งแกร่ง แต่เป็นเรื่องของความสามารถในการปรับตัวให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น" แล้วเราได้เตรียมคนของเราอย่างไร ให้สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นั่นคือเราจะต้องปรับทัศนคติเป็นเรื่องแรก โดยให้เขาเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมีความจำเป็น และสอดแทรกแนวความคิดบวก ถึงการทำงานเราต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะต้องทำงานกับใคร และหากจะเปลี่ยนแปลงอะไร อย่างไร ต้องสื่อสารให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ และติดตามผลเพื่อพัฒนาต่อไป

    ส่วนภาคบ่าย  เทคนิคการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ

 ต้องดูปัญหาให้ออก ด้วยคุณลักษณะ 3 ประการ คือ Unexpected ,cause unknown,และ major concern เมื่อผิดแล้ว อย่าหาว่าใครทำผิด เพราะจะเสียแนวร่วม แต่ให้ดูว่าอะไรผิด เราก็จะได้แนวร่วมมาช่วยคิดแก้ปัญหาและ การทำงานของแต่ละระดับจะต้องมีความสมดุลย์ระหว่าง efficiency กับ effective ซึ่งผู้บริหารจะต้องเลือกอันที่ถูกมาทำให้มากกว่า(effectiveness= get the right thing done) ดังนั้นการบริหารเวลาก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน อจ.แนะให้ใช้ไดอารี่ 3 เล่ม มาช่วยในการบันทึก ว่าจะทำอะไร- วันนี้ได้ทำอะไรไปแล้ว และให้ผู้ใกล้ชิดบันทึกว่าแต่ละวันได้ทำอะไร จากนั้นนำทั้ง 3 เล่มมาดูว่าคล้ายกันหรือไม่ ก็จะพบคำตอบ

ครั้งที่ 6 18 ก.ค.2557 วิภารัตน์ 

สรุปสิ่งที่ได้เกิดการเรียนรู้และนำมาปรับใช้กับการทำงาน

หัวข้อ mini research for innovation project

แนวทางในการทำ mini researchต้องแม่นยำในการแยกออกให้ชัดเจนว่าเป็นวิจัยแบบ value added (v1 ) value creation (v2 ) value diversity (v3)

สำหรับคณะแพทย์ศาสตร์มอต้องย้อนดู vision ว่าอนาคตมีเป้าหมายอย่างไรเพื่อที่จะได้นำมาคิดหัวข้อวิจัยให้สอดคล้องและสิ่งที่สำคัญต้องปรับmindsetในการคิดสิ่งใหม่ การทำวิจัยโดยในกระบวนการคิดมี 4ขั้นตอน

  • 1)Where are we 2) where do you want to go 3) how to do it 4) how to do it successfully

โดยเราต้องตอบคำถามทั้ง4ข้อให้ได้ซึ่งconcept ในการคิดต้องกำหนดประเด็นปัญหาและหัวข้อวิจัยที่ท้าทายและบรรลุvisionของมอ หาปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้ไปไม่ถึงและสรุปว่าข้อไหนที่ควรสำคัญที่สุด

เกิดการเรียนรู้ว่า ถ้าเราแม่นยำและยึดตามขั้นตอนข้างต้นก็สามารถที่จะนำมาปรับใช้กับการทำงานและการทำวิจัยได้อย่างดีมากทำให้การทำวิจัยง่ายขึ้น

สรุปหัวข้อ CEO-NEW HR-NON HR- STAKEHOLDERS

ในองค์กรคนเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญที่สุดในทุกระดับตั้งแต่หัวหน้าระดับสูงจนถึงระดับปฏิบัติการ ดังนั้นองค์กรจะขับเคลื่อนได้ต้องทำงานเป็นทีมและต้องมีการ share value และ share benefits กันต้องให้ บุคลากรทุกคนโดยเฉพาะกลุ่ม NON HRทำงานโดยเค้าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรมีทัศนคติที่ดีในการอยู่ร่วมกันและทำงานเป็นทีม

สำหรับการเรียนรู้จากการบรรยายของดร. เกริกเกียรติ ได้แนวคิดในการบริหารคนคือ

CEO ต้องปรับแนวคิดวิธีการที่จะให้คนรุ่นใหม่อยู่กับองค์กรได้นานหารูปแบบใหม่ในการทำงานที่ต่างไปจากเดิมแต่ผลผลิตคงได้เท่าเดิมหรือดีกว่าเดิม CEO ต้องเข้าถึงลูกน้องต้องแจ้งเป้าหมายองค์กรให้ทุกกลุ่มของบุคลากรทุกเดือน เปิดโอกาสให้ลูกน้องปรึกษาได้ตลอด

ครั้งที่ 7 19 ก.ค.2557 วิภารัตน์

สรุปสิ่งที่ได้เกิดการเรียนรู้และนำมาปรับใช้กับการทำงาน

หัวข้อวัฒนธรรมองค์กรและการบริหารการเปลี่ยนแปลง

แนวคิดทฤษฏีการเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องของการสร้างความแข็งแรงให้บุคคลซึ่งต้องประกอบด้วยความรู้ทักษะและทัศนคติ เมื่อมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในองค์กร เช่นมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำใหม่ การเปลี่ยนทัศนคติของคนให้ยอมรับสิ่งใหม่จะยากมาก เทคนิคที่น่าสนใจและควรนำมาใช้ คือหัวหน้างานต้องพยายามสอดแทรกบ่มเพาะแนวคิดในการที่จะเปิดใจตนเองในการที่จะยอมรับการเปลี่ยนผู้นำใหม่ต้องตระหนักว่าเราทำงานกับใครก็ได้โดยพื้นฐานที่เราต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดและต้องคิดสิ่งใหม่ว่าหากเราไม่ทำองค์กรจะเสียหายอย่างไร สำหรับการรับมือกับปฏิกิริยาของขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการปฏิเสธและต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ทีมบริหารต้องไวแปรับตัวให้ทันต้องมีการชี้แจงสื่อสารให้เกิดความเข้าใจชี้ให้เห็นถึงประโยชน์จาก การเปลี่ยนแปลงเมื่อเค้าเห็นก็จะเกิดการยอมรับเอง

หัวข้อกระบวนการตัดสินใจ

ได้เรียนรู้เทคนิคการตัดสินใจที่ทำให้ผู้นำประสบความสำเร็จในงานต้องมีความเก่ง4 ด้าน

  • 1.Timing management จากการบันทึกไดอารี 3 เล่มโดยเนื้อหาเราต้องมีจุดยืนในการคิดว่าเราอยากทำอะไร เราทำอะไรไปแล้วบ้างในแต่ละวันและดูว่าทำได้จริงไหม
  • 2.Priority ต้องจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ทำ
  • 3.Contribution แบ่งสัดส่วนการบริหารงานให้ดี
  • 4.Strength ต้องมีจุดแข็งอย่างน้อยซัก1เรื่องในคน1คน(ลูกน้อง)

เรียนรู้เทคนิคในการแก้ปัญหาในที่ทำงาน เมื่อลูกน้องเข้ามาปรึกษา ผู้นำต้องตัดสินใจให้ได้ว่าปัญหานั้นเป็นปัญหาจริงๆหรือไม่ แนวทางการคิดคือ 1) unexpected ปัญหาที่ไม่คาดคิดมาก่อน ผู้นำควรคิดไว้ล่วงหน้าว่าควรทำอะไรบ้างแบบproactive 1) cause unknown พิจารณาเรื่องที่เล่าว่ารู้สาเหตุที่เกิดไหม 1) major concern เรื่องนี้สำคัญมากไหม ผู้นำควรใกล้ชิดและฟังลูกน้องที่อยู่หน้างานจริง มีคนปรึกษาบ้างครั้ง

ซึ่งผู้เรียนคิดว่าสามารถนำมาใช้ได้ดีกับการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาในทำงาน

สิ่งที่ได้จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันเสาร์ที่ 5 กค.2557                                                           ประเทศไทยต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาของระบบต่างๆ ที่ไม่เลวร้าย เช่น การโกงกิน ขาดจริยธรรมฯ ซึ่งฝังรากลึกมานานนับ 10 ปี รัฐทำตามอำเภอใจ

โดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย การแก้ไขต้องทำโดยการปฎิรูประบอบการเลือกตั้ง และทุกภาคส่วน ทุกฝ่ายต้องหันหน้าร่วมือกัน ทั้งในระดับชาติ และ ระดับประเทศ

โปรดคลิกที่ลิ้งค์ข้างล่างนี้เพื่ออ่านข่าวโครงการ

http://www.gotoknow.org/posts/572062

ที่มา: FIHRD-Chira Academy. รายปักษ์ ประจำวันที่ 6-20 กรกฎาคม 2557

http://www.gotoknow.org/posts/573078

ที่มา: FIHRD-Chira Academy. รายปักษ์ ประจำวันที่ 21 กรกฎาคม - 5 สิงหาคม 2557

สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2557 :

  • คน คือ ทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร และ Mindset จะเป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้เรียนรู้อดีต ปัจจุบัน และแก้ไข/พัฒนา/ปรับปรุง เพื่อก่อประโยชน์ต่อองค์กร
  • “ผู้นำส่วนหนึ่งมาจากพรสวรรค์แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้และสามารถฝึกฝนได้”ดังนั้นเพื่อให้ประสบความสำเร็จต้องขจัดความกลัวออกไป

สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ในวันที่ 5 กรกฎาคม 2557 :

  • การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ : ประสบการณ์มากเป็นกำไรของชีวิต ที่จะทำให้เกิดความเชี่ยวชาญมากขึ้น
  • ความสำเร็จมาพร้อมกับประสบการณ์ : อย่าปิดกันความคิดของผู้ใหญ่
  • Body and mind ต้องไปด้วยกัน
  • การสร้างบุคลิกภาพ : คำนึงถึงความปลอดภัย สะดวกสบาย ให้เกียรติ อัธยาศัยไมตรี และความเป็นระเบียบเรียบร้อย

วันที่ 4 ก.ค.57 สิ่งที่ได้เรียนรู้

การวิเคราะห์ประเด็นที่ท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ มอ. (Trend of Health sector Demand Driven)

บริการด้านสุขภาพของรพ.มอ.จะได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีมากขึ้น จากมาตรฐานการให้ บริการที่สูงขึ้นและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เคยสัมภาษณ์ฝรั่งคนหนึ่งมารักษาที่ รพ.มอ. เขาบอกว่ามีแพทย์ที่เก่งและเชี่ยวชาญด้านโรคตับ  และอีกด้านหนึ่งโรงพยาบาลจะถูกแข่งขันกันด้านบุคลากร ซึ่งอาจจะทำให้ขาดแคลนพยาบาลที่อาจกระทบด้วยการถูกเอกชนดึงตัวแพทย์ที่มีประสบการณ์ไปบ้าง


สรุปประเด็นสำคัญการอบรมโครงการพัฒนาบุคลาการเพื่ออนาคตของ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รุ่นที่ 1

วันแรก   3 กรกฎาคม 2557 

 วิชาแรก   การปฐมนิเทศ และแนะนำทฤษฏีที่สำคัญเพื่อการเรียนรู้  

                หลักการ แนวคิด การเรียนรู้ แบบ learn share care มุมมอง ภารพทรัพยากรมนุษย์จาก macro ไปสู่ การเรียนรู้เกี่ยวกับทุนมนุษย์ ภาวะผู้นำ Leadership หลักการ แนวคิด ทฤษฎีเกียวกับภาวะผู้นำ การจัดการสภาพแวดล้อมภายใน ภายนอกองค์กร ทฤษฏี 3 วงกลม การปลูก หรือพัฒนาศักยภาพของคนในองค์กร ด้วย 8k + 5 k ในการจัดการทุนมนุษย์เพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน และทฤษฎี hrds

           การวิเคราะห์ประเมินผลสถานการณ์ ขององค์กรในประเด็น where are we,where we go, how to go และกระบวนการบริหารงานเพื่อให้องค์เดินทางไปสู่เป้าหมาย เฉพาะ International standard org. การเพิ่ม มลค่าเพิ่มให้กับองค์กร  และการมององค์กรแบบภาพรวม holistic

                 

วิชาที่ 2 ทุนมนุษย์- minset- leadership  และการทำงานในยุคที่โลกเปลี่ยนของคณะฯ  

             การเรียนรู้กระบวนการสร้าง mindset และภาวะผู้นำ ที่จะนำการเปลี่ยนแปลง การบริหารการเปลี่ยนแปลง การเป็น ผู้ทำที่เป็น change agent การสร้างความเชื่อมโยง ระหว่าง mindset ความเชื่อ ทัศนคติ และ พฤติกรรมที่แสดงออก ความแตกต่างระหว่าง mindset กับ attitude และทฤษฎี talent capital เกี่ยวกับเรื่อง skil knowledge และ mindset จะมีอิทธิต่อองค์กรอย่างไรบ้าง แนวทางการปรับ fixed  mindset มาเป็น Growth mindset สำหรับ องค์กร คณะแพทย์ศาสตร์ 

และการทำกิจกรรมกลุ่ม mindset ในอตีด และปัจจุบัน ของคณะฯ การปรับตัวในอนาคต  และวิธีการที่ปรับ mindset ให้ประโยชน์ต่อองค์กรคณะแพทยศาสตร์

วิชาที่ 3 leadership teamwork 

             การเรียนรู้ เกี่ยวกับภาวะผูนำ การทำงานเป็นทีม คืออะไร มีกระบวนการสร้างสรรค์ให้เกิดขึนภายในองค์กรได้อย่างไร การมองเห็นคุณค่าของความแตกต่าง คุณค่าของสิ่งที่ปรากฎ ระหว่างสิ่งที่เราเห็น กับสิ่งที่เขาเป็น การมองเป็าหมายความสำเร็จด้วย enduramce capability imagination inspiration value การวิเคราะห์และค้นหาคุณค่า บุคลิกภาพของคน บุคลิกภาพที่จำเป็นสำหรับผู้นำ ในช่วงท้ายวิทยากรได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับการตัดสินใจ เพื่อการสร้างทีมงาน ร่วมกัน ตลอดจนการสื่อสารเพื่อความรู้ ความเข้าใจร่วมกันเพื่อสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพ และกล่าวถึงความสำเร็จของทีม เครื่องสำคัญที่จะสร้างทีมงาน

สรุปประเด็นสำคัญการอบรมโครงการพัฒนาบุคลาการเพื่ออนาคตของ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รุ่นที่ 1

วันที่ 2 :วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม 2557

            วิชาที่ 4 panel discussion workshop หัวข้อเรื่อง วิเคราะห์ประเด็นท้าท้ายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ

      การเรียนรู้มุมมอง จุดยืนของผู้วิเคราะห์ในหลายฐานะ เช่น อาจารย์ ฐานะคนป่วย คนไข้ และในฐานะบุคคลทั่วไป มุมมอง เป็าหมาย และการทำการตลาดของโรงพยาบาลภาครัฐกับเอกชน  การมองในระยยาว long term การเป็น โรงพยาบาล private การเป็น Public health และ oversea hospital  สภาวะแข่งขันในปัจจุบัน กรอบแนวคิดที่เป็นประเด็นท้าทายในประด็น วัฒนธรรมการบริหาร new high technology .effientcy patient response เป็นต้น

            วิชาที่ 5 Key words of success : Leadership - Mindset - Thinking outside the box  - Thinking new box 

     การปรับเปลี่ยนแนวคิด หากต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป ต้องการปรับเปลี่ยนกระบวนการ รูปแบบการปฏิบัติแบบใหม่ หลักการของ logistic การเคลื่อนย้าย การจัดเก็บ รวบรวม กระจาย เส้นทางการเดินของงาน และวิทยากรได้ ทำกิจกรรมเพื่อวิเคราะห์ เหตุปัจจัย การสร้าง ความผูกพันธ์ และการทุ่มเท ให้กับองค์กรของผู้ปฏิบัติงาน และทำกิจกรรมวิเคราะหฺ์ตนเอง การวิเคราะห์ประเภทบุคคล ผู้มีวิสัยทัศน์ นักประดิษฐ์ นักประพันธ์ นักผจญภัย ผู้นำทาง นักสำรวจ นักบิน และนักประสานเสียง

      ระบบการคิดแบบ ppco การคิดคร่อมกรอบความคิด think out of the box  และขั้นตอนเสนอความคิดสร้างสรรค์ ไอเดียใหม่ให้หัวหน้ายอมรับ

สรุปประเด็นสำคัญการอบรมโครงการพัฒนาบุคลาการเพื่ออนาคตของ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รุ่นที่ 1

วันที่ 3:วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม 2557 

  วิชาที่ 6  managing self performance

      หลักการ management self performance การ coach แบบ one by one และลักษณะของ high livel of compentency  การสังเกตเสียงพูดคุยกับตัวเอง internal self การสอนแนะให้รู้จักกับความรู้สึก และ the sucesse principle by jack canfield  ปัจจัยด้าน cause - effect 

วิชาที่ 7 personality and social skill development 

      เรียนรู้หลักการพัฒนาบุคลิกภาพ และกิจกรรมการพัฒนาบุคลิกภาพด้วย การ role play การเดิน นั่ง ยืน  การแสดงออก กริยาท่าทางในโอกาศต่างๆ กัน การพูด และการสนทนา การแต่งกาย และทัศนคติพื้นฐาน 5 ข้อ ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย การให้เกียรติ อัธยาศัยไมตรี และความมีระเบียบเรียบร้อย

สุรกิจ ส่งวรกุลพันธุ์

การบรรยายวันที่สอง ( 4 กรกฎาคม 2557 )

หัวข้อ “วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มอ.”โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล อาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์ ดำเนินการอภิปรายโดย อาจารย์จีระเดช ดิสกะประกาย : การนำระบบโลจิสติกส์ที่เหมาะสม(การเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจาย ) มาปรับใช้

หัวข้อ “Key words of success: Leadership – Mindset – Thinking outside the box–Thinking new box.”โดย อาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์ :ความคิดนอกกรอบ ซึ่งอาจผิดกรอบสังคม แต่ก็อาจสามารถนำมาใช้ได้เมื่อเปลี่ยนให้เป็นการคิดคร่อมกรอบ โดยใช้หลัก PPCO คือ

  1. โฟกัสข้อดีของไอเดีย Pluses
  2. มองให้เห็นข้อดีในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้ Potential
  3. หากคิดแล้วกังวล Concerns
  4. ต้องหลบ เลี่ยง ทะลุ แก้ปัญหาจากสิ่งที่ติดขัด เพื่อหาทางออกในแต่ละข้อ Opportunities

การบรรยายวันที่สาม ( 5 กรกฎาคม 2557) 

หัวข้อ “Managing Self Performance”โดย อาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์ :ให้เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพพิเศษซ่อนอยู่ มองหาศักยภาพนั้น แล้วเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงออก

หัวข้อ “Personality and Social Skills Development” โดย อาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์ :แนวคิดในการพัฒนาบุคลิกภาพด้านต่างๆ และ หลักคิด 5 ข้อ คือ

  1. ความปลอดภัย
  2. ความสะดวกสบาย
  3. การให้เกียรติ
  4. อัธยาศัยไมตรี
  5. ความมีระเบียบเรียบร้อย
ฐานะพงษ์ แก้วกนิษฐารักษ์

วันที่ 3 กรกฎาคม 2557:เป็นวันแรก
-ทุนมนุษย์ เป็นเรื่องที่สำคัญ และการบริหารทุนมนุษย์ที่ประสบความสำเร็จสู่ความเป็นเลิศต้องประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ปลูก เพิ่มทักษะในการทำงานให้มากขึ้นเก็บเกี่ยว ทำให้เขาอยากทำงานให้เราและ execute

คำคมที่ดีมีประโยชน์ให้คิด

“ผู้นำส่วนหนึ่งมาจากพรสวรรค์ แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ และสามารถฝึกฝนได้และสุภาษิตจีน ว่า ปลูกพืชล้มลุก.. 3-4 เดือน ปลูกพืชยืนต้น.. 3-4 ปีปลูกพืชคน.. ทั้งชีวิต ต้องให้เวลากับสิ่งนี้ให้มาก
-Mindset พื้นฐานฝังรากลึกจะเปลี่ยนยากมาก เพราะมันอยู่มานานติดตัวเรา ส่วนAttitude คือ ทัศนคติ หรือ ค่านิยมชั่วคราว เปลี่ยนง่ายกว่า -Leadership & Team work Change การเปลี่ยนแปลง เมื่อเราคำนี้เมื่อไร ก็จะต้องเกิดคำถามตามมาว่าทำทำไมต้องเปลี่ยนแปลง แล้วจะได้อะไรจากการเปลี่ยนแปลง ทำอย่างไร
ผู้นำที่ดีต้องเข้าใจธรรมชาติ ใจกว้าง ต้องสื่อสารให้เป็นเปิดใจกว้าง รับฟัง และเข้าใจผู้ร่วมงาน
“Mindset อยู่ในใจเรา จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข”
วันที่ 2 (4 กรกฎาคม 2557)วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทย์ฯ มออ.พงษ์ชัย ได้วิเคราะห์จากมุมมองทางธุรกิจ ได้ค่อยดี สรุปให้เห็นว่าเราจะทำอะไรต่อไปข้างหน้า ว่าจะยืนในตำแหน่งนั้น จะเป็นผู้นำ หรือผู้ตาม ของธุรกิจ หาจุดแข็งของเรายืนให้ถูกตำแหน่ง รักษาความเป็นเราให้ได้อย่าติดกับดักของธุรกิจ อ.ศรัณย์ ทำและคิดต่างไปจากเดิม คิดสร้างสรรค์ คิดใหม่ทำใหม่ ได้ผลรับที่ต่างกัน4M การบริหารความคิดสร้างสรรค์ 1. Mindset 2. Mood 3. Mechanics 4. Momentum

วันที่ 3 ของการเรียน (5กรกฎาคม 2557)

€Managing Self Performance

อ.อิทธิภัทร สอนให้เราเข้าใจผู้อื่นด้วยทฤษฎี 3L’s Coaching1. รู้เรื่องผู้นำ2.รู้เรื่องทักษะชีวิต สิ่งสำคัญคือเวลา กับ เข็มทิศ 3. ต้องมีการเรียนรู้ และสิ่งที่มีอิทธิพลในชีวิตประจำวัน 3 สิ่งคือ1. Be ตัวเองเป็นอย่างไร 2. Do และ3. Have เป็นผลลัพธ์ ว่าจริงๆแล้วต้องการอะไร เป็นเป้าหมายในชีวิต

€- Personality and Social Skills Developmentอ.ณภัสวรรณ สอนให้รู้จักตัวเอง การปรับปรุงตนเอง ทั้งร่างกายและจิตใจ มองตัวเอง จากภายนอก และปรับปรุงสร้างความเชื่อมั่น ตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยที่เดียว เช่นผม เสื้อผ้า รองเท้า การไหว้ การเข้าสังคม ฯลฯ หลัก 5 ข้อที่ควรรู้ คือ ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย การให้เกียรติ อัธยาศัยไมตรี และความมีระเบียบเรียบร้อย

จากบทความเรื่อง 3 คำถามเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย

          สรุปได้ว่า ประเทศไทยนั้นมีปัญหาต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีตที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งถ้าเป็นเรื่องเที่เกี่ยวกัับการทำงานได้มีผู้ให้ความสำคัญกับการทำงานอยู่ 2 เรื่อง คือ

  • 1.ควรเรียนรู้จากการตั้งคำถามมากกว่าการหาคำตอบที่ถูกต้อง
  • 2.การสอนหนังสือหรือสัมมนาให้เรียนรู้จากผู้ฟังหรือลูกศิษย์

          ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นสามารถนำมาแก้ไขปัญหาของประเทศไทยที่ คสช. กำลังเผชิญอยู่และต้องหาทางแก้ไขปัญหาเพื่อพาประเทศไปสู่ความสงบสุขโดยเร็ว ซึ่งปัญหาที่สำคัญได้แก่ การค้ามนุษย์ที่เกิดจากการขาดคุณธรรมจริยธรรมของเจ้าหน้าที่และนักการเมือง ปัญหาเรื่องการจับกุมตัวคุณวีระ สมความคิด ที่รัฐบาลสมัยที่ผ่านมาไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเพราะรัฐบาลไม่ได้ประโยชน์ใดๆ และจากสื่อต่างประเทศที่มีอคติกับไทย เนื่องจากมองว่าระบบประชาธิปไทยมากจากการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้เคยมองว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องมีคุณธรรมจริยธรรม โปร่งใส และเน้นประโยชน์ส่วนรวม 

             จึงต้องขอขอบคุณ คสช. ที่หาทางออกในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับอนาคตของประเทศไทย และทำให้คนไทยได้ยืนหยัดขึ้นอีกครั้ง ที่สำคัญก็คือประชาชนทุควรมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย เช่น การปฏิบัติตนตามบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นต้น

วันที่ 18-19 กรกฎาคม 2557 สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ เรื่องหลักคิดการพัฒนาเพื่อให้เกิด Value Added , Value creationและ Value diversity คือเราต้องฝึกคิดทุกวันโดยใช้คำถาม Where are we : เราคือใคร Where do we want to go : เราจะไปไหน How to do it : เราจะไปอย่างไร How to do it successfully: เราจะไปอย่างไรให้ประสบผลสำเร็จ โดยนำวิสัยทัศน์ของคณะแพทย์ที่ว่า “เราจะเป็นคณะแพทย์ชั้นเลิศระดับนานาชาติเพื่อสังคมไทย” มาวิเคราะห์ว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้โดยค้นหาปัจจัยต่างๆที่ทีผลและได้ให้ทำ mini reserch เพื่อการพัฒนาให้ถึงเป้าหมาย วันที่ 31กรกฎาคม 2557 ช่วงของการนำเสนองานจากการอ่านหนังสือ Global HR competencies ได้เรียนรู้ว่าHR Competencies Model มี 6กรอบคือ 1.Credible Activist 2.HR Innovator and Integrator3.Strategic Positioner4.Capacity Builder5.Change Champion6.Technology Proponent ซึ่งHR ต้องใช้ในการพัฒนาเพื่อให้สำเร็จตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ หลังจากนำเสนองานกลุ่มแล้วพวกเราก็ได้ทั้งเหนื่อย และสนุก จากการหัดลีลาสในวัยสว. ได้เหงื่อกันทั้งวันเราได้รู้ว่าการเต้นลืลาสต้องใช้สมาธิขั้นสูงเลยเพราะต้องจำstepเท้าและการหมุนตัวในช่วงต่างๆให้ได้ไม่เช่นนั้นเมื่อหมุนแล้วจะกลับมาหาคู่ต้วเองไม่เจอได้ฮาเลย แต่ช่วงเย็นคิดว่าทุกกลุ่มน่าจะเครียดกันนะจากการเสนอแนะ mini research ของอาจารย์ทั้งสองท่าน แถมต่อท้ายด้วยว่าหลังวันแม่จะหนักยิ่งกว่านี้อีก

3 กค 57

ทฤษฏีเพื่อการเรียนรู้ (ศ ดร จีระ หงศ์ลดารมภ์)

การเติบโตอย่างยั่งยืน ต้องมี 3V > Learning organization

  • Value added เพิ่มในสิ่งที่มี
  • Value creation โดย think out of the box > turn idea into action
  • Value diversity

KM : knowledge management คือเก็บความรู้ในอดีต

LO : Learning organization คือ ความรู้ในอนาคต

บุคลากรประเภท change agents คือ มีความเก่ง กล้า และต้องมีคน support ด้วย

Networking มีความสำคัญต่อการทำงาน

ความเห็นวิทยากร : บุคลากรคณะแพทย์มี skill knowledge intelligence แต่ขาด mind set

: อันตรายของคณะแพทย์ คือ การจัดการ stake holder ไม่ดี

: เราเก่ง analysis แต่ขาด synthesis (ฟังความเห็นจากทุกทาง)

4 กรกฎาคม 2557

วิเคราะห์ประเด็นท้าทายสำหรับการทำงานของคณะแพทยศาสตร์

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

Where are we now and then?

Trend of Healthcare sector-demand driven

Private Tertiary hospitals such as Bangkok hospital group and Bummrungrand hospital

แนวคิด : โรงพยาบาลของรัฐ มุ่งเน้นรักษาโรค (เสียแล้วซ่อม: เหนื่อย)

เอกชนมุ่งเน้นทำให้ประชาชนได้รับการดูแลตรวจสุขภาพก่อน

> เราควรเน้นเชิงรุกในการป้องกัน

Location : มีข้อจำกัดทั้งข้อดี และข้อด้อย

> เราควรเน้นประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น

Private section : รพ ของรัฐติดเงื่อนไขพระราชบัญญัติด้านการรักษาพยาบาล เช่น การเรียกเก็บเงิน

ตัวอย่างวิธีแก้ไข : รพ.ศิริราช ตั้ง รพ.ปิยมหาราชการุณย์ โดยกำหนดว่า ไม่อยู่ในขอบเขต พระราชบัญญัติตามขอบเขตการรักษาพยาบาล และไม่ใช่สถานพยาบาลของสถาบันการศึกษา เพื่อเก็บได้เทียบเท่าเอกชน

ประโยชน์ : เลี้ยงตัวเองได้ ลด brain drain

>Medical tourism เพื่อรองรับคนไข้ที่มาจากหลากหลายพื้นที่ได้มากขึ้น เพื่อให้อยู่ได้

ทิศทางการแพทย์ในอนาคตของประเทศไทย

GDP Growth + Aging population +Medical tourism

  • 1.หากมีการเจริญทางเศรษฐกิจ อัตราการเติบโตทางการแพทย์ก็จะสูงขึ้นด้วย> ความต้องการเตียง เครื่องมือ สูงขึ้น
  • 2.Aging population ความต้องการเป็นเรื่องการตรวจเช็คร่างกายมากขึ้น
  • 3.Medical Tourism หา income จากคนรวย มาช่วยคนจน หรือหาเงินทุนวิจัยมาช่วย
  • เรามีการเตรียมความพร้อมในการโตอย่างไร ? คนกลุ่มที่มีเงินไปโรงพยาบาลเอกชนมากกว่า เช่น เครือ รพ.กรุงเทพ เป็นอันดับ 3 ของโลก

ความกดดันที่จะเป็นการท้าทายคณะแพทยศาสตร์

  • 1.Patient Protection Act ตรวจรักษาพยาบาล การวินิจฉัยคนไข้ ควรมีการอัดเทป จ่ายยามีการ Print ใหม่ มิใช่บอกปากเปล่า เพื่อป้องกันมิให้เกิดการจ่ายยาผิด หรือรับทราบในภายหลัง ศาลเข้าข้างผู้ป่วยมากกว่าเข้าข้างแพทย์
  • 2.Government Budget Cutting งบประมาณถูกตัดไปเรื่อย ๆ
  • 3.High Standard need
  • 4.Universal Coverage Scheme 30 บาทรักษาทุกโรค ยิ่งทำยิ่งลำบาก ใช้คนไม่ถูกจุด ต้นทุนสูง คนท้อ
  • 5.High Competition การแข่งขันสูง ระหว่างรัฐและเอกชน

เดิมเจ็บป่วยไปโรงพยาบาลรัฐ ไม่ว่าโรงพยาบาลส่วนภูมิภาค หรือส่วนกลาง กรณีรักษาโรคยาก แต่ปัจจุบันสามารถไปโรงพยาบาลเอกชนได้ ต่อไปโรงพยาบาลเอกชนตั้งบริษัททำประกันเอง ระบบ logistic เวชภัณฑ์ เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ โรงงานผลิตน้ำเกลือ ผลิตเข็ม ผลิตผ้าก๊อต ที่พบวันนี้คือ

โรงพยาบาลรัฐทำเพียงส่วนเดียวของกระบวนการ และส่วนนั้นมีภาระมาก สิ้นเปลืองมาก แต่เอกชนเลือกปล้องที่มี High Value สูง

  • 6.Higher Operating Costs & Financial Risk ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ณ วันนี้ต้นทุนสูงขึ้น แต่รายได้จำกัด เรายังไม่มีวิธีการในการลดต้นทุนซึ่งเป็นประเด็นที่ท้าทายอีกประเด็นหนึ่ง

ทิศทาง : มุ่งวิจัย และการเรียนการสอน ไม่ใช่เพิ่มจำนวนเตียง การใช้ทรัพยากรที่มีให้คุ้มค่า

Challenging Issues : ประเด็นท้าทาย

  • 1.Modern Management Culture ต้องมีวิธีการบริหารสมัยใหม่ วัฒนธรรมก็ต้องใหม่ด้วย
  • 2.Efficient Patient Response การตอบสนองคนไข้ คำนึงถึงต้นทุนและรักษาหายอย่างมีประสิทธิภาพ
  • 3.Internationalization ความเป็นสากลต้องมีมากกว่ารพ.มอ. มีคนต่างชาติมากขึ้น
  • 4.New & High-tech Facilities เครื่องมือทางการแพทย์ต้องใหม่อยู่เสมอ ห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ต้องใหม่เสมอ มี gab ของอาจารย์ในแต่ละช่วงอายุ gen X , gen Y, baby boom ความถนัดในการใช้เครื่องมือไม่เหมือกันการเตรียมเครื่องมือให้ตรงตามความถนัด? เป็นภาระใหญ่ของคณะแพทยศาสตร์ มอ.

สรุป : โรงพยาบาลควรเน้น specialist ซึ่งโรงพยาบาลของรัฐจะมีปัญหา เนื่องจากโรงพยาบาลรัฐมีโรงเรียนแพทย์จะเป็นศูนย์ฝึกของนักศึกษาแพทย์เท่านั้น แต่ประชาชนมองป่วยแล้วต้องรักษาหาย

การพิจารณา 2 ระบบพร้อมกัน คือ เอกชน กับรัฐบาล ต้องปรับให้โรงพยาบาลมีระบบการตลาด มีระบบวิศวะ มีระบบการบริการ ทำอย่างไรให้เพิ่มรายได้

ประเด็นปรับเปลี่ยน ; วิธีทำให้ดึงดูดลูกค้า, International, generation gab

Key words of success: Leadership-Mindset-Thinking outside the box-Thinking new box”

อาจารย์ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์

ความคิดสร้างสรรค์ : คิดสิ่งใหม่ ทำให้เราได้ผลลัพธ์ต่างไปจากเดิม

คนที่สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ สามารถเป็นได้หลายแบบ คือ

  • 1.นักประดิษฐ์ The Inventor ISTP, INTP
  • 2.นักประพันธ์ The Poet ISFP, INFP (นิติพงษ์ ห่อนาค)
  • 3.นักผจญภัย The Adventurer ESTP, ESFP
  • 4.ผู้นำทาง The Navigator ISTJ, ISFJ
  • 5.นักสำรวจ The Explorer ENTP/ENFP
  • 6.ผู้มีวิสัยทัศน์ The Visionary INTJ/INFJ
  • 7.นักบิน The Pilot มีเป้าหมาย ชัดเจน หา idea ESTJ/ENTJ
  • 8.นักประสานเสียง The Harmonizer คิดหา idea การสื่อสาร ที่เกี่ยวข้องกับคน ESFJ,ENFJ

ตามทฤษฏี Personality Type บุคลิกภาพของบุคคลมี 4 ประเภท :

  • 1.Extraversion-Introversion (E-I) สิ่งที่บุคคลให้ความสนใจ
  • 2.Sensing-Intuition (S-N) องค์ประกอบที่ทำให้ทราบว่า บุคคลต้องการ
    ทราบข้อมูลต่าง ๆ เพราะเหตุใด
  • 3.Thinking-Feeling (T-F) องค์ประกอบที่แสดงให้เห็นว่า บุคคลจะ
  • ตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างไร
  • 4.Judging-Perceiving (J-P) องค์ประกอบที่ใช้วัดว่าบุคคลต้องการติดต่อกัน

  โลกภายนอกมากน้อยเพียงใด

5 กรกฎาคม 2557

Managing Self Performance

อาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์

Competency คืออะไร

Competency หมายถึง กลุ่มของ ความรู้(เนื้อหาวิชา) ทักษะ และคุณลักษณะ (สำคัญที่สุดที่จะประสบความสำเร็จ) ซึ่งประกอบด้วย พฤติกรรม ทัศนคติ และแรงบันดาลใจ จำเป็นต้องมีเพื่อปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตรงตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร

Competency ส่วนที่มองเห็นได้ชัด (Visible) คือ ทักษะ และความรู้ แต่สิ่งที่อยู่ลึก คือ Self-concept คืองทัศนคติกับค่านิยม

โมเดลน้ำแข็งลอยน้ำ

KNOWLEDGE & SKILLS (ความรู้ และทักษะ) สิ่งสำคัญคือ

  • 1.คุณลักษณะที่มองเห็น (Visible)
  • -ความรู้
  • -ทักษะ
  • 2.คุณลักษณะที่มองไม่เห็น (Hidden)
  • -ความเข้าใจ
  • -ทัศนคติ
  • -ค่านิยม
  • -การมองตนเอง
  • -บุคลิกภาพและแรงจูงใจ

Vision ทำอะไรที่จะไปถึงตรงนั้น

Value เราจะเป็นคนอย่างไร จึงจะไปถึง Vision

คุณลักษณะที่สำคัญที่เป็นสมรรถนะของผู้ที่จะประสบความสำเร็จ คือ ความมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จ

Which side are you on?

Couse > Effect

Who creates result Victim who gives reasons/excuses

(Make it happen) (What it happen)

เรียกว่า EMPOWERMENT

คุณเป็นสาเหตุของความสำเร็จ หรือคุณเป็นเหยื่อของสถานการณ์

ในชีวิตคนเรามีสิ่งที่มีอิทธิพลในชีวิตประจำวัน 3 สิ่ง คือ

  • 1.BE ตัวเองเป็นคนอย่างไร เช่น มีความคิดสร้างสรรค์ มีความมุ่งมั่นตั้งใจ
  • 2.Do สิ่งที่จะทำมี pattern
  • 3.HAVE เป็นผลลัพธ์ ว่าจริง ๆ แล้วต้องการอะไรเป็นเป้าหมายในชีวิต

การพัฒนาบุคลิกภาพและการปรับตัวในการเข้าสู่สังคม

โดย อาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์

การนั่งตามตำแหน่งที่ถูกต้อง

  • 1)หากมี 3 คน เบอร์ 1 โซฟา เป็นที่ของแขก
  • 2)เบอร์ 2 นั่งเก้าอี้
  • 3)เก้าอี้ที่ใกล้ประตูเป็นที่ของเจ้าบ้าน
  • 4)ผู้หญิงไม่ควรนั่งใกล้ประตู เพราะต้องเน้นเรื่องความปลอดภัย
  • 5)หากผู้ใหญ่นั่งโซฟา ก็ให้ผู้อาวุโสหรือผู้ใหญ่นั่งใกล้ที่สุด

โต๊ะอาหาร

  • 1)แขกนั่งขวามือ

นั่งรถ

  • 1)ไปกับเจ้านาย เจ้านายมีพนักงานขับรถ (ดูตำแหน่งเราด้วย ไม่ใช่เสมียน)
  • 2)ให้เจ้านายนั่งหลัง แต่เรานั่งหลังคนขับ
  • 3)กรณีไปแทนเจ้านาย ให้นั่งที่ผู้บริหาร
  • 4)เวลานั่งอย่าโทรศัพท์

รถตู้

  • 1)เบอร์ 1 แถวหน้า
  • 2)ไปเยอะ ๆ เด็ก ขึ้นรถก่อน
  • 3)เวลาลง ผู้ใหญ่ลงก่อน

ถ้าเจ้านายขับรถ

  • 1)เป็นเลขา หรือผู้หญิง นั่งข้าง แต่นั่งเตรียมเนื้อเตรียมตัว
  • 2)ไม่พิงเต็มที่
  • 3)ไม่ไขว่ห้าง
  • 4)ไม่เปิดเครื่องเสียงตามใจเรา

การเรียกขานชื่อคนทำงาน

  • 1)ใช้คำว่า “คุณ” สุภาพที่สุด
  • 2)ไม่รู้จักกัน ไม่ควรเรียกแบบญาติ ลุง ป้า ให้เรียก “คุณ”
  • 3)การเรียกท่านต้องตามด้วยตำแหน่ง “ท่าน ผู้อำนวยการโรงพยาบาล” ไม่ตามด้วยชื่อ

การใส่สูตร

  • 1)กระดุม 3 เปิด ผู้ชายเปิด เม็ดที่ 2,3 ขณะยืน / เดิน
  • 2)กรณีมีกระดุม 2 เม็ด เปิดเม็ดที่ 1
  • 3)สีรองเท้า ต้องสีเดียวกับเข็มขัด
  • 4)ปก ผู้หญิงเอาปกออกนอกสูตร ผู้ชายเอาปกไว้ในสูตร

มารยาทการรับประทานอาหาร

  • 1)นั่งกับผู้ใหญ่ ไม่ควรตักอาหารให้ผู้ใหญ่ (ไม่รู้ว่าท่านทานหรือไม่)
  • 2)นำเสนอได้ แต่ไม่ต้องตัก ส่งให้ตักเอง (เพราะไม่รู้ปริมาณ)

หิ้วกระเป๋า

  • 1)ผู้หญิงไม่ควรสะพายกระเป๋า ยิ่งเวลาใส่สูตร ควรสอดไว้กับมือ
  • 2)ไม่ควรหนีบ กระเป๋าใบเล็กให้ถือไว้ พร้อมยกกล่าวทักทายได้

        วันที่  31 กค.57  การวิเคราะห์ประเด็นที่น่าสนใจและบทเรียนจากหนังสือ โดย 5 กลุ่ม ได้รับความรู้ถึงแนวคิด และ การดูแลองค์กรของแต่ละแห่ง  ให้มีความเติบโตขึ้นด้วยวิธีการใด และถูกใจที่ "การทำให้คนที่เข้ามาอยู่ด้วย รู้สึกเป็นเจ้าของ" และการทำให้Competency กับcore value ไปด้วยกัน และที่สำคัญ เมื่อเรามีความคิด ต้องเปลี่ยนให้เป็นการกระทำ และกระทำให้สำเร็จ

     หลังจากนั้น กิจกรรม รักษ์ใจ-รักษ์กาย เพียงได้เห็นท่านวิทยากร ก็สามารถสะท้อนให้ตัวเองได้เห็นว่าการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง ส่งผลที่น่าภูมิใจแก่ตัวเอง และสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้อย่างดีเยี่ยม แม้ตัวเองจะไม่ถูกจริตกับกิจกรรมที่จัดขึ้น แต่ก็ทำให้มีความสุขที่ได้มองความเพลิดเพลินที่เกิดจากผู้อื่นค่ะ และมีความสุขมากเมื่อเห็นอจ.เต้นรำ

     ช่วงเย็น อจ.กิตติกลับมาอีกครั้ง ด้วยความผวาของกลุ่มที่ไม่ชัดเจนในงานวิจัย และก็จริงตามที่คิดไว้ว่า เรื่องที่ทำ ยังไม่ตอบโจทย์ โดยอจ.ได้แนะว่าควรจะต่อยอดไปอย่างไรของแต่ละกลุ่ม

          วันที่ 1 สค.2557 ช่วงเช้า ท่านวิทยากร 3 ท่านกับคณะแพทย์ศาสตร์ มอ.กับบทบาทและการงานด้านความมั่นคงของประเทศในมุมมองของข้าพเจ้า ซึ่งทั้ง 3 ท่าน ได้สัมผัสโดยตรงในสถานการณ์ 3 จว.ชายแดนใต้ และเล่าสู่กันฟัง เพื่อที่จะได้ร่วมด้วย ช่วยกันในการแก้ไขปัญหาต่อไป รู้สึกตึงเครียด เพราะอยากให้ถึงวันคืนความสุขให้ประชาชนชายแดนใต้ได้แล้วค่ะ และเชื่อมโยงไปถึงภาคบ่าย ท่านวิทยากร ที่คุ้นเคย เฮฮา ลืมอายุไปได้เลย พล.อ.ต.นพ.บุญเลิส จุลเกียรติ "ความสมดุลย์ของชีวิต"

ซึ่งสาเหตุของความทุกข์คือความติดยึดในตัวกู ของกู ซึ่งเราสามารถดับทุกข์ได้ด้วยการละชั่ว ทำดี และชำระจิตให้บริสุทธ์ด้วยปัญญา แห่งการเข้าถึงความเป็น อนิจจัง ทุกขังและอนัตตา ของทุกสรรพสิ่ง และมนุษย์สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขได้ด้วย สติ ปัญญา ศรัทธา กุศลกรรม และทางสายกลาง และต้องเข้าใจว่า ชีวิตนี้เกิดมาแล้วเพื่อ การรู้จักตัวเอง การพัฒนาตัวเอง การแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี และการเสพสุขอย่างรู้เท่าทัน แล้วเราจะไปถึงสิ่งเหล่านั้นก็โดยการฟัง อ่าน ไตร่ตรองด้วยสมาธิ และการฝึกกัมฐาน พร้อมกันนั้น อจ. จึงได้ให้แผ่น V.C.D .ให้ทุกคนได้กลับไปฟังโดยให้แกะซองพลาสติกออก ภายใน 3 เดือน เห็นไม่ค่ะ ฮาจริง หากมีโอกาส ก็จะเป็น F.C อจ. ต่อไป

            วันที่ 2 สค.เต็มวันกับ รศ.ดร..สมชาย ภคภาสนืวิวัฒน์ ด้วยเรื่อง เศรษฐกิจโลก ประชาคมอาเซียน AEC 2015 และเศรษฐกิจไทย..ผลกระทบการปรับตัว และกลยุทธ์ของคณะแพทย์ มอ.

 เริ่มจากการทำความรู้จักกับ AEC อจ. ได้เล่าให้ฟัง ให้คิดได้อย่างง่ายๆเหมือนแต่ก่อนเราตกลงเป็นแฟนกัน และ ต้องแต่งงานกันในที่สุด ทำให้ทะลายกำแพงขวางกั้นไปได้และทำข้อตกลงสัญญากันขึ้นมาใหม่ ประเทศส่วนใหญ่ก็เตรียมรับเหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศตัวเอง แต่ทำไมพวกเรารับรู้รายละเอียดเรื่องเหล่านี้น้อยมาก ข่าวสารมาไม่ถึง หรือเราเข้าไม่ถึงข่าวสาร หรือเราไม่สนใจเสียเอง เป็นสิ่งที่ดีมากๆที่อจ. ได้มาชี้ให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา และอย่าเชื่ออะไรที่เราเห็นอย่างง่ายๆ และเราต้องติดตามความคืบหน้าต่อไป

    ส่วนภาคบ่าย การคิดเชิงกลยุทธ์ และการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบเพื่อการแก้ปัญหาและการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ เริ่มจากการหาข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ ต้องรู้ว่าข้อมูลที่จำเป็นคืออะไร และต้องคิดให้ได้ในสิ่งที่เหมือนกัน ภายใต้ความแตกต่าง(Organic thinking) ซึ่งการถามจะต้องถามทำไม และ อย่างไร แทนการถามว่า อะไร ส่วนการคิดเชิงระบบ ต้องมี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ มี component - มีfuction-มีการเชื่อมโยง และการคงอยู่ survival ดังนั้น เราต้องวิเคราะห์มาก่อนว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น(outcome) จากนั้นจึงใส่input -process - output  นอกจากนั้น การตัดสินใจ อาจใช้ทฤษฎีต่างๆเข้ามาจับว่าจะเป็นอย่างไร ควรตัดสินใจอย่างไร ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ของแต่ละเกมส์ ฟังแล้วต้องกลับมาศึกษาต่ออีกมากมายค่ะ

    

13 สค. 2557 ถอดบทเรียนจากหนังสือ The leader's guide to managing people ได้เรียนรู้ทฤษฏี 3วงกลม เพื่อการบริหาร HR อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบด้วย context competencies และ motivation ซึ้งเมื่อนำมาวิเคราะห์ HR ของคณะแพทย์ เรายังมีจุดอ่อนเรื่อง motivation โดยเฉพาะแรงจูงใจในการเป็นหัวหน้างาน ส่วนการวิพากวิจารณ์ miniresearch ของทั้ง5กลุ่ม ได้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้น ครอบคลุมมากขึ้นและตอบโจทย์ขององค์กรได้ตรงประเด็นมากขึ้น

วันที่ 14 สค. 2557 ช่วงเช้า ได้เรียนรู้กรณีศึกษาของคณะแพทย์ศิริราชและของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้เรียนรู้เทคนิดการบริหารความขัดแย้ง โดยใช้หลัก ซื่อสัตย์ ขยัน กตัญญู ยุติธรรม ได้ข้อคิดการบริหารคนและการยริหารงาน ได้แก่ อุปสรรคทำให้เกิดปัญญา ปัญหาทำให้เกิดบารมี, ให้อ่อนน้อมถ่อมตน ทุกคนมีดี อย่าไปดูถูกใคร และที่สำคัญ จะทำอะไรให้มีข้อบ่งชี้ เหมาะสมและคุ้มค่า ช่วงบ่าย ได้ข้อคิดดีๆและลึกซึ้งจากปราชญ์ชาวบ้าน3ท่าน ได้เห็นภูมิปัญญาชาวบ้าน การแก้ปัญหาของชุมชนทีแท้จริง ในแผนกลยุทธ์ของคณะแพทย์ในปีงบประมาณ 2558 ต้องfocus การส่งเสริมสุขภาพโดยทำเชิงรุก พัฒนาเครือข่ายให้เข้มแข็งโดยเฉพาะ อสม. ซึ้งต้องใช้เวลาแต่เป็นการพัฒนาที่มีคุณค่าและยั่งยืน

วันที่ 15สค.2557 กิกรรม CSR ที่โรงเรียนเกาะแต้วพิทยาสรรค์ ได้ทบทวนเรื่อง 4อ. คือ อารมณ์ อุบัติเหตุ อาหาร ออกกำลังกาย จำได้ไม่สำคัญเท่าทำได้ ได้เห็นศักยภาพของเด็กนักเรียนแต่อาจยังไม่ค่อยกล้าแสดออก เราจึงต้องให้โอกาสและพัฒนาต่อไปอย่างต่อเน่อง

วันที่ 13 สค.สรุปบทเรียนจากหนังสือเรื่อง The Leader Guide to Managing Peopleทำให้ทราบว่า ผู้นำที่เขาประสบความสำเร็จ เขาได้ใช้แนวทางใดบ้าง ซึ่งจะเสริมกับสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาจากอจ.แล้ว ดังนั้นสิ่งที่สำคัญเราต้องนำไปปฏิบัติให้ได้ "เมื่อเจอปัญหา ต้องสู้กับมัน ต้องอดทน และเอาชนะอุปสรรค" อาจต้องทำงานเป็นทีม เพื่อให้งานเดินได้ต่อไป และเราจะต้องทำตัวให้เป็นความหวังของผู้อื่นบ้าง เอามัวแต่ตั้งความหวังไว้กับผู้อื่น

        ส่วนภาคบ่าย ได้ต่อยอดความคิดจากอจ.กิตติ ถึงงานวิจัยที่จะทำ ว่าต้องการอะไร ทำแล้วเห็น 3V หรือไม่ ซึ่งอจ.ก็จะมีมุมมองที่กว้างออกไป ดีค่ะ

วันที่14 สค. ภาคเช้า ได้เรียนรู้สิ่งดีๆจากกรณีศึกษา ของคณะแพทย์ศิริราช และของรพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้แนวคิด การเสริมสร้างกำลังใจ และวิธีที่จะทำให้คนทำงานร่วมกัน อย่างมีความสุข ต้องมีจุดเป้าหมายร่วมกัน ผู้นำต้องทำให้เห้น เป็นแบบอย่าง สนับสนุนความก้าวหน้า มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ให้เกียรติ์ลูกน้อง ...และที่สำคัญทุกคนต้องรักศิริราช  และทั้ง2 แห่งก็จะมีกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนที่ชัดเจน

   ภาคบ่าย มุมมองจากสังคม และประชาชนต่อคณะแพทย์ มอ. ซึ่งประชาชนยังได้รับข้อมูลไม่ทั่งถึง ทำให้เขารู้สึกต่ำต้อย คิดว่ามาตรฐานในการดูแลผู้ป่วยแตกต่างกัน ดังนั้นต้องให้เขาเข้าใจว่ามาตรฐานขั้นพื้นฐานเป็นเช่นไร และหากจะให้กลุ่มใดๆช่วยเหลืองาน จะต้องมีเงื่อนไขในการรวมตัว ความสำเร็จจึงจะได้ นอกจากนั้น ชุมชนก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเพราะเข้าใจแล้วว่าสุขภาพของตัวเองทุกคน จะให้แพทย์ พยาบาลมาคอยดูแลทั้งหมดไม่ได้ ดังนั้นหากมีอะไรให้ช่วยเหลือ ทางชุมชนก็พร้อม ให้บอกไป

วันที่ 15 สค. ออกไปจัดกิจกรรมที่โรงเรียน รับทราบความเป็นมา ความช่วยเหลือขององค์กรท้องถิ่น และความร่วมมือของชุมชนต่อการพัฒนาโรงเรียน ส่งเสริมใหัเยาวชนได้รับการสนับสนุนในทางที่ถูกต้องและครั้งนี้เราได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับเด็กๆ อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้มีการสัมพันธ์ และเชื่อมโยงกับคณะแพทย์ต่อไป

ครั้งที่ 13 28 ส.ค. 2557 วิภารัตน์

สรุปสิ่งที่ได้เกิดการเรียนรู้ จากการนำเสนอการแปลหนังสือ good to great ซึ่งในภาพรวมสรุปทำให้ทราบถึงคุณสมบัติของผู้นำlevel5ซึ่งประกอบด้วย ความมุ่งมั่นและทะเยอทะยาน มีความพากเพียร ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมีวินัย เป็นต้น นอกจากนี้ในการคัดเลือกพนักงานต้องคัดเลือกคนที่ดีที่สุด และเก็บคนที่ใช่ไว้ในองค์กร องค์กรสามารถประสบผลสำเร็จได้ความมีวินัยเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้องค์กรยั่งยืน นอกจากนั้นควรเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการขับเคลื่อนองค์กรซึ่งสรุป องค์กรควรมีคนที่ถูกต้องเหมาะสม ผู้บริหารต้องมีภาวะผู้นำอย่างแท้จริง

สรุปสิ่งที่ได้เกิดการเรียนรู้ เรื่อง Brand management

Brand image & corporate communication เป็นการมองว่าเราเก่งและมีbrand เรื่องใดบ้างที่น่าสนใจและโดดเด่นซึ่งสิ่งที่เรามองเราเราต้องมองสิ่งรอบข้างมองจากภายนอกว่าเราเห็นอะไรในองค์กรเราบ้างเรารู้จัก corporate image ซึ่งหมายถึงภาพลักษณ์ขององค์กรทุกสิ่งอย่างที่เป็นตัวเรา มองBusiness image ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ในด้านหน้าที่/บริการเป็นอย่างไรนอกจากนี้องค์กรต้องเข้าใจตรงกันในเรื่องของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรคือภาพที่ติดตาของลูกค้า/เชิงลบสิ่งที่เรามีเราฝันกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการต้องเจอกันพอดีจึงจะประสบผลสำเร็จ ต้องใช้การสื่อสารในองค์กรโดยในการสื่อสารต้องใช้ทั้ง relationและconnection และสร้างจุดแข็งให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร

Communication Tools มีหลายอย่างได้แก่ community relations เราทำประโยชน์อะไรให้แก่ชุมชนบ้างและสร้างปัญหาอะไรให้ชุมชนบ้าง , CSR เป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อสังคม , crisis management มีแผนการรับมือภาวะวิกฤตมีcrisis communication plan และ new media ในการใช้นวัตกรรม

การบ้านค้าง 14 ส.ค วิภารัตน์

  • 1.แนวคิดผู้นำของ Dr Chira / Drucker ให้วิเคราะห์ว่ามีอะไรเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

ความเหมือน ความเป็นผู้นำ เป็นเรื่องของการลงมือกระทำอย่างจริงจัง ด้วยการทำตัวเป็นแบบอย่าง กล้าตัดสินใจ มีความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ และการสื่อสาร มีการสร้างโอกาสให้ผู้อื่น เน้นการทำงานเป็นทีม

ความต่าง แนวคิดผู้นำของ Dr Chiraเพิ่มเติมในเรื่องของ การจัดการภาวะวิกฤต และคาดคะเนความเปลี่ยนแปลงในอนาคตรวมทั้งการบริหารความไม่แน่นอน มีการกระตุ้นให้เกิดการทำงานให้เป็นผู้นำที่มีความเป็นเลิศเพื่อนำพาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ

ซึ่งต่างจากความเป็นผู้นำ แบบ Peter F.Drucker ที่มุ่งเน้นการทำงานอย่างจริงจัง เน้นความรับผิดชอบแต่ไม่ได้กล่าวถึงในการบริหารความเปลี่ยนแปลงและภาวะวิกฤตขององค์กร

  • 2.บุคลิก ยุค และปรัชญาของคน2คนต่างกันอย่างไร

บุคลิกของ Peter F.Drucker เป็นผู้นำที่จริงจังยึดกฎระเบียบความรับผิดชอบสูง ไม่ชอบความเสี่ยงและขาดการคิดคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งเป็นต้นแบบของผู้นำสมัยเก่าสำหรับแนวคิดผู้นำของ Dr Chira เป็นแนวคิดผู้นำสมัยใหม่ที่มีความทันสมัย กล้าเสี่ยง มีการวางแผนและคาดการณ์ล่วงหน้ามีความโดดเด่นในการสร้างคนเก่ง

3.นำมาประยุกต์ใช้ในคณะแพทย์มอ.ในด้านใดและเสนอแนะจุดที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างไร อธิบาย สำหรับคณะแพทย์มอ. ควรมีการปรับปรุงในเรื่องของความกล้าเสี่ยงและการคาดการณ์ถึงความเปลี่ยนแปลงในอนาคตโดยการกล้าเสี่ยง และกล้าตัดสินใจกับการนำองค์กรสู่ private sector เนื่องจากมองแนวโน้มของความเป็นไปได้และสำเร็จสูงและขณะเดียวกันก็ยังคงต้องยึดกฎระเบียบความรับผิดชอบสูง และยังคงมุ่งเน้นการทำงานเป็นทีมของบุคลากรทุกระดับ

เปรียบเทียบ ภาวะผู้นำของ Peter Drucker and Dr.Chira Hongladarom

     1.   ภาวะผู้นำของ Peter Drucker จะออกมาในแนวการวางแผน/การจัดการ/ การตัดสินใจในสถานการณ์ทั่วๆไปโดยพวกเรา ไม่ใช่ฉัน แต่ผู้นำของDr. Chira จะเป็นผู้นำในภาวะวิกฤต แก้ไขความขัดแย้ง และเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้เข้ามาร่วมทำงาน

     2. ผู้นำของPeter Drucker จะอยู่ในยุคที่สังคมเรียบง่าย   ไม่มีความวุ่นวาย แต่ในสมัย อจ. จิระ จะเป็นสังคมที่มีการแข่งขัน มีภาวะวิกฤต ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ที่จะต้องมองให้ออกว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ต้องกระตุ้น และอาศัยทีมเป็นผู้ตัดสินใจ โดยต้องรู้จักช่วงจังหวะที่เหมาะสมด้วย

      3.คณะแพทย์สามารถนำแนวคิดของทั้งสองท่านมาใช้ในการนำพาให้คณะแพทย์ก้าวผ่านภาวะวิกฤตได้ต่อไป 

     วันที่ 28 สค.2557 จาก Group assignment presentation " good to great" ทำให้ทราบข้อมูลของบริษัทว่าการเติบโต อย่างยั่งยืน เขาใช้กลยุทธ์อะไรในการนำบริษัท เช่นหลักการเลือกผู้นำ การปฏิบัติของผู้นำต่อพนักงาน การเลือกใช้เทคโนโลยี การบริหารความผิดพลาด  และให้เห็นถึงความโลภของผู้นำที่ทำให้บริษัทตกตำ่เป็นต้น 

   ภาคบ่าย Brand management และการสื่อสารอย่างมีประสิทธภาพในองค์กร โดย ดร. พจน์ ใจชาญสุขกิจ  กล่าวถึงการสื่อสาร จะนำพาให้องค์กรประสบความสำเร็จได้โดยง่าย และการที่จะสื่อสารอะไร เราจะต้องได้ข้อมูลที่เพียงพอทั้งภายในและภายนอก ผู้ที่เราจะติดต่อด้วย รวมถึงวิธีการที่จะสื่อสารด้วย ซึ่งในโลกของการสื่อสาร ศูนย์กลางอยู่ที่คนภายนอก และปัจจุบันสังคมมีความคาดหวังต่อเรื่องใด เรื่องหนึ่งสูงมาก" เป็นสังคมต่อความคาดหวัง" ดังนั้นการที่เราจะกำหนดBrand อะไร ให้ดูว่าเรามีต้นทุนอะไรอยู่แล้ว และสิ่งที่จะสร้างขึ้นต้องชัดเจน เช่นหากเป็นbrand เกี่ยวกับการ service excellent เราต้องกำหนดว่าจะทำอย่างไร ให้ทุกคนมี service excellent ที่จะชนะผู้อื่น และจะทำอย่างไรให้บริการนั้นสัมผัสได้ และเราต้องทำให้สิ่งที่เรามีกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เข้ากันได้ ตรงกัน ดังนั้นการสร้าง Brand image จะต้องพยายามทั้งหมดที่จะสื่อสารให้เกิดความเข้าใจที่ดี ระหว่างเรา และสาธารณะชน" ดูว่าเป็นเรื่องทั่วๆไปนะ แต่การทำให้เกิดผลดี นี่ซิ ท้าทายนะ"

     วันที่ 29 สค.2557 ใครๆก็เตรียมที่จะมาหัวเราะกับ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม และปิดท้ายด้วย ทิศทางการแพทย์และสาธารณสุขไทยกับคณะแพทยศาสตร์ มอ.

ข้อตกลงเบื้องต้น ก็ได้ประโยชน์แล้ว "มองให้ชัด ฟังให้จบ แล้วค่อยลงมือทำ" อจ.บอกถึง 5 สิ่งที่ทำให้คนเราเครียด และกุญแจสำคัญที่แก้ความเครียด โดยการรู้จักปรับอารมณ์ ความรู้สึก(บุคลิกภาพมนุษย์)ซึ่งประกอบด้วยพลังความคิด(4) พลังความรู้สึก(3) และพลังการกระทำ(3)  ดังนั้นหากมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากไป ก็ต้องปรับให้เหมาะสม นอกจากนั้นได้ฝึกการบริหารร่างกายอย่างทั่วถึง และบอกรักทุกส่วนของร่างกายที่สัมผัสได้ "รักตัวเองเป็น ดูแลสุขภาพตัวเองได้ ชีวิตจักสุขภาวะ"

    ช่วงท้าย อจ.วีรศักดิ์ และอจ.จรัส ได้ให้แนวคิดไว้ได้อย่างแตกต่างมุมมอง ซึ่งจะเน้นถึงการออกไปทำประโยชน์ต่อสังคมเชิงรุกของ มอ.และแนวทางการพัฒนา ช่วงที่ 3 ของ มอ.เกี่ยวกับการวิจัย นวัตกรรม ทั้ง 2 อย่าง ต้องมีการบูรณาการให้ลงตัว

     วันที่ 30 สค. 2557 ช่วงเช้า People management โดยอจ.พจนารถ ซีบังเกิด ทำให้หวนระลึกถึงความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ 6 อย่าง ซึ่งข้อ 1-4 สำคัญมากได้แก่ 1.ความมั่นคง 2.ความหลากหลายในชีวิต3. ความรัก/ความเชื่อมโยง 4.ความโดดเด่น/ความสำคัญ เมื่อทำ 4 ข้อได้ดี ข้อที่5 และ 6 ก็จะตามมา ได้แก่ 5.การเจริญเติบโต 6.การให้ แต่บางครั้งในสังคมปัจจุบัน การให้ จะไปช่วยเติมข้อ 4. ความโดดเด่น และที่สำคัญ" ไม่มีใครมาสร้างแรงบันดาลใจให้เราได้ เราเท่านั้นที่จะสร้างแรงบันดาลใจขึ้นมาเอง โดยรู้ว่าเรามีอะไรในใจ มีอะไรเด่น มีอะไรดี "นั่นคือ Who Am I" และต้องแก้ปัญหาให้เกิดสมดุลย์ E(event)+R(response )  =  O(OUTCOME)ซึ่ง response และ outcome เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ ดังนั้นต้องฝึกปฏิบัติ

   ช่วงบ่าย โดย อจ.วิชา มหาคุณ การสร้างธรรมาภิบาล ซึ่งพวกเราทุกคน เป็นทุนที่ทำให้สังคมดีขึ้น ซึ่งเราต้องยึดหลักสายกลาง ที่จะแก้ปัญหาวิกฤตได้

วันที่ 28สค.2557 ช่วงเช้า ได้เรียนรู้เรื่องBrain management: กลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์ ปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอันดับแรกหรืออันดับสองซึ้งเรื่องนี้องค์กรของเราให้ความสำคัญน้อยมาก-การวัดแบรนด์:มีอะไรทำให้นึกถึงเป็นชื่อแรก เวลาถามต้องถามstakeholders -ถ้าคนจำสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นBrand-Brandเป็นเรื่องของความรู้สึก-ปัจจัยในการสร้างBrandบุคคล มาจากแก่นลึกของบุคคล สร้างจากสิ่งที่เป็นจริง เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ความเชี่ยวชาญนั้นตอบสนองความต้องการของสังคม-ได้เรียนรู้ old&New communication Model สรุป สร้างความจริงให้ปรากฏ อย่าหยุดการสื่อสาร-ช่วงบ่าย ได้เรียนรู้เรื่องการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพมนองค์กร  ได้เรียนรู้ความแตกต่างของcorporate Image,Business Image,Brand Image ได้เรียนรู้ communication toolsและ 10win-win codes with target ช่วงท้ายได้เรียนรู้ crucial communication. 

วันที่ 29สค.2557 ช่วงเช้า หัวข้อ กิจกรรมรักษ์ใจ-รักษ์กาย ได้เรียนรู้ ความมหัศจรรย์ของสมอง คนส่วนใหญ่ใช้สมองส่วนนึกคิดมากกว่าสมองส่วนอารมณ์ความรู้สึก ทำให้เกิดความเครียดและความเจ็บป่วยต่างๆ เพราะฉนั้นเราต้องปรับสมดุลย์สมองสองส่วนนี้ ซึ่งมีหลายวิธี ได้แก่ การหายใจเข้าออกแบบเต็ม แน่น ลึก ช่วยผ่อนคลายเพิ่มพลังชีวิต,เทคนิดการหัวเราะ เป็นต้น พลังกายและพลังจิต จะช่วยให้มีสุขถาพกายและสุขภาพจิตที่ดี โรคร้ายต่างๆสามารถทุเลาลงและหายได้ ช่วงเย็น ได้เรียนรู้ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยและของโลก เราต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อตอบสนองปัญหาความเจ็บป่วยและความต้องการของประชาชน ต้องทำงานเชิงรุก เชิงป้องกันมากขึ้น เชื่อมโยงกับเครือข่ายและชุมชนมากขึ้น Empowerment ชุมชนให้มีศักยภาพในการดูแลตนเองและครอบครัวมากขึ้น ต้องทำวิจัยพัฒนาองค์ความรู้ การดูแลประชากรกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น

วัััันที่ 30สค.2557 ช่วงเช้า ได่เรียนรู้เรื่อง People management: คนอยากทำงานต้องมี emotion,ได้เรียนรู้ 6 core needs,คนอื่นมาสร้างแรงบันดาลใจเราไม่ได้ เราต้องมีแรงบันดาลใจของเราเอง, ทุกทุกพฤติกรรม มีคุณสมบัติในตัวดีเสมอ, key success principle: E+R=O ,ต้องเชื่ิอว่า ทุกคนมีศักยภาพมากกว่า ทำให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้ ช่วงบ่าย ได้เรียนรู้ ขั้นตอนของการมีคุณธรรม, ประเด็นสำคัญของ Professionism คือ The rule of law และ Integrity, จริยธรรม คืออุดมการณ์หรือมาตรฐานความประพฤติของมนุษย์ที่เป็นจุดมุ่งหมายเพื่อความดีสูงสุด, ได้รู้องค์ประกอบของคำว่า ธรรมาภิบาล มี5ข้อ ประเด็นสำคัญ ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ.

ศิริพัชร ลอยประเสริฐ

วันที่ 31 กรกฎาคม 2557 อาจารย์ณภัสวรรณ จิลลานนท์ และอาจารย์กิติภพ สังฆกิจ วันนี้เป็นวันที่รักษ์ใจ - รักษ์กาย จริงเพราะสนุกมาก อาจารย์สอนให้หัดเต้นลีลาศ ตัวเองไม่ ค่อยชอบ และคิดว่าโอกาสที่จะเข้างานสังคมอย่างนี้น้อยค่ะ ในหมู่บ้านเห็นพี่ ๆ ที่เกษียณอายุราชการ ชวนกันไปเต้น ลีลาศออกกำลังกายที่ศาลาเอนกประสงค์ คิดว่าพวกเขาคงชอบ แต่เค้าบอกว่าเป็นการออกกำลังกาย วันนี้รู้ซึ้งยิ่งกว่า การออกกำลังกาย สนุก เพลิดเพลิน ได้เหงื่อมาก และประทับใจอาจารย์หลายท่านที่ร่วมอบรม มาสอนให้เต้นแบบเป็นกันเอง วันที่ 1 สิงหาคม 2557 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กับบทบาทและการงานด้านความมั่นคง พล.ท สุรพล เผื่อนอัยกา นายบัญญัติ จันทรเสนะ ผศ.ปิยะ กิจถาวร วันนี้ได้รับรู้การทำงานร่วมกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ซึ่งการทำงานร่วมกันต้องใช้ความระมัด ระวัง ต้องสร้างความไว้วางใจ และต้องสื่อสารกันเข้าใจ และอาจารย์ให้ทำ Workshop ซึ่งมีหลายๆเรื่องเรา สามารถช่วยได้ในสถานะที่เป็นโรงพยาบาล เพราะแพทย์เป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจได้ ของประชาชนที่นับถือศาสนา อิสลาม และได้รับความรู้ถึงสาเหตุปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน ช่วงบ่าย ความสมดุลของชีวิต พล.อ.ต. นพ.บุญเลิศ จุลเกียรติ อาจารย์สอนสนุก และร้องเพลงได้ ไพเราะมาก อาจารย์ได้กล่าวถึงปัญญา และศรัทธาต้องไปด้วยกัน เราทุกคนเกิดมารับใช้ธรรมชาติ เพื่อดำรงเผ่า พันธุ์และพัฒนาให้ดีขึ้น สอนให้ทำจิตใจให้เบิกบาน และอยู่กับปัจจุบันเพื่อความงามของชีวิต ความสมดุล – ความ จริง ความดี – ความงาม ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยใช้หลักอริยสัจสี่ ซึ่งประกอบด้วย ทุก สมุทัย นิโรธ มรรค และการมีชีวิตอยู่เพื่อใคร 1. เพื่อการรู้จักตัวเอง
2. เพื่อการพัฒนาตนเอง
3. เพื่อเป็นการแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี
4. เพื่อการเสพสุขอย่างรู้เท่าทัน
5. เพื่อโอกาสที่จะได้แบ่งปันความโชคดี



อาจารย์สอนสนุกมาก วันที 2 สิงหาคม 2557 เศรษฐกิจโลก ประชาคมอาเซี่ยน AEC 2015 และเศรษฐกิจไทย อาจารย์ได้กล่าวถึงความเป็นมาของอาเซียน ได้ก่อตั้งเมื่อปี 2510 จุดประสงค์เพื่อสร้างความมั่นคง เพื่อต้านภัยคุกคาม และเกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียน โดยมีเขตการค้าเสรี และต่อมาได้เปิดกรอบความตกลงด้านการค้า บริการ และเขตการลงทุนอาเซียนในปี 2538 และได้จัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2550 โดยมีเป้าหมาย เป็นตลาดและฐานการผลิตร่วมด้าน สินค้า แรงงาน บริการ การลงทุน ก่อให้เกิดการแข่งขัน พัฒนาเศรษฐกิจ บูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก โดยสร้างเครือข่ายการผลิต จำหน่าย ประโยชน์ที่จะได้รับภายใต้ AEC จะมีตลาดขนาด ใหญ่ ประชากรมากขึ้น การผลิตมากขึ้น ต้นทุนต่ำลง และดึงดูดการลงทุนจากประเทศนอกอาเซียน ช่วงบ่าย ความคิดในเชิงระบบและความคิดในเชิงกลยุทธ์ เรื่องข้อมูลที่เป็นเท็จ ซึ่งบางครั้งในความรู้ใน ทาง Internet บางครั้งก็ไม่จริง ต้องแยกแยะ โดยสร้างทฤษฏี “สิ่งที่เหมือนกันภายใต้ความแตกต่าง” เป็นการ เตือนให้คิดเสียก่อนแล้วค่อยทำ โดยเชื่อมโยงเหตุผล – เป้าหมาย – เวลา – อดีต – ปัจจุบัน – อนาคต ความคิด ในเชิงระบบ โดยให้คิดแบบแยกส่วน คิดในเชิงระบบ ความคิดในเชิงองค์รวม ชอบที่อาจารย์บอกว่าถ้าจะดูมุมมอง ลูกค้า ต้องดูจากเสียงบ่น, ถ้าเป็นลูกน้อง ต้องวิเคราะห์เจ้านาย , ถ้าเป็นหัวหน้า ต้องวิเคราะห์ลูกน้อง การ วิเคราะห์ที่ดีต้องมองเห็นลูกค้าล่วงหน้า ทุกอย่างต้องดูกระบวนการ

ศิริพัชร ลอยประเสริฐ

วันที่ 13สิงหาคม2557อาจารย์จีระไห้ใช้ทฤษฎี 3 วงกลม มาแก้ปัญหา

การบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือส่วนที่วงกลมซ้อนกันเป็นส่วนต้องเก็บเกี่ยว

วงกลมที่ 1 คือ การจัดองค์กร

วงกลมที่ 2 คือ การพัฒนาสมรรถนะ (Competencies ของคนในองค์กรให้มีคุณภาพ

วงกลมที่ 3 คือ การสร้างแรงจูงใจ ซึ่งในเรื่องนี้ผมได้ขยายออกไปมาก และวันนี้นอกจากการสร้างแรงจูงใจหรือ Motivation แล้วยังมีเรื่องการสร้างแรงบันดาลใจ คือ Inspiration + Empowerment

วันที่ 14สิงหาคม 2557.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์รพ.ศิริราช กล่าวว่าบุคลากรต้องมีความสุขก่อน คนไข้จึงจะได้รับบริการที่ดีและพร้อมจะปกป้องผลกระทบต่อศิริราชซึ่งสามารถทำให้วิสัยทัศน์, พันธกิจ ก้าวต่อเนื่อง โดย ให้ความสำคัญทุกภาควิชาและหน่วยงานอย่างยุติธรรมเดินทางไปพร้อม ๆ กันมีการส่งเสริมคุณธรรม, จริยธรรมทำให้ข้าราชการและลูกจ้างเป็นผู้มีคุณภาพ และมีคุณธรรมมีจิตสำนึกในการทำงาน และให้บริการการดำเนินการใดๆ ที่เป็นนโยบายหลัก จะต้องมีการอธิบายให้ข้อมูลข่าวสาร และรับฟังความคิดเห็นของข้าราชการและลูกจ้างด้วยโดยให้ความสำคัญในการฝึกอบรมและพัฒนาคน (ใฝ่ รู้ สู้สิ่งยาก)มีสภาพการทำงานที่เหมาะสม ระบุหน้าที่และสายงานการบังคับบัญชาที่ชัดเจน ข้าราชการ ลูกจ้างต้องไม่มีภาระงานจนเกินไป

ให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น มีระบบค่าตอบแทนที่เหมาะสมและเที่ยงธรรมงานประกันคุณภาพต้องนำผลการประเมินไปในทางสร้างสรรค์ไม่ใช่การจับผิดต้องให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของคณะ ฯ ตรวจสอบ ชี้แจงและตอบคำถามได้ทุกเรื่องยึดถือความโปร่งใส 4 ประการ ซื่อสัตย์ ขยัน กตัญญู ยุติธรรมกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนโรงพยาบาลฯ มีการกำหนดเป้าหมายและแนวทางการดำเนินการร่วมกันสนับสนุนทรัพยากรอย่างเหมาะสม คุ้มค่าสร้างบรรยากาศการมีส่วนร่วม เพิ่มศักยภาพบุคลากร ต่อยอด & สร้างสรรค์คุณค่าในงานที่ทำสร้างสมดุลเชิดชู ยกย่อง คนดี & คนเก่ง เป็นทีมทำ ให้เกิดการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ยืดหยุ่น แต่ไม่หย่อนยานเพื่อความยั่งยืนการให้กำลังใจกับบุคลากรเป็นเรื่องสำคัญโดยจัดสัมมนาบ่อย ๆ มีโอกาสแสดงความคิดเห็นซึ่งกันและกันพร้อมทั้งได้นำพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนักเรียนใหม่ต้องตั้งใจทำงานเปรียบเหมือนกับการมารับงานใหม่ก็ต้องเรียนรู้งานตั้งใจทำให้อ่อนน้อมถ่อมตน ทุกคนมีดีทุกคนมีดีอยู่ในตัวถ้าไม่ไปดูถูกใครให้เกรียติผู้อื่น ปัญหาก็จะไม่เกิดอุปสรรคทำให้เกิดปัญญาปัญหาทำให้เกิดบารมีเปรียบเปรยเป็นหัวหน้าต้องเผชิญปัญหา ต้องทำให้คนรอบข้างพึ่งพาได้บารมีก็จะเกิด

ช่วงบ่ายอาจารย์พงค์ศาชูเนมกับปอจิซึ่งเป็นผู้สัมผัสกับประชาชนมากทั้งสองท่านได้พูดถึงมุมมองประชาชนเห็นว่าวงการแพทย์เป็นเรื่องซับซ้อนเป็นการเปรียบเทียบระหว่างโรงพยาบาลของรัฐและโรงพยาบาลเอกชนซึ่งยังมีช่องว่างอยู่มาก ไม่ว่าในเรื่องคุณภาพบริการค่าใช้จ่ายบางครั้งแพทย์ยึดถือวิทยาศาสตร์มากเกินไปโดยไม่ได้ส่งเสริมสุขภาพตามวิถีปัญญาของคน ซึ่งบางครั้งไม่ได้พิสูจน์อย่างชัดเจนปอจิ กับการสร้างความเข้มแข้งของชุมชนเพื่อการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนจากฐานราก หมายถึง ชุมชนสร้างความเข้มแข้ง สามารถแก้ปัญหาด้วยชุมชนเอง ไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอก ซึ่งชุมชนเองต้องการให้องค์กรภาครัฐเข้าไปมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความเข้มแข้ง โดยสร้างกระบวนการพัฒนาเคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และยอมรับภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งได้เล่าถึงประสบการณ์ในชีวิตของปอจิที่มีความคิดนอกกรอบโดยไม่ได้ปฏิบัติตามนักวิชาการในการทำสวนยางโดยที่ตัวเองประสบความสำเร็จผลลัพธ์ชัดเจน รายได้เพิ่ม สามารถเป็นแบบอย่างกับผู้อื่นได้

วันที่ 15 สิงหาคม 2557ได้เข้าร่วม CSRณ โรงแรมเกาะแต้วพิทยาสรรค์อ.เมืองจ.สงขลารู้สึกประทับใจมากที่ได้พบ และได้นำสิ่งของอุปกรณ์การเรียนมอบให้แก่น้อง ๆของที่เราจัดเตรียมไปดูเหมือนไม่ค่อยมีคุณค่าเท่าไหร่แต่น้อง ๆ ต้องการนำไปใช้งานประทับใจท่านรองสมหมายขวัญทองยิ้มดูท่านมีความตั้งใจพัฒนาเด็กที่มีความสามารถด้านกีฬาและเด็กในชุมชน ให้มีความรู้ ความสามารถ เทียบเท่าโรงเรียนอื่น ๆและท่านก็เข้าใจเด็กเหล่านั้นได้ดีท่านเป็นคนเก่งสอนเก่งเด็ก ๆ ก็น่ารักมากพิธีกรก็สนุกแต่ในที่สุดก็สามารถแทรกความรู้เกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นได้อย่างลงตัว

ครั้งที่ 13 28 ส.ค. 2557 วิภารัตน์

สรุปสิ่งที่ได้เกิดการเรียนรู้ จากการนำเสนอการแปลหนังสือ good to great ซึ่งในภาพรวมสรุปทำให้ทราบถึงคุณสมบัติของผู้นำlevel5ซึ่งประกอบด้วย ความมุ่งมั่นและทะเยอทะยาน มีความพากเพียร ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมีวินัย เป็นต้น นอกจากนี้ในการคัดเลือกพนักงานต้องคัดเลือกคนที่ดีที่สุด และเก็บคนที่ใช่ไว้ในองค์กร องค์กรสามารถประสบผลสำเร็จได้ความมีวินัยเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้องค์กรยั่งยืน นอกจากนั้นควรเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการขับเคลื่อนองค์กรซึ่งสรุป องค์กรควรมีคนที่ถูกต้องเหมาะสม ผู้บริหารต้องมีภาวะผู้นำอย่างแท้จริง

สรุปสิ่งที่ได้เกิดการเรียนรู้ เรื่อง Brand management

Brand image & corporate communication เป็นการมองว่าเราเก่งและมีbrand เรื่องใดบ้างที่น่าสนใจและโดดเด่นซึ่งสิ่งที่เรามองเราเราต้องมองสิ่งรอบข้างมองจากภายนอกว่าเราเห็นอะไรในองค์กรเราบ้างเรารู้จัก corporate image ซึ่งหมายถึงภาพลักษณ์ขององค์กรทุกสิ่งอย่างที่เป็นตัวเรา มองBusiness image ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ในด้านหน้าที่/บริการเป็นอย่างไรนอกจากนี้องค์กรต้องเข้าใจตรงกันในเรื่องของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรคือภาพที่ติดตาของลูกค้า/เชิงลบสิ่งที่เรามีเราฝันกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการต้องเจอกันพอดีจึงจะประสบผลสำเร็จ ต้องใช้การสื่อสารในองค์กรโดยในการสื่อสารต้องใช้ทั้ง relationและconnection และสร้างจุดแข็งให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร

Communication Tools มีหลายอย่างได้แก่ community relations เราทำประโยชน์อะไรให้แก่ชุมชนบ้างและสร้างปัญหาอะไรให้ชุมชนบ้าง , CSR เป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อสังคม , crisis management มีแผนการรับมือภาวะวิกฤตมีcrisis communication plan และ new media ในการใช้นวัตกรรม

การบ้านค้าง 14 ส.ค วิภารัตน์

  • 1.แนวคิดผู้นำของ Dr Chira / Drucker ให้วิเคราะห์ว่ามีอะไรเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

ความเหมือน ความเป็นผู้นำ เป็นเรื่องของการลงมือกระทำอย่างจริงจัง ด้วยการทำตัวเป็นแบบอย่าง กล้าตัดสินใจ มีความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ และการสื่อสาร มีการสร้างโอกาสให้ผู้อื่น เน้นการทำงานเป็นทีม

ความต่าง แนวคิดผู้นำของ Dr Chiraเพิ่มเติมในเรื่องของ การจัดการภาวะวิกฤต และคาดคะเนความเปลี่ยนแปลงในอนาคตรวมทั้งการบริหารความไม่แน่นอน มีการกระตุ้นให้เกิดการทำงานให้เป็นผู้นำที่มีความเป็นเลิศเพื่อนำพาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ

ซึ่งต่างจากความเป็นผู้นำ แบบ Peter F.Drucker ที่มุ่งเน้นการทำงานอย่างจริงจัง เน้นความรับผิดชอบแต่ไม่ได้กล่าวถึงในการบริหารความเปลี่ยนแปลงและภาวะวิกฤตขององค์กร

  • 2.บุคลิก ยุค และปรัชญาของคน2คนต่างกันอย่างไร

บุคลิกของ Peter F.Drucker เป็นผู้นำที่จริงจังยึดกฎระเบียบความรับผิดชอบสูง ไม่ชอบความเสี่ยงและขาดการคิดคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งเป็นต้นแบบของผู้นำสมัยเก่าสำหรับแนวคิดผู้นำของ Dr Chira เป็นแนวคิดผู้นำสมัยใหม่ที่มีความทันสมัย กล้าเสี่ยง มีการวางแผนและคาดการณ์ล่วงหน้ามีความโดดเด่นในการสร้างคนเก่ง

3.นำมาประยุกต์ใช้ในคณะแพทย์มอ.ในด้านใดและเสนอแนะจุดที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างไร อธิบาย สำหรับคณะแพทย์มอ. ควรมีการปรับปรุงในเรื่องของความกล้าเสี่ยงและการคาดการณ์ถึงความเปลี่ยนแปลงในอนาคตโดยการกล้าเสี่ยง และกล้าตัดสินใจกับการนำองค์กรสู่ private sector เนื่องจากมองแนวโน้มของความเป็นไปได้และสำเร็จสูงและขณะเดียวกันก็ยังคงต้องยึดกฎระเบียบความรับผิดชอบสูง และยังคงมุ่งเน้นการทำงานเป็นทีมของบุคลากรทุกระดับ

วันที่ 10กย.2557 ดูงานที่บริษัท Toyota ได้เรียนรู้ Toyota way และ Lean managementที่ช้ดเจว่งนและมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งวั

วันที่ 11กย.2557 ช่วงเช้า ดูงานที่บางจากปิโตรเลียม มีการบริหารจัดการโดยใช้เกณท์ TQA เป้าหายและวัฒนธรรม: เป็นคนดี มีความรู้ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ซึ้งคล้ายคลึงกับของคณะแพทย์เรา,มีกิจกรรม CSR ทีดีเยี่ยมซึ่งกำหนดเป็นkpiของพนักงานทุกคน

วันที่ 11กย.2557 ช่วงเช้า ดูงานที่บางจากปิโตรเลียม มีการบริหารจัดการโดยใช้เกณท์ TQA เป้าหายและวัฒนธรรม: เป็นคนดี มีความรู้ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ซึ้งคล้ายคลึงกับของคณะแพทย์เรา,มีกิจกรรม CSR ทีดีเยี่ยมซึ่งกำหนดเป็นkpiของพนักงานทุกคน ช่วงบ่ายดูงานที่ Giffวrine ใช้หลักธรรมะ มาบริหารจัดการเรื่องงานและคน ได้อย่างกลมกลืนและดีเยี่ยม

วันที่ 12กย. 2557 ช่วงเช้าดูงานที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการ recuit คนเป็นอย่างมากเหมือนหลักการในหนังสือgood to great ได้เรียนรู่การทำงานของ HR แบบมืออาชีพจริงๆ ช่วงบ่ายดูงานที่ กสทช. ได้เห็นปัญหาการให้อิสระของการใช้ IT กับการควบคุมการใช้ IT ซึ้งต้อง balance แต่ก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท