ผ้าขาวเปื้อนหมึก
กานนา สงกรานต์ กานต์ วิสุทธสีลเมธี

รวมเรื่องสั้นทั้งหมด


ผู้นำคนใหม่...นิทาน.. [คุณภาพสูง].mp3

เรื่องสั้น ร่มเงากาสาวพัตร

พระจะดีมีหลักฐานเพราะโยมช่วย      โยมจะสวยเพราะมีพระดัดนิสัย                             โยมกับพระผลัดกันช่วยก็อวยชัย    ถ้าขัดกันก็บรรลัยทั้งสองทาง   

พระจะดีมีหลักฐานเพราะโยมช่วย      โยมจะสวยเพราะมีพระดัดสมอง                          ต่างคนก็ต่างช่วยสวยดั่งทอง                   ถ้าขัดกันก็ติ๊งต๊องทั้งสองทาง

**********************

กาสาวพัตร คือผ้าที่ย้อมด้วยรสฝาดอันเกิดแต่ต้นไม้สีเหลืองหม่นเป็นผ้าสําหรับนักบวชใช้  เดิมทีมีเพียง ๒ ผืน คือ อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม) และอันตรวาสก (ผ้านุ่ง) เท่านั้น  ต่อมาทรงอนุญาตให้ใช้ผ้าทาบซึ่งเรียกว่า สังฆาฏิ อีกผืนหนึ่งรวมเป็น ๓ ผืน เรียกว่า ไตรจีวร  คราวเสด็จออกผนวชนั้น ฆฏิการพรหมเป็นผู้นํามาถวายพร้อมกับบาตร  ร่มเงากาสาวพัตร เป็นร่มเงาที่แสนอบอุ่น ปราศจากทุกข์ร้อนใดๆ เป็นแนวทางสู่พระนิพพานในอนาคต  เป็นร่มเงาที่มีความเยือกเย็นสำหรับผู้ที่ไม่มีความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ไม่มีความอิจฉาริษยาไม่มีความยินดียินร้าย ต่ออำนาจของโลกที่เป็นวัฏฏสงสาร เป็นมารยา เป็นร่มที่กั้นกิเลส ตัณหาให้ออกไปจากใจ และทำที่สุดแห่งทุกข์  ที่ใครๆประสบเจอความทุกข์ คือ การแก่  การเจ็บ การตาย แต่งสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัย และกฎแห่งกรรมที่ได้สร้างไว้เมื่อชาติก่อน ปัจจุบันชาติ องค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ เมื่อครั้งประทับจำพรรษาอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ได้ตรัสกับพระสาวกว่า  ความยากที่สุดในโลก ๔ ประการ                                          

๑. การอุบัติตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า                                                                                   ๒. การได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้งเห็นจริง                                      ๓. การเกิดของมนุษย์                                                                                         

   ๔. การดำรงชีวิตของมนุษย์ให้อยู่รอด                                                                            มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมานี้ล้วนเป็นยากยิ่งดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้แล้วนั้น เมื่อมนุษย์ทั้งหลายเบื่อที่จะเข้าวัด แม่หมาตัวหนึ่งก็ชวนลูกหมาไปฟังเทศน์ ทางที่จะไปวัดนั้น ต้องผ่านป่าช้าที่ทิ้งศพมนุษย์ ด้วยความเคารพในธรรม แม่หมาจึงเร่งลูกเพราะกลัวจะไปสาย ส่วนลูกหมานั้นกำลังหิวเป็นกำลังจึงอ้อนวอนขอกินศพก่อน ผู้ชมลองฟังคำโต้ตอบของแม่ลูกคู่นี้ดู        

แม่หมา เจ้าจะกินตรงไหน ไวบอกแม่  ลูกหมา รสเลิศแท้ ตาผี ไม่มีสอง                                      แม่หมา อย่าเลยลูก ตามัน แส่แต่มอง ทั้งโขนหนังนั่งจ้องกระจกเงาจะหาแลแต่สิ่งที่สวยงาม              ลูกหมา ถ้าอย่างนั้น ฉันกินหูมัน ได้ไหมเล่า?          แม่หมา หูมันเฝ้าแต่จะฟังเสียงสอพลอ                  ลูกหมา (รำพึง) แม่จ๋า, หูมันคงไม่ฟังพระสั่งสอน ลูกขอวอนกินจมูกได้ไหมหนอ?                    แม่หมา อย่าเลย, ถ้าเจ้าหยิ่งในเหล่ากอ มันชอบพอแต่จะดมกลิ่นดีๆ                                            ลูกหมา ถ้าอย่างนั้น ลูกจะกินลิ้นมันนะ  แม่หมา ตายละ ! สับปลับ ปล้อนปลิ้น ลิ้นคนนี่ ปากว่าชอบนิพพานอย่างโน้นนี้ แท้จริงซิ สังสารวัฏฏ์เต็มอัตรา    ลูกหมา ถ้าอย่างนั้น, ฉันกินมือ ได้หรือแม่?      แม่หมา อัปรีย์แท้ เทียวลูก, มือคนหนา หน้าไหว้หลังหลอกต่อครูบา ทั้งเข่นฆ่าเฆี่ยนตี พ่อแม่ตัว   ลูกหมา อย่างนั้นลูกจะขอ กัดกิน ตีนของมัน                                                                

แม่หมา ลูกเอ๋ย นั่นมันร้ายอยู่ใช่ชั่ว ไม่ย่างเท้าเข้าฟังธรรมประจำตัว เดินไปทั่วแต่ทางแห่งอบาย        ลูกหมา แม่จ๋า ลูกขอกินหัวใจผี (นะแม่นะ)                                                                             แม่หมา (ขู่คำราม ขนตั้งชัน) หยุดนะ อย่านะ นั่นกาลี น่าใจหาย                                                ตัวกู-ของกูอยู่นั่นนะลูกชาย ใจคนร้ายโสมม เสียสิ้นดี นั่นแหละลูกหมาที่น่าสงสารจึงได้รู้จักสัตว์ที่เรียกตนเองว่า “มนุษย์”ซึ่งแปลว่า มีใจสูง ดีขึ้น จึงจ้องมองดูศพด้วยดวงตาอันเหยียดหยามถ่มเขฬะรดแล้วว่า      “อ้ายชาติชั่ว เรียกตัว ว่ามนุษย์ ผลที่สุด ไม่มีดี อะไรนี่                                                   อนิจจา หมาไม่กิน ขำสิ้นดี เสียแรงที่แสนฉลาด อ้ายชาติคน”

จดหมายอกหัก

มีอยู่ครั้งหนึ่งไปอบรมนักเรียน โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี เป็นนักเรียนระดับ ปวช. ปี ๓ ตอนอบรมในค่ายนั้นบรรยากาศก็เป็นไปด้วยดี หลังอบรมเสร็จ มีกิจกรรมไขข้อข้องใจระหว่างพระธรรมวิทยากรและนักเรียน ก็ไม่มีใครถามถึงปัญหาส่วนตัว แต่มีนักเรียน ปวช. ปี ๓ มีนักเรียนผู้หญิงคนหนึ่งหน้าออกจะ...น่ารัก...นิดหนึ่ง สูงนิดๆ อ้วนหน่อยๆ เอ๋อน้อยๆ ติ๊งต๊องสุดๆ มาขอเบอร์โทรศัพท์และ E-Mail ของข้าพเจ้า ว่ามีเรื่องปรึกษาหลายเรื่อง จะปรึกษาในที่อบรมไม่กล้าเปิดเผย กลัวเพื่อน ๆ เขาได้จะแซว หรือนินทาก็ว่าได้ ข้าพเจ้านึกสงสารและสงสัย จึงให้ไปโดยดี เพราะเขาต้องการที่ปรึกษา เขาบอกว่าไม่มีใครที่เขาวางใจได้ เขาจึงมาอบรมเพื่อจะได้เบอร์โทรศัพท์และ E-Mail พระวิทยากร เพื่อจะได้ปรึกษา พอข้าพเจ้ากลับเชียงใหม่ได้ ๑ สัปดาห์ ก็เบอร์โทรศัพท์โทรเข้ามาปรึกษาไปแล้วหลายเรื่องด้วย ข้าพเจ้าก็ให้คำปรึกษาเขาไปด้วยดี มีวันหนึ่งเขาส่งจดหมาย E-Mail มาหาข้าพเจ้า เขาเล่าว่า                

สวัสดีค่ะพระอาจารย์ที่หล่อและน่ารักที่สุดในยามไร้แสง

พระอาจารย์ขาหนูมีความรู้สึกว่าคนที่เขียนจดหมาย มาหาพระอาจารย์ล้วนแต่ติ๊งต๊องปัญญาอ่อนแก้ปัญหาให้กับชีวิตตัวเองไม่ได้ โง่จริงจริง   วันนี้หนูก็มีปัญหาเหมือนกันค่ะ?  คืออย่างนี้นะคะ หนูเรียนอยู่ ร.ร.ในตัวอำเภอค่ะ(อำเภอใจนะคะ) หนูไปเจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่งานวัด…เขามาคุยกับหนู  เขาเป็นนักเรียนต่างโรงเรียนค่ะ  หนูถามเขาว่า  มาคุยกับหนูทำไม หนูไม่สวย เพื่อนหนูสวยกว่าตั้งเยอะ ทำไมไม่ไปคุย? เขาบอกว่า หนูไม่สวย แต่หนูเร้าใจค่ะ (หมายถึงน่ารักนะคะ)   ตอนที่เขามาคุยกับหนู  หนูก็สังเกตว่าทำไมเขาจึงมาคุยกับหนู  ปรากฏว่าวันนั้นหนูใส่กระโปรงสั้นค่ะ, แต่หนูไม่ปิดหรอกค่ะ  เพราะวันนั้นเป็นวันพระ  หนูเลยโปรดสัตว์ค่ะ เขาชวนหนูไปทานข้าว  หนูก็บอกว่า   ขอคิดดูก่อนค่ะ เขาชวนหนูไปดูหนัง  หนูก็บอกว่า  ขอคิดดูก่อนค่ะ เขาชวนหนูไปช๊อปปิ้ง หนูก็บอกว่า ขอคิดดูก่อนค่ะ บอกว่าไม่ต้องคิดดูก่อนก็ได้ เขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง หนูก็เลยบอกว่า งั้นขอดูก่อนคิด ได้ไหมคะ??? เขาชวนหนูไปเที่ยว  หนูจะไปกับเขาดีไหมคะ  แต่หนูตอบตกลงเขาไปแล้วค่ะ..? เขาบอกว่า ไปเช้า ๆ แล้วกลับค่ำ ๆ ดีไหม? หนูบอกว่า ไม่ได้มันจะเป็นที่ครหานินทา สู้ไปค่ำ ๆ แล้วกลับเช้า ๆ ดีกว่า..! เขาพาหนูไปเที่ยวพัทยาค่ะ ทำไงดีคะที่จะทำให้เขาสนใจหนู หนูเลยแต่งชุดทูพีชค่ะ  ทูพีชมีสองชิ้นใช่ไหมคะ ชุดของหนูคือ รองเท้ากับหมวกค่ะ..! พอตกกลางคืน เขาเช่าโรงแรมห้องเดี่ยวเตียงเดี่ยวค่ะเขาบอกว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษเขาจะนอนข้างล่าง หนูบอกว่าได้ยังไง  หนูเป็นสุภาพสตรี  หนูเลยลงไปนอนด้วยกันกับเขาข้างล่างค่ะ  พอตื่นเช้ามา    เขาก็ตกเป็นของหนูแล้วค่ะ…! พระอาจารย์ค่ะ...หนูกับเขาคบกันไปสักพัก หนูก็รู้สึกเจ็บท้องค่ะหนูไปหาหมอ

หมอบอกว่าหนูเป็นเนื้องอกค่ะ 

ตอนนี้เนื้องอกตั้งแต่อยู่ ปี.๒ แล้วค่ะ  พระอาจารย์ขา...แล้วเขาก็ไม่ค่อยกลับบ้านเลยค่ะ  เขาอ้างว่าไปงานบวชเพื่อน ..งานบวชบ้าอะไรกันคะ   บวชกลางคืนเนี่ยนะ  แล้วเขาก็ไม่เคยส่งเสียหนูเลย  หนูขอเงินไปเขาก็บอก  ส่งมาแล้วส่งมาทางแฟ็กค่ะ ช่วงหลังๆมาเขาไม่เคยแสดงความรักกับหนูเลย มีอยู่ครั้งเดียว  เขาเอามือลูบศีรษะหนูค่ะมีครั้งเดียว  เพราะเขาไม่มีผ้าเช็ดมือค่ะ บางครั้งเขามีน้ำใจนะคะเขาจับบันไดให้หนูแล้วให้หนูปีนขึ้นไปทาสีเพดานบ้าน…ระยะหลังนี้เขาชอบทำรุนแรงกับหนู  เขาตบหนูค่ะ  เขาบอกว่า  ตบหนูครั้งหนึ่งจะให้  ๓๐๐ ค่ะ หนูเจ็บไปหมดเลยค่ะ หนูถามเขาว่า จะตบหนูไปถึงไหน? เขาบอกว่าจะตบจนกว่าจะคืนเงินให้เขาค่ะ สุดท้ายหนูก็ต้องเลิกกับเขาค่ะ แม่หนูบอกว่าอย่าเสียใจไปเลยกลับบ้านเราเถอะ  พ่อแม่หนูบอกว่า  จะให้หนูไถนาแทนควายที่ขายไปเพื่อส่งหนูเรียนค่ะ  หนูก็เลยใช้เจ้าเนื้องอกไถนาแทน  นี่แหละค่ะความรักเหมือนโรค   บันดาลตาให้มืดบอด  เมื่อรักใครสักคน  เหมือนเล่นการพนัน แล้วหนูก็ใช้เงินจนหมดตัว  สุดท้ายก็ไม่มีเงินลงทุนต่อไป  แต่ยังดีนะคะ  ที่หนูยังมีชีวิต  หนูไม่คิดฆ่าตัวตาย  ความรักจะยังไงก็แล้วแต่  หนูคิดว่า   จงรักคนที่เขารักเราดีกว่า  นั่นคือ คุณพ่อและคุณแม่ ของหนูนั้นเอง

หนูขอให้จดหมายฉบับนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับนักเรียนหญิงที่คิดจะมีความรักในวัยเรียนนะคะ

*สมัยนี้  ผู้หญิง ก็ร้าย     ผู้ชาย ก็เลว    ส่วนพระ  ดีค่ะ*

พระชัยวัฒน์ ชยกมฺโม รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๑๔

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

ความรัก ต้องตามหาหรือนั่งรอ ?
“การมองหาความรัก ก็เหมือนกับการที่เราพยายามมองหาดาวตก

ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่มันจะไม่เกิด เราก็ไม่มีทางได้เจอ”

หนุ่มน้อยวัยยี่สิบเศษๆ ผิวขาว รูปร่างสูง หน้าตาคมเข้ม นั่งพรรณากับตัวเอง ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น ของจังหวัดเชียงใหม่วันนี้เป็นวันหนึ่งที่หนุ่มน้อยนามว่า........ต้องนั่งเหงาอยู่คนเดียว ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ความมืดและความหนาวเหน็บกลับเข้ามาเกาะกุมหัวใจและผิวกายของ.........อีก ครั้ง "ทำไมนะ ทำไมคนอื่นเค้ามีเพื่อนใจ เขาต่างก็มีคู่คลายเหงากันหมดแล้ว" เขานั่งบ่นพึมพัมกับตัวเองอยากมีใครซักคน ที่เข้าใจ เป็นกำลังใจ เป็นเพื่อนปลอบประโลมใจยามท้อแท้ใจ แต่หามาตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม จนกระทั่งป่านนี้ยังไม่พบคนที่ใช่เลย บางคนคิดว่าใช่ แต่ไม่กล้าบอก ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา เพราะเจียมตัวเหรอ หรือเพราะคนที่เขามองดูสูงส่งเกินไป สวยเกินไปสำหรับผู้ชายธรรมดาอย่างเขา.....หรือเพราะกลัวอกหัก กลัวเสียใจ กลัวไม่สมหวังในความรัก แต่ในเสี้ยวหนึ่งของความคิดก็ผุดขึ้นมา..."สงสัยเนื้อคู่เรายังไม่เกิดมั่ง ไม่นานคงเจอแหละน๊า"หากเนื้อคู่มีจริงๆ ขอให้เจอคนที่ถูกใจใช่เลยซักคนเถอะ หน้าตาไม่ต้องสวย จมูกโด่งๆ ตาโตๆ ผมยาวๆ หุ่นพอประมาณไม่ต้องเหมือนนางแบบก็ได้ อายุมากกว่าซักนิดก็ดี  "แต่ตอนนี้เหงาแล้วทำไงได้ล่ะ........หาเพื่อนคุยแก้เหงาในโลกออนไลน์ดีกว่า...ว่าแล้วเขาก็เดินไปเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ทบุ๊คคู่ใจ เฟสบุ๊คเท่านั้นที่ทำให้เขาคลายเหงาลงได้บ้าง  เพื่อนจำนวนร้อยกว่าคนที่มีอยู่ นับว่ามากมาย แต่ทำไมคนแล้วคนเล่าที่คุยก็ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษกับใครซักคน เพราะคิดอย่างเดียวว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของโลกออนไลน์ มันไม่ใช่ความจริง เริ่มมีความรู้สึกเบื่อหน่ายเข้าในความคิดอีกแล้ว    ...ค้นหาเพื่อนใหม่ๆบ้างดีกว่า เผื่ออะไรจะดีขึ้นมาบ้าง ...คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ใช่..แต่เขาก็มาหยุดตรงที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาว จมูกโด่ง ตาโตๆ ผิวสีน้ำผึ้ง ที่ดูเหมือนจะยืนจ้องตาเค้าอยู่ตรงหน้าเฟส ...ทำไมหัวใจเข้าเต้นผิดปกติ  ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันนะ รู้สึกแปลกๆกับเขาจัง แต่ดูท่าทางอายุจะมากกว่า เขาคงมีแฟนแล้วเป็นแน่เลย ...แต่ไม่เป็นไร ขอสมัครเป็นเพื่อนรุ่นน้องดีกว่า เพราะคงไม่มีสิทธิ์คิดไปไกลกว่านี้หรอก  ..."สวัสดีจ้า ยินดีที่ได้รู้จักนะจ้ะ" ประโยคแรกที่ผู้หญิงคนนั้นทักทายเค้า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา..เขาก็ได้เจอกับเพื่อนต่างวัย หน้าเฟสเกือบทุกวัน ...ได้คุยกันบ้าง ไม่กล้าทักบ้าง เพราะกลัวใจตัวเองหรือเปล่า  ...ทำได้อย่างเดียวคือแอบเข้าไปดูอัลบั้มภาพถ่ายในเฟส ดูแล้วดูอีก ติดตามความเคลื่อนไหวตลอด ...มันมีความรู้สึกว่าหัวใจมันบอกว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่เขาเฝ้ารออยู่ คนนี้แหละใช่เลย ......นี่หรือที่เขาเรียกว่าความรักของคนที่แอบรักเขาข้างเดียว แต่ไม่กล้าปริปากบอก เพราะกลัวว่าเขามีเจ้าของแล้ว..แต่วันนี้เป็นไงก็เป็นกัน...ลองทักเขาดีกว่า เผื่อชีวิตจะสมหวังอย่างใครๆเขาบ้าง"หวัดดีครับ พี่สาว ไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะครับ "..หนุ่มน้อยกล่าวทักทาย ..แต่ในใจคิดว่า เพื่อนต่างวัยคงไม่ตอบเป็นแน่ คงผิดหวังเช่นเดิม...

แต่สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นได้เสมอ..เมื่อสาวเจ้าตอบกลับมา และคุยเรื่องราวส่วนตัวกันตั้งนานสองนาน..ความรู้สึกดีๆ หัวใจหนุ่มน้อยเริ่มพองโต เต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที  ..."น้องมีแฟนรึยังล่ะ ?" พี่ยังโสดนะ ถ้าไม่มีแฟนพี่ให้ยืมตัวเป็นแฟนชั่วคราวเอาไม๊...เอาซีครับ หนุ่มน้อยตอบ..ความหวังเริ่มฉายแวว ..."พี่สาวครับถ้าเป็นแฟนกันจะเรียกพี่ได้ไง เปลี่ยนสรรพนามเรียกดีกว่าไม๊"หนุ่มน้อยกล่าวขึ้น  "งั้นจะเรียกว่าอะไรดีล่ะ จะเรียกชื่อก็ไม่โรแมนติค ขอเรียกที่รักได้ไม๊" หนุ่มน้อยกล่าว ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คำว่า"ที่รัก"ก็เป็นคำที่พูดติดปากของคนทั้งคู่ มันกลายเป็นความผูกพันธ์ กลายเป็นจุดกำเนิดของคำว่ารักที่รอคอยมานานแสนนาน  เสียงตามสายเริ่มผ่านโทรศัพท์ ความห่วงใยที่มีให้ต่อกันไม่ขาดสาย ความเหงาที่เคยเกาะกุมหัวใจมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่...มีความสุขจังเลยที่มีคนเข้าใจเรา และได้แต่นั่งคิดและนอนคิดอยู่ว่า..อืมไม่เป็นไรมีความสุขจัง  ที่ได้คิดถึงคนที่เรารัก ถึงแม้เราจะห่างไกลกันขนาดไหนก็แล้วแต่ มันไม่ใช่อุปสรรคของโลกคนช่างฝันนินา หนุ่มน้อยตอบให้ตนเองและยิ้มให้ตนเองไป.... ขอภาวนาว่า..นับตั้งแต่วันนี้ไปอย่าได้รู้จักคำว่าผิดหวังเลย...เพี้ยง ความผิดหวังก็อย่าได้รู้จักเราและอย่าได้มองเห็นเราเลย...สา....ธุ นับตั้งแต่วันนั้นมาหนุ่มน้อยเองก็มีความสุขกับความฝันของเขามาตลอด…

          ความว่ารักของหนุ่มน้อยที่มีให้คนที่อยู่ทางไกลยิ่งนานวันก็ยิ่งเพิ่มทวีคุณขึ้นทุกวัน ไม่มีคำว่าลดลงและขอฝากความฝันนี้ไปกับสายกลมช่วยกระซิบบอกเธอด้วยว่า..เจ้าหนุ่มน้อย “คิดถึงและห่วงใย ห่างไกลเพราะฟ้ากว้าง คิดถึงเธอทุกวันเวลา เก็บใจไว้นะคนดี” ละก็อย่าลืมบอกนะว่าคืนนี้เจอกันในฝัน

โดย……

พระสาทิตย์ กตปุญฺโญ รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๓๒

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

หลวงพระบาง  เมืองมรดกโลก

หลวงพระบางวันนี้ (Luang Prabang Today)

หลวงพระบางเป็น ๑ ใน ๖ แขวงภาคเหนือของประเทศลาว ซึ่งประกอบไปด้วย หลวงพระบาง, อุดมไซ, ไซยะบุรี, พงสาลี, หัวพัน, บ่อแก้ว  หลวงพระบางถือเป็นแขวงเอกที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่สุดแขวงหนึ่งของประเทศ เพราะเป็นเมืองหน้าด่าน การเดินทางไปยังแขวงอื่นๆ ในภาคเหนือ จะต้องมาผ่านเมืองหลวงพระบางแทบทั้งสิ้น

หลวงพระบาง ประกอบไปด้วยเมืองบริวารทั้งหมด ๑๒ เมือง คือ เมืองหลวงพระบาง, เมืองจอมเพชร, เมืองเชียงเงิน, เมืองนาน, เมืองปากอู, เมืองน้ำบาก, เมืองงอย, เมืองปากแซง, เมืองโพนไซ, เมืองเวียงคำ, เมืองพูคูน และเมืองโพนทอง

 ที่ตั้ง: อยู่ที่เส้นรุ้ง ๑๙ องศา ๕๔ ลิปดาเหนือ และเส้นแวง ๑๐๒ องศา ๘ ลิปดาตะวันออก

สภาพภูมิประเทศ:  โอบล้อมด้วยหุบเขารอบด้าน มีความสูงประมาณ ๑,๓๐๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีแม่น้ำโขง, แม่น้ำคาน และแม่น้ำอู เป็นสายน้ำหลักไหลผ่าน

สภาพภูมิอากาศ:

หลวงพระบางต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆ ของลาว เนื่องจากถูกขนาบล้อมด้วยหุบเขาล้อมด้าน ทำให้ค่อนข้างอับฝน ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ถูกเทือกเขาหลวงพระบาง ซึ่งกั้นพรมแดนไทย-ลาวยาวจากเพชรบูรณ์ถึงน่านสกัดไว้ ส่วนฝนจากอ่าวตังเกี๋ยก็ถูกเทือกเขาอันนำตรงพรมแดนลาว-เวียดนามกำบังอยู่เช่นกัน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยตลอดปีของหลวงพระบางจึงมีเพียง ๑๐๐ ๑๕๐ มิลลิเมตรเท่านั้น

ฤดูร้อน:

เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงต้นเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิสูงสุดอยู่ในเดือนเมษายน เฉลี่ย ๓๕ องศาเซลเซียส ฤดูนี้จะมีฝนบ้างประปรายตั้งแต่กลางเมษายนเป็นต้นไป

ฤดูฝน:

เริ่มกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายน ฝนมากที่สุดในเดือนสิงหาคม อุณหภูมิในช่วงฤดูนี้เฉลี่ย ๓๐ องศาเซลเซียส

ฤดูหนาว:

เริ่มจากกลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ หนาวที่สุดจะอยู่ท้ายเดือนธันวาคมเรื่อยไปถึงต้นเดือนมกราคม อุณหภูมิต่ำสุดฤดูนี้วัดในตัวเมืองได้ ๕ องศาเซลเซียส

เนื้อที่:

๑๖,๘๗๕ ตารางกิโลเมตร (๖,๕๑๖ ตารางไมล์)

 ประชากร:

หลวงพระบางมีประชากรประมาณ ๔๐๘,๘๐๐ คน ร้อยละ ๔๐ เป็นลาวลุ่ม ร้อยละ ๔๖ เป็นกลุ่มลาวเทิง และร้อยละ ๑๔ เป็นลาวสูง ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ ๖๐,๐๐๐ คน หลวงพระบางถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมของความเจริญในภาคเหนือของประเทศลาวในทุกๆ ด้านเช่น

ด้านการศึกษา

ถือเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของภาคเหนือ มีมหาวิทยาลัยแห่งชาติสุพานุวง, วิทยาลัยกฎหมายภาคเหนือ, วิทยาลัยการเงิน-การธนาคารเขตภาคเหนือ, โรงเรียนแพทย์และพยาบาล, วิทยาลัยครู, วิทยาลัยการช่าง (สารพัดช่าง) ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงพระบางทั้งสิ้น

ด้านท่องเที่ยว

เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวของภาคเหนือ เนื่องจากเป็นเมืองมรดกโลก จึงทำให้หลวงพระบาง เป็นเมืองที่มีการเติบโตทางด้านธุรกิจการท่องเที่ยวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศลาว

ด้านการคมนาคมขนส่ง

เป็นเมืองศูนย์กลางการคมนาคม และขนส่งที่สำคัญของภาคเหนือประเทศลาว   

 หลวงพระบางเมืองมรดกโลก

          องค์การยูเนสโกประกาศให้เครดิตกับเมืองหลวงพระบางว่าเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักรักษาที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Best Preserved City in South – East Asia) เมื่อครั้งที่มีการสำรวจเบื้องต้นในปีพ.ศ. ๒๕๓๓ – ๒๕๓๘ และได้รับการบรรจุอยู่ในบัญชีรายชื่อ “เมืองมรดกโลก” (World Heritage Town) เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ มีการจัดทำแผนให้เงินทุนสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ และองค์กรอิสระอื่นๆ หลายองค์กร จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๑ เมืองหลวงพระบางก็ได้รับสถานภาพให้เป็นเมืองมรดกโลกอย่างเป็นทางการ ตามปกติแล้วคณะกรรมการมรดกโลกจะมีหลักเกณฑ์การพิจารณาหลักๆ สำหรับมรดกโลกทางวัฒนธรรมอยู่ ๖ ข้อ ขอเพียงเข้าหลักเกณฑ์ใดหลักเกณฑ์หนึ่งก็จะได้รับการพิจารณา แต่หลวงพระบางมีคุณสมบัติเข้าหลักเกณฑ์การพิจารณาถึง ๓ ข้อจาก ๖ ข้อดังนี้

          ข้อที่ ๒ มีอิทธิพลอย่างสูงยิ่ง เหนือกาลเวลาอันยาวนาน หรือมีอิทธิพลภายในเขตวัฒนธรรมของโลก อันเกี่ยวเนื่องกับพัฒนาการทางสถาปัตยกรรม ศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น การวางผังเมือง หรือการออกแบบ ภูมิสถาปัตย์

          ข้อที่ ๔ เป็นตัวอย่างอันชัดเจนของรูปแบบอาคาร หรือสถาปัตยกรรมโดยภาพรวม

หรือภูมิสถาปัตย์ที่แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนอันมีนัยสำคัญในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

          ข้อที่ ๕ เป็นตัวอย่างอันชัดเจนของการตั้งถิ่นฐานชุมชนมนุษย์ หรือแสดงให้เห็นการใช้พื้นที่ ซึ่งเป็นภาพแทนของวัฒนธรรม

ความสำคัญของเมืองหลวงพระบาง

เป็นเมืองหลวงเก่าอุดมไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันลุ่มลึก ทุกซอกทุกมุมของเมืองมีบ้าน วัด วัง และสถาปัตยกรรมที่น่าหลงใหล ประเพณี ความเชื่อ และความผูกพันในพระศาสนาของคนเมืองนี้ที่ยังมีชีวิตชีวาไม่สูญหายเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ใครๆ ที่ได้มาเยือน หลวงพระบาง ก็อดที่จะประทับใจกับความเป็นจริงเหล่านี้ไม่ได้ และความประทับใจนั่นเองนำพวกเขาเหล่านั้นกลับมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เฉพาะแต่กับชาวต่างชาติ แม้แต่คนลาวด้วยกันเอง การได้เดินทางไปไหว้ พระบาง ไปเที่ยวงานบุญเมืองหลวงพระบางสักครั้งก็เป็นความฝันของชีวิตที่สมบูรณ์แล้วสำหรับพวกเขา

หลวงพระบางเมืองที่อดีตยังอยู่กับปัจจุบัน

Marthe Bassene สตรีชาวฝรั่งเศสนางหนึ่งเคยเขียนถึงเมืองหลวงพระบางไว้ในนิตยสารเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ว่า "โอ้.. ประเทศนี้ปกป้องสรวงสวรรค์แห่งความสุขในอุดมคตินี้เอาไว้ได้อย่างไร จากกระแสโลก จากความก้าวหน้าและความทะเยอทะยานในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ! หลวงพระบางจะอยู่ในศตวรรษแห่งวิทยาการ, ผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างรวดเร็ว, ชัยชนะของเงิน, นักฝันคนสุดท้าย, คู่รักคู่สุดท้าย และจินตกวีคนสุดท้ายได้หรือ"?

          กว่าหนึ่งศตวรรษผ่านไป หลวงพระบางยังคงสภาพอย่างที่มันควรจะเป็นเอาไว้ได้ เมื่อมีสถานะเป็นเมืองมรดกโลก อาคารบ้านเรือน และสิ่งก่อสร้างทุกอย่างถูกดูแลเป็นอย่างดีโดยห้องว่าการมรดกโลกประจำเมือง ไม่ว่าจะดำเนินการก่อสร้าง หรือซ่อมแซมอาคารใดๆ ก็ตามในเขตเมืองเก่าจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติแบบแปลนจากหน่วยงานนี้ก่อนเสมอ

          ในเขตมรดกโลกนี้ มีอาคารเก่าซึ่งสร้างก่อนปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ไม่ว่าจะเป็นวัด อาคารทรงลาว  

(๒ ชั้น หลังคาสูง มีระเบียง) และอาคารทรงโคโลเนียลที่ถูกจัดว่าเป็นอาคารเก่าที่สร้างถูกต้องตามทรงที่กำหนดอยู่ทั้งหมด ๖๑๑ หลัง โดยถูกบันทึกภาพถ่ายไว้ทุกแง่มุม สำหรับใช้ในการอ้างอิงเมื่อถึงเวลาต้องมีการปรับปรุง-ซ่อมแซม อาคารเหล่านี้จำเป็นต้องอยู่ในทรงเดิมของมันเช่นนี้ตลอดไป ไม่สามารถดัดแปลงได้ ส่วนอาคารที่อยู่นอกบัญชีเหล่านี้ หรืออาคารที่กำลังจะสร้างใหม่นั้นสามารถก่อสร้าง ซ่อมแซม ดัดแปลงได้ แต่ต้องเป็นทรงตามที่กำหนดไว้เท่านั้น รวมไปถึงการใช้สีด้วย (ห้ามใช้สีเคลือบเลื่อม) และที่สำคัญงานออกแบบทั้งหมดต้องทำโดยสถาปนิกมืออาชีพเท่านั้น รวมไปถึงป้ายชื่อโรงแรม, ร้านอาหาร, ร้านค้า ทุกป้ายต้องเป็นป้ายที่ทำขึ้นจากไม้ บังคับให้ใช้สีพื้นเป็นสีไม้ธรรมชาติ หรือดำ และตัวหนังสือสีทอง โดยจะต้องใช้อักษรภาษาลาวอยู่ด้านบน แล้วภาษาต่างประเทศอื่นๆ อยู่ด้านล่างเสมอ ความเป็นมรดกโลกมิได้จำกัดแต่เพียงอาคาร บ้านเรือน วัดวาอารามต่างๆ เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึง ตรอก ซอย ฟุตบาท แม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้า ซึ่งหากต้องการตัด หรือทำลาย จะต้องทำหนังสือเพื่อขออนุญาตเช่นเดียวกัน ผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับสูงถึงต้นละ ๕๐๐ เหรียญสหรัฐ หรือในกรณีสิ่งปลูกสร้าง อาคาร บ้านเรือนต่างๆ หากการก่อสร้างไม่เป็นไปตามแบบแปลนที่กำหนด โทษสถานเดียวที่จะได้รับคือ อาคารหลังนั้นจะถูกทุบทำลาย และบังคับให้เจ้าของโครงการสร้างกลับคืนในรูปแบบเดิมทันที

ในมุมมองสถาปัตยกรรม หลวงพระบางยังคงเก็บรักษาความเก่าแก่ และความกลมกลืนของธรรมชาติ บ้านไม้ บ้านสไตล์ลาว อาคารปูนทรงโคโลเนียลอายุเกือบร้อยปี และอาคารทรงนีโอโคโลเนียล ที่ผสานสไตล์โคโลเนียลกับลาวเข้าด้วยกันเอาไว้ได้อย่างสวยงาม

ในมุมมองทางวัฒนธรรม ชาวบ้านที่นี่ก็ยังคงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายในแบบของพวกเขาเอาไว้ได้อย่างมีเสน่ห์ หลวงพระบางเลยได้รับการยกให้เป็น “ที่พำนักสำหรับนักฝันคนสุดท้าย”

 หลวงพระบางกับการเปลี่ยนแปลง

นับจากปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งเป็นปีที่หลวงพระบางถูกประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก้ เมืองเล็กๆ แห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว มีธุรกิจที่เกียวข้องกับการท่องเที่ยว และการบริการเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม รีสอร์ท เฮือนพัก ร้านอาหาร อินเตอร์เนทคาเฟ่ ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ส่งผลให้ที่ดินในเขตตัวเมืองมีราคาแพงยิ่งกว่าทองคำ ทุกวันนี้ที่ดินในหลวงพระบาง หากอยู่ในย่านทำเลธุรกิจ หรือติดริมแม่น้ำ ขนาดเนื้อที่ประมาณ ๑๒๐ ตารางวา ราคาซื้อ-ขายจะเริ่มต้นที่ประมาณ ๑๐-๑๕ ล้านบาท และอาจสูงถึง ๔๐-๕๐ ล้านบาทหากมีสิ่งปลูกสร้างถาวรเรียบร้อยแล้ว ด้วยกฎระเบียบของทางการที่ห้ามชาวต่างชาติถือครอง หรือเป็นเจ้าของในที่ดิน การเช่าจึงเป็นทางออกเดียวสำหรับนักลงทุนจากนานาชาติ (ยกเว้นกรณีที่มีมูลค่าการลงทุนตั้งแต่ ๕๐๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐขึ้นไป จึงจะมีสิทธิในการซื้อที่ดินเป็นของตัวเอง) ซึ่งค่าเช่าในย่านธุรกิจสำคัญๆ ใจกลางเมืองเช่น บริเวณ ถ.สีสว่างวงศ์ (บ้านเจ็ก) หรือบริเวณริมแม่น้ำโขง และริมแม่น้ำคาน จะอยู่ที่ราว ๓๐,๐๐๐-๘๐,๐๐๐ บาท/เดือน วิธีการชำระเงินค่าเช่าจะคิดจากจำนวนปีที่ต้องการเช่าเช่น หากต้องการเช่าในระยะเวลา ๑๐ ปี การชำระก็อาจจะแบ่งเป็น ๒ งวดๆ ละ ๕ ปี (จ่ายรวดเดียวทั้งก้อน) จะไม่มีการเก็บค่าเช่าเป็นรายเดือน เป็นต้น แน่นอนการไหลเข้าของการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองแบบเดิมๆ ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยปัจจัยเรื่องราคาที่ดิน-ค่าเช่าข้างต้น ผนวกกับการที่หลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลก ซึ่งมีกฏระเบียบ และกฏเกณฑ์ที่เคร่งครัด ทำให้การเปลี่ยนแปลงของเมืองเป็นไปอย่างช้าๆ ไม่ได้รวดเร็วอย่างที่หลายคนกังวล

 หลวงพระบางในอนาคต

      โครงการในระยะสั้น ๑-๓ ปีข้างหน้า

          ในปีพ.ศ. ๒๕๕๔ หลวงพระบางจะมีสนามกอล์ฟขนาดมาตรฐาน ๑๘ หลุม พร้อมสปอร์ตคลับ, โรงแรมระดับ ๕ ดาว ประมาณ ๓-๔ แห่งจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการ, สวนสัตว์ไนท์ซาฟารี (ทุกโครงการอยู่นอกเขตมรดกโลก) รวมทั้งรถโดยสารระหว่างประเทศเส้นทางใหม่ๆ เช่น หลวงพระบาง-เชียงใหม่, หลวงพระบาง-กรุงเทพ, หลวงพระบาง-อุดรธานี เป็นต้น (ปัจจุบันที่มีให้บริการแล้วคือเส้นทางสาย หลวงพระบาง-คุนหมิง, หลวงพระบาง-ฮานอย)

          ในปีพ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นปีที่การพัฒนาโครงสร้างขนาดใหญ่หลายๆ โครงการของเมืองจะแล้วเสร็จ เช่น

  • โครงการขยายสนามบินนานาชาติหลวงพระบาง ซึ่งจะทำให้มีขีดความสามารถในการรองรับเครื่องบินแบบโบอิ้งได้ ๔ ลำและ เครื่องบินแบบ ATR ๗๒-๕๐๐ ได้ ๗ ลำเข้าจอดในบริเวณลานจอดได้พร้อมกัน
  • โครงการก่อสร้างถนนสายบายพาสสายใหม่จะแล้วเสร็จในปีนี้เช่นเดียวกัน ทำให้การเดินทางโดยรถจากนครหลวงเวียงจันทน์มาหลวงพระบางใช้เวลาเพียง ๕ ชั่วโมง (ปัจจุบันใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๗-๘ ชั่วโมง)

โครงการระยะยาว ๓-๕ ปีขึ้นไป

  • ทางการแขวงมีโครงการในการพัฒนาเมืองใหม่ ในเขตเมืองจอมเพชร ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองหลวงพระบางในปัจจุบัน ในโครงการนี้จะมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเพื่อเชื่อมเมืองใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเมืองเก่าในปัจจุบันเข้าด้วยกัน พร้อมทั้งการลงทุนก่อสร้างในสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
  • โครงการสร้างทางรถไฟเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าและการบริการของ ๓ ประเทศ (จีน ลาว ไทย) ซึ่งหากโครงการนี้สำเร็จ ส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟเส้นนี้จะผ่านเมืองหลวงพระบางด้วยเช่นกัน คาดการณ์ว่าเส้นทางรถไฟจะผ่านเมืองหลวงพระบางตรงบริเวณเมืองใหม่ฝั่งเมืองจอมเพชรนั้นเอง

พระทวิน ธีรปญฺโญ รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๔๑

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

 

 

ชีวิตกลางพงไพร

***********************

ท่ามกลางบรรยายที่อบอวลไปด้วยหมอกเมฆมีหญิงคนหนึ่งได้มานั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าซึ่งนานๆทีครอบครัวของเขาจะพากันมาเที่ยวสถานที่แบบนี้ซักทีหนึ่งและวันนี้เองที่หญิงสาวนั้นได้เกิดความคิดผุดขึ้นมาแบบไม่เคยตั้งตัวมาก่อน  เป็นความคิดที่ใครๆไม่ค่อยจะคิดกัน หญิงสาวคนนั้นได้ตั้งคำถามกับตัวเอง พร้อมทั้งหาตำตอบให้กับคำถามของตัวเองเหมือนกัน คำถามนั้นคือ  “เกิดมาทำไม  ชีวิตคืออะไร” ซึ่งคำถามแบบนี้เด็กสาวอย่างเธอคงจะเล็กเกินไปสำหรับการตอบคำถามที่ยากๆ  แต่สำหรับเธอแล้วเธอมีคำตอบในใจของเธออยู่เองแล้วว่าชีวิต คือ “สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเพื่อความสมบูรณ์ของธรรมชาติ”  แล้วเกิดมาทำไม  เธอได้แต่ตอบคำถามของเธอเองว่า “เกิดมาเพื่อทดแทนธรรมชาติที่สูญหายไป” การตั้งคำถามแบบนี้สำหรับเธอแล้วมันเพิ่งเกิดมาในตอนที่เธอเห็นพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ณ ดอยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่  ซึ่งกว่าเธอจะได้เห็นมันแบบนี้เกือบ ๑๗ ปีแล้ว  เพราะชีวิตของเธอยุ่งอยู่แต่สังคมในเมืองไม่เคยเดินทางอออกจากในเมืองไปไหนเลยเธอได้แต่อ่านในหนังสือไม่เคยได้สัมผัสถึงบรรยากาศแบบนี้

หลังจากที่เธอสัมผัสบรรยากาศบนดอยสูงแล้วซักพักครอบครัวเธอก็พากันไปเที่ยวในสถานต่าง ๆ บริเวณนั้นเพราะนานๆจะได้มาที ไหนๆมาแล้วก็เที่ยวให้มันจุใจไปเลย  สาวน้อยได้เดินตามถนนหนทางที่เป็นดินทั้งนั้น  ถนนสายนี้ไม่เป็นคอนกรีต ไม่ลาดยาง เนื่องจากอยู่ห่างไกลจากในตัวเมืองมากความสะดวกสบายเทคโนโลยีต่างๆรวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือในการสื่อสารไม่มีใช้เลย แม้แต่ไฟฟ้ายังมาไม่ถึง ในช่วงตอนกลางคืนต้องใช้เทียนไข หรือตะเกียง จุดให้แสงสว่างแทนไฟฟ้า  วิถีชีวิตแบบนี้ทำให้เธอหลงใหลมาก  เมื่อเธอก้าวต่อไปก็ได้พบกับชีวิตอันแสนจะเรียบง่ายไม่พิถีพิถันเหมือนสังคมในเมืองที่เธอได้พบเจอมา  สังคมในเมืองต้องตื่นเช้ามาข้าวไม่ต้องกิน  กินแค่กาแฟกับขนม ก็ไปทำงานได้  แต่ในหมู่บ้านนี้เธอต้องแปลกมากเพราะทุกบ้านตื่นเช้ามาต้องนึ่งข้าวกันทุกหลังคาเรือน  ทำอาหารเช้า  เสร็จแล้วก็เอาอาหารให้สัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น หมู หมา ไก่ เป็นต้น   พอเห็นแสงพระอาทิตย์รำไร ชาวบ้านก็รับประทานอาหารเช้าพอทานเสร็จต่างคนต่างไปทำงาน บ้างก็เอา วัว ควาย  ออกไปเลี้ยง  บ้างก็ไปทำไร ไถนา  เธอต้องมาแปลกอีกเพราะนอกจากชาวบ้านจะทำนาในนาแล้วชาวบ้านยังทำนาบนดอยด้วยซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อนเลยมันเป็นสิ่งที่สาวน้อยผู้นี้ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่พบเห็นเป็นอย่างมาก

นอกจากนั้นเธอได้ไปเที่ยว เยี่ยมเยือนเกษตรกร ที่ทำไร่ถึงในสวน ไปดูถึงการเพาะปลูกกล้าพันธุ์ต่างๆ  ซึ่งปัจจุบันนับว่าเยาวชนรุ่นใหม่ในยุคนี้ไม่เคยสัมผัสและได้เห็นอย่างแน่นอน  เพราะการทำแต่ละอย่าง ขั้นตอนแต่ละขั้นพิถีพิถันอย่างมาก และทำยากมากๆ แม้แต่เธอไปยืนดูยังทึ่งกับภูมิปัญญาชาวบ้านเหล่านั้น  สาวน้อยได้เข้าไปสนทนาถึงการเพาะปลูกด้วยความสนใจเป็นยิ่ง  สังคมในเมืองที่เธออยู่นั้นแทบจะไม่ได้ทำเลย  ได้แต่ใช้เงินซื้อตอนที่สำเร็จแล้วไม่มีโอกาสที่จะเป็นขั้นตอนการทำเหมือนตอนนี้ เธอจึงถ่ายรูปไว้ดู จากที่เธอดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในละแวกนั้นแล้ว  สาวน้อยผู้หลงใหลคลั่งไคล้ ในธรรมชาติซึ่งตอนนี้ในความคิดของเธอ  ชาวบ้านเหล่านั้นช่างมีความสุข ซะเหลือเกิน  เธออิจฉาในวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบนั้น  ว่าสาวน้อยเดินไปพลางคิดไปตามอารมณ์ซึ่งบรรยากาศพาไป  สาวน้อยเดินไปซักพัก   เธอต้องตื่นจากความเพ้อฝันของเธอ  เนื่องเสียงกระซิบข้างหูของเธอเอง  เพราะเสียงเหล่านั้นเป็นน้ำเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้งเสียยิ่งกว่า  เสียงเพลงที่เธอฟังทุกครั้ง  เสียงเหล่านั้นคือเสียงนกเกาะอยู่ตามกิ่งไม้แถวนั้น  เสียงมันช่างไพเราะเพราะพริ้งเสียยิ่งกว่า เสียงเพลงที่เธอฟังทุกวันซะอีก  มันเป็นเสียงที่ธรรมชาติแต่งขึ้นมา  สาวน้อยได้เดินไปตามถนนหนทางอันแสนราบรื่นด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ที่รายล้อมสองข้างทางมันช่างเป็นวันเวลาที่สาวน้อยมีความสุขมากที่สุด นานๆทีเธอจึงจะได้เห็นธรรมชาติแบบนี้  เธอเดินไปได้อีกซักพักก็ได้พบกับเสียงเหมือนคนฟันไม้  สาวน้อยตกใจเป็นอย่างมาก  จินตนาการไปต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเจอหับพวกลักลอบตัดต้นไม้ หรือคนหาฟืน  เธอคิดไปเรื่อยๆ  จนมาเจอต้นกำเนิดของเสียง  ที่ไหนได้  เสียงที่สาวน้อยนั้นได้ยิน มันเป็นเสียงของนกหัวขวานที่กำลังเจาะรูต้นไม้เพื่อทำรังของมันเอง  ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ธรรมชาติสรรสร้างออกแบบมาโดยที่มนุษย์ฝืน  มันทำให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์กับสัตว์ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร  เหมือนกันอย่างไร  สาวน้อยได้แต่ยืนมองถึงการกระทำของนกหัวขวานซึ่งเธอแปลกใจเป็นอย่างมากที่นกใช้ปากของมันเจาะรูได้  สาวน้อยได้ยืนดูซักพักก็จากไปพร้อมกับคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้คือ  แม้แต่นกมันยังทำรังเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยบารมีของใคร  ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าวอะไรต่อมิอะไร  มันก็มีรังเป็นของตนเอง ว่าขอโน่นขอนี่นดูซักพักก็จากไปพร้อมกับคำถามที่ยังหาคำตอบไ แล้วทำไมมนุษย์คนเราถึงต้องบนบานศาลกล่าวขอโน่นขอนี่  อยู่ตลอดเวลา  ว่าแล้วสาวน้อยก็เดินไปพร้อมๆกับความคิดนี้  สาวน้อยได้เดินทางเกือบจะถึงหมู่บ้านแล้วเธอได้แต่คิดว่าทำไมมันเร็วอย่างนี้ แป๊บเดียวเองหรอ  เธอยังไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าเธอเกือบจะมาถึงหมู่บ้านแล้ว

สาวน้อยเดินมาพร้อมกับความคิดอันยิ่งใหญ่ในจินตนาการของเขา  เขากลัวว่าซักวันหนึ่งป่าไม้เหล่านี้  ธรรมชาติเหล่านี้ที่เธอได้สัมผัสมันในวันนี้นั้นเธอจะไม่ได้พบกับมันอีกแล้วเพราะทุกวันมีคนลักลอบตัดไม้เพื่อผลประโยชน์  เช่น ในระหว่างหนทางที่เธอเดินทางมานี้  ดอยเกือบทั้งดอย  โดนโค่นต้นไม้ทิ้ง  เพื่อถางป่าเพาะปลูกพืชไร่ต่างๆ  อีกทั้งยังมีลักลอบตัดไม้เพื่อทำในเชิงธุรกิจ  คือเอาไม้ไปแปรรูปแล้วนำไปขาย  ทำให้ป่าไม้ที่เคยอุดมสมบูรณ์  สัตว์ที่เคยอาศัยอยู่ในป่านั้นย้ายไปที่อื่นบ้าง  โดนจับเอาไปขายบ้าง  ยิ่งสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์  นับวันจะหาดูได้ยากขึ้น  ก็ไม่มีที่อาศัย  ทำให้ต้องเร่ร่อนไปทั่ว  โดนจับบ้าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติเมื่อมีสิ่งใดขาดหายไปมันก็เหมือนกับจิ๊กซอที่ตัวต่อมีไม่ครบ  มันก็จะไม่สมบูรณ์ไม่สวย  ส่วนของธรรมชาตินั้นเมื่อถึงฤดูฝน  หากฝนตกมากบริเวณที่เคยมีต้นไม้เมื่อก่อนมีต้นไม้ไว้คอยซึมซับน้ำ  แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นที่โล่งเตียนทำให้ไม่มีอะไรมาซึมซับน้ำฝนไว้  จึงเกิดเหตุการณ์ดินถล่ม  น้ำป่าไหลหลาก   ตามมาแล้วคนมาว่าธรรมชาติกลั่นแกล้ง  หากมองตามความเป็นจริงแล้วคนนั่นแหละที่กลั่นแกล้งธรรมชาติ  ทำร้าย ทำลายธรรมชาติ  เขาอยู่ของเขาดีๆแต่คนกลับไปทำลาย  เลยทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา  สาวน้อยคิดพลางเอามือเด็ดใบไม้  แล้วเอาใบไม้นั้นเก็บไว้ในอุ้งมืออันเล็กของเขา  แล้วน้ำตาของเธอก็ไหลมาแบบไม่รู้ตัว  ทำให้เธอกลัวว่าธรรมชาติที่เธอพบในวันนี้เธอจะไม่ได้เจอมันอีกแล้ว  ธรรมชาติจ๋า...

พระเมษา อภิวฑฺฒโน รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๕๐

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

เรื่องเล่าตำนาน  น้ำแม่ทา

น้ำแม่ทาเป็นแม่น้ำสายสำคัญของ  จ.เชียงใหม่  และ  จ.ลำพูน  โดยเป็นแม่น้ำที่ใช้หล่อเลี้ยง  ชีวิตของคนใน  จ.เชียงใหม่  และ  จ.ลำพูน  โดยเป็นแม่น้ำที่ใช้ทำการเกษตร  และเป็นแม่น้ำสำคัญในการดำรงชีวิต  และเป็นเสมือนแม่หรือสายเลือดหล่อเลี้ยงของคน  ในสองจังหวัด  โดยมีตำนานของแม่น้ำทาที่ยาวนาน  เชื่อมโยงกับพุทธตำนาน  พระเจ้าเลียบโลกอีกด้วย

ในความเป็นมาของแม่น้ำทา  มีตำนานเล่าโดยอ้างอิงจากพุทธตำนาน  พระเจ้าเลียบโลก  โปรดเวไนย์สัตว์มาจนถึง  วัดพระนอนม่อนช้าง  อ.ป่าซาง  จ.ลำพูน  พระองค์ทรงประทับนอนรอพระอานนท์ ที่ไปหาน้ำดื่มมาถวาย  พระอานนท์เดินหาน้ำที่ไหนก็ไม่มีสักแห่ง  พระอานนท์จึงได้เอาไม้เท้า  แทงภูเขาแล้วขัดเป็นรอยกลายเป็นแม่น้ำทา  จึงตักน้ำไปถวายพระพุทธองค์  คำว่าน้ำแม่ทา  ได้เพี้ยนมาจากคำว่า  ถ้า  แปลว่า  รอคอย  ในภาษาไทยกลาง  ถ้าเป็นภาษาเหนือ  หมายถึง  พระพุทธองค์  รอคอยหรือถ้าน้ำที่พระอานนท์  ไปตักจึงเรียกขานน้ำ  แม่ทาว่าแม่น้ำทา  ถ้า  และเพี้ยนกลายมาเป็นแม่น้ำทา

แม่น้ำทา  เป็นแม่น้ำที่  ไหลผ่าน  ๒ จังหวัด  คือลำพูน  และเชียงใหม่  โดยเส้นทางการเดินทางของสายน้ำนั้น  จะไหลผ่านบริเวณ  ต.แม่ทา  และ  ต.ทาเหนือ  ของ  อ.แม่ออน  จ.เชียงใหม่  และผ่านมาอำเภอแม่ทา  และ  อ.ป่าซาง  ของจังหวัดลำพูน  เป็นแม่น้ำที่ใช้ประกอบการเกษตรของผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้แม่น้ำทาโดยใช้  หาอาหาร  ปู  ปลา  และใช้ในการเพาะปลูกพืชเกษตร  โดยมีความสำคัญกับการใช้ชีวิต  ความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยแม่น้ำทาเป็นหลัก  เป็นดังสายเลือดของคนในจังหวัดเชียงใหม่  และลำพูน  ที่ใช้หล่อเลี้ยงร่างกาย  ดำรงชีวิตและความเป็นอยู่  ตลอดจนถึงทำกิจกรรมประเพณี  ที่มีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ำ

ดังนั้น  แม่น้ำทา  จึงเป็นแม่น้ำสายสำคัญในการดำรงชีวิต  และเป็นแม่น้ำสำคัญอีกสายหนึ่งของ  จ.เชียงใหม่  -  ลำพูน  และเป็นแม่น้ำที่มีประวัติอันยาวนาน  ควรค่าแก่การรักษาให้สะอาดและช่วยกันดูแลสืบไป

พระอานนท์ พรหมฺวํโส รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๖๓

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

ประวัติชนเผ่ากะเหรี่ยง

การอพยพของคนกะเหรี่ยงนั้นมาจากประเทศพม่าเมื่อสมัยก่อนมีการทำสงครามกันระหว่างกะเหรี่ยงกับพม่าทำให้คนกะเหรี่ยงอพยพมาอยู่ขอบชายแดนประเทศไทยและบางส่วนก็ได้รับสัญชาติไทยเพราะมาอยู่นานแล้ว ปู่นะ เล่าให้ฟังว่าเมื่อสมัยก่อนมีประเทศกะเหรี่ยง อยู่ ที่ เมืองผะอัน ประเทศพม่าในปัจจุบัน มีเมืองหลวงและสิ่งต่าง ๆ มากมาย เพราะว่าการปกครองจะมีการปกครองแบบฉันพี่น้อง คนที่อายุแก่สุดหรือ เจ้า จะเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง

สาเหตุที่ประเทศกะเหรี่ยงล้มสลายนั้นมาจาก การนับถือศาสนา เพราะว่าเมื่อสมัยก่อนนั้นประเทศกะเหรียงไม่มีนับถือศาสนา จะมีการนับถือผี อย่างเดียว ตั้งแต่ที่ศาสนาเข้ามาประเทศกะเหรี่ยงทำให้เกิดคนบางกลุ่มหันมานับถือศาสนาพุทธบ้าง ศาสนาคริสต์บ้าง จากนั้นมีคนต่างชาติเข้ามาอีกทำให้คนกะเหรี่ยงเกิดความแตกแยกขาดความสามัคคีเกิดคนหลายกลุ่ม ส่วนประเทศพม่านั้นเห็นว่าคนกะเหรี่ยงขาดความสามัคคีก็ยุยงให้คนกะเหรี่ยงด้วยกันอีกทำให้ประเทศพม่าได้มายึดเมืองหลวงของกะเหรี่ยงได้ทำให้กะเหรี่ยงหนีตายเป็นจำนวนมาก สุดท้าย ประเทศกะเหรี่ยงก็ถูกพม่ายึดและเอาคนกะเหรี่ยงเป็นทหารบ้างเป็นทาสบ้าง กะเหรี่ยงบางส่วนก็อพยพหนีมาอยู่รอบๆ เมืองไทย

อีกอย่างหนึ่งที่คนไทยแพ้พม่าในการทำสงครามสมัยอยุธยานั้นคนที่สำคัญที่สุดที่เป็นแม่ทัพไม่ใช่คนพม่าแต่เป็นกะเหรี่ยงเพราะว่าพม่าเห็นว่าคนกะเหรี่ยงนั้นมีฝีมือในการสู้รบ ชำนาญเส้นทางเดินป่า และคนที่เป็นผู้นำกะเหรี่ยงนั้นมีลูกสาวสวยในการทำสงครามนั้นกองทัพกะเหรี่ยงใช้ลูกสาวมาเป็นลูกสะใภ้คนไทย มีกษัตริย์องค์หนึ่งของไทยในสมัยก่อนได้แต่งงานกับสาวกะเหรี่ยงคนหนึ่งหลังจากที่ได้แต่งงานกับกะเหรี่ยงแล้ว ก็มีการทำสงครามระหว่างไทย กับพม่าคนที่ทำสงครามจริงๆ กับไทยนั้นไม่ใช่พม่าแต่เป็นคนกะเหรี่ยงโดยที่พม่าเป็นผู้นำในการออกคำสั่งหรือพูดง่าย ๆ คือกะเหรี่ยงเป็นทาสให้กับพม่ามาทำสงครามกับไทย (ได้คำบอกเล่าจาก ปู่นะ เมื่อ ปี ๒๕๓๘ ตอนนั้น อายุคุณปู่ ประมาณ ๖๐ ปี คุณปู่เสียแล้ว เมื่อ ปี ๒๕๔๐)

การใช้ภาษาของชนเผ่ากะเหรี่ยงนั้น มีภาษาของตัวเองมีทั้งพยัญชนะ ภาษา มี๒๕ ตัว สระ มี ๑๔ ตัว มี วรรณยุกต์ ๕ เสียง การใช้ภาษาของคนกะเหรียงนั้นสำเนียงแต่ละที่ก็จะแตกต่างกันไปไม่มาก เหมือน ภาษาเหนือ กับภาษาไทย

ประเพณีของกะเหรี่ยงนั้นจะมีประเพณีปีใหม่จะอยู่ช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปีในประเพณีนั้น มีการเลี้ยงผีก่อนจะมีผู้นำคนหนึ่งในหมู่บ้านละแวกนั้นผู้นำคนนั้นจะดูแลเกี่ยวกับประเพณีต่าง ๆ ของชาวกะเหรี่ยงและให้คำปรึกษาของคนกะเหรี่ยงในที่ปกครองของท่าน พูดถึงประเพณีนั้นจะมีการต้มเหล้าก่อน จากนั้นก็จะให้ไก่หรือหมูเป็นเส้นไหว้ผีบรรพบุรุษแล้ว จะมีการร้องเพลงปีใหม่ทั้งคืนในวันปีใหม่ ตอนเช้าอีกวันหนึ่งจะมีการมัดมือทุกบ้าน เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับตัวเองและครอบครัว

          การแต่งงานของคนกะเหรี่ยงนั้นจะไม่มีการหมั้นกัน ผู้หญิงจะมาขอผู้ชายก่อน และบางคนจะอยู่ในความดูแลของพ่อแม่เป็นผู้จัดหาให้โดยที่ลูกไม่เคยเห็นผู้หญิงที่แต่งงานด้วย การที่จะแต่งงานกันได้นั้นต้องไม่ใช่เครือญาติกัน ถ้าเป็นเครือญาติกันแต่งงานกันไม่ได้ ก่อนที่จะมีการแต่งงานผู้ที่ต้องซื้อให้กับผู้หญิงนั้นแล้วแต่ตระกูลฝ่ายหญิงเคยปฏิบัติมา ส่วนใหญ่ เท่าที่เคยเห็นมา สิ่งที่ต้องมี คือ มีด ๑ อัน เงิน ๒ สลึง (เงินสกุล พดด้วง )  กำไล ๑ อัน เซียบ ๕ อัน สิ่งเหล่านี้ขาดไม่ได้

          บางสิ่งบางอย่างนั้นเกี่ยวกับชาวกะเหรี่ยงที่ท่านยังไม่ได้เห็นหรือไม่ได้เคยได้ยินมาจะได้รู้จะได้เห็นและ อีกอย่างหนึ่งผู้เขียนได้เขียนมานี้เพื่อจะให้อ่านเข้าใจประเพณีวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของชาวกะเหรี่ยงด้วย ที่ผ่านมาผู้เขียนเองก็ได้ยินข่าวต่าง ๆ แล้วไม่สบายใจเพราะเขาว่า คนชนบทนั้นเป็นผู้ทำลายป่าและบุกรุกป่าทำให้คนเข้าใจผิดกันมาก ที่จริงแล้วคนชนบทนั้นเป็นผู้ดูแลรักษาธรรมชาติ การทำไร่ของคนกะเหรียงนั้นโดยทำแบบหมุนเวียน ไม่ใช่ทำไร่เลื่อนลอยอย่างที่เข้าใจกัน

ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านเรื่องนี้ให้มาเรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงเพื่อที่จะได้เข้าใจและได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่าง ๆ ของชนเผ่ากะเหรี่ยงและจะได้สืบสานเอาไว้จะได้ไม่ลืมหายไป

ป.ศิริวิวัฒนวรากุล

พระเงปุ ฐิตธมฺโม รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๖๙

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

สุโขทัยเมืองประวัติศาสตร์

"เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจังกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส"
                   กรุงสุโขทัยเป็นอดีตราชธานีของไทย มีความเจริญรุ่งเรือง และนับเป็นศูนย์กลางทางการปกครอง ศาสนา และเศรษฐกิจ

กรุงสุโขทัยตั้งอยู่ทางภาคเหนือตอนล่าง และประวัติศาสตร์ที่มีกรุงสุโขทัยเป็นศูนย์กลาง จะเริ่มตั้งแต่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เป็นต้นมา และในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงคือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พ่อขุนบางกลางท่าว) ได้ สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้น

สุโขทัย หมายถึง รุ่งอรุณแห่งความสุข ของชาวไทยในอดีตเมื่อ ๗๐๐ ปี ที่ผ่านมา เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีความ อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว การเกิดขึ้นของอาณาจักรสุโขทัย นับว่าเป็นการตั้งถิ่นฐานของชาติไทยในสุวรรณภูมิ อย่าง เป็นปึกแผ่น และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

สภาพความเป็นอยู่ของชาวสุโขทัยจากศิลาจารึก

สุโขทัยเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ มีที่ดินทำกินมากมาย ชาวเมืองปลูกต้นไม้รอบนอกตัวเมืองสุโขทัยทั้ง ๔ ด้าน คือ ด้านทิศตะวันออก ปลูกสวนหมาก สวนพลู สวนมะม่วง สวนมะขาม ทิศตะวันตก ปลูกสวนมะม่วง ทิศเหนือ (เบื้องปลายตีนนอน) ปลูกสวนมะพร้าว และสวนหมากลาง (ขนุน) ส่วนทิศใต้ (เบื้องหัวนอน) ปลูกทั้งสวนมะม่วง สวนมะขาม สวนมะพร้าว และสวนหมากลาง ดังกล่าวไว้ในศิลาจารึก หลักที่ ๑ ว่า

กลางเมืองสุโขไทนี้มีพระพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารศ มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม มีพระพิหารอันใหญ่ มีพระพิหารอันราม มีปู่ครู..... มีเถร มีมหาเถร
            เบื้องตะวันตกเมืองสุโขไทยนี้ มีอรัญญิก พ่อขุนรามคำแห่งกระทำอวยทานแก่มหาเถร สังฆราช ปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร.....
            เบื้องตะวันออกเมืองสุโขไทนี้ มีพิหาร มีปู่ครู มีทะเลหลวง มีป่าหมากป่าพลู มีไร่มีนา มีถิ่นฐาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก มีป่าม่วงป่าขาม ดูงามดังแกล้งแต่ง
            เบื้องตีนนอนเมืองสุโขไทนี้ มีตลาดปสาน มีพระอัจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว ป่าหมากลาง มีไร่มีนา มีถิ่นฐาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก
            เบื้องหัวนอนเมืองสุโขไทนี้ มีกุฎีพิหารปู่ครูอยู่  มีสรีดภงส์ มีป่าลาง มีป่าม่วงป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขะพุงผี.....

สังคมชาวเมืองสุโขทัย เป็นสังคมที่เรียบง่าย เพราะประชาชนมีจำนวนไม่มาก จึงใกล้ชิดสนิทสนมกันเหมือนพี่เหมือนน้อง และเคารพพระมหากษัตริย์ดุจบุตรที่มีความเคารพต่อบิดาของตน ส่วนพระมหากษัตริย์ทรงปกครองราษฎรเยี่ยงบิดาปกครองบุตร ทรงเข้าถึงจิตใจ และให้ความใกล้ชิดและเป็นกันเองกับราษฎร เมื่อราษฎรมีเรื่องทุกข์ร้อนก็สามารถกราบบังคมทูลได้ด้วยตนเอง โดยการมาสั่นกระดิ่งที่ประตูไม่ว่าจะเป็นเวลาใด พระองค์จะเสด็จมารับฟังทุกเรื่องด้วยพระองค์เอง ด้วยดังปรากฏในหลักศิลาจารึก ด้านที่ ๑ ว่า " ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้นั้น ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความเจ็บท้องข้องใจ มันจัก กล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกระดิ่ง และศิลาจารึก ด้านที่ ๓ ว่า " ผิใช่วันสวดธรรม พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย ขึ้นนั่งเหนือขดารหิน ให้ฝูงท่วยลูกเจ้าลูกขุน ถือบ้านถือเมือง "

นอกจากนั้นชาวสุโขทัยมีความยึดมั่นและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา อยู่ในศีลในธรรม และปฏิบัติกิจการทางศาสนาเป็นประจำ เช่น มีการฟังเทศน์ ฟังธรรม รักษาศีล ทำบุญให้ทาน สร้างวัด ดังปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่า "วันเดือนดับ เดือนออก แปดวัน วันเดือนเต็ม เดือนบ้าง แปดวัน ฝูงปู่ครู มหาเถรขึ้นนั่งเหนือขะดารหิน สวดธรรมแก่อุบาสก ฝูงท่วยจำศีล " และอีกตอนหนึ่งว่า "คนในเมืองสุโขไทนี้ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน " เมื่อพระพุทธศาสนาเข้าถึงจิตใจ ประชาชนจึงเป็นผู้มีจิตเมตตากรุณาต่อ ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ดังเช่น " ได้ข้าเลือก ข้าเสือหัวพุ่งหัวรบก็ดี บ่อฆ่าบ่ตี " เป็นต้น ดังนั้น ชาวสุโขทัยจึงอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ประกอบกับเมืองสุโขทัยเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ เพราะในน้ำมีปลา ในนามีข้าว จึงไม่มีการแก่งแย่ง มีแต่ความเสมอภาพเท่าเทียมกัน และได้รับความเป็นธรรมโดยทั่วหน้า"

ด้านการศึกษาในสุโขทัย จะเป็นแนวสั่งสอนศีลธรรมและวิชาชีพ คือในวันพระหรือวันโกน พ่อขุนรามคำแหงจะประทับบน พระแท่นมนังคศิลากลางดงตาล สั่งสอนศีลธรรมแก่ประชาชน ทั้งยังได้ติดต่อช่างชาวจีนมาสอนการทำเครื่องสังคโลก ส่วนวิชาชีพ และงานบ้าน งานเรือนต่าง ๆ มีการเรียนรู้และศึกษาจากผู้ใหญ่บ้านของตน

ความรุ่งโรจน์ของกรุงสุโขทั

แม้กรุงสุโขทัยจะมีอายุยืนนานถึง ๒๐๐ ปี มีพระมหากษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงสืบต่อกันมา ๙ รัชกาล แต่สุโขทัยก็มีอิสระเฉพาะ ๑๒๐ ปีแรก ช่วงที่เจริญที่สุดคือ ในสมัยรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ดังในศิลาจารึก หลักที่ ๑ กล่าวไว้ว่า

"กลางเมืองสุโขทัย สร้างป่าหมาก ป่าพลูทั่วทุกแห่ง ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลาย ในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้"

กลางเมืองสุโขทัย มีตระพังโพย สีใสกินดีดังกินโขงเมื่อแล้ง มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฎฐารศ มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม มีพิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม มีเถร มหาเถร..

ส่วนภายนอกเมืองสุโขทัย ก็มีความเจริญรุ่งเรืองเช่นเดียวกับภายในเมืองสุโขทัย เช่น "มีพิหาร มีปู่ครู มีทะเลหลวง มีป่าหมาก ป่าพลู มีไร่ มีนา มีถิ่น มีฐาน มีบ้านใหญ่ บ้านราม มีป่าม่วง ป่าขาม ดูงามดังแกล้ง..."

นอกจากความเป็นอยู่ที่เจริญรุ่งเรืองของสุโขทัย และวัดวาอารามหลวง ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว สิ่งที่เป็นความรุ่งโรจน์อีกอย่างหนึ่งคือ สิ่งก่อสร้างที่เป็นสาธารณะประโยชน์ที่แสดงให้เห็นถึงระบบชลประทานอันยอดเยี่ยมของสุโขทัย คือ สรีดภงส์ พร้อม กับขุดคลองเชื่อมกับลำคลองธรรมชาติ แล้วนำน้ำไปเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำนอกเมือง และในเมือง ตามวัดวาอาราม รวมทั้งสิ้น ๗ สรีดภงส์

ในด้านการค้า การอุตสาหกรรม

ได้ค้นพบเตาทุเรียงเป็นจำนวนมาก ตั้งเรียงรายอยู่เป็นกลุ่ม กำแพงเมืองเก่า ถึง ๓ กลุ่ม รวม ๔๙ เตา คือ ทางด้านทิศเหนือนอกตัวเมือง ข้างกำแพงเมืองทางทิศใต้ และทางทิศตะวันออก จนอาจเรียกได้ว่าเป็นนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสุโขทัยยุคพ่อขุนราม เป็นศูนย์การค้าและการผลิตที่ใหญ่ ในการผลิตถ้วยชามสังคโลก ซึ่งได้รับความนิยมแพร่หลาย มีชื่อเสียงมาก ถึงกับเป็นสินค้าส่งออกไปขายยังต่างประเทศ เช่น หมู่เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย (ชวา) แม้ประเทศญี่ปุ่น ก็ปรากฏว่ามีเครื่องปั้นดินเผาสังคโลกสุโขทัย เป็นมรดกตกทอดจนถึงปัจจุบัน

การขนส่งเครื่องปั้นดินเผาสังคโลกสมัยสุโขทัย ใช้เรือสำเภาบรรทุกไปในทะเล โดยได้ค้นพบเรือสินค้าสมัยสุโขทัย ที่บรรทุกเครื่อง ปั้นดินเผาสังคโลกสุโขทัยไปจมอัปปางลงในท้องทะเลลึกในอ่าวไทยเป็นอันมาก นอกจากนั้นยังมีการหารายได้เข้าประเทศ โดยการเป็นตัวแทนการค้า โดยรับสินค้าจากจีน เช่น ถ้วยชาม ผ้าไหม และอื่น ๆ เข้ามาขายในประเทศ และประเทศใกล้เคียงอีกด้วย

ในด้านการค้า ได้ทรงเปิดศูนย์การค้าประจำเมืองสุโขทัยขึ้น ที่เรียกว่า" ตลาดปสาน "เพื่อชักจูงให้พ่อค้าต่างเมืองทั้งแดนใกล้ แดนไกล นำสินค้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยน โดยไม่เรียกเก็บค่าภาษีอากร ทำให้มีชาวต่างประเทศ สนใจนำสินค้ามาค้าขายที่เมืองสุโขทัย ทำให้ชาวสุโขทัย รู้จักติดต่อกับคนต่างเมือง ต่างภาษา รู้จักวัฒนธรรมของเมืองอื่น ดังศิลาจารึก หลักที่ ๑ ว่า

"เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า...."

ในด้านการปกครอง

สมัยพ่อขุนรามคำแหงนี้ ทรงเป็นแบบอย่างระบบการปกครอง แบบประชาธิปไตย อันแสดงให้เห็นว่า เมืองไทยได้เคยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยแล้ว เป็นประชาธิปไตยแบบที่มีพระเจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นประมุขของชาติ หลักฐานที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกชี้ให้เห็นชัดว่า ในสมัยพ่อขุนรามไม่มีคำว่า "ทาส" แต่จะเรียกเหล่าประชาชน ทั้งหลายว่า "ลูกบ้าน ลูกเมือง" "ฝู่งท่วย (ทวยราษฎร์)" "ไพร่ฟ้าข้าไท" "ไพร่ฟ้าหน้าปก" "ไพร่ฟ้าหน้าใส" ประชาชนทุกคน มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมรับฟัง และแสดงความคิดเห็นในการออกว่าราชการงานเมืองของพ่อขุนรามคำแหง กลางป่าตาลได้อย่างเสรี ไม่แบ่งชั้นวรรณะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ระบบพ่อปกครองลูก" ดังปรากฏในหลักศิลาจารึกว่า

"หัวพุ่ง หัวรบ ก็ดีบ่ฆ่า บ่ตี ในปากปูตมีกดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้านกลางเมืองมีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจ มันจักกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียก เมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึ่งชม..."

การปกครองในแบบพ่อกับลูก นับเป็นคุณธรรมของพ่อเมือง จึงทำให้ประชาชนอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข  ด้วยกรุงสุโขทัย เป็นแคว้นใหญ่ มั่นคง และเข้มแข็ง เป็นที่รับรู้กันในแผ่นดินไทยและชาวต่างประเทศ เช่น จีน และแคว้นอื่น ๆ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ดังมีหลักฐานตามเอกสารจีนบันทึกไว้ว่า ในระหว่างปี พ.ศ. ๑๘๓๕ ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และ ปี พ.ศ. ๑๘๖๖ รัชสมัยพระเจ้าเลอไท ไทยได้ส่งทูตติดต่อกับจีนหลายครั้งด้วยกัน โดยได้ส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวาย จักรพรรดิ์จีน รวมทั้งได้เคยขอม้าขาว และของอื่น ๆ จากจีน เป็นการตอบแทนด้วย

ในด้านพุทธศาสนา

พ่อขุนรามคำแหง ทรงอัญเชิญพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ จากเมืองนครศรีธรรมราช มาปลูกฝังไว้ที่เมืองสุโขทัย และทรงทำนุบำรุงให้เจริญรุ่งเรืองแพร่หลายไปทั่วทุกภาคของเมืองไทย จนเป็นมรดกตกทอดมาจนทุกวันนี้

นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงคิดประดิษฐ์ลายสือไทย ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๒๖ ทำให้ชนชาติไทยมีอักษรไทยใช้เป็น เอกลักษณ์ของชาติมาจนถึงปัจจุบัน

ชนชาติไทย นิยมเลื่อมใสในพุทธศาสนา (ฝ่ายมหายาน) ผสมผสานกับลัทธิศาสนาพราหมณ์ มาแต่บรรพกาล จนถึงรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง ได้ทรงอัญเชิญศาสนาพุทธฝ่ายหินยาน หรือฝ่ายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ จากนครศรีธรรมราช จึงเข้ามาสู่อาณาจักรสุโขทัย พระองค์ทรงยึดมั่นในทางพระพุทธศาสนาเป็นที่ตั้ง จึงทำให้บรรดาข้าราชการและราษฎร พากันยึดถือเป็นแบบตามพระเจ้าแผ่นดินไปด้วย

ดังปรากฏในศิลาจารึก หลักที่ ๑ กล่าวไว้ว่า "คนในเมืองสุโขทัยนี้มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหง เจ้าเมืองสุโขไท ทั้งชาวแม่ ชาวเจ้า ท่วยปั่ว ท่วยนาง ลูกเจ้า ลูกขุน ทั้งสิ้น ทั้งหลาย ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง ฝูงท่วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน"

พ่อขุนรามคำแหง ฯ ทรงโปรดให้สร้าง ขดารหินมนังษีลาบาตร ในป่าตาลขึ้น เป็นแท่นที่ประทับในการเสด็จออกขุนนาง เมื่อว่างจากการออกขุนนาง ก็ให้ใช้เป็น "อาสน์สงฆ์" สำหรับพระภิกษุที่มีภูมิธรรม และมีพรรษาสูงระดับ ปู่ครู เถร มหาเถร ขึ้นนั่ง แสดงธรรมแก่อุบาสก บรรดาชาวเมืองพากันถือศีลในวันพระ

พระยาเลอไท ซึ่งเป็นราชโอรสของพ่อขุนรามคำแหง ทรงมีความเชื่อในพระพุทธศาสนาตามแบบอย่างพระราชบิดา ได้นำ แบบอย่างพระพุทธศาสนา " ลัทธิลังกาวงศ์ " มาเผยแพร่เพิ่มเติม เป็นการปลูกฝังแก่ชาวสุโขทัยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งได้ ทรงสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาอีกมากมาย เป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน

อวสานกรุงสุโขทัย

ในรัชกาลพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และพ่อขุนบานเมือง เป็นเวลาที่ไทยตั้งตัวใหม่ ๆ ต้องทำสงครามกับเมืองต่าง ๆ ที่ไม่ยอม สามิภักดิ์ โดยพ่อขุนรามคำแหง นำทัพออกปราบปรามเมืองน้อยใหญ่ต่าง ๆ ที่อยู่ชายพระราชอาณาเขต อาณาจักรของกรุงสุโขทัย จึงตกอยู่ในความสงบสุขตลอดมา

จนกระทั่งถึงรัชสมัยของพ่อขุมรามคำแหง  ขึ้นครองราชย์ ได้ขยายอาณาเขตออกไปกว้างขวาง เจริญรุ่งเรืองกว่ารัชกาล อื่น ๆ ภายหลังเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต พระเจ้าเลอไท พระราชโอรสได้ครองราชสมบัติ ปรากฏตามพงศาวดารพม่าได้กล่าวไว้ว่า "เมื่อ พ.ศ. ๑๘๗๓ หัวเมืองมอญซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกรุงสุโขทัยในสมัยพ่อขุนราม กลับเป็นขบถตั้งแข็งเมือง พระเจ้าเลอไท ส่งกองทัพออกไปปราบปราม แต่ไม่สามารถเอาชนะได้"

ต่อมา พระยาลือไท ราชโอรสได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้าเลอไท พระราชบิดา ทรงพระนามว่า "พระมหาธรรมราชาลิไทย" เป็นกษัตริย์ที่ทรงมุ่งทำนุบำรุงอาณาจักรสุโขทัย แต่ในทางธรรมอย่างเดียว ทำให้สุโขทัยขาดความเข้มแข็ง จนไม่สามารถควบคุมประเทศราชไว้ได้ ดังนั้น พระเจ้าอู่ทอง จึงตั้งแข็งเมืองและประกาศอิสรภาพ ไม่ยอมขึ้นกับกรุงสุโขทัย ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๙๓ เป็นต้นมา ขุนหลวงพะงั่ว เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติต่อมา และได้ส่งกองทัพมาทำสงครามตีเมืองต่าง ๆ ๗ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๒๑ แต่ไม่สามารถตีหักเข้าเมืองได้

จนกระทั่ง "พระเจ้าไสยลือไท" (พระมหาธรรมราชาที่ ๒) ขึ้นครองราชย์ กรุงศรีอยุธยาจึงยกกองทัพไปตีเมืองชากังราว (กำแพงเพชร) ซึ่งพระเจ้าไสยลือไทย เสด็จมาบัญชาการรบเอง จนขุนหลวงพะงั่วไม่สามารถตีหักเอาเมืองได้ แต่ต่อมาทรงพระราชดำริว่า "ถ้าหากขืนรบต่อไปก็คงเอาชนะกองทัพของขุนหลวงพะงั่วไม่ได้" จึงทรงยอมอ่อนน้อมต่อขุนหลวงพะงั่วโดยดี และนับแต่นั้นมา กรุงสุโขทัยก็สูญเสียเอกราช กลายเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาตลอดไป

พระนัสฐพงษ์ สุรปญฺโญ รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๗๐

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

ชาเขียวที่ไม่เขียว

ครอบครัวของฉันอยู่ในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทยเมื่อตอนฉันเป็นเด็กฉันโตมากับชาเขียวและเห็นมันอยู่ตลอดเวลาเพราะครอบครัวของฉันทำอาชีพเก็บใบเมี่ยง(ใบชาชนิดหนึ่ง)ขายโดยการนำเอาใบเมี่ยงสดๆที่ผ่านการเก็บเป็นมัดๆตอนเด็กๆฉันไม่รู้ว่าแม่เอาอะไรใส่มือไว้มันก็คือมีดอันเล็กๆนั่นเองโดยเขาจะมีวิธีการทำมีดคล้ายเป็นที่สอดสามารถสวมใส่นิ้วได้ซึ่งจะนำไปเก็บใบเมี่ยงได้อย่างดี เพราะอากาศแถวบ้านฉันเย็นสบายแต่หน้าหนาวนี่สิไม่ต้องพูดถึงมันเป็นฤดูที่ฉันทรมานมากๆในการอาบน้ำฉันจึงเกลียดฤดูนี้มาก พอแม่ฉันเก็บเมี่ยงสดๆเป็นมัดๆโดยเอาตอก(ไม้ที่เหลาบางๆเป็นเส้นๆ)มามัดจากนั้นพ่อก็จะเอาเมี่ยงที่เก็บมามายัดใส่ในไหใบใหญ่มากจนฉันสามารถเข้าไปได้เลยล่ะหลังจากนั้นพ่อก็จะนำเมี่ยงไปนึ่งในเตาปุง (ภาษาภาคเหนือ หมายถึงเตาเผาขนาดใหญ่) โดยมีกระทะใบใหญ่อยู่ด้านใต้เตาปุงนี้เขาจะเจาะดินลงไปลึกพอสมควรสำหรับใส่ฟืนและด้านหัวของเตาปุงก็จะก่อปูนทับกระทะใบใหญ่มากไว้เหลือแค่ช่องกระทะให้มีขนาดความกว้างพอๆกับไหที่นึ่งเมี่ยงโดยก่อนจะนึ่งเมี่ยงพ่อก็จะนำน้ำมาใส่ลงในกระทะแล้วก่อฟืนใต้กระทะรอจนน้ำในกระทะร้อนได้ที่หลังจากนั้นก็จะนำไหไปตั้งไว้เหนือกระทะรอจนใบเมี่ยงของเราสุกได้ที่ระหว่างนั้นพ่อก็จะคอยดูน้ำในกระทะอยู่ตลอดเวลาไม่ให้น้ำแห้งเมื่อใบเมี่ยงสุกแล้วพ่อก็จะนำแคร่ไม้สานขนาดใหญ่มาวางไว้แล้วเทเมี่ยงลงไปค่อยๆเอาไม้ที่เหมือนพัดเกลี่ยๆเมี่ยงผึ่งไว้ให้เย็นหลังจากนั้นพ่อกับแม่ก็ช่วยกับมัดเมี่ยงเป็นกำเล็กๆขนาดพอๆกับกำมือของเราโดยใช้ตอกมัดหลังจากมัดเสร็จพ่อก็จะเอาเมี่ยงใส่ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่มากๆแล้วมัดปากถุงให้แน่นหลังจากนั้นก็รอเวลาผ่านไปสัก ๒ - ๓ เดือน หรือนานกว่านั้นก็ได้ พ่อก็จะเริ่มเอาใบเมี่ยงที่เราใส่ถุงไว้นำมาใส่ไหที่สานด้วยไม้ไผ่แล้วเอาถุงพลาสติกขนาดใหญ่ใส่ในไหหลังจากนั้นก็นำเมี่ยงมายัดใส่จนเต็มแล้วก็ปิดด้วยพืชชนิดหนึ่งหลังจากนั้นก็เขียนด้วยปากกาเมจิกว่ามีกี่มัดแล้วก็นำไหใส่รถไปขาย โดยจะมีผู้รับเหมามารับไปขายอีกทีหนึ่ง คงสงสัยล่ะสิว่าเขากินกันยังไงก็ดูเอาจากคุณตาคุณยายแถวๆรอบนอกท่านจะชอบเคี้ยวใบเมี่ยงที่สุกแล้วกินกันจนน้ำเมี่ยงจางเลยเชียวแหละนี่คือเมี่ยงที่เป็นชนิดหนึ่งของตระกลู ชาเขียว เขาจะไม่นำไปทำเป็นน้ำเพราะรถชาติไม่อร่อย ซึ่งชาเขียว เป็นชาที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันมานานกว่า ๑๐๐ ปี ในขณะที่คนไทยเพิ่งรู้จัก กันไม่เกิน ๑๐ ปีมานี้เอง คนญี่ปุ่นนิยมดื่มชาเขียวร้อนร้อนกัน เพราะได้พิสูจน์ แล้วว่าชาเขียวร้อนมีคุณสมบัติลดอนุมูลอิสระที่เป็นพิษในร่างกายคนเรา ให้ขับออก มาทางอุจจาระ และขับไขมันส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ ชาเขียวซึ่งทำให้ร่างกายสามารถขับพิษและลดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของชาเขียวร้อน ที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกันตั้งแต่เด็กจนแก่ แต่คนไทย นิยมดื่มชาเขียวแช่เย็น ซึ่งคนไทยส่วนมากไม่เคยรู้จักคุณสมบัติที่แท้จริงของชาเขียวเลย ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกขบขันในใจแถมหัวเราะเยาะในใจว่าในอนาคตอันใกล้ นี้ คนไทยจะมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าคนญี่ปุ่น เพราะอะไรงั้นหรือ...เพราะว่าชาเขียวที่มีคุณอนันต์นั้น ย่อมมีโทษมหันต์เช่นกัน เพราะชาเขียว จะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกันหากดื่ม ชาเขียวตอนที่เย็นแล้วกลับทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ การดื่มชาเขียวแช่เย็น นอกจากไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระสารพิษออกจากร่างกายได้แล้วยังก่อให้ เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง นอกจากนี้ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนัง หลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา อาทิเช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ ฯลฯ  เหล่านี้เป็นต้น เรายังมีการทดสอบให้เห็นอย่างง่าย ๆและชัดเจนเกี่ยวกับอันตรายที่กล่าวมาเบื้องต้นนี้ให้ท่านเห็นได้ด้วย ตนเอง โดยการนำชาเขียวแช่เย็น ยิ่งเย็นยิ่งเห็นชัด นำมาเทลงในชา ก๋วยเตี๋ยว จะพบว่าหลังจากเทชาเขียวแช่เย็นลงไปได้ครู่เดียวจะมีคราบไขมันลอยเห็นเป็นคราบบนน้ำซุป หรือเกาะเป็นคราบที่ชามก๋วยเตี๋ยวทันที แล้วร่างกายท่านล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อดื่มชาเขียวแช่เย็นเข้าไปสยองไหมละ ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงไม่ดื่มชาเขียวแช่เย็นอย่างเด็ดขาด แต่จะดื่มชาเขียวร้อนอย่างชาญฉลาด ในขณะที่คนไทยที่คิดว่าตนเองฉลาดกลับดื่มชาเขียวแช่เย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย แบบ ฉล๊าด ฉลาด......ฉะนั้นเราหันมาทานเมี่ยงเป็นใบๆดีกว่าไหมจะได้รู้ว่ารสชาติก็ไม่แพ้น้ำชาเขียวเลยทีเดียวเชียวแหละ

พระฐิติรัตน์ อนาวีโล รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๗๓

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

สามเณรเดินดิน บิณฑบาต

การใช้ชีวิตในเพศบรรพชิตไม่ว่าจะเป็น พระภิกษุ หรือสามเณรก็ตาม จะต้องอยู่ตามคำสั่งสอนของอุปัชฌาย์หรือครูบา อาจารย์  และต้องอยู่ตามกฎ ระเบียบ ข้อบัญญัติของพระพุทธศาสนา ไม่ออกนอกรีตของพระพุทธศาสนา การที่คนแต่ละคนจะเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้นั้นถือว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว เพราะจะต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดถือว่าเป็นการขัดจริตของคนหลายๆคนเลยทีเดียว  จะต้องอยู่ในศีล ในพระวินัย และการดำรงชีวิตก็แตกต่างออกไปจากชีวิตของคฤหัสถ์ ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอน การเดิน การนั่ง การพูด การปฏิบัติตนในที่สาธารณะชน เป็นต้น และการที่จะทำอะไรแต่ละอย่างก็จะต้องทำเป็นเวลา คือมีเวลาเป็นตัวกำหนดไม่ใช่ชีวิตเหมือนคฤหัสถ์ จะนอนเมื่อไหร่ก็ได้ จะตื่นเมื่อไหร่ก็ได้ จะกินเมื่อไหร่ก็ได้ การที่อยู่ในเพศบรรพชิตนั้น จะต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ทำวัตร สวดมนต์  บิณฑบาต  กวาดทรายดายหญ้า อันนี้ถือว่าเป็นกิจของสงฆ์ที่จะต้องทำ ผู้ที่เข้ามาบวชใหม่ก็จะทำได้ยากหน่อย ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะตอนที่เป็นคฤหัสถ์ไม่เคยได้ทำ และจะต้องปรับให้เข้ากับเพศบรรพชิตให้ได้ก่อนที่จะถูกตำหนิได้  และการใช้ชีวิตในเพศบรรพชิตนั้น คนที่ไม่ได้เข้ามาคลุกคลีจริงๆก็จะว่าการที่เป็นพระหรือสามเณรไม่ได้เป็นเรื่องยากแต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่ยากมากเพราะจะทำอะไรลงไปนั้นก็จะต้องมีขอบเขต และขอบเขตนั้นก็มีตั้งสองขอบเขต คือขอบเขตของศาสนา กับขอบเขตของบ้านเมือง ไม่ทำให้ผิดทั้งสองขอบเขต ถ้าทำสิ่งเหล่านี้ได้ก็สามารถอยู่ในเพศบรรพชิตได้อย่างสงบสุข

กิจวัตรของสงฆ์ หรือ หน้าที่ของพระสงฆ์

หน้าที่ของพระสงฆ์ในการศึกษาปฏิบัติ

          พระสงฆ์ทุกรูปในพระพุทธศาสนา จะต้องปฏิบัติตามพระวินัยในพระพุทธศาสนาเพราะถือเป็นกฎระเบียบที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น เพื่อให้พระสงฆ์อยู่ร่วมกันอย่างสงบไม่สร้างความเสื่อมเสีย

ให้แก่พระพุทธศาสนา ทั้งยังเป็นการสร้างศรัทธาให้แก่ผู้พบเห็นด้วย วินัยของสงฆ์มีมากมาย ในสมัยพุทธกาลพระสงฆ์จะต้องมีกิจวัตร ( กิจ = สิ่งที่ต้องทำ วัตร = สิ่งที่ควรทำ ) ๒ อย่าง

          ๑. นิสัย ๔ หมายถึง ต้องอาศัยปัจจัย ๔ อย่างในการดำเนินชีวิต คือ

                   ๑.๑ บิณฑบาตเป็นกิจวัตร คือ ไม่ประกอบอาชีพใด ๆ นอกจากบิณฑบาตเลี้ยงชีพ

                   ๑.๒ ถือผ้าบังสุกุลเป็นกิจวัตร คือ นำผ้าที่ทิ้งแล้วมาเย็บเป็นจีวร ต่อมาพระองค์อนุญาตให้รับผ้าที่มีผู้นำมาถวายได้

                   ๑.๓ อยู่โคนต้นไม้เป็นกิจวัตร คือ อาศัยอยู่ตามถ้ำ ป่า โคนต้นไม้ จะอยู่ประจำเฉพาะฤดูฝน ๓ เดือนเท่านั้น

                   ๑.๔ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า คือ ฉันยาสมุนไพรรักษาโรคตามที่หาได้

          ๒. อกรณียกิจ ๔ หมายถึง สิ่งที่พระสงฆ์ไม่ทำ ๔ อย่าง คือ

                   ๒.๑ ไม่เกี่ยวข้องกับกามารมณ์

                   ๒.๒ ไม่ลักทรัพย์

                   ๒.๓ ไม่ฆ่าสัตว์

                   ๒.๔ ไม่อวดคุณวิเศษที่ตนไม่มี

หน้าที่ของพระสงฆ์ในการศึกษาอบรม

   พระสงฆ์จะต้องฝึกอบรม กาย วาจา ใจ ให้ครบสมบรูณ์ ๓ ด้าน คือ

          ๑. ด้านศีล ต้องควบคุม กาย วาจา ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย งดเว้นจากข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ศีลของพระสงฆ์มี ๒ อย่าง คือ

                   ๑.๑ ศีลในปาติโมกข์ คือ ศีล ๒๒๗ ข้อ ของพระภิกษุและศีล ๓๑๑ ข้อ ของภิกษุณี

                   ๑.๒ ศีลนอกปาติโมกข์ คือ ศีลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ข้อบัญญัติที่เกี่ยวกับมารยาทต่าง ๆ เพื่อความดีงามของสถาบันสงฆ์

          ๒. ด้านสมาธิ พระสงฆ์ต้องฝึกฝนจิตใจด้วยการฝึกเจริญภาวนา เพื่อทำจิตใจให้สงบ ข่มกิเลสได้ทีละน้อย ๆ จนมากขึ้นถึงขั้นวิปัสสนา ภาวนา คือ เกิดปัญญารู้แจ้ง แล้วสละกิเลสได้เด็ดขาด

          ๓. ด้านปัญญา พระสงฆ์จะต้องศึกษาอบรมตนเองให้เป็นผู้มีปัญญา ๒ ด้าน คือ มีปัญญาในสรรพวิทยาการทั้งหลายที่เป็นปัจจุบัน เช่น พระสงฆ์มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ก็จะช่วยอธิบายหลักธรรมได้กว้างยิ่งขึ้น นอกจากนี้พระสงฆ์จะต้องมีปัญญาในทางธรรมโดยเข้าใจโลกและชีวิตการปล่อยวางความติดยึดตามลำดับ แล้วพยายามลดละความโลภ โกรธ หลง ให้ลดลงจนกระทั่งหมดไปโดยสิ้นเชิง

การศึกษาเล่าเรียน

พระสงฆ์ในประเทศไทยจะต้องศึกษาปฏิบัติตามหลักสูตรของพระสงฆ์ในโรงเรียนพระปริยัติธรรมของ กระทรวงศึกษาธิการหรือศึกษา ในหลักสูตร ปริญญาศาสนศาสตร์ ของสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ( ศน.บ. ) และหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตร์บัณฑิต ของมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (พธ.บ.) จนถึงปริญญาตรีก็ได้ ถ้าศึกษาหลักสูตรนักธรรม ก็มี ๓ ระดับ คือ นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ถ้าเรียนต่อหลักสูตรเปรียญ อีก ๓ ระดับ คือ เปรียญตรี เปรียญโท เปรียญเอก ( เปรียญธรรม ๙ ประโยค ) จะได้ชื่อว่าเปรียญธรรม มีฐานะเทียบเท่าปริญญาตรี

หน้าที่ของพระสงฆ์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

          เมื่อพระสงฆ์ฝึกอบรมตนเองพร้อมแล้ว จะต้องมีหน้าที่ ชี้แนะแนวทางการประพฤติที่ดีให้แก่ ผู้อื่นเพื่อเป็นการเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยปฏิบัติดังนี้

          ๑. สร้างประโยชน์ให้แก่สังคมโดยการสอนหลักธรรมให้คนอื่น ดังนี้

                   ๑.๑ สอนให้ละเว้นจากความชั่ว

                   ๑.๒ สอนให้ตั้งตนอยู่ในความดี

                   ๑.๓ เมื่อทำความดีอยู่แล้วให้ทำเพิ่มขึ้น

                   ๑.๔ สอนให้ได้ฟัง ได้รู้ ในสิ่งที่ยังไม่รู้ ไม่เคยฟัง

                   ๑.๕ ทำสิ่งที่เคยทำมาแล้วให้เข้าใจยิ่งขึ้น

                   ๑.๖ สอนวิธีดำเนินชีวิตให้ประสบสุข

          ๒. เป็นแบบอย่างที่ดี พระสงฆ์ต้องรู้และเข้าใจ ในหลักธรรมและปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติแจ้ง ปฏิบัติชอบยิ่ง เพื่อสร้างศรัทธาให้ผู้พบเห็นได้เลื่อมใสและปฏิบัติตาม

          ๓. มีกิจกรรมในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดยพระสงฆ์จะต้องใช้สื่อหลายอย่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดีทัศน์ เพื่อช่วยในการให้ความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมได้มากยิ่งขึ้น

          ๔. สร้างบุคลากรไว้สืบทอดพระพุทธศาสนา เพื่อให้คงอยู่ตลอดไป

ธรรมะจากเณรน้อย

สามเณรน้อยรูปหนึ่งเป็นนักเทศน์ เก่งมาก

สามารถนำธรรมะมาประยุกต์เข้ากับสถานการณ์ ได้อย่างแตกฉาน

เข้าพรรษา...ที่วัดก็มีการจัดพระเณร ผลัดหมุนเวียนกัน ขึ้นเทศน์

แต่เณรน้อยจะเป็นขวัญใจของญาติโยม... ชื่นชอบมากเป็นพิเศษ มากกว่าคนอื่นๆ

เพราะฟังแล้วเข้าใจง่าย...ไม่มีภาษาบาลีมากนัก

หลวงตาติดก็เป็นนักเทศน์เหมือนกัน ติดสมชื่อ คือ ติดหมาก ติดบุหรี่ ขณะที่เทศน์ก็สูบบุหรี่ควันโขมง เทศน์สอนว่าเหล้า บุหรี่ ไม่ดี ยาเสพติดไม่ดี... อาตมารู้หมด แต่ อดไม่ได้

วันหนึ่งได้พบหน้ากับเณรน้อย หลวงตาซึ่งไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่แล้ว จึงพูดกับเณรว่า

"เณร..ถึงเณรจะเทศน์เก่ง มีคนสนใจมาก..แต่ไม่เห็นมีใครสนใจเอาใจใส่เณรเลยว่าเณรต้องการอะไร ?

ไม่เห็นมีใครเอาอะไรมาถวายเณรเลย สู้อาตมาไม่ได้ มีญาติโยมนำมาติดกันเทศน์เต็มไปหมด

ต้องการอะไรเขาก็เอามาถวายทุกอย่าง ฉันต้องการขวานมาผ่าฟืนต้มน้ำร้อน เขาก็เอามาถวาย

ฉันต้องการพัดลมมาแก้ร้อน เขาก็ถวาย พัดลม"

เณรน้อยบอกว่า

"หลวงตา ที่เขาติดกันเทศน์เป็นขวานกับพัดลมน่ะ

มันเป็นปริศนาธรรม เขาติดกันเทศน์เพื่อสอนหลวงตา"

"ไม่จริง..เขาสอนยังไง..??"หลวงตาแย้งถาม

"ที่เขาถวายขวาน เขาสอนว่า หลวงตารู้หมดทุกอย่างว่า เหล้าไม่ดี บุหรี่ไม่ดี ยาเสพติดไม่ดี

เทศน์สอนคนทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ตัวเองยังสูบ ยังติด มันก็เหมือนกับขวาน

ขวานมันถากอะไรได้ทุกอย่าง ยกเว้นด้ามของมันเอง"

หลวงตาโกรธจัด ด่าว่า "ไอ้เด็กเวร ทำเป็นอวดรู้มาสอนกู"

เณรน้อยจึงพูดต่อว่า "หลวงตาโกรธใช่ไหม?"

"เออ ..ซิวะ.."หลวงตาว่ายังไม่หายฉุน

"เวลาโกรธนี่มันร้อนใจหรือเย็นใจ หลวงตา" เณรถามต่อ

"ร้อนซิวะ ถามได้"

"พัดลมที่เขาติดกันเทศน์น่ะ เขาสอนหลวงตาว่า พัดลมมันเป่าให้คนอื่นเย็นได้ทุกคนแหละ

แต่ว่าก้นมันเองร้อน เพราะมันลืมเป่าก้นตัวเอง"

พระทศพล วุฑฺฒิเมธี รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๗๔

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

ดาบเมืองล้านนา

ที่มาของดาบ

นักสะสมดาบก็เช่นกัน ดาบเก่าค้างฝาเรือน มีแต่คำเล่าที่คงอยู่คู่กับดาบ รู้ว่าเป็นของอุ๊ยแต่อุ๊ยจะได้จากไหน ใครเป็นคนตี เราก็ตอบยาก ส่วนเรื่องดาบกับการรบทัพจับศึกก็มีแต่ตำนาน ไม่เคยสักครั้ง ที่เห็นการใช้ดาบต่อสู้กันจริงจังต่อหน้าต่อตา นอกจากบนเวทีลิเก และหนังจักรๆ วงศ์ๆ ช่อง๗สี ฉะนี้แล้ว เราคาดเดาอายุดาบ แหล่งที่มาของดาบ จากประสบการณ์ใด

          ดาบแต่ละเล่ม มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน ดาบเก่าดาบใหม่วิธีสร้างก็ต่างกัน แต่ดาบใหม่แสร้งทำเก่าคนทำก็เก่งเหลือเกิน องค์ประกอบตั้งแต่ ฝัก ใบดาบ และ ด้าม ต้องพิจารณาดูว่าเป็นชิ้นเดียวกัน หรือผิดฝาผิดตัวกันหรือไม่ ฝักที่สอดใบดาบได้สนิท ไม่ขาดไม่เกินจนน่าเกลียด หวายคาด หรือปลอกเงิน ลวดเงิน ต้องเป็นฝีมือเดียวกันทั้งเล่ม และที่สำคัญ ด้ามกับใบดาบถูกเปลี่ยนไปมากหรือน้อยเพียงใด นี่ยังไม่รวมการตีใบดาบขึ้นใหม่ และทำให้เก่า เนียนจนยากจะแยกออก ยอกหัวใจเมื่อรู้ความจริงภายหลัง

การพิจารณาหาแหล่งที่มา อายุ ของดาบนั้น ที่อายุเกินครึ่งร้อยใช้หลักง่ายๆ ดังนี้ แล

          ๑รูปลักษณ์ที่คล้ายกัน กล่าวคือ ดาบแต่ละแหล่งจะมีรูปลักษณ์เฉพาะทำให้จำได้ คนมีดาบเกิน ๑๐ เล่ม จะแยกได้ว่าเล่มใดเหมือนเล่มใด ทั้ง ฝัก ด้าม เครื่องคาด ใบดาบ เหมือนกัน คล้ายกันก็รวมกันไว้ แล้วค่อยดูที่มาและเรื่องเล่าประกอบ

          ตราประทับ ดาบบางเล่ม จะประทับตราที่โคนดาบจำหมายให้รู้ว่าเป็นของสำนักใด ตอกเป็นรูปตะวัน รูปดอกจันทน์ รูปเต่า รูปปืน (รูปที่เห็นเอาคล้ายเฉยๆ อาจไม่ใช่เต่า ไม่ใช่ตะวัน ไม่ใช่ดอกจันทน์ก็ได้ ) บางเล่มฝังโลหะ แต่งร่องลายที่สันดาป และลวดลายอื่นๆ เท่าที่ศึกษามา ยังไม่พบจารึกบอกปีที่สร้างบนตัวดาบ (หรืออาจจะมี แต่ผู้ข้าไม่เคยเห็น)

          ๓ ทรงดาบ ข้อนี้ลึกซึ้งหน่อย คือ รูปแบบของใบดาบที่ตีจากแหล่งเดียวกันจะคล้ายกัน ด้วยคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือช่าง หรือตระกูลช่างเดียวกัน บางท่านดูลึกถึงเนื้อเหล็ก ลวดลายการชุบแข็งว่าคล้าย หรือต่างกัน

          ตำนานดาบ ดาบโบราณเกือบทุกเล่ม เจ้าของดาบ คนหาดาบมาขาย จะมีเรื่องเล่าคู่มากับดาบ คำบอกเล่าที่พ้องกันจะปรากฏซ้ำๆ หรือการได้พูดคุยกับนักสะสมด้วยกัน ความรู้บวกความรู้นานๆ ไปก็ตกผลึก ถึงแม้ข้อมูลจะเจือตำนานไปบ้าง ก็ต้องค่อยๆ กรองจนเหลือ เค้าความเป็นจริง

          ๕ ข้อมูลจากเอกสาร ทั้งเอกสารที่บันทึกมาแต่เดิม อย่างพับสา เป็นต้น หรือที่ปราชญ์ในอดีตได้จดจารไว้ อย่างโศลกดาบ การวัดความยาวดาบ ลักษณะดาบแต่ละเล่ม เป็นต้น ค่อยค้นค่อยหาไป ข้อมูลใหม่ๆก็เพิ่มขึ้น

          ภาพถ่ายโบราณ หรือ ภาพจิตรกรรม สิ่งเหล่านี้ก็เป็นองค์ความรู้เรื่องดาบเช่นกัน อย่างน้อยก็เป็นแนวให้ได้ศึกษา เช่นดาบลื้อ ดาบเขิน ดาบคะฉิ่น ดาบม่าน มาจากต่างถิ่นห่างไกล ได้เห็นภาพถ่าย ก็สามารถประมาณเอาได้ ในเว็บไซต์ต่างๆ ได้เห็นดาบในพิพิธภัณฑ์ต่างประเทศ พร้อมคำอธิบาย ก็เติมองค์ความรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

          ของดีในเอกสารพับสาโบราณล้านนาหลายฉบับ กล่าวถึงของวิเศษประจำตัวแต่ละบุคคลไม่ว่าหญิงหรือชาย โดยกำหนดตามปีนักษัตร หรือปีเปิ้ง ตัวอย่าง คนเกิดปียี (ไทยกลางว่าปีขาล) ควรมีอัญมณีประดับตัวคือมรกต แก้วผลึก หรือไพฑูรย์ ถุงย่ามที่ใช้สะพายไปนั่นไปนี่ก็ต้องสีดำหรือหม่นถึงจะดี และที่ขาดไม่ได้ คือ หากเป็นชายหาญต้องมีดาบดีครบสูตร เป็นของมงคลคู่กาย

          ดาบดีของเหล่าชายหาญทั้งหลายนั้น ต้องสัมพันธ์กับปีเกิด และในแต่ละปีนักษัตรย่อมมีรายละเอียดต่างกัน การถือครองดังว่านี้ เพื่อให้เกิดมงคลแก่ตัว เป็นดาบชาตาประจำตน อันมีองค์ประกอบส่วนอื่นอีก เช่น สีของด้าม เชือกมัดด้ามหรือสายดาบ วิธีสะพายดาบให้ถูกโฉลก รวมทั้งความยาวที่ต้องโฉลกกับปีนั้นๆด้วย

          มีวิธีวัดความยาวดาบอีกแบบหนึ่ง โดยนับความยาวเป็นไม้ เพราะปีนักษัตรจะเป็นตัวกำหนดความยาวดาบให้เหมาะกับการถือครอง วิธีวัดความยาวนั้น โบราณจารย์ล้านนาให้วัดจากโคนดาบถึงปลายดาบ แล้วทบครึ่ง วัดความกว้างของใบดาบ ณ ตำแหน่งนั้น ให้นับเป็น ๑ ไม้ แล้วจึงนำมาวัดความยาวของใบดาบ ตั้งแต่โคนถึงปลาย วัดได้เท่าใดก็นับจำนวนไม้ตามนั้น ส่วนลักษณะดาบดีประจำปีเกิด และความยาวที่กำหนด รวมทั้งเงื่อนไขอื่นๆ เป็นดังนี้

ชายผู้เกิดปีใจ้ (ชวด)  ให้ครองดาบปลายแหลมหรือปลายตัด ยาว ๑๖-๑๗ ไม้

เกิดปีเป้า (ฉลู)  ให้ครองดาบปลายว้าย (ปลายง้อน หรือปลายงอน ) หรือปลายบัว ด้ามสีขาว ยาว ๑๖ ไม้

เกิดปียี (ขาล) ให้ครองดาบปลายตัด ไม่กำหนดความยาวและอื่นๆ

เกิดปีเหม้า (เถาะ)  ให้ครองดาบปลายแหลม ด้ามสีเหลืองสายดาบสีหม่นหรือสีขาว สะพายดาบห้อยข้าง ยาว ๒๐ ไม้

เกิดปีสี (มะโรง)  ให้ครองดาบปลายแหลม ด้ามดำแดงสายเหลือง สะพายข้างขวา ยาว ๑๕ หรือ ๑๗ ไม้

เกิดปีใส้ (มะเส็ง)  ให้ครองดาบปลายตัดด้ามสีเหลืองสายดาบสีเหลือง ยาว ๑๕ หรือ ๑๗ ไม้

เกิดปีสะง้า (มะเมีย)ให้ครองดาบปลายแหลม ด้ามสีดำสายดาบสีแดง สะพายดาบข้างซ้าย ยาว ๑๖ ไม้

เกิดปีเม็ด (มะแม)ให้ครองดาบปลายตัดหรือปลายแหลมด้ามดำเหลือง สายดาบสีขาว ยาว ๑๒ ไม้

เกิดปีสัน (วอก)  ให้ครองดาบปลายแหลมด้ามดำเหลืองยาว ๑๖ ไม้

เกิดปีเล้า (ระกา)ให้ครองดาบปลายตัดด้ามดำสายดาบสีแดง ยาว ๑๖ ไม้

เกิดปีเส็ด (จอ)ให้ครองดาบปลายตัดยาว ๑๔-๑๖ ไม้

เกิดปีไก๊ (กุน)ให้ครองดาบปลายแหลมด้ามดำหรือเหลืองสายดาบสีเหลืองแดง ไม่กำหนดความยาว

          ทีนี้ ลองพิจารณาดาบประจำตัวของท่าน ว่าเข้าเกณฑ์ตามนี้หรือไม่ จะขาดจะเกินไปบ้างก็คงไม่เป็นไร ถ้าเป็นของดีของงาม หรือมีผู้มอบให้ด้วยใจรักสิเนหา ก็เก็บรักษาไว้เถอะ ยิ่งเป็นของเก่าของเดิม เป็นมรดกตกทอดสืบมาแต่พ่ออุ๊ยพ่อหม่อน ย่อมเป็นของวิเศษทั้งนั้น และถ้าหาดาบเก่าดาบโบราณไม่ได้ ก็ซื้อดาบตีใหม่ซักเล่มไม่เห็นยาก สถาปนาเป็นดาบดีประจำตระกูล สืบไว้ให้ลูกหลาน รับรองว่าในอนาคต ดาบเล่มนั้นจะงามและสง่าอย่างล้านนาแท้ๆ เชื่อเต๊อะ….

พระเมธี กญฺจนวํโส รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๗๕

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

ฆราวาสธรรม ๔ ประการ

บนนี้โลกไม่มีใครที่เกิดขึ้นมาโดยปราศจากความสุขและทุกข์ และเชื่อถ้าแต่ละคนพยายามปลูกฝัง และบำรุงให้เจริญงอกงามโดยทั่วกันแล้ว จะช่วยให้ประเทศชาติบังเกิดความสุขความร่มเย็น และมีโอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนา ให้มั่นคงก้าวหน้าต่อไปได้ดัง ข้อปฏิบัติธรรมโดยตรงของคฤหัสถ์ทั้งหลาย ของผู้ครองเรือนทั้งหลาย ฆราวาสใด หมั่นน้อมนำ "ฆราวาสธรรม ๔" มาฝึกฝน อบรม พัฒนาตน นั่นย่อมจะเปรียบได้ว่า ได้เป็นฆราวาสผู้มั่นคงจงรักภักดี ในพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

ฆราวาสธรรมนี้มี ๔ ประการได้แก่ สัจจะ  ความจริงใจ   ทมะ  ความข่มใจ  ขันติ  ความอดทน  จาคะ  ความเสียสละ ถ้าพูดให้จำกันง่ายๆก็คือ  จริงใจ-ใผ่ฝึกฝน-อดทนต่อสู้-รู้จักเสียสละ

ประการแรก  สัจจะ คือความจริงใจ  ดำรงมั่นอยู่ในสัจจะ ซื่อตรง ซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจริง ทำจริง เป็นเหตุนำมาซึ่งความเชื่อถือ หรือไว้วางใจได้  นักปราชญ์ท่านกล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม  กล่าวคือ  ต้องอยู่รวมกันตั้งต่างคนขึ้นไป  อยู่คนเดียวไม่ได้ เมื่อมาอยู่ร่วมกันแล้วก็ต้องมีความจริงใจต่อกันและกัน ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ตาม เช่น อยู่อย่างพี่น้อง  อยู่อย่างสามีภรรยา  อยู่อย่างเพื่อนร่วมชุมชน  ถ้ามีสิ่งใดก็ไม่ปิดบังกัน

ประการที่สอง  ทมะ คือใฝ่ฝึกฝนปรับปรุงตน บังคับควบคุมตนเองได้รู้จักปรับตัว และแก้ไขปรับปรุงตน ให้เจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ รวมทั้งการยอมรับและแก้ไขสิ่งบกพร่องของตนด้วย สามารถอยู่ร่วมกับทุกๆคนในสังคมได้ จะไปที่ใดย่อมมีแต่คนรัก แต่ในบางครั้งการที่เราอยู่ร่วมกัน แน่นอนที่สุดก็ต้องมีการกระทบกระทั่งการเป็นธรรมดา  โบราณท่านว่า ฟันยังกัดลิ้น ขนาดอยู่ด้วยกันยังกระทบกันเลย จะให้แยกไปจากกันก็ไม่ได้จึงจำเป็นต้องประคับประคองกันไป  อาศัยการฝึกฝนจนตลอดรอดฝั่ง

ประการที่สาม ขันติ  คือ อดทนต่อสู้ อดกลั้น  การใช้ชีวิตร่วมกันนอกจากจะต้องมีความซื่อสัตย์ ความจริงใจ และความเข้าใจกันแล้ว จะต้องมีความอดทนอดกลั้น เพราะการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนอกจากจะมีข้อขัดแย้งแตกต่างทางด้านอุปนิสัยการอบรม ประสบการณ์เดิม บางคนอาจมีเหตุล่วงเกินรุนแรง ซึ่งอาจเป็นซึ่งอาจะเป็นถ้อยคำหรือกิริยาอาการ จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องรู้จักอดกลั้นระงับใจ ไม่ก่อเหตุให้เรื่องลุกลามกว้างขยายต่อไปความร้ายจึงจะระงับลงไป

ประการที่สี่ จาคะ  คือ  รู้จักเสียสละ  มีน้ำใจงาม เอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ การที่ทำงานด้วยกันต้องรู้จักเสียสละประโยชน์ของตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่เอารัดเอาเปรียบเพื่อนร่วมสังคมเดียวกัน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม  ความจริงแล้วคนเราทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยกันทั้งสิ้นไม่มีใครอยู่คนเดียวไม่ได้ ไม่ว่าจะรวยล้นฟ้าหรือยาจก ก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน

กล่าวโดยสรุปแล้ว การปฏิบัติตนตามหลักฆราวาสธรรม ๔ ประการดังที่กล่าวมา คือ สัจจะ-ทมะ-ขันติ-จาคะ หรือเรียกให้จำง่ายคือ จริงใจ-ใผ่ฝึกฝน-อดทนต่อสู้-รู้จักเสียสละ ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลแก่ตนเองและสังคม   หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่ได้อ่านบทความนี้จะได้นำหลักฆราวาสธรรม ๔นี้ไปปฏิบัติ สามารถที่จะเป็นที่รักของทุกคน หากปฏิบัติกับเพื่อนแล้วจะมีแต่มิตรแท้ หากปฏิบัติกับพี่น้องแล้วจะทำให้พี่น้องรักเป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่เชื่อใจของพี่น้องหากปฏิบัติกับคู่รัก แฟนจะรัก  แฟนจะหลง หากไม่ปฏิบัติเลยจะถูกทอดทิ้งโดดเดี่ยว

พระเลิศล้ำ เขมวิสาโล รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๗๖

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

เรื่อง   ชายผีเสื้อ

กลางทุ่งหญ้าที่แสนสวยงามมีสิ่งที่ปรากฏขึ้น มีร่างกายที่สูงใหญ่ลักษณะเป็นบุคคลที่มีร่างกายกำยำและรอบๆตัวมีผีเสื้อบินรอบล้อมรอบร่างกายของเขา ผีเสื้อเหล่านั้นมีลักษณะสีสันสวยงามบางตัวเกาะตามตัวของชายคนนั้นเหมือนดูดกินน้ำหวานจากดอกไม้ และเมื่อร่างกายของชายปริศนาเจอกับแสงแดดจึงเห็นความระยิบระยับของร่างกายเหมือนแสงจากเพชรเมื่อผีเสื้อเหล่านั้นเกาะตามตัวบางตัวก็บินไปแยกกันไปคนละทาง มีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งกันที่สวนสาธารณะเหลือบไปเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งบินมารอบๆตัวของผู้หญิงสาวที่กำลังนั่งคุยกันด้วยความที่ผู้หญิงมีความรักของสวยงามจึงยื่นมือไปให้ผีเสื้อเกาะแขนผีเสื้อจึงบินมาเกาะตามแขนของหญิงคนนั้นและไต่ไปมาด้วยความสวยของมันทำให้ผู้หญิงคนนั้นเกิดความรักมันขึ้นมา เมื่อชายคนรักเห็นดังนั้นจึงยื่นมือไปจับผีเสื้อตัวนั้นเกิดความประหลาดใจว่าทำไมผีเสื้อตัวนั้นจึงร้อนเหมือนไฟแล้วทำไมแฟนของเขาจึงจับตัวของมันได้เมื่อจับตัวผีเสื้อแล้วร้อนจึงสะบัดมือผีเสื้อตัวนั้นจึงบินไป  ต่อมาอีก ๓ วันหญิงสาวที่จับผีเสื้อรู้สึกว่าร่างกายของตนเองมีความแปลกประหลาดไปจากเดิมเพราะประจำเดือนไม่มาจึงเกิดความกังวลใจจึงชวนแม่ไปปรึกษาและตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเมื่อหมอตรวจร่างกายอย่างละเอียดหมอจึงยื่นใบตรวจร่างกายให้แม่ของหญิงสาวคนนั้น

ด้วยความตกใจเพราะผลตรวจออกมาคือหญิงสาวคนนี้ท้องเป็นเวลา ๑ เดือนทำให้เป็นที่ตกใจมากทั้งแม่และลูกเมื่อชายคู่รักของหญิงคนนี้รู้ความจึงว่าแฟนของตัวเองท้องจึงขอบอกเลิกและบอกว่าถ้าอยากคบกันต่อไปเอาเด็กคนนี้ออกไม่อยากให้ใครรู้แต่หญิงสาวคนนี้ไม่ยอม

ต่อมา  ๔- ๕ วันผ่านมาท้องของหญิงสาวคนนั้นเริ่มผิดปกติเพราะมีความใหญ่มากผิดจากคนทั่วไปเพราะท้องใหญ่กว่าปกติจึงไปตรวจร่างกายที่หมอๆได้บอกว่า  ๒  อาทิตย์เด็กคนนี้จะเกิดขึ้นมา

ด้วยความตกใจและได้ข่าวว่าตัวเองไม่ใช่คนเดียวที่ตั้งครรภ์แบบนี้เพราะว่ามีหญิงสาวที่อายุน้อยและบริสุทธิ์ตั้งท้องเหมือนเธอจึงป็นข่าวที่โด่งดังและได้ประกาศให้หญิงสาวเหล่านี้มารวมตัวกันและสังเกตการณ์ความคืบหน้าของอาการ

ด.ร วิลเลี่ยมผู้ชำนาญด้านอาการเหล่านี้ได้วิจัยเกี่ยวกับอาการและสรุปได้ว่าอาการของหญิงสาวเหล่านี้เกิดจากการสัมผัสกับสิ่งๆหนึ่งที่มีปฏิกิริยาต่อร่างกายทำให้ผู้หญิงเหล่านี้เกิดอาการตั้งครรภ์ได้

และผลการวิจัยยังบอกว่าเมื่อครบกำหนด  ๒  อาทิตย์เด็กเหล่านี้จะเกิดมาและไม่แน่หน้าตาและรูปร่างอาจจะมีลักษณะคล้ายเมื่อครบกำหนดคลอดเป็นไปอย่างที่ ด.ร วิลเลี่ยมวิจัยออกมาเพราะว่าร่างกายและหน้าตาของเด็กเหล่านี้เหมือนกันจึงเกิดความสงสัยว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หญิงสาวคนหนึ่งจึงคิดได้ว่าเมื่อ ๒ อาทิตย์ก่อนตัวเองได้สัมผัสกับผีเสื้อที่มีความสวยงามแตกต่างจากผีเสื้อตัวอื่นจึงถามหญิงที่ตั้งครรภ์ทั้งหมดว่าได้สัมผัสกับผีเสื้อตัวนั้นหรือป่าว จึงได้ความจริงว่าทุกคนที่ตั้งครรภ์ต่างได้สัมผัสผีเสื้อเหล่านั้นทั้งสิ้น

ผีเสื้อเหล่านี้มาจากชายปริศนาที่ต้องการอยากจะขยายเผ่าพันธ์บนโลกมนุษย์ชายคนนี้ต้องการที่จะมาขยายเผ่าพันธ์บนโลกมนุษย์หรือไม่มีใครทราบแน่ชัดแต่ที่เป็นความจริงคือการตามหาตัวชายปริศนาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่มีความสำคัญระดับชาติต่อไป................................

พระวิทยา ภทฺทธมฺโม รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๗๘

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

ฟรานซิลผู้ไม่เคยแก่งแย่ง...นิทาน.. [คุณภาพสูง].mp3

เรื่อง คนก้นบาตร

บทประพันธ์โดย ผ้าขาวเปื้อนหมึก

ตอน ๑ พ่อชวนอยู่วัด

สวัสดีครับ...กานเป็นชื่อหนึ่งของสามเณรในวัดแห่งหนึ่ง ที่ใครใคร ก็รู้จักกันในนามของสามเณร (เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ) เณรกาน เรียกสั้น ๆ นะ เณรกานบรรพชา (บวช) มาตอนนี้ก็เกือบจะเข้าปีที่ ๕ แล้ว มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง จะเล่าให้ เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนที่กานจะเป็นสามเณร ซึ่งในตอนนั้นกานก็เป็นเด็กวัดก่อน เรื่องเกิดขึ้นตอนนี้แหละที่ทำให้ปวดหัว ก่อนที่จะมาอาศัยวัด

กาน..เอ๋ย ตอนนี้จวนจะได้เวลาที่เอ็งจะต้องไปเป็นลูกศิษย์ที่วัดแล้วนะ มัวทำอะไร อยู่ว๊ะไปได้แล้ว ไป๊

เสียงของพ่อเรียกกานดังขึ้นมาจากลานหน้าบ้าน

โธ่...พ่อ..ขอไปซักว่าว กับ เพื่อนก่อนได้ไหม

เอ๋ย...ไอ้นี่ลามปามใหญ่ เดี๋ยวได้เก๋กกระบาลเลย ไอ้นี่

พ่อ อย่าเข้าใจผิด ซิครับ ลมมันเย็นชุ่มฉ่ำเลย พ่อไปด้วยกันไหม...ไปไหม ๆ

ไปคนเดียวมึงเหอะ ก็ไม่บอกตั้งแต่แรก ทำกูงง

พ่อนี่..คิดลึกจัง เดี๋ยวแม่ได้ยินเข้า ถูกเก๋กกระบาลเงินผ่อนของพ่อนะ

มึงว่าอะไร เงินผ่อนของกู

กานเตรียมตัวตอบพร้อมกับที่จะลุกหนี แล้วพูดว่า

ก็หัวของพ่อนี่แหละ ไม่เข้ากับฐานะของครอบครัวเลย มัน...แล้วพ่อก็ผ่อนไม่หมด มันก็เลย...ไปจนหมด

เดี๋ยวไอ้นี่ เล่นของสูง อันนี้เขาเรียกว่าหมวกวิเศษ ม๊าเข้ามาใกล้ ๆ เดี๋ยวเก๋กกระโหลก มา ๆ

ขณะที่พ่อพูดจบกานลุกวิ่งหนีไปเสียแล้ว ไม่สนครับ เพราะเป็นเรื่องปกติธรรมดา ระหว่างพ่อกับลูกที่รักกันมากม๊าก มากชะจนเกือบจะฆ่ากันแน่ะ เป็นเรื่องล้อเล่นของประสาพ่อลูกนะครับ อย่าคิดมาก

ตอน ๒ ชวนก้อย  And the ต้อยไปเที่ยว

ถัดมาอีกวัน โอ้...โอ้ย เรื่องมันก็คล้าย ๆ กันนี่แหละ คือเรื่องมีอยู่ว่า กานชวนเพื่อน ๆ ไปตกเบ็ด

เหย เดี๋ยวก่อน ชวนก้อยไปด้วย

กานพูดกับเพื่อน ๆ ด้วยกัน ๓ คน ขณะที่เดินผ่านหน้าบ้านก้อย เพราะว่าบ้านของก้อยเป็นทางผ่าน กานพูดกับเพื่อน ๆ อยู่นอกบ้าน แล้วก็เดินเข้าไปในบ้านของก้อย เดินไปอีกนิคประชิดไปอีกหน่อย ก็เดินผ่านกรงของไอ้ตุ้ม หมาของก้อย มันก็เห่าตามสัญชาตญาณของหมา กานก็ตะโกนขึ้นด่า

เดี๋ยว...แตะลืมที่ขี้เลย

อย่าทำนะ...เดี๋ยวถ้ามันลืมจริง ขี้เกียจสอน

เสียงของพี่ต้อย พี่สาวของก้อย คนสวยเดินออกมา พร้อมกับยืนมองกานใหญ่

โธ่...พี่ก็ไอ้คนนี้ไม่ทำหรอก ใครจะไปทำได้ลงมีพี่สาวคนสวยแบบเนี้ยะ ทั้งคน

เดี๋ยวเหอะปากหวานนัก ตัดปากมาเคี้ยวเป็นน้ำตาลเลย

พี่ต้อยพูดพร้อมกับยิ้มเขิน ๆ

อุ้ย..ไม่เอานะ เดี๋ยวเอาปากที่ไหนมาชมคนสวยอีก ยิ่งมีสาวสวยมายืนตรงนี้ด้วย อิอิ ปากมันขยับเอง

กานพูดพร้อมกับมองหาอะไรบางอย่าง

อ้าว..มาหาก้อยเหรอ ก้อยไม่อยู่ไปเรียนพิเศษมีอะไรล๊ะ

อ๋อ..ไม่มีไรหรอกครับ ผมแค่อยากจะมาชวนก้อยไปตกเบ็ดกัน

อะไรน๊ะ...ตกเบ็ด ทำอะไรบ้า ๆ

พี่ต้อยพูดพร้อมกับทำสีหน้าตกใจ ในคำชวนของกาน

อุ๋ย...แค่ตกเบ็ด ทำไมพี่ต้องตกใจด้วย เป็นอะไรหรือครับพี่ แล้วพี่ไปกับผมไหม

ไม่ไปหรอก และฉันก็ไม่มีที่ว่างสำหรับเธอด้วย ฉันมีคนจองแล้ว

ว้า...เสียดายจัง งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ Bye Bye

Bye จ๊ะ

พี่ต้อยยกมือขึ้น พร้อมกับหันหลังเดินเข้าบ้าน แล้วกานเองก็เดินออกมาจากบ้านเหมือนกัน

ตอน ๓ ไปโรงเรียน (ไอ้ดำไปโรงเรียน) ภาค ๑

กานจะเล่าเรื่องไอ้ดำให้เพื่อนฟัง...เรื่องมีอยู่ว่า

สวัสดีครับ ดำไม่ใช่ชื่อของสุนัขนะครับ แต่เป็นชื่อของไอ้ดำซึ่งเป็นเด็กที่เรียนเก่งมากม๊าก จนอาจารย์ต้องไล่ออกจากห้อง เพราะเขาไม่เรียนเลย เพราะมันเก่ง เก่งนะที่นี่หมายถึง เก่งหลับ เก่งอีกอย่างหนึ่งที่มันชอบเป็นชีวิตจิตใจคือ เก่งแกล้งผู้หญิงในโรงเรียน มาถึงเรื่องของไอ้ดำต่อที่ผมจะเล่านะครับ ไอ้ดำนี่เป็นคนเจ้าเลห์ ทุกวันมันไม่ต้องซื้อขนมกินเลย มันกินตลอด ไอ้ดำมันจะยืมเงินเพื่อนก่อนแล้วซัก...คงรู้กันนะครับ (ที่ว่ามันไม่ซื้อขนมหมายถึงเงินของแก่ ไม่เคยลงทุนว่างั้น) ไอ้ดำนั้นมีนิสัยเกเรอยู่บ้าง แต่ก็โดนอาจารย์ทำโทษทุกครั้ง มีมาวันหนึ่งไอ้ดำได้ไปตกปลา ช่วงนั้นเป็นวันหยุดของโรงเรียน มันไม่ได้เอาอะไรไปเลย มันไปขโมยเบ็ดที่ริมบ่อที่ชาวบ้านเขาปักเอาไว้ มันไปขโมยแล้วมันก็หาเหยื่อมาตก มันทำอย่างนี้ทุกครั้งที่มันมาทำ (เฉพาะวันหยุดนะ) จนชาวบ้านบางคนกลับบ้านมา ไม่ได้ปลามาเลย ในช่วงของวันจันทร์ ไอ้ดำได้เข้าไปในห้องพักครู แล้วครูตกใจเมื่อเห็นไอ้ดำจึงตะโกนไปว่า ไอ้ดำเธอมาจากไหน เมื่อไอ้ดำได้ยินอย่างนั้น จึงตะโกนไปว่า ผมมาจากท้องพ่อท้องแม่ครับ อ้าว...เจ้าดำอาจารย์อยากรู้ว่าบ้านของเธออยู่ที่ไหน..ดำตอบกลับไปว่า อ้อ..บ้านผมอยู่บนดินครับ ไม่ใช่อยู่บนฟ้า

กานเล่ามาครึ่งเรื่องแล้ว เพื่อน ๆ ในห้องก็พากันหัวเราะชอบใจกัน

ต่อไปจะเล่าต่อนะครับ

ตอน ๔ ไอ้ดำไปโรงเรียน ภาค ๒

กล่าวขาน ตำนานไอ้ดำกันต่อนะครับ เรื่องต่อจากตอนที่แล้ว ครูจึงโกรธมากแต่ไม่รู้ว่าจะทำไงดี เพื่อแก่เผ็ดเจ้าดำได้ อยากทราบชื่อของผู้ปกครองของไอ้ดำ จึงเรียกเจ้าดำเข้ามาพบ แล้วก็พูดว่าดำครูอยากได้ที่อยู่ของเธอ เธอเอาที่อยู่ของเธอมาให้ครูได้ไหม ไอ้ดำโดยปกติแล้วก็เป็นคนฉลาดอยู่ แต่ตอนนี้งง ไม่รู้จะทำยังไง จึงตอบครูไปว่า ถ้าผมให้ที่อยู่ครูแล้วผมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ จากนั้นครูก็โกรธเจ้าดำมากขึ้นทวีคูณ ครูคิดที่จะสั่งสอนเจ้าดำโดยไม่ได้สอนในตำราแล้วก็ไม่มีในบทเรียนด้วย เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นการสอนในระยะสั้นแต่เห็นผลเร็ว โดยวิธีการง่าย ๆ ครูพาไอ้ดำไปเลี้ยงขนม (พาไปซื้อขนมนั้นแหละ) อ้าวดำอยากกินอะไร กินเลย วันนี้ครูเลี้ยง ไอ้ดำก็ไม่ใช่เป็นคนที่ใจดำสมชื่อซะเมื่อไหร่ เพราะเป็นครั้งแรกที่ดำได้ทานขนมอย่างเต็มที่โดยไม่มีใครด่า เพราะที่ผ่านมาดำถูกเพื่อนและแม่ค้า หรือแม้กระทั้งคนรอบข้างว่าให้ตลอดแต่วันนี้มันมีความสุขมากกว่า เพราะคนที่เลี้ยงขนมนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่กลับเป็นคุณครูที่เขากลัวและไม่กล้าที่จะสบตาด้วย เพราะถูกคุณครูดุมาตลอด มันเริ่มที่จะทำให้ดำคิดได้ว่าอะไรมันคืออะไร เราควรที่จะปรับปรุงตัวเองได้แล้ว เราก็โตแล้วไม่นานเราก็จะเป็นผู้ใหญ่ ดำคิดได้อย่างนั้น ดำเดินเข้าไปขอโทษครูที่อยู่ตรงมุมร้านขนม ...ครูครับผมขอโทษครับ ต่อไปนี้ผมจะเป็นเด็กดีครับ... ครูเห็นอย่างนั้นจึงลูบหัวของดำแล้วบอกดำว่า...ครูเชื่อว่าดำไม่ใช่คนเกเรหรอก และดำก็ทำได้ครูจะเป็นกำลังใจให้นะ ตั้งแต่วันนี้ไปครูขอให้ดำเป็นคนดี... ดำยกมือขึ้นไหว้ แล้วตอบว่า ...ครับ ผมสัญญา.. เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นไม่ใช่เฉพาะผู้อื่นเท่านั้นที่เดือดร้อน แต่จะเป็นตัวเราด้วยที่เดือดร้อน ดังนั้นแล้วเราไม่ทำให้ใครเดือดร้อนดีกว่า มีความสุขมากเพราะความสงบไม่วุ่นวาย

สุดท้ายหลังจากที่กานเล่าเรื่องจบลง เสียงปรบมือของเพื่อน ๆ ก็ดังสนั่นห้องเลย คุณครูซึ่งมาอยู่ที่โต๊ะแล้วท่านก็ได้ฟังด้วย จึงให้นักเรียนออกมาเล่าเรื่องนิทานอะไรก็ได้แล้วให้ทิ้งท้าย คือข้อคิดสอนใจด้วยคนละเรื่อง วันนั้นกานก็ได้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ (...เพราะเติมไข่ไปด้วย) เน๊าะ ๆ ๑๐ คะแนน ...เพราะไอ้ดำแท้ ๆ

ตอน ๕ คำถาม กวน ๆ จากกาน

ณ วันนั้นถึงวันนี้ รอค่อยคนที่แสนดีอยู่ตลอดเวลา กานร้องเพลงนะครับ ชอบเข้าใจผิดอยู่เรื่อยเลย มาคราวนี้กานจะตั้งคำถามกวน ๆ จะลองถามพ่อสักกะหน่อย

..พ่อ ๆ เดี๋ยวผมถามคำถามหน่อยนะ...

กานเรียกพ่อที่กำลังนั่งใต้ต้นไม้อย่างสบายอารมณ์อยู่ตอนนี้

...มา ว่ามา ขยับปากมา ขยับมากเดี๋ยวเจอ...

พ่อหันมา เพื่อจะตอบคำถามของกาน

..เริ่มละนะ พ่อเตรียมพร้อมยัง..

..พร้อมแล้ว เอ็งก็ว่ามาซิ ลีลาจัด..

..คำถามแรกนะครับ นกมีหู หนูมีปีก มันคืออะไร..

..สัตว์ประเภทนี้ มันน่าจะเป็นสัตว์ประหลาดหรือเปล่าว๊ะ..

ง่ายมากเลย คนแก่ทำไมเชยอย่างนี้ ค้างคาวไง

พ่อเดี๋ยวไปเที่ยวกับเพื่อนก่อนนะ

ไปอีกละ ก็เมื่อกี้เอ็งพึงจะกลับมา

งั้น เอาอย่างนี้ไหมละพ่อตอบคำถามของผมให้ได้ก่อนละกัน เอาไหม

ได้เดี๋ยวจะตอบให้

ครับ เริ่มละน๊ะ นักดนตรีไทยไม่ชอบใคร

คงจะไม่ชอบนักเล่นจิ๊กซอร์ละมั่ง

โอ้..โห้ สุดยอดเก่งจังเลยครับ สมแล้วที่เป็นพ่อผม ไม่เสียชาติเกิด

นี่พูดให้มันน้อย ๆ หน่อยเดี๋ยวเจอ มาข้อต่อไปว่ามา เอาจนกว่ากูจะแพ้กูถึงจะยอมเอ็ง

แน่นะ เมื่อกี้แค่ลองดูแค่นั้นเอง ต่อไปนะ ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน อะอะอะ ไม่รู้อะดิ

พ่อทำหน้างง ก่อนที่จะตอบคำถามของกานว่า

โอ้ย..ปัญหาโลกแตก ไม่มีไก่ ไข่ก็เกิดไม่ได้ ไม่มีไข่ไก่ก็ออกไม่ได้อีก ไม่รู้ว๊ะ ยอมแล้ว

  ก็คำว่า อะไรนั้นแหละที่เกิดก่อน ผมไปละนะครับพ่อตอนเย็นเจอกันครับ

กานลุกพร้อมกับบอกพ่อแล้วก็เดินออกจากต้นไม้ไป

 

ตอน ๖ คำถาม กวน ๆ จากกาน ภาค ๒

ให้เสียงภาษาไทยโดย พันธมืด มาถึงตอนที่ต้องหาคำถามกวน ๆ ให้กานอีกละ ถึงเวลาที่คุณรอค่อยมานานแสนนาน วันนี้หลังจากที่กานได้ทายปัญหากับพ่อ เพื่อจะได้ออกมาเที่ยวนอกบ้านได้แล้ว กานก็มุ่งหน้าออกไปหาพี่ต้อยก่อนเลย พอมาถึงบ้านพี่ต้อย ก็มาเจอกับพี่ต้อยพอดี ซึ่งตอนนี้พี่ต้อยกำลังอ่านหนังสือตรงที่หน้าบ้านพอดี กานก็เดินเข้าไปทักทายพี่ก่อนตามมารยาทหนังไทยทุกครั้ง

จ๊ะ..เอ๋...สวัสดีครับพี่คนสวย

พี่ต้อยหันไปมองกานแล้วยิ้มก่อนที่จะตอบรับว่า

มาทำอะไรจ๊ะ พ่อรูปหล่อ

คือ..ว่า..ผมมารบกวนพี่หรือเปล่าครับ

ไม่นี่จ๊ะ...พี่ก็กำลังว่างอยู่พอดีเลย หาเพื่อนคุยด้วย

ผมอยากถามคำถาม กับพี่ได้ไหม เอาสักข้อสองข้อครับ

ว่ามาซิจ๊ะ ถามเยอะ ๆ ก็ได้

เอาล่ะครับ..ข้อแรกนะครับ เลี้ยงหมาไว้สามตัวนับไปนับมาทำไมมีสี่ตัว

น่าจะเป็น...นับผิดมากกว่านะ

ใช้ได้ครับ ข้อนี้พี่ถูกครับ ต่อไปนะครับ...ผักอะไรน่าเกลียดที่สุด

ผักอะไรน๊า..ผักที่เหม็น ๆ อย่างงั้นเหรอ

ไม่ใช่ครับ...คำตอบก็คือ..ผักติดฟันไง...ครับ

อย่างงี้นี้เอง อ้าวว่าต่อซิ

พอแล้วล่ะครับ..พี่ต้อยทายคำถามไม่ได้แล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ คราวหลังค่อยเจอกันใหม่ แล้วก้อยอยู่ไหมครับ

กานถามพี่ต้อยพร้อมกับหันมองเข้าไปในบ้าน ราวกับเหมือนไม่มีใครอยู่เลย นอกจากพี่ต้อยเอง

ไม่อยู่จ๊ะ..ออกไปข้างนอกกับเพื่อนนานแล้ว

ครับงั้นผมไปล่ะครับ Bye Bye

 จ๊ะ หวัดดี Bye Bye

กานเดินออกไปพร้อมกับยิ้มให้พี่ต้อยแล้วก็ออกจากบ้านไป

ตอน ๗ คำถาม กวน ๆ จากกาน ภาค ๓

มาถึงตอนที่ว่าคงมันส์นะ ถ้าไม่มันส์คงไม่เอามาอ่านหรอก ว่างั้น มีกลอนมาด้วยนะสนุกอีกแนะลองดู

อย่าลืมว่าคนใน "อดีต" ที่จากไป 

เค้าไม่ได้อยู่กับเราใน "อนาคต"

 :: ลองถาม "หัวใจ" ว่าใจเธอ.."ต้องการ" ฉันไหม .. ลอง "ทบทวน" ดูถ้าฉัน "หายไป"

..เหมือนขาดอะไร..ไปบ้างไหมเธอ !! ::

 บางครั้ง .. !! "ความรู้สึก" ที่เคย "เสียไป" ,,.. จะทำยังไงก็ไม่กลับเป็น "เหมือนเดิม" ..!!!

คนเขียนน่ารัก คนดูน่าหลงใหล คนอ่านจงจำไว้ คนเขียนคิดถึงเธอ

แนะหวานตามอารมณ์ไหมมันต้องมาคู่กัน ลองดูคู่ที่มันขัดกัน อ่านนิดยิ้มบ่อย อ่านหน่อยยิ้มหวาน อ่านนานยิ้มนาน หลอกให้อ่าน...โอ้ยสะใจ เอาล่ะครับเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ตอนนี้กานได้เข้าไปหาลุงแดงเพื่อจะถามคำถาม ลุงแดงเองแกเป็นเจ้าของร้านขนมในหมู่บ้าน แล้วอีกอย่างลุงแดงจัดว่าเป็นคนธัมมะ ธัมโม คนหนึ่งเลย ชอบทำบุญแถมยังเป็นคนกันเองด้วย วันนี้ลุงแดงร้องเพลงได้อารมณ์มาก กานจึงเดินเข้าไปหาลุงแดงซึ่งกำลังหันหลังอยู่ คงจะทำอะไรสักอย่าง

ลุงครับ สวัสดีครับ สบายดีไหมครับ

ลุงแดงแกหันหลังมาพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนที่จะตอบว่า

เอ๋อ...วันนี้มึงจะลงสมัคร ส.ส.หรือยังไงว๊ะ ถึงได้มาสวัสดง สวัสดี เอ๋อ..แปลกทีเมื่อก่อนไม่เห็นทำอย่างนี้นี่ อ้าวมีอะไรว่ามา...พ่อมึงชวนลุงกินเหล้าเปล่า

เปล่าครับ...มาเป็นชุดเลย ผมแค่อยากจะถามคำถาม ลุงสักหน่อย ตกลงเราพนันกันไหม เอาไหม...

ได้เดี๋ยวหาว่าลุงไม่เตือนเอ็ง ระดับลุงแล้วไม่เคยแพ้ แอะ ๆ...

แน่นะ..เดี๋ยวผมลองดูสักข้อก่อน เสร็จแล้วค่อยเอากันจริง ๆ

เดี๋ยวก่อน..เอ็งจะเอาไปเยอะไหม เอาเท่าไหร่ เดี๋ยวลุงเจ็งล่ะ หมดตัวกันพอดี

โธ่..ไหนบอกว่าไม่เคยแพ้ไง พูดปดนะลุง

เอย...คนเรามันก็ต้องมีแพ้มีชนะกันบ้างสิว๊ะ มีแพ้มีชนะกันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

ผมแค่อยากจะเอาน้ำผลไม้นิดเดียวเองแหละครับ..เริ่มคำถามแล้วล่ะครับ แค่ลองก่อนไงครับทำไมทำหน้าอย่างนั้น

มาว่ามาเลย ลุงแน่ใจ มา...

ครับ...ทำไมเทพีเสรีภาพไม่นั่งตลอดมาล่ะครับ

ว่าน่าจะ...เกี่ยวกับว่าเขาจะสร้างมาอย่างนั้นนะ ตอบ...คือมันนั่งไม่ได้ เพราะไม่ได้นั่ง

สุดยอด...เก่งมาก อัศริยะมากเลยครับ ถูกเพ้ง

ไม่ต้องชมหรอกโว้ย มันแน่นอนอยู่แล้ว ม๊ะเอาคำถามจริงมาเลย ลุงอยากตอบแล้วยิงมาเลย...

ครับ..ลุงเป็นพ่อค้าลุงต้องเข้าใจคณิตบ้าง ผมจะทายว่า มีพนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งได้พาลูกค้ามาพักที่โรงแรม ๒ คน ตอนนี้ก็พักได้เดือนกว่าแล้วและพนักงานก็ได้เก็บเงินลูกค้า ๒ คนนี้มาครบโดยตลอด พอดีว่าผู้จัดการคืนกำไลให้ ลูกค้า ๕๐๐ บาท ระหว่างค่าเช่าในโรงแรม ๓๐๐๐/๒ คน อยากทราบว่า ระหว่างเงินทั้งหมดเนี้ยะก็จะเหลือ ๒๕๐๐ บาท แต่อยากทราบว่าทั้ง ๆ ที่พนักงานยักเงินไป ๒๐๐ บาท ก็น่าจะเป็น ๓๐๐๐ ซิ รวมกันแล้ว แต่ทำไมมันมี ๒๙๐๐ บาท อีกร้อยหายไปไหน รู้ไหมเอ๋ย...

ยาวมากเลย...ขอยอมแล้ว

มันตกหายยังไงครับ ลุงยอมแล้วนะ

เอ๋อ..ก็ได้ แล้วเอ็งจะเอาไปทำอะไรว๊ะ

ก็...กะว่าจะเอาไปถวายหลวงพ่อที่วัดครับ

เอ๋อ..ข้าก็ดีใจ เอาไปอีก เอาไปเลย เอาไปมากอีกหน่อยก็ยังดี

ครับ..พอละครับ ขอบคุณครับ ไปล่ะครับ

กานยกมือไหว้ลุงแดงแล้วหิ่วถุงน้ำผลไม้ที่ลุงแดงเอาให้ เดินออกไป

 

ตอน ๘ คำถาม กวน ๆ จากกานภาค ๔ (สุดท้าย)

มาถึงตอนที่กานต้องสู้ชีวิต ฉลามบุก โปรดอ่านคำเตือนและฉลากก่อนดื่ม (ห้ามดื่มเกินวันละ ๒ ขวด ถ้าไม่มีตังค์) มาฟังเพลงแก้เหงากันไหม ....แม้ทะเลไร้คลื้นซัดสาด สัตว์ประหลาดสาบสูญการ์ตูนหาย อุลตร้าแมนถูกมดเอ็กซ์รุมกัดตาย ก็ไม่วายหายคิดถึงเธอ….มาเล่าขานตำนานของกานกันต่อครับ มาถึงวัดแล้ว ก็วัดแห่งนี้ละที่กานจะต้องมาอยู่ในอีกไม่นาน เดินเข้าไปที่กุฏิหลวงพ่อ เรียกหลวงพ่อเลย

หลวงพ่อครับ อยู่หรือเปล่าครับ หลวงพ่อ

เอ๋อ...อยู่ มีอะไร อ้าวเจ้ากาน อะไรนะ ขนอะไรมาเยอะแยะ

นมัสการ...เป็นการส่วนตัวครับ หลวงพ่อ

อ่าว เจริญธรรมนะ มีอะไร มา...ขึ้นมาข้างบนก่อน

พอหลวงพ่อชวนกานขึ้นมาข้างบน แล้วก็นั่งลง

ผมเอามาถวายครับ เมื่อกี้ถามคำถามลุงแดงมา ลุงแดงแพ้พนันเลยได้มากะว่าจะเอามาถวายหลวงพ่อครับ

ออ...ดี ๆ นี่ก็ไม่ลงทุนอะไรอีกเลย ตามเคยนะเนี้ยนะ

เปล่าครับ...หลวงพ่อครับ ก่อนจะถวายผมอยากถามคำถามหลวงพ่อครับ ได้ไหม

ได้...ว่ามา นาน ๆ จะได้กลับไปเป็นเด็กสักที

ครับ...เริ่มละนะครับ พระตัดผมที่ไหนครับ

เดี๋ยวก่อน นึกก่อน...อ๋อ...ร้านนะโม ตัสสะ ยังไง

ครับ...ถูกต้องนะครับ หลวงพ่อครับน้ำผลไม้ครับ

เออ...ข้อต่อไปเลย

ครับ...ได้ครับ...ข้อต่อไปเลยนะครับ...สาเหตุที่สาวยาคู้ ไม่แต่งงานคืออะไรครับ หลวงพ่อ

ฮิ ๆ ว่าแล้ว ก็เพราะนมมันเปรี้ยวนะสิ ถ้าหวานคงได้ลูกดกไปนานแล้ว

เก่งมากครับ...ถูกต้องนะครับ..ถวายอีกครับ

เอ๋อ...แฮะ ๆ (สะใจ)

ครับ...อีกข้อหนึ่งครับ เริ่มแล้วละครับ น้องมีตังค์ ๕๐ บาท ซื้อขนม ๑๐ บาท เขาก็ต้องทอนให้ ๔๐ บาท กลับถึงบ้านตังค์หาย ถามว่าตังค์หายไปไหนครับ

อันนี้...มันน่าจะตกหายนะ กระเป๋ารั่วเปล่า มันเอาไปยังไง...อ้าวไม่รู้ล่ะ

หลวงพ่อคิดไกลจังนะครับ...ที่จริงแล้ว...มันก็ไกลจริง ๆ เฉลยนะครับ ตรังไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ ตรังอยู่ที่ภาคใต้ครับหลวงพ่อ

เอาละสิ...นี้ก็แสดงว่าหลวงพ่อตอบผิดละสิ

ครับหลวงพ่อตอบผิดครับ ไม่เป็นไร ผมถวายให้หมดเลย...ผมมีกลอนมาฝากหลวงพ่อด้วย

อ้า...อายุวัณโณ สุขังพะลัง

สาธุ...หลวงพ่อครับ ฟังเทศน์มันหายซ้ำ ฟังธัมมันหายโง่ ฟังโลโซมันหายซมซาน ฟังนาน ๆ มันหายคิดถึงเธอ (ตอนหลวงพ่อนั่งหลับ) ทำความเคารพด้วย แฮะ ๆ

เอ้า...มันนินทาหลวงพ่ออีก

กานก็ลุกกราบลาหลวงพ่อ แล้วก็เดินออกจากกุฏิหลวงพ่อไป

ตอน ๙ นิทานคติธรรมจากสอนใจ พ่อ และแม่

          พอกลับบ้านแล้วก็อาบน้ำ ทานข้าวเย็นร่วมกันสนทนาไปด้วย หลังจากที่ทุกคนทานข้าวเย็นกันเสร็จ ออกมานั่งกันตรงมุมบ้าน ที่ลานหน้าบ้านเพราะมีร่มไม้พร้อมกับมีแสงไฟสว่างพอที่จะเห็น พ่อเริ่มต้นก่อนเล่าเรื่อง หันมาถามเด็กทั้ง สองคนที่กำลังเล่นกันอยู่

..อ้าว เด็ก ๆ วันนี้พ่อจะเล่านิทานให้ฟัง อยากฟังไหม..

..จ้า อยากฟัง พ่อเล่าซิ...

เป็นเสียงน้องสาวดังขึ้นมา พร้อมกับหยุดเล่นทุกอย่างแล้วหันมาทางพ่อ พร้อมกับกาน

และแม่ก็ตามมาติด ๆ

..วันนี้พ่อมันเป็นอะไร อยู่ ๆ ก็มาเล่านิทาน

เป็นเสียงของแม่ที่พูด หลังจากที่มานั่งที่เก้าอี้

..เอาละ พ่อจะเล่าให้ฟัง นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณปู่ของพวกเรา ท่านเล่าให้ฟังตอนที่พ่อเป็นเด็กนะ เรื่องมีชื่อว่า..ช่างตัดไม้กับขวานทอง..

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งติดอยู่กับชายป่า และรอบ ๆ เป็นแม่น้ำลำธาร แล้วเมื่อหมู่บ้านติดกับป่าก็ต้องมีช่างตัดไม้ ช่างตัดไม้คนหนึ่งซึ่งเป็นคนยากจน บ้านของเขาเองก็อยู่ท้ายหมู่บ้านด้วย และเขาผู้นี้ เป็นคนที่กตัญญู กตเวทิตา รู้คุณขยันทำงาน เขาเองซึ่งหาไม้ไปขาย แล้วเขาจะต้องเลี้ยง พ่อกับแม่ที่แก่ชรามาก ในวันหนึ่ง เขาได้เข้าไปในป่า เขาเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ใหญ่พอสมควร พอที่เขาจะนำกลับไปบ้านได้ และคิดว่าคงจะนำไปขายได้เงินมาซื้อกับข้าวไปฝากพ่อและแม่ที่บ้านได้ เขาเองได้นั่งคุกเข่าลง และยกมือไหว้อธิษฐานว่า ข้าพเจ้าขอตัดต้นไม้นี้เถิด แล้วก็ได้ใช้ขวานเก่า ๆ ของเขาตัด ขวานก็ดูเก่ามากจนมองดูไม่ออก และก็ไม่รู้ว่าเป็นขวาน ตัดไปครั้งแรกขวานของเขาได้เกิดหลุด ออกจากด้ามกระเด็นออกไป เขาก็นำขวานกลับมาประกอบตามเดิม แล้วก็ลงมือตัดต่อไปอีก ขณะที่ตัดอยู่ตรงนั้น ขวานก็เกิดหลุดมาอีกแต่ครั้งนี้กระเด็นไปไกลพอสมควร เผอิญว่าขวานของเขาได้ลงตกไปที่แม่น้ำ เขาเองก็พยายามค้นหา งมหา ลงดำ จนเวลาผ่านไปนานสมควร เขาไม่รู้จะทำยังไง เขาคิดถึงพ่อแม่ของเขาอย่างจับใจ เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงเพราะความหวังในตอนนี้มีเพียงเขาเท่านั้น ถ้าเกิดกลับบ้านไปตัวเปล่า พ่อกับแม่ของเขาคงไม่ได้ทานอะไรเลยในตอนเย็นนี้ เขายังไม่หมดความหวังพยายามค้นหาอีกรอบ เชื่อว่าต้องทำได้ ในเมื่อเทวดาซึ่งรักษาป่าอยู่เห็นอย่างนั้นสงสารเขาขึ้นมาอย่างจับใจ จึงเนรมิตรกายเป็นชายหนุ่มเดินเข้ามา และอาสางมขวานช่วย งมขวานขึ้นมาครั้งแรก เป็นขวานทอง ชายคนนั้นถามว่า ขวานเล่มนี้ของเจ้าใช่ไหม ช่างตัดไม้ตอบว่า อันนี้ไม่ใช่ แล้วครั้งที่สองชายคนนั้นลงงมอีก เป็นขวานเพชร แล้วก็ถามอีกว่าเล่มนี้ของเจ้าไหม ช่างตัดไม้ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า ไม่ใช่ แล้วก็ตอบอีกว่า ขวานของเรามันเก่ามาก จนดูไม่ออกเลยว่าใช่ขวานหรือเปล่า ชายคนนั้นก็ลงงมอีก ครั้งนี้เป็นขวานเก่าจริง ๆ ก็ถามขึ้นว่าใช่ของเจ้าหรือไม่ ช่างตัดไม้เห็นดังนั้นก็ดีใจ รีบบอกไปว่า ใช่แล้วของเรา เราขอบคุณท่านมาก หลังจากที่ชายแปลกหน้าขึ้นมาจากน้ำพร้อมกับส่งขวานให้ทั้งหมด แล้วก็คืนสู่ร่างเดิมเป็นเทวดา แล้วก็ได้พูดขึ้นว่า เจ้าจงรักษาความดีของเจ้าไว้ แล้วทำความดีของเจ้าตลอดไป แล้วเทวดาก็หายวับจากเขาไป...นิทานเรื่องนี้ก็จบ

ขณะที่นั่งฟังกันนั้น แม่ก็พูดขึ้นว่า

..เราได้อะไรจากนิทานเรื่องนี้บ้าง นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การทำความดีย่อมได้รับผลดีตอบแทนแต่จะมาช้าหรือเร็ว อยู่ที่ตัวเราเอง ..ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว...

หลังจากที่แม่พูดจบ น้องสาวเองก็หลับคาตักของแม่ไปเรียบร้อย กานเองก็ง่วงนอนเหมือนกัน เพราะตอนกลางวันเพียมาก เพราะขยับปากมาทั้งวัน พ่อแม่ และน้องสาว พร้อมกับกานเองก็พากันเดินเข้ามาในบ้าน แล้วก็แยกย้ายกันเข้าที่นอน แล้วก็เข้าสู่นิทรา...

ตอน ๑๐ ข้อแตกต่างระหว่าง ชายหญิง จากก้อย ภาค ๑

มาวันนี้ได้เจอกันสักที กว่าจะเจอกันได้ ในระหว่างกานกับก้อย ก็เป็นเพื่อนกันสมัยเด็ก ๆ มาแล้ว ไม่มีอะไรกันหรอกตามประสาเพื่อนสนิทกัน เคยทะเลาะกันบ่อยมาก จำไม่ได้ว่าเคยทะเลาะกันเรื่องใดบ้าง เพราะไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องเลย มาถึงเรื่องของกานกันเลยดีกว่า กานนะตอนนี้ได้มาเที่ยวที่โรงเรียนเพราะวันนี้เป็นวันหยุด มาเล่นกับเพื่อนแต่วันนี้เป็นวันอะไรไม่รู้เพื่อนดันไม่มากัน กานจึงเดินเที่ยวตามที่ต่าง ๆ แต่ขณะนั้นก็เห็นห้องสมุด

ที่กำลังเปิดอยู่ ด้วยความสงสัยกานก็เดินเข้าไป

..เอ๋ ก็ดีเหมือนกันนะ เข้าไปอ่านหนังสือดีกว่า..

ระหว่างที่กานกำลังจะถอดรองเท้าเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

..อ้าว กานมาเที่ยวโรงเรียนเหรอ มาคนเดียวแล้วเพื่อนกานละ

เป็นเสียงของก้อย ผู้หญิงที่กานอยากจะคุยด้วยตั้งนานละ

..จ้า ใช้เรามาเที่ยว มาคนเดียวด้วย เพื่อนไม่มาด้วยเลย แล้วก้อยล่ะ มาอยู่คนเดียว เพื่อนของก้อยล่ะมีไหนกันหมด

..ใช่เรามาคนเดียว เพื่อนเราไม่มาเลย เราทำความสะอาดเสร็จแล้วล่ะ อ่านหนังสือกันไหม

ก็ได้ แก้เหงาไปก่อนก็ดี

กานกับก้อยก็พากันเดินไปที่มุมหนังสือ แล้วก็หยิบหนังสือออกมานั่งอ่านที่โต๊ะ

..กาน เราเจอหนังสือเล่มหนึ่งนะ ว่าเรื่องข้อแตกต่างระหว่างชายหญิง ดูสิ ให้กานอ่านของผู้ชายนะ แล้วก้อยจะอ่านของผู้หญิง โอเคไหม

..ได้ซิ ว่ามาเลย

..เริ่มล๊ะนะ ผู้หญิงได้เปรียบ

๑.     ผู้หญิงให้ผู้ชายหาเลี้ยง แม่บ้านที่ดีของครอบครัว        ผู้ชายให้ผู้หญิงหาเลี้ยง น้ำพริกแมงดา

๒.     ผู้หญิงนุ่งกางเกง ลุย สู้งาน      ผู้ชายนุ่งกระโปรง ลักเพศ

๓.     ผู้หญิงทำงานของผู้ชาย ดอกไม้เหล็ก    ผู้ชายทำงานของผู้หญิง สตรีเหล็ก

๔.     ผู้หญิงถ่ายนู๊ด งานศิลป์          ผู้ชายถ่ายนู๊ด หมดปัญญาหาเงิน เกย์

๕.     ผู้หญิงแต่งหน้า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง     ผู้ชายแต่งหน้า ท่าจะเป็น....

๖.     ผู้หญิงไม่แต่งงาน สาวมั่น        ผู้ชายไม่แต่งงาน ไอ้นี่เกย์ชัวส์

๗.     ผู้หญิงปลอบตัวเป็นชายในละคร นางเอก        ผู้ชายปลอบตัวเป็นหญิงในละคร กระเทยถึก

๘.     ผู้หญิงมีเพื่อนเป็นกระเทย เรียกเพื่อนสาว       ผู้ชายมีเพื่อนเป็นกระเทย เอ...หรือว่าจะเป็นไปด้วย

๙.     ผู้หญิงผอม หุ่นดี         ผู้ชายผอม ไอ้ขี้ยา

๑๐.  ผู้หญิงทักผู้ชายแปลกหน้าก่อน มนุษยสัมพันธ์ดี          ผู้ชายทักผู้ชายแปลกหน้าก่อน ไม้ป่าเดียวกัน

..เป็นไงล๊ะกาน สุดยอดไหม เอาล่ะตากานอ่านบ้าง..

..จ้า..

ตอน ๑๑ ข้อแตกต่างระหว่างชายหญิง จากกานภาค ๒

ตอนนี้ก็มาถึงเรื่องของกานที่จะมาพูดกันแล้วนะ หยิบหนังสือจากก้อยขึ้นมาพร้อมจะอ่าน แต่ก่อนที่กานจะลงมืออ่านนั้นกานต้องเซ็กความแน่ใจของผู้ฟังก่อน จึงถามก้อยว่า

..ก้อย พร้อมหรือยัง กานอ่านล่ะนะ..

..จ๊ะ ว่ามาดิ เราทำใจได้..

โอ้   โห้ ขนาดต้องทำใจเชียวเหรอก้อย..

กานทำหน้าตาตกตื่นในคำพูดของก้อย ที่ว่าต้องทำใจ ก้อยยิ้มก่อนพูดว่า

..ไม่หรอก ก้อยล้อกานเล่นน่ะ ก้อยพร้อมที่จะฟังแล้ว ทำเป็นน้อยใจไปได้..

แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะพร้อมกัน ก่อนที่กานจะเริ่มอ่าน

...ไม่ได้น้อยใจ ใจน้อยต่างหาก AB Notmont ก้อย กานจะว่าล่ะน่ะ ผู้ชายได้เปรียบ

๑.     ผู้ชายหลายบ้าน ขุนแผน        ผู้หญิงหลายใจ โมรา กากี วันทอง

๒.     ผู้ชายมีพุง หุ่นอาเสี่ย   ผู้หญิงมีพุง ฮิปโปโปเตมัส

๓.     ผู้ชายมือหยาบ คนสู้งาน         ผู้หญิงมือหยาบ ไปทำนามาหรือยะหล่อน

๔.     ผู้ชายร้องไห้ น้ำตาลูกผู้ชาย     ผู้หญิงร้องไห้ มารยา สำออย ห้าร้อยเล่มเกวียน

๕.     ผู้ชายพูดหยาบคาย เฮฮาประสาเพื่อนฝูง        ผู้หญิงพูดหยาบคาย ไร้สกูล หยาบคาย

๖.     ผู้ชายปล่อยตัว สบาย ๆ Casual life   ผู้หญิงปล่อยตัว ไม่รักนวลสงวนตัว

๗.     ผู้ชายห้องรก ห้องชายโสด       ผู้หญิงห้องรก รังหนู

๘.     ผู้ชายใหญ่ในบ้าน ช้างเท้าหน้า ผู้หญิงใหญ่ในบ้าน เผด็จการ

๙.     ผู้ชายไม่แต่งงาน ไม่อยากผูกมัด เพลย์บอย     ผู้หญิงไม่แต่งงาน คานทองวิเวศน์

๑๐.  ผู้ชายอบรมณ์ลูก เอาใจใส่ใกล้ชิด        ผู้หญิงอบรมณ์ลูก บ่นอีกแล้ว

..ว่า ไงสะใจดีไหม อ้าวทำไมถึงเงียบไป คงจะ IN ล่ะซิเนี้ย..

..เปล่า แค่อยากขอให้ช่วยไปส่งก้อยกลับบ้าน หน่อยซิใกล้จะมืดแล้ว..

ดูจากลักษณะท่าทางของก้อยแล้ว น่าสงสารจริง ๆ

..ได้จ๊ะ ก็กลับทางเดียวกันอยู่แล้ว

ทั้งสองคนออกจากห้องสมุดไป ช่วยกันปิดหน้าต่าง และประตูเสร็จก็เดินออกมา พูดคุยกันไประหว่างทางเดินกลับบ้าน

..ก้อยอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยน่ะ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

..จ้า กานด้วยนะ กานมัวแต่ห่วงคนอื่น ไม่ยอมดูตัวเองบ้าง

ทั้งสองคนยิ้ม ให้กัน พอไปส่งก้อยถึงบ้านแล้ว

..จ๊ะ ถึงบ้านก้อยละ เข้าบ้านก่อนนะ ค่อยเจอกัน ให้กานรีบ ๆ กลับนะ ใกล้มืดแล้ว บาย ๆ จ๊ะ

..จ้า บาย ๆ เจอกันใหม่ ซี ยู อะเกน ทู มอ โร้

โบกมือลา ส่งยิ้ม พร้อมกับหันหลังเดินกลับบ้านอย่างสบายใจไปอีกหนึ่งวัน

ตอน ๑๒ คำนินทาในวงเหล้า

ตอนหลังจากกลับไปส่งก้อยถึงบ้านแล้ว กานก็ต้องเดินกลับมาบ้าน ซึ่งก่อนจะถึงบ้านของกานเองก็ต้องผ่านร้านคาราโอเกะของน้องพร จะว่าน้องก็ไม่ใช่เราควรเรียกว่าพี่พรจะดีกว่า แต่ชื่อร้านของเขาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ กล่าวถึงนักเลงขี้เมาอย่างลุงคำ แน่นอนว่าแกไม่ขาดแน่นอน ขาประจำร้านนี้อยู่แล้วเพราะใกล้บ้านแกด้วย ลุงคำเองจัดได้ว่า น่าจะเป็นขี้เมาประจำหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ ครองแซมป์ตลอดกาล ไม่มีตังค์เดี๋ยวติดไว้ก่อน (แปะ) พอมีตังค์ก็จ่ายของเก่า แล้วก็เอาของใหม่อีก

อ้าวกาน.. ไปไหนมา เดินมาคนเดี๋ยวเหรอว๊ะ มา..มานั่งคุยกันก่อน

เสียงของลุงคำเรียก พร้อมกับโบกมือเรียกกานให้เข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย

ครับ..เดินมาคนเดี๋ยวครับ ครับแป๊บเดี๋ยวนะครับ

กานขานรับพร้อมกับเดินเข้าไปสนทนาร่วมด้วย

เอ๋อ..แป๊บ

หลังจากนั้นลุงคำแกก็ร่ายยาวเลย สารพัดสรรหามาพูด เก็บข้อมูลไม่ทัน แต่จำอยู่เรื่องหนึ่งว่า ลุงคำพูดถึงน้าหน่อยที่ไปทำงานอยู่กรุงเทพฯ เรื่องมีอยู่ว่า

นา..อีหน่อย น๊า มันไปทำงานที่กรุงเทพฯ มันได้เป็นใหญ่เป็นโต ตอนนี้มันได้เป็นเสมือน (ทำงานราชการอำเภอ) อยู่ที่กรุงเทพฯ พวกเอ็งพากันอิจฉา ล๊ะซิถ้า นี่มันได้เงินเดือนเกือบ หมื่น แนะ มันบอกว่าวันพรุ่งนี้จะกลับมา เยี่ยมพ่อกับแม่ที่บ้าน มันบอกว่าจะส่งตังค์มาให้ใช้ด้วย สุดยอดเลยว๊ะ ไปอยู่เมืองกรุงตั้งนานกลับมามีตังค์ มีของฝากติดไม้ติดมือ สงสัยคงจะมากเลยว๊ะ กูล๊ะ อยากเห็นจริง ๆ

เวลาก็ผ่านไปรวดเร็วมาก และก็นานพอสมควรเหมือนกัน จากนั้นกานก็ขอตัวกลับก่อน เดี๋ยวถูกพ่อแม่ดุ

พอถึงเวลานั้น น้าหน่อยกลับมาจริง ๆ กลับมาบ้านของลุงคำจริง แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่ลุงคำบอกเลยสักนิค แถมยัง ท้องไม่มีพ่อกลับมาอีก ของฝากนั้นเหรอน่าจะเป็น กระเป๋าเสื้อผ้า ของลูกและก็ของตัวเองมากกว่า นี้แหละน๊าการนินทา ดังที่อาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า “การนินทากาเล เหมือนเทน้ำ ไม่ซอกซ้ำ เหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้นองค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา” (บทกลอนนี้ได้ยินอาจารย์ปาหนัน จอมนงค์ สมัยเมื่ออยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ) จากนั้นกานก็นั่งทานข้าวกับพ่อ แม่ และน้อง

 

ตอน ๑๓ บทกลอนระหว่างเพื่อน

ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องจากกันแล้ว และไปสู่การเรียนรู้สถาบันอื่น เส้นทางยังยาวไกลที่พร้อมจะให้ทุกคนได้ฝ่าฟันไป

บทกลอนสอนใจ

ตีนกับตา อยู่กันมา แสนผาสุก           จะนั่งลุก ยืนเดิน เพลินหนักหนา

มาวันหนึ่ง ตีนทะลึ่ง เอ่ยปรัชญา         ว่ามีคุณ แก่ตา เสียจริงจริง

ตีนช่วยพา ตาไป ที่ต่างต่าง               ตาจึงได้ ชมนาง และสรรพสิ่ง

เพราะฉะนั้น ดวงตา จงประวิง          ว่าตีนนี้ เป็นสิ่ง ควรบูชา

ตาได้ฟัง ตีนคุยโม้ ก็หมั่นไส้               จึงร้องบอก ออกไป ด้วยโทสา

ว่าที่ตีน เดินเหินได้ ก็เพราะตา           ดูมรรคา เศษแก้วหนาม ไม่ตำตีน

เพราะฉะนั้น ตาจึง สำคัญกว่า           ตีนไม่ควร จะมา คิดดูหมิ่น

สรุปว่า ตามีค่า สูงกว่าตีน                 ทั่วธานินทร์ ตีนไปได้ ก็เพราะตา

ตีนได้ฟัง ให้คลั่งแค้น แสนจะโกรธ      เร่งกระโดด ออกไป ใกล้หน้าผา

เพราะอวดเก่ง คุยเพ่ง เก่งกว่าตา        ดวงชีวา จะดับไป ไม่รู้เลย

ตาเห็นตีน ทำเก่ง เร่งกระโดด            ก็พิโรธ เร่งระงับ หลับตาเฉย

ตีนพาตา ถลาล้ม ก้มทั้งเงย               ตกผาเลย ตายห่า ทั้งตาตีน

รวบรวมโดย สามเณร ณพงค์ อนุทุม

เรียบเรียงโดย สามเณร สงกรานต์ แสงกาบแก้ว

          ถ้าเราขาดความสามัคคีกันแล้ว ไฉนเลยงานที่พวกเราทำร่วมกันจะสำเร็จได้ คิดสักนิดก่อนจะทำ

คนทุกคน ล้วนมีความสามารถที่แตกต่างกัน ร่วมกันทำงานก็จักสำเร็จได้

นี่เป็นเสียงอาจารย์ที่ให้โอวาทก่อนจะจบการรับใบวุฒิบัตรในวัน อำลาสถาบัน ระหว่างจบประถมศึกษาปีที่ ๖ มาถึง

วันนี้มันดูเศร้า ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกับว่ามีใครตายอย่างนั้นแหละ ทั้งที่เจอหน้ากัน

ดูก้อยซิ เช็ดน้ำตาใหญ่เลย

กานเดินเข้าไปหาก้อย แล้วทักทายว่า

หวัดดีจ๊ะ ก้อยเป็นไรไหม เช็ดน้ำตาซะ อย่าขี้แงซิ วันนี้วันดีนะ

พูดพร้อมกับเตะไหล่เบา ๆ

จ๊ะ หวัดดีเราไม่เป็นไรหรอก ขอบใจนะ จะไม่ให้ขี้แงได้อย่างไรแหละก็วันนี้เราต้องจากกันแล้วนี่

ก้อยพูดพร้อมกับเช็ดน้ำตา

แล้วจะไปเรียนต่อที่ไหนละ

กานถามก้อย

ก้อย คงไปเรียนในกรุง ตามที่ก้อยได้บอกกานไว้ไง

ว้า...ไม่ได้เจอกันซะแล้ว เสียดายจัง

ไม่เป็นไรหรอกน๊า เราจะคิดถึงกานให้มาก ๆ เลย

ก็แค่คิดถึงนิ มันก็แค่นั้น

น้อยใจอีกแหละ ไม่หล่อเลยนะ ดูซิพวกเขาก็จะไปเหมือนกัน

ก้อยพูดพร้อมกับชี้มือไปที่เพื่อน ๆ ที่อยู่กลางลานสนาม

เอาอย่างงี้ไหม เดี๋ยวเราฝากบทกลอนให้ก้อย

ได้ซิ อยากฟังจัง เราก็มีเหมือนกัน

เอาล่ะ ฟังนะ

ถึงยามเรียน เรียนจริง ให้ยิ่งใหญ่

ถึงยามเล่น เล่นไป ให้สุขสันต์

เรื่องเรียนเล่น เล่นเรียน เปลี่ยนสัมพันธ์

รู้เท่ากัน ทำเป็น อย่าเล่นนาน

เพราะจังเลย แต่งเองหรือเปล่าจ๊ะ ต่อไปของเราบ้างนะ

มีเพื่อนชาย บ้านไกล เอาใจยาก

มันลำบาก ยิ่งนัก เมื่อได้เห็น

ถ้าอยู่ใกล้ คงได้ พบทุก เช้า – เย็น

เมื่อได้เป็น เช่นนั้น ก็คงดี

คงจะมี เวลา ไปเยี่ยมหา

หวังว่ากาน คงมี เมตตา

ได้ปรึกษา เรื่องทุกข์ ร้อนใจ

แต่นี้ คงไม่ได้ไป เพราะเป็นไปไม่ได้

แต่คงได้ เขียน จดหมายมา

แต่ไม่ได้พบหน้าเพราะอยู่ไกล

อีกบทหนึ่งนะอันนี้กานจะแถมให้

เมตตาเอื้ออาทร

ไม่มีใครรู้ชะตาอนาคต                     สุดกำหนดทางทุกข์หรือสุขสันต์

ทุกท่วงท่าทุกนาทีทุกชีวัน                 คือความฝันสีทองของทุกคน

วัยโหยหาวัยคะนองวัยลองรู้              ได้ลองดูรู้รสบทเริ่มต้น

แรงสวาทปรารถนาในสากล              หลงวังวนกามเทพถึงเสพยา

ไม่มีใครคาดคิดเรื่องติดเอดส์              หลากหลายเหตุไม่เคยผ่านการศึกษา

ไร้ความรักความเข้าใจไร้เมตตา                   อีกปัญหาอย่าร้างภัยสังคม

หลงทางผิดถูกซักซวนล้วนสิ่งล่อ         หลงนกต่อติดหวั่นการเพาะข่ม

ยิ่งแก้กับยิ่งพันเป็นล้านบ่ม                ชีวิตล่มเมื่อถูกผูกเงื่อนตาย

มิมีใครว่าผิดหรือคิดชั่ว                    ทุกถ้วนทั่วเป็นคนดีมีความหมาย

โลกยังไม่ทอดทิ้งทั้งหญิงชาย             ฉากสุดท้ายคือบทแต่งกฎแห่งกรรม

ญาติร่วมเรือนเพื่อนร่วมโลกร่วมโศกสุข          อย่าจมทุกข์กับชีวิตที่ผิดถลำ

โลกยังมีสิ่งวิเศษเมตตาธรรม             เต็มใจคล่ำให้คุณอยู่คู่สังคม

เรียบเรียงโดย นางสาวอรวรณ สุวรรณผล

ตอน ๑๔ ในวันที่จากลา

เป็นเรื่องเศร้าอย่างมาก IN มากสงสัยเป็นเรื่องที่....เรื่องหนึ่งเลยนะ ว่ากันไปใหญ่เลย มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ระหว่างที่ทั้งสองเดินกันไปคุยกันไป ถามว่าใคร สงสัยซิ ก็กานกับก้อยไง ถามอย่างนี้แสดงว่าไม่ได้ติดตามตอนที่ผ่าน ๆ มาเลยซิเนี้ย และตอนนี้ก็มาถึงห้องที่ทั้งสองเคยเรียนด้วยกัน อยู่เก็บของทั้งหมด และนี่คงเป็นเวลาช่วงสุดท้ายที่จะต้อง จากกัน ตอนนั้นเองกานมองดูก้อยเดินดูรอบห้องอย่างหน้าเศร้า ซึ่งกานเองในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไร เหมือนก้อย แต่ดูเหมือนว่ากานจะเก็บความรู้สึกได้ดีเลยทีเดียว

..ก้อย อย่าเสียใจไปเลย อย่างน้อยก้อยก็มีข้าวกิน นะ

ก้อยหันมายิ้ม ก่อนจะที่จะตอบกานไปว่า

กาน ยังมีอารมณ์มาพูดเล่นอยู่เหรอ

กานก้มหน้าไม่ว่าไรทั้ง ๆ ที่ลึก ๆ ตัวเองก็ไม่ต่างอะไรกับก้อย ก้อยพูดขึ้นอีกครั้ง

ล้อเล่นน่า....น้อยใจอีกล่ะ ก้อยรู้อยู่แล้วว่ากานก็รู้สึกเหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้วนิ…อ่อ..แล้วกานว่าจะแต่งกลอนให้ไง

ใช่..นี่ไง จดเลยนะ

หลงรัก คิดถึง ห่วงหา        เมตตา รับฉัน พินิจไฉน

คงเป็น ไม่ได้ ใช่ไหม         ที่เธอ จะมา รักฉัน

ในเมื่อ เรายัง ไม่สู้หน้า      หน้าตา เป็นไง ไม่รู้

คำพูด จะหวาน หรือหดหู่  จะปักใจ ให้เธอ สักกี่รู

ถึงได้รู้ ว่ารัก มากเท่าไร

..โอ้ โฮ้ เพราะจังเลย ดูดิ ทำหน้าตาตอนอ่านกลอนใสอารมณ์นะเนี้ย

พูดเป็นเล่นน่า เอาล๊ะเราเดินกลับกันเถอะ เดี๋ยวจะมืดซะก่อน

..จะเป็นไรเหร๋อ ไม่อยากพูดกับเราเหร๋อ

ก้อยหันมาคุยกับกานก่อนที่จะก้มหน้าเดินออกไป กานเดินตามก้อยเพราะรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร เพราะก้อยขี้แงตั้งแต่เด็ก อีกอย่างไม่รู้เหมือนกันว่าไปติดนิสัยเอาแต่ใจมาจากไหน สงสัยคงเป็นลูกสุดท้อง เลยได้ใจแต่เธอก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

เดี๋ยวก่อนก้อย..ฟังก่อน ที่กานพูดไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นสักหน่อย แต่เป็นห่วงว่าก้อยกลับบ้านดึกดื้น

อย่างงี้นะ ก้อยเป็นผู้หญิงนะ อีกอย่างก้อยก็น่ารักด้วย

กานเดินตามก้อยมาติด ๆ แต่ก็ยังไม่วายก้อยยิ่งเดินเร็วออกไปอีกเหมือนกับว่ากำลังเล่นวิ่งไล่จับกันยังไงยังงั้น ระหว่างที่กานเร่งฝีเท้าก้าวตามก้อยไปก็พูดไปด้วย แต่ก็รู้สึกว่าไม่เห็นผล

ก้อยฟังกานก่อน...ที่กานว่าก้อยนะเป็นคนน่ารักนะ ใครเห็นใครก็ชอบ แต่ถ้าเกิดว่าพวกรุ่นพี่โรงเรียนอื่นเห็นก้อยก็จะ...

ก้อยเดินไปพร้อมกับพูดมาด้วยว่า

ไม่ต้องมาสาธยายแล้ว เราเดินกลับบ้านเองไม่ต้องเดินตามมาด้วย....

และในตอนนั้น กานก็รู้ดีอยู่แล้วว่าต้องทำยังไงต่อ กานเองก็หยุดเดินตามก้อยปล่อยให้ก้อยเดินไป แต่ระหว่างที่ก้อยเดินไปแต่ไม่ไกลเท่าไหร่นั้น กานก็ตะโกนขึ้นมาว่า

..ถึงโลกจะพัง กะละมังจะยุบ       มิตรภาพอันแสนสุข จะไม่ยุบเหมือนกะละมัง...

ขณะที่ก้อยเดินไปได้สักพักก้อยก็หยุดเดินแล้วหันหลังกลับมา แต่กานได้เดินไปแล้วซึ่งก้อยเองก็มองตามหลังกานไป ก้อยพูดว่ากานคงเศร้ามากนะที่ก้อยวิ่งหนีเขามา แต่ทั้งสองก็อยู่ห่างกันไกลแล้วล๊ะ ก้อยยิ้มให้โดยที่กานไม่รู้หรอก ก่อนที่ก้อยจะยื่นบ่น

..ผู้ชายอะไรน๊า..ขี้ใจน้อยจัง แค่ล้อเล่นแค่เนี้ยะ แต่ก็เป็นคนน่ารักนะ จ๊ะเราจะไม่ลืมมิตรภาพระหว่างเพื่อน ขอให้เธอโชคดีนะกาน ชาตินี้ถ้าก้อยไม่ตาย ก้อยจะไม่ลืมคนที่ชื่อกานคนนี้ จะจดจำไว้ตลอดไป...

ตอน ๑๕ เก็บของก่อนบวช

ใกล้จะถึงเวลา ฟ้าส่างแล้วล่ะ รู้ว่าตอนนี้กานไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไหร่ นะดูซิ เก็บข้าวของตัวเองให้เข้าที่แล้วก่อนที่จะไม่ได้ใช้อีกต่อไป เขารู้ว่าไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ แม่เห็นว่าท่าจะไม่ดีจึงถามกานว่า

กานลูกไม่ไปบอกลาเพื่อนก่อนเหร๋อ ไม่สบายหรือเปล่าลูก

เปล่าครับแม่ ผมไม่อยากไปหรอกแล้วก็ไม่เป็นอะไรด้วย

กานเองปกติของกานแล้ว ถ้ากินข้าวเช้าเสร็จก็มักจะออกไปเที่ยวหาเพื่อนเสมอ แต่วันนี้ดูแปลกใยเปลี่ยนไปคนละคน ลองฟังเขาบ่นซิ

....ทำไม เธอถึงโกรธเราได้ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ขี้ง่อนซะมัด ผู้หญิงอะไร ดี...ง่อนไปเลย ง่อนให้สุด ๆ ไปเลย ไปมีแฟนที่กรุงเทพฯ โน้น

รู้แล้วใช่ไหม เขาเป็นอะไรถึงไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน แล้วเขาบอกกับแม่ขอขึ้นไปสวน แล้วตอนเย็นจะกลับ กานเดินขึ้นไปที่สวนประมาณ ๒ กิโล เศษ ๆ ส่วนบ้านของก้อยก็จะอยู่แถว ๆ นั้นเหมือนกัน ซึ่งห่างจากบ้านประมาณ ๑ กิโล ถ้าเดินไปสวนของเขาแล้ว ก็จะผ่านบ้านของก้อย จนมาผ่านหน้าบ้านของก้อย พี่ต้อยกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านพอดี พี่ต้อยเห็นก็ถามกานว่า

..อ้าว กาน มาหาก้อยเหรอ ก้อยไม่อยู่หรอก ไปซื้อเสื้อเตรียมตัวไปกรุงเทพฯ แนะ

..เปล่าหรอกครับ..ผมจะขึ้นไปสวน ดูนกสักหน่อย ไม่ได้ขึ้นไปนานแล้วครับ แล้วก้อยเขาไปนานหรือยังครับ

อื้อ...ก็ไปนานแล้วนะ ไม่เข้ามาก่อนเหรอ

มะ..ไม่เป็นไรครับ ไปล๊ะครับ...

จ้า...

กานเดินหันหลังจากไป ก่อนที่ต้อยจะบ่นว่า

เอ๋...วันนี้เป็นวันอะไร ทั้งสองคนถึงดูไม่ร่าเริง เหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็น สงสัยคงจะผิดใจกันละซิ

ระหว่างทางนั้นกานเดินไปก็ทักทายคนที่ผ่านไปมาเหมือนที่เคยเป็น พอเดินเข้าไปสวนกานก็เดินเข้าไปในห้องซึ่งก็มีคนทำความสะอาดแล้ว ก็เข้าไปพัก.....

เราไปดูก้อยกันก่อนดีกว่า ก้อยเองก็เศร้าเหมือนกัน แต่พอก้อยกลับมาก็จัดสัมภาระที่จำเป็น เตรียมตัวที่จะไป แต่คงจะไปหลังจากกานบวชก่อน เพราะพ่อบอกว่าจะไปช่วยงานบวชเจ้ากานก่อน

ตอน ๑๖ หายโกรธกันหรือยังจ๊ะกาน

เมื่อก้อยได้ยินพ่อพูดก็เลยดีใจ ยิ้มสดชื้นขึ้นมาอย่างทันตาเห็น แม่เห็นผิดสังเกตเลยทักขึ้น

นี่เป็นไรไปอีกละ ยัยก้อย เมื่องี้ยังทำหน้าอมทุกข์อยู่..

ต้อยเห็นอย่างที่แม่เห็น ก็พูดขึ้น

..ก็คงจะเป็นกานนั้นแหละ คงจะไปหากานก่อนมั่ง เมื่อกี้กานเขาก็มาที่นี้เหมือนกัน..

ก้อยได้ยินพี่พูดถึงกาน ก็รีบถามพี่ตัวเองเลย

..เขามาทำไม เหร๋อพี่..

แนะสนใจด้วย เขาไม่ได้มาทำอะไรหรอก แค่มาถามว่าก้อยอยู่ไหม ก็แค่นั้น แล้วก็เดินไปสวนโน้น

..แค่นั้นจริง ๆ เหรอพี่ เดี๋ยวก้อยจะตามไปนะ..

ก้อยทำหน้าตื่นเต้นจนพี่เริ่มยิ้มว่า เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ แล้วแม่ก็พูดขึ้น

..นี่ใครห้ามแก..

ก้อยดีใจมากรีบวิ่งออกจากบ้านไป แล้วมุ่งหน้าไปที่สวนให้เร็วที่สุด ก้อยวิ่งไปบ่นไปว่า

..เราไม่น่าไปล้อเล่นกานเขาแบบนั้นเลย เขาคงจะโกรธเรามั่งละ ขี้น้อยใจด้วย..

พอก้อยขึ้นไปถึง ก็มองเห็นกานนอนหลับอยู่ซึ่งประตูไม่ปิด เพราะถ้าปิดแล้วร้อนมากเลยลมไม่เข้า พอก้อยเดินเข้าไปนั่งตรงเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง ที่กานนอนก็ได้ยินกานละเมอขึ้นมา

..เธอไม่น่าโกรธเราเลย ขี้ง่อนซะมัด ดี..ง่อนไปเลย ง่อนเข้าไป เธอไปกรุงเทพฯ แล้วนิ เธอจะมาสนใจเราทำไม

พอที่ก้อยจะได้ยินบ้าง ก้อยก็ยืนเช็ดน้ำตาอยู่ข้างเตียง แล้วก็หันไปหยิบกระดาษ ใต้โต๊ะขึ้นมา เขียนว่า

: กานเพื่อนรัก เราขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้กานเป็นอย่างนี่ เราผิดเอง ก้อยเองก็เสียใจเหมือนกัน หายโกรธกันนะ คืนดีกันเถอะ เป็นอย่างนี่ใจคอเราไม่ดีเลย...จากก้อยเพื่อนรัก

ก้อยก็เอากระดาษวางไว้บนโต๊ะ ข้าง ๆ ที่กานนอนหยิบปากกามาวางทับไว้..แล้วก็วิ่งกลับบ้าน วิ่งไปร้องไห้ไป พอไปถึงบ้านก็รีบเข้าห้องของเธอเลย

...แต่กานซิ พอตื้นขึ้นมาก็บิดขี้เกียจ แต่พอหันซ้าย หันขวา ก็เห็นกระดาษวางอยู่บนโต๊ะ จึงพูดว่า

เอ๋..เมื่อกี้มาไม่เห็นมี ตอนนี้มีได้ไง ใครเอามาวางไว้..

ตอน ๑๗ หายโกรธแล้วเหร๋อก้อย

มาถึงตอนที่กำลัง ซึ่งกินใจ อินในบทนิยาย เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า พอก้อยมาถึงบ้านก็มานั่งอยู่บนเก้าอี้หมอบลงที่โต๊ะทำการบ้าน

กานซิ..พอหยิบกระดาษอะไรไม่รู้มาอ่าน ก็รู้เลยว่า....

กานรีบวิ่งไปล้างหน้า และทันทีก็รีบวิ่งลงไปบ้านของก้อยเลย อย่างรวดเร็วด้วย เหมือนในหนังคนม้าบินเลยละ วิ่งไปด้วยกระโดดไปด้วย พอมาถึงบ้านของก้อย ก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านเลย เดินไปเจอกับแม่ของก้อยก่อน กานก็ยกมือไหว้

..แม่ครับ สวัสดีครับ..

จ๊ะ หวัดดีจ๊ะ  เสียงแม่ทักพร้อมกับยิ้มให้แล้วพูดว่า ..ก้อยอยู่ในห้องเข้าไปหาซิ..

กานก็รีบพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไป (สงสัยไหมว่า ทำไมแม่ของก้อยถึงให้กานเข้าห้องของก้อยอย่างง่าย เพราะว่า แม่ของกานกับแม่ของก้อยเป็นเพื่อนกัน ก็เลยอนุญาต) คำเตือน อย่าเข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ไม่เช่นจะเจอดี... พอกานเข้าไปในห้อง เห็นก้อยนั่งก้มหน้าอยู่กับโต๊ะ

กานไม่พูดอะไร นอกจากตอนนี้ยืนดูก่อน แล้วจึงเดินเข้าไปลูบหลังก้อย แล้วพูดขึ้นว่า

..ก้อยจ๋า ก้อยอย่าโกรธเลยนะ เราขอโทษก้อยเราก็ผิดเหมือนกัน ดีไม่ดีเราผิดมากเสียด้วยซ้ำไป..

ก้อยลุกขึ้นหันหน้าไปหากานแล้วเข้ากอดกานจนแน่น แล้วบอกกานว่า

..เราผิดเอง เราขอโทษนะ อย่างน้อยก็ทำให้ก้อยรู้ว่า กานยังเป็นคนเดิมเป็นเพื่อนที่ก้อยรักที่สุด หายโกรธกันนะ.. สัญญาซิ

จากนั้นก็คลายออกจากอ้อมกอด จับมือกานแล้วบอกว่า

..สัญญานะ...เพื่อน

จ๊ะ...กานสัญญา

 

ตอน ๑๘ งานบวชแล้ว

ว่าด้วยเรื่องก็เกือบจะอวสานแล้วเรื่องผ่านไป และ ผ่านมา ก็เป็นเรื่องราวของเด็กวัดที่ชื่อว่ากานแนะ ทุกท่านอาจจะสงสัยกันละซิว่า ทำไมต้องเป็นเรื่องราวของเด็กวัดคนหนึ่ง แต่จะอธิบายโดยความเป็นจริงว่ากานไม่ไปอยู่ที่วัดแล้วจะเป็นเด็กวัดได้อย่างไร อันนี้อธิบายว่า เรื่องราวเล่านั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับกานก่อนบวชไงล่ะ เอาละเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่า

ใกล้จะถึงงานบวชมาทุกที ๆ แล้ว เวลานี้เร็วดีจังเลย กานนอนคิดเพลินอยู่เลย ระหว่างที่พ่อกับแม่กำลังวุ่นวายกัน ยุ่งกันจัดของที่จะเตรียมในงานบวช

พ่อตะโกนเรียกแม่ที่กำลังจัดข้าวของอยู่

แม่..แม่ว่าของพอหรือยังล๊ะ..

แม่ว่าพ่อน่าจะพอล๊ะนะ แล้วค่าใช้จ่ายทั้งหมดเสียเท่าไหร่ล๊ะ...

เสียไปเกือบ ๓,๐๐๐ บาท งานก็จะเริ่มพรุ่งนี้แล้วด้วย ตอนนี้ก็ดึกแล้วไปนอนกันเถอะ

หลังจากนั้น พ่อกับแม่ก็เข้าไปนอนพักผ่อนรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ และแล้วเวลาก็มาถึง ทุกคนดีใจมากแต่มีคนหนึ่งที่ดีใจตื้นเต้นมาก คือเจ้ากานนั้นเองตื้นเต้นเป็นพิเศษ

เย้...มาถึงวันนี้แล้ว แต่มันกระตุก ๆ ยังไง ๆ ไม่รู้

พ่อเห็นกานเดินไปเดินมาจึงเรียกกานมาทานข้าว

น้อย ๆ หน่อย ดีใจมากเกินไป ลืมกินข้าวแล้ว ม๊ะ..กินข้าวก่อน

พ่อ..เดี๋ยวไปครับ

พอกานเข้าไปนั่งร่วมวงกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบแต่งตัวไปวัดก่อนเลย แต่ก่อนขณะที่กำลังเดินออกจากบ้านก็ตะโกนเรียก

พ่อ..แม่ ผมไปก่อนนะ

พ่อตะโกนกลับตอบออกมา

เอ่อ...เดี๋ยวพ่อกับแม่จะตามไปนะ

กานก็วิ่งไปที่วัดเลย ทั้งวิ่งทั้งเดิน

แอ๊ะ...ทำไมไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เหมือนตัวลอยยังไงยังงั้น สงกะสัยคงตื้นเต้นเกินไปมั่ง ไม่รู้ว่าวันนี้ก้อยจะมาร่วมงานหรือเปล่านะ

จากนั้นกานก็วิ่งเข้าไปในวัด เพราะที่วัดไม่ใช่มีแต่กานที่บวช แต่มีเพื่อนอีกหลายคนที่เข้าร่วมบวชด้วย

ตอน ๑๙ เริ่มทำพิธีบวชแล้ว (บรรพชา)

มาถึงตอนนี้แล้ว

..ขอใช้เสียงประชาสัมพันธ์เล็กน้อย ในวันนี้ก็เป็นงานบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนแล้ว คณะศรัทธาญาติโยมที่มากันแล้ว พร้อมกับบุตรหลานของท่านที่จะเข้ามาทำพิธีในวันนี้ ก็ขอให้ผูกข้อมือ (เป็นการเรียกขวัญตามแบบชาวล้านนา โดยเฉพาะการป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้น) บุตรหลานของท่านก่อนนะ หลังจากนั้น ก็เริ่มโกนผมบุตรหลานไปก่อนเลย พิธีนั้นจะเริ่ม บ่ายโมงของวันนี้ แล้วก็ตอนนี้ให้รีบทำภารกิจให้เสร็จก่อนเลย ขอเจริญพร...

เป็นเสียงประชาสัมพันธ์จากหลวงพ่อที่บอกกำหนดการล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่พิธีการ

พ่อพูดขณะที่กำลังผูกข้อมือกานเพื่ออวยพร

กานเอ๋ย ขอให้ตั้งใจเรียนนะลูก ขอให้เป็นเณรที่ดี อย่าดื้อ อย่าซนนะลูก

กาน...ลูกทำดีที่สุดแล้ว ขอให้ลูกดูแลตัวเองให้ดีนะ อย่าลืมช่วยหลวงพ่อที่วัดด้วยละ เป็นเสียงของแม่ที่พูดพร้อมกับผูกข้อมือให้

จากนั้นก็เป็นญาติพี่น้องที่มาร่วมงานผูกข้อมือแล้วก็อวยพรให้ต่าง ๆ นานา

พอมาถึงคนที่กานรอคอยที่สุดนั้น ก็คือก้อยนั้นเอง

กานจ๋า.. ขอให้กานตั้งใจเรียนนะ ก้อยจะเป็นกำลังใจให้ แล้วอย่าลืมคิดถึงเราด้วยล๊ะ เสียงของก้อยที่อวยพรให้ขณะที่ก้อยกำลังผูกข้อมือให้กาน กานยิ้มก่อนตอบว่า

ขอให้ก้อยอย่าลืมเรา คนที่ชื่อกานคนนี้ก็แล้วกัน

แล้วทั้งสองก็หัวเราะกันอย่างชอบใจ จากนั้นก็ได้เวลาโกนผม กานเห็นก้อยยืนดูอยู่ทุกซอล์ค (ทุกครั้ง) แล้วกานเองก็ไม่ลืมที่จะมองดูก้อยแล้วส่งยิ้มให้ทุกครั้ง ก้อยเองก็ยืนยิ้มอยู่ห่าง ๆ แต่เหตุไฉนสายตาของเธอไม่สดชื้น เหมือนเราเลยเป็นอะไรนะ

กานก็โกนผมเสร็จ แล้วก็ต้องล้างน้ำ เช็ดให้แห้งก่อนที่จะวิ่งเข้าไปหาก้อย

ก้อย...ถึงเวลากินข้าวแล้ว...ไปกินข้าวกันเถอะ

แล้วก็จับมือก้อยเดินไปที่โรงทาน (อาหารที่ผู้มีจิตศรัทธานำมาเลี้ยงร่วมในงานบุญด้วย มีเป็นซุ้ม ๆ ) หยิบกับข้าวมากินด้วยกันสองคนแล้วก้อยก็ทัก ขึ้นว่า

กานจ๋า...วันนี้เป็นวันที่เรา มีทั้งสองอารมณ์เลยนะ

กานเห็นอย่างนั้น ก็เลยถามก้อยว่า

    เป็นยังไงเหร๋อ...สองอารมณ์ไม่เข้าใจ

ก่อนที่ก้อยจะตอบคำถามนั้น กานก็ถูกเรียกให้ขึ้นไปที่พระวิหาร เพื่อที่จะประกอบพิธีบรรพชา

    เราไปก่อนนะก้อย..เริ่มทำพิธีกันแล้วล่ะ

ก้อยมองดูกานวิ่งไป....ก้อยคิดว่า

    ...เราคงไม่ต้องบอกกานแล้วมั่ง กานคงจะรู้แล้วล๊ะ วันนี้เป็นวันที่กานเขามีความสุข อย่าทำให้กานเสียอารมณ์เลยดีกว่า ปล่อยกานเขามีความสุขเถอะ

ตอนจบ จะจากกันจริง ๆ แล้วเหรอ

จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ทุกอย่างต้องจาก เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตสัตว์โลก จากคนที่ชื่อว่ากาน ตอนนี้กลายเป็นคนที่ถูกเพิ่มชื่อ ที่เรียกกันอยู่ว่า เณรกาน กานได้บรรพชาเป็นสามเณรเรียบร้อยแล้ว เดินบิณฑบาตผ่านมาที่หน้าบ้านของก้อย พอก้อยเห็นแล้วก็เดินออกมา เพื่อที่จะใส่บาตรพร้อมกับพี่ต้อย แล้วพี่ต้อยก็พูดขึ้นว่า

เณรกาน วันนี้ก้อยเขาจะเข้าไปอยู่ ในเมืองกรุงฯ แล้วรู้ไหม

ห๋า...ก้อยจะไปวันนี้เหร๋อ ไม่รู้เรื่องเลย หรือว่าเณรมัวคิดแต่เรื่องบวชเลยไม่รู้เรื่อง

แล้วก้อยก็พูดขึ้นว่า

พี่ต้อย เณรกานไม่อยากรู้เรื่องหรอก เป็นสามเณรแล้วด้วย

แล้วเณรกานก็พูดขึ้นว่า

ก้อย..ก็เณรพึ่งจะมารู้นี่เอง ขอโทษนะ อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยล๊ะ

ก้อยไม่เป็นไรหรอก เณรไม่ต้องเป็นห่วง เราดูแลตัวเองได้

แล้วก้อยกับพี่ต้อยก็เดินเข้าบ้านอย่างขาดเยื่อใยโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองดูเลย แล้วเณรกานก็เดินก้มหน้ากลับวัดอย่างหมดอาลัย (จบครับ) ยัง...เรื่องยังไม่จบ

ขณะนั้นก้อยก็หันไปพูดกับพี่ต้อยว่า

พี่..เณรเขาจะคิดยังไงบ้างนะ..เขาจะโกรธก้อยไหม ที่ก้อยพูดกับเขาอย่างนั้น

ไม่หรอก..เขาคงจะเข้าใจแล้วล๊ะ เพราะว่าลืมวันที่จะต้องจากกันไง

เดี๋ยวก่อนจะไป...ก้อยจะเข้าไปขอโทษเขาแล้ว ก็..บอกคำลากันก่อนนะพี่

จ๊ะ...ไปก็ไป เดี๋ยวเตรียมข้าวของเสร็จก่อนนะ เดี๋ยวค่อยไปกัน

หลังจากที่ทุกคนเก็บข้าวของกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มเดินทางขึ้นรถไปลงที่วัด แล้วก้อยวิ่งเข้าไปหา...เณรกานที่กำลังนั่งหันหลัง..คือ หันมองไปทางทุ่งนาหลังวัด กำลังคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้

เสียงผู้หญิง คิดว่าน่าจะเป็นเด็กผู้หญิงรุ่นเดียวกันดังขึ้น จนทำให้เณรกานต้องหันไปมองหาเจ้าของเสียงที่กำลังดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

เณรจ๋า..ก้อยมีเรื่องจะบอก

มีเรื่องอะไรเหร๋อจ๊ะก้อย..มาบอกลากันใช่ไหม..

ทำไมเณรถึง รู้ ล๊ะ

..ก็...มารู้เรื่องตอนที่ไปบิณฑบาตบ้านก้อยไง ก็เลยรู้

 ก็นั้นซิ...ทำไมเราต้องมา...บอกลาด้วย รู้แล้วเราก็จะไปแล้วล๊ะ

เดี๋ยวก่อนซิ...จะลากันแบบนี้เหรอ ทำไมก้อยใจร้ายจัง ไม่รักคนที่ชื่อกานแล้วเหรอ หรือว่าก้อย ลืมกันแล้ว

ก้อยยิ้มก่อนตอบ

ไม่ได้ลืมซักหน่อย แค่คิดถึงมาก จนทำอะไรไม่ถูก

เณรกานยิ้มก่อน..ตอบไปว่า

รักกันอยู่ใช่ไหม อย่าลืมกันนะ

จ๋าไม่ลืมหรอก คิดถึงให้มาก ๆ นะ บ๊าย บาย เณรกาน ก้อยเดินออกไปพร้อมกับโบกมือให้เณรกานแล้วส่งยิ้มให้ เณรกานเองก็ตอบกลับไปเหมือนกัน พร้อมกับโบกมือให้

          จ๊ะ บ๊าย บาย อย่าลืมกันนะจ๊ะ

ก้อย + กาน ตลอดไป จบบริบูรณ์

หัวใจของนิสรีน...นิทาน.. [คุณภาพสูง].mp3

เอกลักษณ์...นักรบ...มงคล.. [คุณภาพสูง].mp3

ข้อควรจำ *** เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้แต่งจงใจแต่งขึ้นเพื่อความสนุก พร้อมกับข้อคิด แปลปรับเปลี่ยนเรื่องจริง (อย่าคิดว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด)

ขอบพระคุณ โยมพ่ออินทร์ศร โยมแม่บัวแก้ว และโสภาพรรณน้องสาวที่น่ารัก

              หลวงพ่อท่านพระครูพิศาลวิริยกิจ ที่เอื่ออำนวยสถานที่ วัดมะองค์นกในการแต่ง

คณะครูอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชา คอยสั่งสอน            

มิตรอันเป็นที่รักทั้งหลายที่ทั้งแนะนำ แล้วยังมอบบทกลอนเพิ่มเติม

ลูกศิษย์ที่รักทุกคน

ที่มอบกำลังใจให้จากใจทุกท่านโดยเฉพาะการเขียนเรื่องนี้ข้าพเจ้าตั้งใจมอบให้กับนักเรียนที่จะจบการศึกษาในปี ๒๕๕๔ นี้เพื่อเป็นกำลังใจที่จะเดินทางสู้ต่อไปเพื่อวันข้างหน้า

ขอให้บุญกุศลนี้จงย้อนกลับมาปกป้องท่านทั้งหลายที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงและนักเรียนที่รักทุกคนจงประสบแต่ความสุข ความเจริญ ในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ...

พระสงกรานต์ วิสุทฺธสีโล รหัส ๕๑๑๐๕๔๐๑๑๑๐๗๙

ปี ๔ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย

หมายเลขบันทึก: 561313เขียนเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2014 09:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2014 15:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

หลวงพระบางน่าไปจากคำเล่าลือ กรุงเทพฯก็น่าเที่ยวแต่ให้ปฏิรูปก่อนได้ไหม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท