“หาดนราทัศน์...ความทรงจำที่เลือนลาง”
โดย ศรัณย์ มะหะมัด
“ทักษิณราชตำหนัก ชนรักศาสนา นราทัศน์เพลินตา ปาโจตรึงใจ แหล่งใหญ่แร่ทอง ลองกองหอมหวาน”
คำกล่าวนี้เป็นคำขวัญประจำจังหวัดนราธิวาส ที่บรรยายถึงอารยธรรมและสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดนราธิวาส หนึ่งในนั้นคือ หาดนราทัศน์ ซึ่งเป็นหาดทรายขาวที่มีความสวยงามโค้งยาวต่อเนื่องกันประมาณ 5 กิโลเมตร สามารถมองเห็นได้ไกลสุดลูกหูลูกตา จรดกับปลายแหลมปากแม่น้ำบางนราทางทิศใต้ แต่ก่อนนั้นชายหาดมีความกว้างมากทั้งยังเป็นสถานที่พักผ่อนและสถานที่ท่องเที่ยวของชาวนราธิวาสที่สามารถเห็นภาพครอบครัวมีพ่อแม่และลูกๆมาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน มีชาวประมงที่ออกหาปลาริมชายหาด และมีเรือกอแระแล่นเข้าออกหาดอยู่เสมอเสมือนเป็นวิถีชีวิตนับตั้งแต่อดีตกาล
กระทั่งปีพุทธศักราช 2542 กรมชลประทานได้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อน กันทรายและคลื่นบริเวณปากแม่น้ำโก-ลก และทำการสร้างรอหรือคันดักทรายอีกเป็นจำนวน 30 แห่งก่อนจะส่งมอบให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีดูแลและบำรุงรักษาต่อทว่าการสร้างเขื่อนกันทรายฯและรอดักทรายดังกล่าวกลับสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงเนื่องจากก่อให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงเป็นแนวยาวหลายสิบกิโลเมตรและยังสร้างความเสียหายแก่หลาย พื้นที่บริเวณริมชายฝั่ง เช่น พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์และหาดนราทัศน์ นอกจากนี้ในปีพุทธศักราช 2548 กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีได้ทำการสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นบริเวณปากแม่น้ำบางนราและเขื่อนกันคลื่นบริเวณหาดนราทัศน์ด้วยงบประมาณ 120 ล้านบาท เพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง แต่แล้วโครงการดังกล่าวกลับกลายเป็นการสูญเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อการสร้างเขื่อนฯกลายเป็นการเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าไปทำลายสมดุลธรรมชาติของหาดทรายและชายฝั่งเพิ่มขึ้นไปอีก
เขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบริเวณปากแม่น้ำบางนราและหาดนราทัศน์ สร้างปี2546
แต่เดิมผืนทรายและท้องทะเลมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา โดยกระแสน้ำจากคลื่นจะทำหน้าที่พัดพาทรายให้เคลื่อนที่ไปตามชายหาดทดแทนกันไปอย่างต่อเนื่องจนทำให้หาดทรายเราดูสวยงามอยู่เสมอ แต่แล้วเมื่อมีการรุกล้ำสมดุลของหาดทรายโดยการสร้างเขื่อนกันคลื่น จึงทำให้ทรายใหม่ที่โดยสารมากับคลื่นตกสะสมอยู่ที่ด้านหลังของเขื่อนฯไม่สามารถทำหน้าที่ปกป้องหาดทรายไว้ได้ ส่วนทรายที่มีอยู่เดิมก็จะถูกน้ำทะเลพัดพาไปเรื่อยๆตามแนวชายฝั่งเสมือนดั่งสนามรบที่มีทหารบาดเจ็บล้มตายอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่
สามารถส่งกองหนุนมาช่วยได้อย่างนี่แล้วต่อให้มีกองทัพที่ยิ่งใหญ่เพียงใดก็จะคงพ่ายแพ้เข้าสักวัน ดุจดั่งหาดทรายที่กว้างใหญ่แต่หากถูกกีดกั้นไว้ไม่ให้คลื่นนำเอาทรายใหม่มาแทนที่ทรายเก่าที่ถูกพัดพาไป สักวันหาดทรายที่สวยงามและกว้างใหญ่คงจะเป็นเพียงภาพๆหนึ่งในความทรงจำเล็กๆของผู้คนที่ได้เคยพบเห็นและสัมผัสเท่านั้น... ”อย่างนี้แล้วรุ่นลูกหลานจะเหลืออะไรไว้ให้เห็นจะมีความทรงจำจากภาพครอบครัวพ่อแม่และลูกเล่นน้ำด้วยกันจากที่ใด จะเอาอะไรไปโม้กับเพื่อนๆ ว่าทะเลบ้านเราสวยเพียงใด” ภาพเหล่านี้คงจะหายไปอย่างมิอาจหวนกลับของชาวนราและผู้ที่ได้มาเยี่ยมเยือน เพียงเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่นำเอาสิ่งแปลกปลอมไปรุกล้ำสมดุลธรรมชาติ เมื่อถึงวันนั้นวันที่ไม่มีหาดทรายที่คอยปกป้องชายฝั่ง
.......แล้วใครล่ะจะเป็นผู้รับผิดชอบ?.......
ขอบคุณรูปภาพจาก:http://www.rdpb.go.th/rdpb/Front/Projects/ImportantDetail.aspx?projectid=259
นั้นซิ แล้วใครจะรับผิดชอบ เป็นบทความที่ดีมากคะ ^^
ธรรมชาติไม่ได้เปลี่ยนเพราะธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่เปลี่ยนเพราะมนุษย์เช่นกัน เป็นกำลังใจให้นะคะ ^^
เป็นกรณีศึกษาที่ดีมาก
ขอบคุณผู้เขียนที่ช่วยเปิดเผยความจริง
ที่คนไทยจะต้องรีบสรุปบทเรียน
Good job .. Well done !! เป็นกำลังใจให้น่ะจ๊ะไอ้น้องรัก
- ขอบคุณ บันทึกคุณภาพ ทำให้ เปิดหูเปิดตา สะท้อน ความจริงอย่างประจักษ์ชัด ครับ
อ่านครั้งที่ 4 แล้ว ยิ่งอ่านก็รู้สึกว่า เขียนได้ดีจริงๆ
ฝากอ่านบทความนี้ด้วยนะ http://www.gotoknow.org/posts/537494 รับรองไม่ผิดหวัง
ขอบคุณทุกๆกำลังด้วยนะครับเป็นกำลังใจอย่างยิ่ง รบกวนฝากเผยแผ่ต่อๆกันด้วยนะครับ หาดทรายขาวจะได้ไม่เลือนลางจางหายไป
ขอบคุณมากครับสำหรับ บทความดีๆ^^
สุดยอดเลยวะเพื่อน มีสาระมาก