การวิเคราะห์วรรณกรรม: มิติอันหลากหลาย*
เฉลิมลาภ ทองอาจ
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศิลปกรรมที่นำเสนอผ่านหน้ากระดาษ ใช้อักษร คำ และความในประโยค ร้อยเรียงเพื่อสร้างจินตนาการ สื่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้เขียน และบางครั้งก็เร้าอารมณ์ของผู้อ่านได้อย่างประหลาดก็คือ “วรรณกรรม” คำนี้มีความหมายครอบคลุมคำที่เราใช้มาแต่เดิม คือ “วรรณคดี” ซึ่งหมายถึงหนังสือแต่งดี ทั้งในด้านภาษา รูปแบบการนำเสนอ และด้านความคิด แต่เนื่องจากวรรณกรรมมีขอบเขตกว้างกว่าวรรณคดี ที่มีเวลาเป็นเครื่องกำหนด ว่าจะต้องเป็นเรื่องราวที่ตกทอดมาแต่อดีต ในที่นี้จึงขอใช้คำว่าวรรณกรรมเป็นคำเรียกโดยรวม เพื่อให้จัดวรรณคดีเข้าไปไว้เป็นส่วนหนึ่งของบรรดาหนังสือทั่วไปด้วย
วรรณกรรมเท่าที่สอนอยู่ในปัจจุบันนั้น มีวิธีการเรียนการสอนที่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก ครูวรรณกรรมมักจะเป็นผู้ที่เปิดประเด็น และนำผู้เรียนเข้าสู่เนื้อหา ด้วยการบอก เล่า หรืออธิบายในบางประเด็น แล้วชี้ให้เห็นว่า วรรณกรรมเรื่องนี้ ดีอย่างนั้นอย่างนี้ หรือมีสาระเนื้อหาอะไรที่เป็นแก่นสารบ้าง ท้ายที่สุดก็จะพูดถึงวรรคทอง หรือประโยคที่แสดงสาระสำคัญของเรื่อง แนวของการจัดการสอนดังกล่าว ปรากฏอิทธิพลอย่างเห็นได้ชัด ในชั้นเรียนวรรณกรรมของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ที่เมื่อไรก็ตาม มีการสอนวรรณคดี ก็จะปรากฏว่า ครูภาษาไทยดูจะเป็นผู้รับผิดชอบอะไร ๆ ไปเสียทั้งหมด คือ เป็นทั้งผู้สรุป ผู้เล่า ผู้อธิบาย และผู้วิเคราะห์ไปในคราวเดียว ซึ่งหากจะหันกลับไปมองผู้เรียนนั้นเล่า ก็น่าตกใจว่า ผู้เรียนคงเหลือแต่เพียงสถานภาพเดียวเท่านั้นคือเป็น “ผู้ฟัง” และเป็นการฟังที่ง่ายไปสักหน่อย เพราะฟังโดยไม่ต้องคิดต่อเนื่องอย่างใดทั้งสิ้น ที่จริงแล้ว วรรณคดีไม่ควรที่จะเรียนหรือสอนในลักษณะเช่นว่าเลย ตรงกันข้าม ผู้เรียนในฐานะผู้อ่านนั้นต่างหาก ที่จะต้องกระตือรือร้น (active) ที่จะ “คิดวิเคราะห์” ประเด็นหลายต่อหลายอย่างในเรื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนถ่องแท้ นี่เองจึงจะเรียกได้ว่า สมประสงค์ของการใช้วรรณกรรมเป็นเครื่องมือพัฒนาความคิดความอ่านอย่างแท้จริง
นักภาษาและผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนอ่านมีความเห็นสอดคล้องกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่านคือความหมาย อันเป็นสิ่งประสมกันระหว่างความหมายตามอักษร ซึ่งปรากฏแก่ตา กับความหมายที่เกิดจากการปรุงแต่งของอารมณ์ ความรู้สึก และประสบการณ์ส่วนตัวในอดีตของผู้อ่าน ซึ่งปรากฏแก่จิตใจ ทั้งสองส่วนปรุงแต่งให้เกิดอรรถรสบางอย่างในขณะที่อ่าน และทำให้ความคิดของผู้อ่านได้รับการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ขอให้พิจารณาตัวอย่างข้อความจากวรรณกรรมเรื่องสามก๊กต่อไปนี้ ซึ่งเป็นตอนที่เตียวหุยคิดสังหารตนเองเสีย ด้วยได้ละทิ้งหน้าที่ดูแลภรรยาเล่าปี่ อันเป็นเหตุให้ลิโป้ผู้เป็นศัตรู สามารถควบคุมตัวพี่สะใภ้ไว้ได้ ณ เมืองชีจิ๋ว
“เตียวหุยได้ยินกวนอูว่าดังนั้นก็นิ่งไปมิได้ตอบคำ คิดอัปยศแก่ทหารทั้งปวง
จึงชักเอากระบี่ออกจะเชือดคอตาย เล่าปี่เห็นก็ตกใจวิ่งเข้ากอดเอาเตียวหุยไว้
แล้วชิงเอากระบี่เสียจากมือ แล้วจึงว่าคำโบราณกล่าวไว้ว่า ธรรมดาภรรยา
อุปมาเหมือนอย่างเสื้อผ้า ขาดแลหายแล้วก็จะหาได้ พี่น้องเหมือนแขนซ้ายขวา
ขาดแล้วยากที่จะต่อได้ แล้วเราก็ได้สาบานไว้ต่อกันว่า ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน
ซึ่งเสียเมืองชีจิ๋วและภรรยาเราไปทั้งนี้ก็เป็นแต่การภายนอก จะฆ่าตัวเสียนั้นใช่
ของทั้งนี้จะคืนมาก็หามิได้ ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็จะได้คิดอ่านทำการสืบไป จะมา
ตายเสียเปล่า ๆ ไม่ควรเลย แล้วเล่าปี่ก็ร้องไห้ กวนอู เตียวหุยเห็นเล่าปี่ร้องไห้
ก็ร้องไห้ด้วย”
(สามก๊กฉบับหอพระสมุด: เจ้าพระยาพระคลัง)
ข้อความที่ยกมาข้างต้น ก่อให้เกิดความรู้สึกอย่างรุนแรง จากการที่ผู้เขียนสร้างความขัดแย้งอย่างน้อยถึงสองประการ ประการแรก คือ การฉายภาพในด้านอ่อนแอของผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักรบ เพราะธรรมดาทหารนั้น เป็นชายชาญย่อมต้องเข้มแข็ง แม้จะประสบเหตุเภทภัยอันตรายใด ๆ ก็ไม่ควรจะสำแดงให้ปรากฏว่า เป็นผู้อ่อนแอ หรือมีใจอ่อนไหวโลเล แต่นี่ ผู้เขียนกลับบรรยายภาพของเตียวหุย ผู้เป็นน้องชายร่วมสาบานของเล่าปี่ในลักษณะที่อ่อนแออย่างที่สุด เรียกว่าอยู่ในขั้นอับอายจนไม่อาจสู้หน้าพี่ร่วมสาบานทั้งสองได้ เพราะตนเองได้กระทำความผิดอันใหญ่หลวง ซึ่งถือว่า เป็นความบกพร่องในหน้าที่ความรับผิดชอบของทหารอย่างร้ายแรง ในขณะที่อ่านนั้นเอง ดูเหมือนว่า การกล่าวถึงการร้องไห้ของชายชาติทหาร จะยิ่งทำให้ผู้อ่านเกิดความสะเทือนใจมากยิ่งขึ้น ส่วนความขัดแย้งประการที่สอง คือการเสนอคุณค่าในเชิงเปรียบเทียบ ระหว่างภรรยากับพี่น้อง เห็นได้ชัดว่า ภาพของความเปรียบที่กล่าวถึง อาจจะผิดไปจากค่านิยมของสังคมทั่วไป ที่อาจเห็นว่าภรรยาสำคัญมากกว่า แต่การณ์กลับมิเป็นเช่นนั้น เพราะเล่าปี่แสดงความคิดในเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่า ภรรยานั้น แม้เมื่อผู้เป็นสามียังมีชีวิตอยู่ ก็ยังอาจหาใหม่ได้ต่อไป แต่พี่น้องนั้นเล่า หากขาดหรือสูญเสียไปแล้ว ก็ยากที่จะหาทดแทนได้ การวิเคราะห์ให้เห็นมุมความคิดที่ลึกซึ้งเช่นนี้ ยิ่งจะทำให้วรรณกรรม ซึ่งแม้จะยกมาเพียงช่วงเดียวนี้มีคุณค่ายิ่ง ดังนั้น เราจึงอาจกกล่าวได้ว่า หนังสือหรือวรรณกรรมทุกเรื่อง ย่อมมีประเด็น ต่าง ๆ ให้วิเคราะห์ ให้คิด ให้พินิจพิจารณา ตราบเท่าที่เราในฐานผู้อ่านประสงค์ ครูผู้สอนวรรณกรรมจึงสามารถนำข้อเท็จจริงนี้ ไปประยุกต์เพื่อจัดการเรียนการสอนวรรณกรรมได้ในชั้นเรียนของตนเองได้
สิ่งที่ครูผู้สอนวรรณกรรมควรนำมาให้ผู้เรียนวิเคราะห์ หรือพิจารณาเพื่อพัฒนาความคิดขณะที่อ่านวรรณกรรมมีหลายประการ วรรณกรรมจึงสามารถใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาความคิดของผู้เรียนได้หลากหลายมิติ ทั้งการให้ผู้เรียนวิเคราะห์ความเป็นมาของเรื่อง วิเคราะห์สาเหตุหรือวัตถุประสงค์ในการเขียนของผู้ประพันธ์ วิเคราะห์รูปแบบหรือกลวิธีการประพันธ์ วิเคราะห์แนวคิดหรือแก่นเรื่อง วิเคราะห์คุณค่าด้านต่าง ๆ และวิเคราะห์โครงสร้างเรื่อง ซึ่งการวิเคราะห์ในแต่ละมิติมีรายละเอียดดังนี้
๑. การวิเคราะห์ความเป็นมาของเรื่อง อันที่จริงแล้ว ส่วนที่เรียกว่ามีบทบาทน้อยที่สุดในการศึกษาวรรณกรรมคือที่มาหรือความเป็นมาของเรื่อง ทั้งนี้เนื่องจากเป็นเพียงส่วนสนับสนุน หาใช่สาระสำคัญแต่อย่างใดไม่ อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่มาและการวิเคราะห์เกี่ยวกับปูมหลังของวรรณกรรมแต่ละเรื่อง ก็อาจเป็นประโยชน์อยู่บ้าง เนื่องจากจะช่วยให้เราเข้าใจวัตถุประสงค์ของการนำวรรณกรรมมาใช้ เพื่อกิจบางประการเป็นการเฉพาะ ตัวอย่างเช่น วรรณกรรมเรื่องสามก๊ก ฉบับหอพระสมุด ซึ่งเรียบเรียงโดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) วรรณกรรมเรื่องนี้หากพิจารณาในแง่ประวัติจะพบว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระราชดำริให้แปลและแต่งไว้เป็นสมบัติสำหรับพระนครที่สร้างใหม่ เดิมมีความเข้าใจว่า พระราชประสงค์คือเพื่อให้ข้าราชการทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร เห็นแบบฉบับอันพึงปฏิบัติในการประกอบการกิจต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างของเรียงความร้อยแก้วชั้นเยี่ยม แต่นักวิชาการในชั้นหลัง โดยเฉพาะนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ได้วิเคราะห์ความเป็นมาของเรื่อง แล้วเสนอเป็นแนวคิดว่า วรรณกรรมเรื่องสามก๊กนั้น แท้ที่จริงแล้ว สื่อให้เห็นแนวคิดเรื่องการปราบดาภิเษกของรัชกาลที่ ๑ ว่า เป็นสิ่งที่ชอบธรรม เนื่องจากทรงเป็นผู้มี บุญญาธิการ กอปรด้วยปัญญาบารมี อีกทั้งทรงเป็นผู้กำจัดภัยพิบัติต่าง ๆ ให้แก่ราชสำนัก ดังเช่นที่เล่าปี่ได้กระทำเพื่อรักษาราชสมบัติของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ภายหลังเล่าปี่ก็ได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์ในวงศ์ฮั่นเสียเอง เป็นต้น ดังที่ได้ยกตัวอย่างมานี้ การแปลวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก เมื่อวิเคราะห์ที่มาแล้ว จึงน่าจะเป็นประโยชน์ในฐานะเครื่องมือการปกครองของชนชั้นนำ มากกว่าประโยชน์ทางด้านหนังสือ หรือทางศิลปกรรมดังที่เข้าใจมาแต่เดิม
(สามก๊ก ฉบับ หอพระสมุด โดยเจ้าพระยาพระคลัง)
๒. การวิเคราะห์สาเหตุหรือวัตถุประสงค์ในการเขียนของผู้ประพันธ์ แม้จะมีผู้กล่าวอ้างว่า วรรณกรรมบางเรื่อง แต่งขึ้นมาโดยผู้เขียนไม่ได้กำหนดกะเกณฑ์ลงไปว่า จะเขียนวรรณกรรมนั้นไปเพื่ออะไร หรือใช้เป็นเครื่องมือสำหรับอะไร แต่เขียนเพราะอยากจะเขียนเท่านั้น วรรณกรรมเช่นนี้อาจถือว่าเป็นวรรณกรรมบริสุทธิ์ ที่กลั่นกรองออกจากจิตใจของผู้เขียนโดยแท้ อย่างไรก็ตาม มีน้อยนัก ที่วรรณกรรมทั่วไปจะเข้าลักษณะของวรรณกรรมบริสุทธิ์เช่นว่า เพราะธรรมชาติของผู้เขียน ก่อนที่จะลงมือเขียน เขาย่อมประพันธ์เรื่องราวต่าง ๆ เพื่อรับใช้จุดประสงค์ หรือความต้องการอย่างใดอย่างหนึ่งของตนเอง เช่น เพื่อ สั่งสอน เพื่อให้แบบอย่าง เพื่อตำหนิ เพื่อประชดเสียดสี เพื่อกระตุ้นให้คิด เพื่อโน้มน้าวใจ เพื่อ หลอกลวง ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ ครูวรรณกรรมจะต้องฝึกหัดให้ผู้เรียนวิเคราะห์วัตถุประสงค์ในการเขียน ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจภาพรวมของวรรณกรรมนั้นว่า เหตุใดจึงดำเนินเรื่องไปในลักษณะต่าง ๆ จะเห็นได้ว่า วรรณกรรม บางเรื่อง ผู้เขียนมิได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเขียนอย่างชัดเจน ผู้อ่านจึงจำเป็นจะต้องวิเคราะห์จากนัยต่าง ๆ ที่แฝงอยู่ เพื่อพิจารณาว่า นอกจากแง่มุมด้านเนื้อหา วรรณศิลป์ หรือกลวิธีการประพันธ์ต่าง ๆ นานาที่ปรากฏแล้ว ผู้เขียนประพันธ์วรรณกรรมนั้นขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ใด วรรณกรรมบางเรื่องมีเนื้อหาสนุกสนานน่าติดตาม แบะใช้ภาษาวรรณศิลป์ที่งดงามไพเราะก็จริงอยู่ แต่อาจมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เนื้อหาเสียดสีบุคคลหรือสังคม ณ ขณะนั้นก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่น วรรณกรรมเรื่องสั้นหลายเรื่องในวรรณกรรม “ฟ้าบ่กั้น” ของลาว คำหอม (คำสิงห์ ศรีนอก) เรื่องราวต่าง ๆ ในเรื่องสั้นชุดนี้ สะท้อนให้เห็นสภาพ การเอารัดเอาเปรียบ การกดขี่ทางชนชั้น และการแสวงหาประโยชน์ของชนชั้นปกครอง ซึ่งเหยื่อก็คือชาวบ้านร้านตลาด ชาวนาชาวไร่ ที่ผู้เขียนให้ภาพว่าเป็นผู้โง่เง่า ไร้ปัญญา และตกเป็นทาสของคนเมืองหรือรัฐ ได้โดยง่าย ดังที่กล่าวมานี้ เมื่อผู้เรียนวิเคราะห์ว่า อะไรคือวัตถุประสงค์ของการเขียนเรื่อง ก็จะก่อให้เกิดความเข้าใจว่า วรรณกรรมเรื่องนั้นกำลังกล่าวถึงอะไร และมีเนื้อหาที่ลงลึกไปถึงสิ่งใด เรื่องใดหรือบุคคลใด มากกว่ารับรู้แต่เพียงภาพตามถ้อยคำที่บรรยายเท่านั้น
(ลาว คำหอม)
๓. การวิเคราะห์รูปแบบ คำว่า “รูปแบบ” คือแบบแผนที่ปรากฏแก่ตา รูปแบบของวรรณกรรม คือแบบแผนในการเขียน หรือกรอบอันเป็นเส้นเกณฑ์ที่แบ่งเรื่องของการใช้คำวรรคตอนและการเรียบเรียงให้เป็นข้อความ หากเป็นวรรณกรรมร้อยแก้ว รูปแบบการเขียนอาจแบ่งเป็นความเรียง เรียงความ สารคดี บทบรรยาย บทละคร ข่าว ประกาศ บทโฆษนา นวนิยาย เรื่องสั้น เป็นต้น ส่วนวรรณกรรมร้อยกรอง คำว่ารูปแบบมักหมายถึงฉันทลักษณ์ ที่ผู้เขียนนำมาใช้ เช่น กลอน โคลง ร่าย กาพย์ ฉันท์ เป็นต้น การจัดการเรียนการสอนวรรณกรรม ควรฝึกหัดให้ผู้เรียนวิเคราะห์รูปแบบของวรรณกรรมนั้นด้วย ทั้งนี้ หลักสำคัญของการวิเคราะห์รูปแบบ คือ จะต้องมิใช่การระบุแต่เฉพาะรูปแบบการเขียนหรือการแต่งเท่านั้น เช่น ระบุได้ว่า เรื่อง “พระอภัยมณี” เป็นกลอนสุภาพ เรื่อง “ลิลิตตะเลงพ่าย” เป็นโคลงสี่สุภาพและ ร่ายสุภาพ แต่จะต้องสามารถบอกความสัมพันธ์ในเชิงสาเหตุด้วยว่า เหตุใดผู้เขียนจึงเลือกใช้ฉันทลักษณ์ หรือรูปแบบเหล่านั้น ในการนำเสนองานของตน เหตุใดสุนทรผู้จึงไม่แต่งพระอภัยมณีเป็นร้อยแก้ว หรือเป็นนิทานในลักษณะบทบรรยายทั่ว ๆ ไป หรือเหตุใด สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส จึงไม่นิพนธ์เหตุการณ์ ยุทธหัตถีของพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชาด้วยกลอนสุภาพ หรือคำประพันธ์ชนิดอื่น ๆ การหาคำอธิบายของคำถามเหล่านี้ ล้วนแต่นำไปสู่การวิเคราะห์รูปแบบทั้งสิ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาและรูปแบบนำเสนอแล้ว ยังจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจด้วยว่า สารอย่างหนึ่ง เมื่อนำเสนอผ่านวิธีการหรือรูปแบบที่ต่างกันแล้ว ย่อมมีพลังหรืออำนาจในการสื่อที่แตกต่างกันด้วย ผู้เขียนที่มีความเชี่ยวชาญ ย่อมจะเลือกใช้รูปแบบการนำเสนอที่เหมาะสมกับสารมากที่สุด เพราะจะทำให้ผู้อ่านได้รับสารที่เด่นชัด ตรงประเด็น และเข้าใจความต่าง ๆ ที่นำเสนอในสารนั้นได้อย่างชัดเจน ตรงกับที่ผู้เขียนต้องการ
๔. การวิเคราะห์แนวคิดหรือแก่นเรื่อง แก่นเรื่องหรือแนวคิดสำคัญของเรื่อง คือแก่นหลักอันสำคัญที่ร้อยเรียงทุกเรื่องราวของวรรณกรรมให้ดำเนินไปอย่างเป็นเหตุเป็นผล จากจุดเริ่มต้น นำไปสู่ปมขัดแย้งสูงสุด และที่สุดแล้ว ก็ไปถึงจุดคลี่คลาย แก่นเรื่องโดยพื้นฐานที่ปรากฏในวรรณกรรมมักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความดีความชั่ว ปัญญา หรือกิเลสตัณหาของมนุษย์ วรรณกรรมบางเรื่อง การวิเคราะห์แก่นเรื่องมักไม่ซับซ้อนมาก เช่น วรรณกรรมจำพวกนิทาน แก่นเรื่องที่พบมาก เช่น คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด พึงเอาชนะ ความชั่วด้วยความดี ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เอาตัวรอดจากเภทภัยต่าง ๆ ความฉลาดอาจแพ้แรงอุตสาหะ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม วรรณกรรมขนาดยาว ที่มีเหตุการณ์จำนวนมากอยู่ในเรื่อง อาจมีแนวคิด รองอื่น ๆ เสริมอยู่ก็ได้ และอาจจะไม่ปรากฏแนวคิดหลักอย่างเด่นชัด การวิเคราะห์แก่นเรื่องจึงซับซ้อนและ ยากกว่า อย่างไรก็ตาม การจัดการเรียนการสอนวรรณกรรม การฝึกให้ผู้เรียนวิเคราะห์แก่นเรื่องยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอยู่นั่นเอง ผู้อ่านจะต้องสามารถบอกได้ว่า อะไรคือสิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอ อะไรคือแก่นแกนสำคัญที่ทำให้เรื่องราวต่าง ๆ ดำเนินไป และนำไปสู่ปมหรือบทสรุปบางประการของเรื่อง ตราบใดที่ผู้อ่านไม่ทราบว่า เรื่องที่อ่านนำเสนอแนวคิดอะไร หรือผู้เขียนต้องการบอก กล่าว เล่า สื่ออะไรมายังตนเองแล้ว ก็นับได้ว่าเป็นการอ่านที่ผิวเผินอยู่มาก ไม่เรียกว่าเกิดความเข้าใจในการอ่าน และอาจจะถึงขั้นที่ว่า เป็นการอ่านที่อาจจะไม่ก่อคุณค่าใด ๆ ในทางปัญญาของผู้เรียนเลย ด้วยเหตุนี้ ครูผู้สอนวรรณกรรมจึงต้องถือการวิเคราะห์แนวคิดหรือแก่นเรื่องนี้เป็นพันธกิจสำคัญ อันจะขาดเสียไม่ได้ในชั้นเรียนการอ่านวรรณกรรม ของตน และพึงตระหนักว่า ชั้นเรียนใดที่ครูมุ่งหมายจะสอนวรรณกรรม แต่ไม่มีกิจกรรมให้ผู้เรียนวิเคราะห์แก่นเรื่องวรรณกรรมที่อ่านแล้วไซร้ ยังจะเรียกว่าเป็นชั้นเรียนวรรณกรรมที่แท้จริงหาได้ไม่ และการสอนนั้นหาได้เป็นการศึกษา เป็นแต่เพียงการอ่านและรับรู้ความหมายแบบดาด ๆ เท่านั้น
๕. การวิเคราะห์คุณค่าด้านต่าง ๆ วรรณกรรมเรื่องหนึ่ง ๆ นั้น หากปรับมุมมองใหม่ ก็เป็นแต่เพียงหนังสือหรืองานเขียนอันมีผู้ประพันธ์ขึ้น จะมีคุณค่าหรือไม่ เป็นแต่เพียงเกณฑ์ภายนอกที่มีผู้นำเข้าไปตัดสิน ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนบทความจึงเห็นว่า คุณค่าของวรรณกรรมอยู่ที่ผู้ประเมินพิจารณา วรรณกรรมเรื่องหนึ่ง ในสายตาผู้อ่านหรือผู้ประเมินคนหนึ่ง ก็อาจจะมีคุณค่าอย่างหนึ่ง ซึ่งก็แตกต่างจากผู้ประเมินคนอื่นได้ คุณค่าของวรรณกรรม จึงอาจจะมิใช่คุณค่าที่มีอยู่เดิม หรือจำฝังอยู่ในวรรณกรรมนั้น ๆ นับแต่เริ่มต้นเขียนหรือตีพิมพ์ แน่นอนว่า ขณะเขียน ผู้เขียนหรือนักประพันธ์ย่อมจะรังสรรค์งานเขียนของตน ให้มีความโดดเด่น โดยใช้กลวิธีทางวรรณศิลป์ ที่ก่อให้เกิดรสคำ หรือรสความตามความถนัด เอกลักษณ์และลีลาเฉพาะตน แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะยังไม่เรียกว่าเกิดคุณค่า จนกว่าจะมีผู้มาใช้เกณฑ์อย่างหนึ่งประเมิน แล้วจึงตีค่าออกมาว่ามีมูลค่ามากหรือน้อย ซึ่งผู้ตีค่าก็อาจตีต่างไปจากผู้เขียนก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ การวิเคราะห์คุณค่าจึงต้องให้ความสำคัญในเรื่องเกณฑ์ที่จะนำมาใช้ เกณฑ์ความรู้สึกดูเหมือนจะเป็นเกณฑ์อย่างแรก ที่ผู้อ่านทุกคนใช้ในการตีความวรรณกรรมว่า ชอบไม่ชอบ สนุกไม่สนุก ดีไม่ดี คุ้มหรือไม่คุ้มกับที่อ่าน เป็นต้น จากนั้นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์มากสักหน่อย ก็จะเริ่มใช้เกณฑ์ด้านอื่น ๆ ที่มีผู้วางบัญญัติไว้ มาตีค่าเรื่องที่อ่าน เช่น เกณฑ์ด้าน การใช้คำ การใช้โวหาร การใช้กลวิธีทางวรรณศิลป์ การสะท้อนสังคม การสะท้อนความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี เป็นต้น การสอนให้ผู้เรียนวิเคราะห์คุณค่า จึงว่าด้วยการสอนเกณฑ์เหล่านี้ หลายครั้งที่พบปัญหาว่า ครูวรรณกรรมมักจะให้ผู้เรียนวิเคราะห์คุณค่าวรรณกรรมหลังจากที่ถอดความ หรือว่ากันด้วยเนื้อหาเสร็จแล้ว แต่ลืมไปว่า การวิเคราะห์หรือการตีคุณค่านี้ ต้องดำเนินไปพร้อมกับเกณฑ์อันเป็น เครื่องมือด้วย เมื่อไม่มีเกณฑ์ ไม่มีกรอบ แล้วให้ผู้เรียนมุ่งตีค่าไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีหลักเกณฑ์ ก็ดูจะประดักประเดิดเต็มที่ เป็นการพิจารณาคุณค่าแบบเดาสุ่ม ที่สุดแล้ว ก็จะเขวและปราศจากทิศทาง ทั้งนี้ เกณฑ์ที่จะใช้ตีคุณค่าของวรรณกรรมมีอยู่จำนวนมาก ครูจะต้องรู้จักเลือก และแนะนำให้ผู้เรียนรู้จักด้วยว่า หากจะเลือกตีค่าหรือพิจารณาคุณค่าของวรรณกรรมในด้านหนึ่ง ๆ แล้ว เกณฑ์ที่พวกเขาจะต้องใช้คืออะไร และจะนำเกณฑ์เหล่านี้ไปวัดค่าในเนื้อหาของวรรณกรรมได้อย่างไร เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ครูผู้สอนวรรณกรรมจะต้องเตรียมตัวก่อนการสอนทั้งสิ้น
๖. การวิเคราะห์โครงสร้างเรื่อง วรรณกรรมจำพวกเรื่องเล่า หรือเรื่องที่แต่งขึ้นโดยมีองค์ประกอบประกอบด้วยตัวละคร ฉาก เหตุการณ์ ปมขัดแย้ง จุดเริ่มต้น และจุดคลี่คลาย ถือว่าเป็นวรรณกรรมที่มีโครงสร้าง ครูสามารถให้ผู้เรียนฝึกหัดวิเคราะห์โครงสร้างต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ ตลอดจนเพื่อพัฒนาการคิดเชื่อมโยงว่า โครงสร้างเหล่านี้ส่งอิทธิพลแก่กันและกันอย่างไร เช่น ตัวละครแต่ละตัวมีพฤติกรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากบุคลิกและบทสนทนา ที่สะท้อนให้เห็นแนวคิดสำคัญของเรื่องได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุจูงใจให้ตัวละครเกิดพฤติกรรม กระทั่งนำไปสู่ปมขัดแย้ง หรือจุดสูงสุดของเรื่อง หรือฉากแต่ละฉากสนับสนุนพฤติกรรมการแสดงออกของตัวละครแต่ละตัวอย่างไร เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เท่าที่นิยมปฏิบัติในการวิเคราะห์วรรณกรรม ผู้สอนมักให้ผู้เรียนวิเคราะห์ตัวละครเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่การวิเคราะห์เป็นแต่ในชั้นบรรยาย หรือการบอกแต่เพียงลักษณะนิสัยทั่วไป ๆ หาได้ลงลึกในระดับของพฤติกรรม หรือปัจจัยในเชิงสาเหตุ ที่ทำให้ตัวละครคิด พูด ปฏิบัติหรือกระทำแต่อย่างใดไม่ ผู้สอนที่จะพัฒนาผู้เรียนให้สามารถวิเคราะห์ตัวละครในเชิงสาเหตุได้นั้น จะต้องให้ผู้เรียนทำความเข้าใจเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยภาพรวมเสียก่อน ว่าตัวละครใด สัมพันธ์กับตัวละครใด และตัวละครแต่ละตัว แสดงออกหรือมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับแนวคิดของเรื่องอย่างไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น ตัวละคร “นายล้ำ” ในบทพระราชนิพนธ์ละครพูดเรื่อง “เห็นแก่ลูก” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครูผู้สอนน่าจะตั้งคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายล้ำว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้นายล้ำแสดงพฤติกรรมเห็นแก่ลูก ด้วยการไม่เปิดเผยความจริงว่าตนเองเป็นบิดา อาศัยแค่คำพูดของบุตรีคือแม่ลออที่ว่า ได้วาดภาพบิดาของตนเองไว้ ว่าเป็นคนดี ใครจะว่าเลวนั้นเป็นไม่เชื่อ เพียงเท่านี้ จะทำให้นิสัยบางอย่างที่หยั่งลึกมายาวนานเปลี่ยนได้เชียวหรือ คำถามนี้ จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ต่อตัวละคร และการถกเถียงกันเพื่อสาเหตุดังกล่าวนี้เอง ที่จะนำไปสู่การพัฒนาปัญญาความคิด ดังที่เป็นเป้าหมายหลักอันสำคัญที่สุดของการสอนวรรณกรรมในทุกระดับชั้น
คำถามสำคัญที่ว่า เราจะสามารถจัดการเรียนการสอนการคิดในชั้นเรียนวรรณกรรมได้หรือไม่นั้น คำตอบคือได้ และการคิดระดับใดเป็นสิ่งที่เราควรจะมุ่งเน้น ก็สามารถตอบได้ว่า ควรเป็นการคิดระดับ ความเข้าใจและการคิดระดับสูง คือ การคิดวิเคราะห์และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และหากถามต่อไปว่า ควรให้ผู้เรียนวิเคราะห์อะไรในวรรณกรรม คำตอบก็คือสิ่งที่ได้กล่าวไว้โดยตลอดเนื้อหาของบทความ คือ วิเคราะห์ที่มา วิเคราะห์วัตถุประสงค์ วิเคราะห์รูปแบบ วิเคราะห์แนวคิด วิเคราะห์คุณค่า และวิเคราะห์โครงสร้างของเรื่อง โดยแนวคิดของการวิเคราะห์ ก็คือการจำแนกแยกแยะลงไป เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์หรือความเป็นเหตุเป็นผล อันจะช่วยให้เข้าใจว่า ผลเกิดแต่เหตุใด หรือเหตุจะนำไปสู่ผลอย่างไรบ้าง การวิเคราะห์วรรณกรรมดังที่กล่าวมานี้ จึงมีได้หลากมิติ ขึ้นอยู่กับว่าครูผู้สอนจะให้ความสำคัญกับมิติใดเป็นพิเศษ
* บทความเรื่องนี้ เป็นบทความเรื่องที่ 100 ของผู้เขียน ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่เป็นสมาชิก Gotoknow ผู้เขียนตระหนักเสมอว่า บทความที่เขียนนั้น ควรจะเป็นบทความที่อย่างน้อยจะต้องถูกต้องตามรูปแบบการเขียน ใช้สำนวนภาษาระดับมาตรฐาน มีรูปแบบและองค์ประกอบที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม แม้จะเขียนมาถึงเรื่องที่ 100 แล้วก็ตาม ผู้เขียนก็ยังประสบปัญหาบางประการอยู่บ้าง แต่ก็มิได้ท้อถอย กลับตั้งใจที่จะพัฒนางานเขียนของตนให้ดียิ่งขึ้น บทความส่วนใหญ่จึงเป็นบทความเชิงวิชาการ ที่สามารถนำไปอ้างอิงได้ตามหลักวิชา ทั้งนี้ หากบทความทั้งหมด ก่อให้เกิดคุณูปการต่อผู้อ่านในทางใดแล้ว ผู้เขียนขออุทิศคุณงามความดีเหล่านั้นแด่ตายาย ผู้สนับสนุนและให้รากฐานทางปัญญาความคิดแก่ผู้เขียนมาตลอด
ทั้งนี้ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณหน่วยงาน องค์กร และผู้อ่านทุกท่าน ที่ได้ติดตาม ให้ข้อเสนอแนะและให้กำลังใจในการทำงานเพื่อวงการการสอนภาษาไทยตลอดมา
เฉลิมลาภ ทองอาจ
13 ส.ค. 2556
สุดยอดมากเลยครับ ครบร้อยเรื่องพอดี อาจารย์เก่งมาก
ครูภาษาไทยเข้ามาอ่านมากเลยครับ
ขอบพระคุณครับอาจารย์ ผมยังต้องพัฒนาอีกมากครับ การเขียนนี่บางทีขนาดว่าเขียนบ่อยแล้ว บางทีก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่นั่นเองครับ