กำเนิดพระเจ้าตากสิน เป็นลูกใครกันแน่ ?


กำเนิดพระเจ้าตากสิน  เป็นลูกใครกันแน่ ?

...........

ตามพระราชประวัติ และพงศาวดารทั่วไป มักกล่าวว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี มีบิดาเป็นชาวจีน มาจากเมืองเฉาโจ ชื่อ นายไหฮอง หรือ เซิ่นย้ง (ไทยเรียก แต้ย้ง ตามตำสำเนียงแต้จิ๋ว) รับราชการมีบรรดาศักดิ์เป็นขุนพัฒน์ นายอากรบ่อนเบี้ย มีมารดาชื่อ นางนกเอี้ยง เมื่อคลอดได้ ๔ วัน เจ้าพระยาจักรี บ้านโรงฆ้อง สมุหนายกรับไว้ บุตรบุญธรรม

ผมเป็นคนหนึ่งที่สงสัยมาตลอดว่า ถ้าพระเจ้าตากสินเป็นสามัญชนและมีบิดาเป็นจีนต่างด้าวจริง ทำไมเจ้าพระยาจักรีต้องมารับไปเป็นบุตรบุญธรรมด้วย ลูกหลานท่านก็เยอะ ท่านโดดเด่นตรงไหน ในตำนานพงศาวดารเก่ามักเอ่ยว่า ถ้ามีเด็กผู้มีบุญมาเกิด ท้องฟ้าและดวงดาวจะมีปรากฏการณ์แปลกประหลาด และก็จะมีโหราจารย์มาทำนายให้รู้ว่าจะมีผู้มีบุญมาเกิด อย่างนี้ก็คงพอเป็นไปได้ที่ว่าเจ้าพระยาจักรีจึงเสาะแสวงหาเด็กที่เกิดในวันนั้นก็เป็นไปได้ แต่ก็ไม่มีประวัติศาสตร์ตอนไหนกล่าวถึงเลย

และเมื่อเจริญวัยแล้ว โอกาสที่จะเข้ารับราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระเจ้าแผ่นดินตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี ในตำแหน่งมหาดเล็กและเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่ราชการ ถึงกับได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้มียศถาบรรดาศักดิ์ระดับพระยา เจ้าเมืองตาก ด้วยวัยเพียง ๒๗ ปี คงเป็นไปได้ยาก และยิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองในยุคแผ่นดินสงบยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะสังคมสมัยก่อนเป็นสังคมชนชั้นศักดินาสวามิภักดิ์ ลูกหลานขุนนางเก่าเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ ถ้าบังเอิญเกิดขึ้นก็ต้องเป็นข้าหลวงเดิมตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ หรือสนิทมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์อยู่ เช่น โกษาปาน ลูกแม่นมดุสิต สมัยพระนารายณ์ เป็นต้น ซึ่งขุนนางด้วยกันก็มักกีดกันคนที่มีชาติตระกูลต่ำต้อย หรือไม่มีทางที่คนต่างด้าวจะเข้ารับราชการ ถ้าไม่เป็นที่ทรงโปรดเหมือนเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ สมัยพระนารายณ์ และยิ่งเพิ่งเกิดศึกแย่งชิงบัลลังก์ขับไล่ฆ่าฟัน หวาดระแวงขุนนางต่างด้าวออกจากกรุงศรีอยุธยาสมัยพระเพทราชา ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ใหญ่ 

ขนาดตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านสมัยก่อน 40 ปีขึ้นไป ถ้ากำนัน ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าตาย ก็ต้องสืบทอดจากลูกหลานคนเก่าอยู่ดี แล้วนับประสาอะไรกับระดับเจ้าเมืองด้วยเล่า ในประวัติศาสตร์ หรือพงศาวดาร หรือประวัติส่วนตัวของผู้เคยเป็นเจ้าเมือง ก็มักจะมีบันทึกยืนยันว่าเป็นการสืบทอดตำแหน่งจากบรรพบุรุษทั้งนั้น และถ้ามีโอกาสหลุดรอดเข้ามามีตำแหน่งได้ เพราะเจ้าขุนมูลนายชุบเลี้ยง ก็มักจะถูกกีดกันเจริญเติบโตในหน้าที่ราชการไม่มีทางได้ดำรงตำแหน่งสูงๆ 

มีหลักฐานหลายชิ้นกล่าวต่างกันไปว่า เช่น 


พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวถึงประวัติพระเจ้าตากสินตอนหนึ่งว่า ก่อนที่จะขึ้นเป็นเจ้าเมืองตากนั้น ท่านได้เป็นปลัดเมืองตากอยู่ก่อนแล้ว (การเมืองสมัยกรุงธนบุรี : นิธิ เอียวศรีวงศ์) 


พระราชพงศาวดารเหนือเลขที่ ๔๗ กล่าวว่า พระยานักเลงมีเชื้อสายพระเจ้ามักกะโท ทรงพระนามพระยาตาก ตั้งเมืองใหม่ที่ธนบุรี 


สมุดไทยดำ ฉบับหมายเลข ๒/ฆ กล่าวว่า เดิมชื่อจีนแจ้ง เป็นพ่อค้าเกวียนก่อนที่จะมีความชอบในแผ่นดินจนได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ ณ เมืองตาก 


พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา บันทึกเรื่องหนังสือพุทธทำนายของมหาโสภิตอธิการวัดใหม่ว่า เมื่อพระนครเสียแก่พม่าแล้ว จะมีบุรุษพ่อค้าเกวียนได้เป็นพระยาครองเมืองบางกอกได้ ๑๐ ปี 


เมื่อไม่เชื่อในพงศาวดารต่างๆแล้ว เราท่านคงสงสัยว่าพระองค์ท่านเป็นลูกใครมาจากไหนกันแน่ ? มีเหตุผลหรือข้อสันนิษฐานอย่างไร? มีหลายท่าน เชื่อกันว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีท่านเป็นโอรส ของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ กับ พระองค์เอี้ยง 

ในหนังสือ “คำให้การของชาวกรุงเก่า และ ขุนหลวงหาวัด” (หน้า ๒๒๓ – ๒๒๔) พระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เล่าถึงราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีตอนหนึ่งกล่าวว่า “พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระนั้น ทรงมีพระชายาอีกองค์หนึ่งชื่อ “พระองค์เอี้ยง” เป็นธิดาของพระเจ้าบำเรอภูธร แต่ไม่ปรากฏว่ามีโอรสธิดาด้วยกัน”

อีกตอนหนึ่ง ทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า “พระเจ้าบรมโกศ  มีพระมเหสีที่เป็นพี่น้องร่วมชนกชนนีเดียวกัน ๒ องค์ คือ พระองค์ขาว โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็น กรมหลวงอภัยนุชิต เรียกว่า “พระพันวะษาใหญ่” กับ พระองค์พลับ สถาปนาเป็นกรมหลวงพิพิธมนตรี เรียกว่า “พระพันวะษาน้อย” ทั้งคู่นี้เป็นธิดาของเจ้าพระบำเรอภูธร มีแม่เป็นคนเพชรบุรี อยู่บ้าน สมอปรือ เชื้อพราหมณ์” 


จึงสามารถสรุปได้ว่า พระองค์เอี้ยง พระองค์พลับ และพระองค์ขาว เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เป็นชาวสมอปรือ เพชรบุรี มีพระบิดา คือ เจ้าพระบำเรอภูธร ซึ่งเป็นหลานของพระเพทราชา เดิมชื่อ นายทรงบาศ ต่อมาพระเพทราชาสถาปนาให้เป็นเจ้า เมื่อคราวเสด็จขึ้นครองราชย์ มีศักดิ์ในฐานะเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเทียบเท่า เจ้าฟ้า หรือเจ้าต่างกรม ดังนั้น ธิดาของท่านจึงมีฐานันดรศักดิ์เป็น “พระองค์เจ้า” มาแต่ประสูติ ซึ่งต่อมาธิดาคนโต คือ พระองค์เอี้ยง ได้ไปเป็นพระชายาของ เจ้าฟ้าเพชร หรือ พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ส่วนน้องสาวอีกสองคน คือ พระองค์พลับ และพระองค์ขาว ไปเป็นชายาของเจ้าฟ้าพร หรือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

ต่อมาพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ทรงพระราชทานพระชายา คือ พระองค์เอี้ยง ให้อยู่ในความดูแลของ เจ้าพระยาจักรี บ้านโรงฆ้อง คราวใกล้ชราภาพ เพราะกลัวภัยสงครามแย่งชิงบัลลังก์จะลามถึงลูกหลานชั้นเด็กๆ ซึ่งเจ้าพระยาจักรี เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่น่าจะเกี่ยวข้องดองเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นที่ไว้ใจของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ และคงเป็นที่นับถือเกรงใจของพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลาย รวมทั้งพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศที่ครองราชย์ต่อมาด้วย จึงไม่ทำอะไรกับเจ้าพระยาจักรีเมื่อครองราชย์แล้ว และยังให้ทำราชการแทนพระองค์หลายอย่างในเวลาต่อมา 

เจ้าพระยาจักรี สมุหนายกสมัยนั้น คงมีบารมีและเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก ถึงกับโปรดให้เป็นแม่ทัพคุมทหารไปทำสงครามตีกรุงกัมพูชา ดังพระราชพงศาดารฉบับพันจันทุมาศ ตอนหนึ่งว่า “โปรดให้เจ้าพระยาจักรกรี บ้านโรงฆ้อง ถือพลเมืองหมื่นหนึ่ง ไปตีได้กรุงกัมพูชา เมื่อจุลศักราช ๑๐๗๓ หรือ พ.ศ. ๒๒๕๔”

ทั้งนี้เนื่องจากในปลายรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พระองค์ท่านเตรียมจะยกราชสมบัติให้เจ้าฟ้านเรนทรพระราชโอรส แต่เจ้าฟ้าพร พระอนุชามีบารมีมาก ทำราชการมานาน คงไม่ยินยอมแน่ ซึ่งก่อนจะเสด็จสวรรคตทรงคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะต้องเกิดสงครามกลางเมือง หรือ ศึกสายเลือด แย่งชิงราชสมบัติแน่ เพื่อความปลอดภัยของพระชายาทั้งหลาย รวมทั้งพระองค์เอี้ยงและหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ในครรภ์ จึงทรงฝากให้เจ้าพระยาจักรี ซึ่งในขณะนั้นมีอายุ ๗๐ กว่าปีแล้ว และ(อาจจะ) เพื่อความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง เจ้าพระยาจักรี ได้ให้นายไหฮอง หรือขุนพัฒน์  รับฝากช่วยดูแล  หรือให้ขุนพัฒน์(ไหฮอง)รับสมอ้างเป็นพ่ออีกต่อหนึ่งก็เป็นได้

 

 

ที่แปลก และชวนสงสัยมาก  ก็คือ เพราะต่อมาเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีครั้งยังเป็นมหาดเล็กบ้าง  เจ้าเมืองบ้าง  และแม้ขึ้นครองราชย์แล้ว  ก็ไม่เคยมีบันทึกเขียนว่าพระองค์รับบิดามาอยู่ด้วย  หรือได้ยกย่องบิดาในที่ใด  หรือเอ่ยถึงบิดาจีนให้ประจักษ์ในที่ใดอีก   ทั้งที่พระองค์เขียนเอง  หรือที่ผู้อื่นเขียนประวัติถึงก็ตาม   (ทำนองประเภทคลอดแล้ว  บิดาสูญหายไปจากโลกนี้ทันที)   


ต่อจากนั้นเมื่อพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ทรงยกราชสมบัติให้ เจ้าฟ้านเรนทร พระราชโอรสองค์โต แต่เจ้าฟ้านเรนทร ไม่ทรงรับ พระองค์จึงยกราชสมบัติให้ เจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรสองค์รอง แล้วเจ้าฟ้านเรนทรเสด็จออกผนวช  ต่อมาเจ้าฟ้าอภัย และเจ้าฟ้าปรเมศร์ หาทางกำจัดกรมพระราชวังบวรสถานมงคล มหาอุปราชวังหน้า แต่มหาอุปราชฮึดสู้จึงได้ต่อสู้รบกันเป็นระยะเวลาร่วมปีเหตุการณ์จึงสงบ โดยฝ่ายเจ้าฟ้าพร มหาอุปราชเป็นผู้ชนะ จึงได้ขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๗๕ และได้สั่งประหารชีวิตพระเจ้าหลานทั้งสองพระองค์ รวมทั้งขุนนางข้าราชการที่เป็นพวกเจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศร์เกือบหมดสิ้น 

ในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมือง ในประวัติศาสตร์ระบุว่า พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ยังไม่เสด็จสวรรคต ต่อมาท่านเสด็จสวรรคตด้วยโรคมะเร็งที่พระชิวหาและพระศอ เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๒๗๖ ก็คงราวๆ เดือนกุมภาพันธ์ ไม่ก็เดือนมีนาคม เมื่อเทียบเคียงกับข้อมูลพระราชสมภพของพระเจ้าตากสินมหาราชในวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๒๗๗ ดูใกล้เคียงกันมาก เพราะปีใหม่ไทยในสมัยนั้นถือเอาเดือนเมษายนเป็นเดือนแรก

และเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราช เกิดได้เพียง ๔ วัน เจ้าพระยาจักรี ก็รีบมาขอเป็นบุตรบุญธรรมทันที อะไรคือสาเหตุที่เจ้าพระยาจักรีถึงมีความจำเป็นขนาดนั้น เพราะถ้าเด็กทารกคนนั้นเป็นสามัญชนคนธรรมดา ยิ่งประวัติศาสตร์ระบุว่า นางนกเอี้ยง แม่ของนายสิน นั้นเป็นชาวเพชรบุรี และในบันทึกต่างๆ และพงศาวดารไทยยุครัตนโกสินทร์   ก็กล่าวว่าก่อนรัชกาลที่ ๑ ได้แนะนำน้องชายท่าน  คือ กรมบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) จะไปสวามิภักดิ์สมัครเป็นข้าราชการในพระเจ้าตากสินขณะอยู่ที่ชลบุรี  ได้แนะนำให้ไปรับมารดาพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่บ้านแหลม เมืองเพชรบุรี ไปถวายพระเจ้าตากสินด้วย   ในประวัติศาสตร์บอกว่าท่านลี้ภัยไปอยู่ที่นั่นตอนกรุงศรีอยุธยาแตก 

จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า ตอนที่พระเจ้ากรุงธนบุรีไปครองเมืองตาก ทำไมท่านไม่ได้นำมารดาท่านขึ้นอยู่ที่เมืองตากด้วยหรือ ถ้าว่าท่านนำมารดาไปด้วย ตอนจะยกทัพไปช่วยกรุงศรีอยุธยา ทำไมท่านถึงเอามารดาท่านไว้เสียไกลถึงเพชรบุรี ก็ถ้าเมืองเพชรบุรีไม่ใช่บ้านเกิดของมารดาท่าน ญาติพี่น้องของท่านก็อยู่ที่นั่น ท่านจะอยู่อย่างไว้ใจได้หรือ ดูอย่างคราวสงครามโลกทุกคนที่หนีภัยสงครามจากเมืองหลวง ก็มักไปอยู่กับญาติที่ชนบท หรือถิ่นฐานที่มีคนรู้จักคุ้นเคยกัน ในประวัติศาสตร์รุ่นหลังก็ไม่เห็นเขียนว่ามารดาท่านพระเจ้ากรุงธนบุรีอยู่ที่เมืองเพชรบุรีนี่นา 

และต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าล้อมรอบเมือง พระเจ้าตากสินเป็นใครถึงได้รับการไว้วางใจให้คุมทหารปืนใหญ่ในการต่อสู้ในเขตพระราชฐาน ขนาดเป็นเจ้าเมืองบ้านนอกธรรมดาๆ เจ้าเมืองอื่นก็มี ขุนนางผู้ใหญ่ก็มี เชื้อพระวงศ์ก็มีทำไมไม่ใช้ให้ทำราชการ ยิ่งเมื่อคราวรวบรวมไพร่พลเพื่อกอบกู้เอกราช ถ้าขุนนางเก่าๆไม่ได้ข่าวระแคะระคายว่าพระองค์ท่านมีเชื้อสายเจ้า การยอมรับจะมีขึ้นอย่างรวดเร็วหรือ การเป็นพระมหากษัตริย์ในอดีตที่บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นแล้ว กษัตริย์องค์ต่อมามักมีเชื้อสายทางใดทางหนึ่งจากษัตริย์องค์เก่าทั้งนั้น เช่น พระเจ้าทรงธรรมก็เป็นโอรสองค์หนึ่งของพระเอกาทศรถ(บางแห่งบอกว่าเป็นพระโอรสของพระนเรศวร) พระเจ้าปราสาททองก็เป็นโอรสของพระเอกาทศรถ พระมหาธรรมราชาก็มีเชื้อสายกษัตริย์จากกรุงสุโขทัย พระเพทราชาจริงๆก็มีเชื้อสายเจ้าสุพรรณภูมิ เป็นต้น  

แม้แต่ราชวงศ์จักรี  ก็ยังมีผู้เสาะแสวงหาค้นคว้าหลายท่าน เช่น หลวงวิจิตรวาทการ เป็นต้น  จนเชื่อว่าต้นตระกูลสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาปาน  น้องพระเพทราชา  ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าแม่วัดดุสิต  ที่เป็นแม่นมของพระนารายณ์มหาราช   ซึ่งในสมัยพระเพทราชาขึ้นครองราชย์  ลูกหลานของเจ้าพระยาโกษาปาน ได้พากันอพยพไปอยู่ที่บ้านสะแกกรัง และอาศัยอยู่จนเหตุการณ์สงบลง ก็พากันอพยพกลับมาตั้งอยู่ที่บริเวณป้อมเพชรในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาแล้วเข้ารับราชการ  โดยนายทองด้วง ได้เป็น หลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี และนายบุญมา ได้เป็นนายสุดจินดา มหาดเล็กหุ้มแพ

ซึ่งอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็เขียนไว้หนังสือ โครงกระดูกในตู้ หน้า 18  ตอนหนึ่งว่า "แรกเริ่มเดิมที ท่าน (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ) เกิดมาในตระกูลขุนนางในกรุงศรีอยุธยา ตระกูลของท่านเป็นตระกูลขุนนางสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน  นับแต่เจ้าพระยาโกษาปาน นักรบและนักการทูต ผู้มีชื่อเสียงในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าพระยาโกศาปานเป็นบุตรเจ้าแม่วัดดุสิต  ซึ่งเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์ เจ้าแม่วัดดุสิตมีศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าในราชวงศ์พระมหาธรรมราชา  ซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่ราชวงศ์พระร่วงสุโขทัย"   

 

เหตุผลเหล่านี้  จึงทำให้ผมมีความเชื่อว่า  พระเจ้าตากสินมหาราช  เป็นพระโอรสของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พระมหากษัตริย์ยุคกรุงศรีอยุธยาแน่นอน   ไม่ใช่ลูกคนจีนเชื้อสายจีนดังที่พงศาวดารรุ่นหลังเขียนครับ 

หมายเลขบันทึก: 543655เขียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2013 09:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 กันยายน 2013 06:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

ขอบคุณครับ เรื่องราวประวัติศาสตร์

 

..... ขอบคุณเรื่อง ราวประวัติศาสตร์ดีดี นี้ค่ะ....

ขอบคุณค่ะ ที่กรุณาแบ่งปันค่ะ

ขอถามเรื่องหลวงทรงบาศ หรือ เจ้าพระบำเรอภูธร ได้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านคำหยาดใช่มั้ยครับ ที่เป็นกรมช้าง ม้า

ขอถามเรื่องหลวงทรงบาศ หรือ เจ้าพระบำเรอภูธร ได้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านคำหยาดใช่มั้ยครับ ที่เป็นกรมช้าง ม้า

ขอตอบ คุณ Nakasuan    ตำหนักคำหยาดไม่ใช่ของเจ้าพระยาบำเรอภูธรครับ   ท่านเจ้าพระยาและลูกๆหลาน  ยังอยู่ที่เมืองเพชรบุรีจนตลอดอายุขัย   (ตอนที่รัชกาลที่ 1 ไปรับ พระมารดาของพระเจ้าตากสิน  ท่านไปรับที่เมืองเพชรบุรีครับ)   ส่วนใครเป็นเจ้าของตำหนักคำหยาด  มีหลายกระแสสันนิษฐาน 

บางพวกก็ว่า  เป็นของเจ้านายที่หนีราชภัยไปอยู่สมัยพระนารายณ์   

บางพวกก็ว่าเป็นของพระเจ้าเสือไว้เป็นที่ประพาสและตกปลา  

บางพวกก็ว่าเป็นที่พระเจ้าแผ่นดินสร้างถวายพระภิกษุที่เป็นเจ้านาย (เจ้าฟ้าขุนหลวงหาวัด ?)

ซึ่งในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เจ้าอยู่หัวเสด็จทอดพระเนตรพระตำหนักคำหยาด คราวเสด็จประพาสต้น พ.ศ.2451 ได้เสด็จมายังโบราณสถานแห่งนี้และทรงมีพระราชวินิจฉัยดังปรากฏ ในพระราชหัตถเลขาอรรถาธิบาย เรื่อง เสด็จลำน้ำมะขามเฒ่าไว้ว่า เดิมทีทรงมีพระราชดำริว่า กรมขุนพรพินิต (ขุนหลวงหาวัด หรือ เจ้าฟ้าอุทุมพร) ทรงผนวชที่วัดโพธิ์ทองแล้วสร้างพระตำหนักแห่งนี้ขึ้นเพื่อจำพรรษาเนื่องจากมีชัยภูมิที่เหมาะสม ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นตัวพระตำหนักสร้างด้วยความประณีตสวยงามแล้วพระราชดำริเดิมก็เปลี่ยนไป ด้วยทรงเห็นว่า ไม่น่าที่ขุนหลวงหาวัดจะทรงมีความคิดใหญ่โต สร้างที่ประทับชั่วคราวหรือที่มั่นในการต่อสู้ให้ดูสวยงามเช่นนี้


 ดังนั้น จึงทรงสันนิษฐานว่า พระตำหนักนี้คงจะสร้างขึ้นตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เพื่อเป็นที่ประทับแรม เช่นเดียวกับที่พระเจ้าปราสาททองทรงสร้างที่ประทับไว้ที่บางปะอิน เนื่องจากมีพระราชนิยมเสด็จประพาสเมืองแถบนี้ ทั้งพระองค์ได้เสด็จพระนอนขุนอินทประมูลถึง 2 ครั้ง และขณะเดียวกันที่กรมขุนพรพินิต (ขุนหลวงหาวัด หรือ เจ้าฟ้าอุทุมพร พระราชโอรสองค์ที่ 3 ในพระเจ้าบรมโกศ กับกรมขุนพิพิธมนตรี) ผนวชอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์ก็ได้ทรงนำข้าราชบริพารกับพระภิกษุที่จงรักภักดีต่อพระองค์ เสด็จลงเรือพระที่นั่ง ออกจากพระนครศรีอยุธยามาจำพรรษาที่วัดโพธิ์ทองคำหยาด และประทับอยู่ที่พระตำหนักคำหยาดนี้เพื่อไปสมทบกับชาวบ้านบางระจันก็เป็นได้

จากการสันนิษฐานของผม  เนื่องจากตำหนักนี้อยู่กลางทุ่งนา   และเมื่อเวลาหน้าฝน  ย่อมเต็มไปด้วยสุดลูกหูลูกตา    จึงยากที่จะมีคนรู้ข่าวคราวได้ง่าย  ผมจึงคล้อยตามไปประเด็นที่ประทับของพระภิกษุเจ้านายตามแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ 5 ครับ

ขอโทษนะครับที่ตอบช้า  ไม่ได้เข้าเว็บนี้นานแล้วครับ  มัวติดธุระเรื่องอื่นอยู่

  • มีเหตุผลครับ ขอแก้เรื่องสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมกับสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเป็นพระโอรสของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ส่วนสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเป็นพระโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ จึงจะถูก สมัยนี้มีคนเชื่อแบบนี้มากยิ่งขึ้นครับ พระมารดาของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองคือสมเด็จพระมเหสีมณีจันทร์ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระมารดาของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมคือผู้หญิงชาวบ้านที่เกาะบางปะอิน (ที่ไม่ได้ชื่ออินด้วยซ้ำไป) ของสมเด็จพระเอกาทศรถ


ส่วนพระตำหนักคำหยาด เป็นของสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรครับ ที่สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์ ทรงสร้างไว้ให้พระอนุชา

พระบำเรอภูธร เป็นหลานสมเด็จพระเพทราชา เป็นคนเมืองวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง

มารดาของ พระองค์รัตนา พระองค์นกเอี้ยง พระองค์ขาว พระองค์พลับ ชื่อว่า ลูกจันทร์ เป็นผู้หญิงชาวบ้านสมอพลือ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เป็นคนนับถือศาสนาพราหมณ์ มีบรรพบุรุษอพยพมาจากประเทศอินเดียครับ

พระเจ้าตากสินมีพ่อเป็นคนจีน แสดงว่ากษัตย์สมัยโบราณไม่ใช่มนุษย์ทางเรา

พระเจ้าตากสินมีพ่อเป็นคนจีน แสดงว่ากษัตย์สมัยโบราณไม่ใช่มนุษย์ทางเรา จากภาพวาดร่วมสมัยของพระนารายณ์และเชื่อพระวงศ์อื่นๆ แสดงว่ากษัตรย์สมัยอยุธยาเป็นมนุษย์พันธ์คอเคเชียน ผมสีทอง นัยต์ตาสีฟ้า ไม่ใช่คนเอเซีย ซึ่งตรงกับบันทึกเขมรที่ว่า มีคนกลุ่มหนึ่งที่มารุกรานเขมรโบราณ ที่มีอวัยวะส่วนหนึ่งเป็นสีทอง พม่าสู้รับกับกษัตรย์อยุธยาที่มีผมสีทอง นัยส์ตาสีฟ้า ไม่ใช่หน้าตาแบบเรา เพียงแต่คนกลุ่มนี้ได้สูญหายไปจากโลกไม่เหลือเผ่าพันธ์แล้วเนื่องจากกษตรย์อยุธยาผมสีทอง นัยตาสีฟ้าถูกทหารพม่าสังหารฆ่าล้างเผาพันธ์ เมื่อสิ้นเชื้อสายคนกลุ่มนี้ จึงมีการย้ายเมืองหลวงจากอยุธยามาธนบุรี พระนเรศวรเป็นเรื่องเล่าจินตนาการของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งทึกทักไปเองว่ามีรูปกายเหมือนกับคนทางเรา ในเมื่อภาพวาดร่วมสมัยของพระนารายณ์แสดงว่ากษัตยร์ยอยุธยามีผมสีทองนัยตาสีฟ้า แสดงว่าพระนเรศวรมีรูปกายเป็นมนุษย์พันธ์คอเคเซีย ผมสีทองนัยตาสีฟ้า มนุษย์ทางเราถูกปกครองโดยคนต่างด้าวกลุ่มนี้รวม 400 ปี เราไม่ใช่คนไทย แต่เป็นเขมรกะมอญที่ถูกปกครองจนเรียกตัวเองใหม่ว่า ไท ไต หรือไทย ถึงเวลาที่สังคมปัจจุบันควรขุดพระศพกษัตย์อยุธยาเพื่อพิสูจนร์ว่าเป็นกลุ่มชาติพันธ์คอเคเซียนที่มีผมสีทอง นัยตาสีฟ้าตามภาพวาดร่วมสมัยที่เขียนขึ้นเมื่อ 300 ปีก่อนหรือไม่

แล้วพระเจ้าตากสินสวรรคตที่ใดครับ หลวงพ่อจรัญท่านเล่าว่า ที่ถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี ถ้ำแห่งนั้นอยู่ที่ไหนครับ

พ่อพระเจ้าตากสินเป็นคนจีนนั้นแหละ แต่ได้รับราชการเพราะจีนเป็นมหาอำนาจโลกโบราณที่ยิ่งใหญ่มาก

นางนกเอี้ยง ไม่ใช่สตรีตามท้องไร่ท้องนา  เป็นครอบครัวทหารใหญ่ของอยุธยา ใกล้ชิดกับกษัตรย์ไทยสมัยอยุธยา

ทำไมคนจีนตอนนั้นสามารถรับราชการในราชสำนักไทยสมัยอยุธยาหลายคน เพราะว่าจีนเป็นมหาอำนาจโลกโบราณ(ไม่ต่างจากอังกฤษ ฝรั่งเศสยุคอาณานิคมตะวันตก) ย่อมกำหนดชะตากรรมชาติอื่นๆ ในเอเซีย และมีบทบาททางการทหารแบบนี้ต่อชาติอื่นๆ ในเอเซ๊ยตะวันออกเฉียงใต้มาตลอดนับร้อยๆ ปีตั้งแต่ตั้งสุโขทัยจนถึงอยธุยาตอนปลาย พระเจ้าอู่ทองก็เป็นจีน(บางคนเชื่อกันว่าเป็นจีนแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์) เลยด้วย จีนโบราณได้ดินแดนเยอะแยะไปหมด 

 สมัยโบราณจีนมีเทคโนโลยีสูงสุดของโลก มีเรือเดินทะเลใหญ่สุด ขนาดฝรั่งยังกล่าวว่า จีนโบราณสามารถยึดยุโรปเป็นเมืองขึ้นแต่ไม่ทำ ซึ่งสมัยนั้นตรงกับสมัยอยธุยา

เพียงแต่ต่อมาฝรั่งเข้ามาเป็นใหญ่ในภายหลัง จนเราก็เลยลืมว่าจีนเคยยิ่งใหญ่แค่ไหน พอฝรั่งเป็นใหญ่ไทยก็เคยจ้างฝรั่งเป็นขุนนางหลายคน เพื่อเป็นที่ปรึกษาในการต่อรองกับชาติตะวันตก พ่อพระเจ้าตากสินที่เป็นคนจีนก็เข้ามาในราชสำนักไทยสมัยอยุธยาในลักษณะกันนี้

คำว่า "เจ็ก" ไม่ใช่คำที่ใช้ในสมัยอยุธยาด้วยซ้ำ แต่คำว่า เจ็ก เพิ่งมาเกิดขึ้นหลังจากอาณาจักรจีนโบราณล่มสลาย สมัยเรานี้แหละ ซึ่งเป็นสมัยที่มีคนจีนเข้ามาแบบกระจอกเป็นกูลีในภายหลัง 

พวกคนไทหรือไตในสิบสองปันนาของจีนปัจจุบันยังเขียนเล่าเป็นภาษาอังกฤษว่าเมื่อเจ็ดร้อยแปดร้อยปีที่แล้ว (สมัยตรั้งสุโขทัย) เขาใช้กำลังทหารตีเมืองมอญหรือเขมรทางตอนใต้ (คือดินแดนไทยในปัจจุบัน)  แล้วตั้งอาณาจักรไทต่างๆ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (ลานนา ล้านช้าง สุโขทัย แทนที่เขมร) พวกคนไทแม้เป็นศัตรูกับจีนก็จริงแต่ก็นับญาติกับจีน นักประวัติศาสตร์ไทยยังเคยบอกว่าพวกเราเรื่องจริงเป็นคนในเมืองเดิมมอญกะเขมร (ที่ต่อมาถูกเปลี่ยนสัญชาติให้เรียกตัวเองว่าไทตามผู้ปกครองไทคนใหม่ที่รบชนะเขมร) วัฒนธรรมคนเหนือของไทยมีหลายอย่างคล้ายๆ จีนไม่ใช่อินเดียด้วย เสื้อผ้าเหนือเหมือนกี่เพ้าจีนไหมล่ะ

ก่อนยุคอาณานิคมฝรั่ง จีนเป็นมหาอำนาจโลกเบอร์หนึ่ง พระเจ้าตากสินยังต้องขอร้องให้จีนเข้ามาช่วยกองทัพไทยในการรับกับพม่า จีนโบราณไม่เหมือนจีนในปัจจุบัน

สมัยรัชกาลที่ 5 ก็เคยจ้างคนจีนรับราชการเป็นพระประเพณีเหมือนกัน (ตอนยุคอาณานิคม) ตามแบบราชสำนักอยุธยา ไม่แปลกหรอกสมัยอยุธยาคนจีนจึงเข้ามาราชการกันเยอะยิ่งกว่าสมัยรัตนโกสินทร์เสียอีก เพราะตอนนั้นจีนโบราณใหญ่ที่สุดที่สุดของโลก




พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท