ได้อ่านหนังสือ “ชีวิตและงาน
จรูญ เอกอินทร์”
อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ
ที่เป็นศึกษานิเทศก์ทั้งกรมสามัญศึกษา และสปช.ในยุคบุกเบิก มีศึกษานิเทศก์รุ่นเก่าๆหลายคนเขียนเล่าเหตุการณ์การนิเทศในช่วงนั้น
ก็เลยอยากเก็บนำมาเล่าต่อ
อาจารย์กมล ดิฐกมล อดีตหัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์
และรองอธิบดีกรมสามัญศึกษา ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการนิเทศการศึกษา เมื่อ พ.ศ.
2500 ไว้ในหนังสือเล่มนี้ ความตอนหนึ่งว่า
“
...สมัยนั้นศึกษานิเทศก์เป็นกำลังสำคัญของกรมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
การนิเทศโรงเรียนและการอบรมครูประจำการเป็นภารกิจหลัก
เพราะครูโรงเรียนประถมศึกษาโดยส่วนรวมยังมีคุณวุฒิต่ำ
สถาบันฝึกหัดครูที่สอนถึงระดับปริญญายังไม่มี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ประสานมิตร ซึ่งพัฒนามาจากวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นราว
พ.ศ.2495
ดังนั้นครูประจำการของกรมสามัญศึกษาทั่วประเทศจึงมีวุฒิระดับประโยคครูประถมศึกษา(ป.ป.)เป็นส่วนใหญ่
วุฒิ ป.ม.มีเป็นส่วนน้อย วุฒิปริญญานั้นเกือบจะไม่มีเลย
การนิเทศโรงเรียนและการอบรมครูประจำการในครั้งนั้นจึงมีความสำคัญและความจำเป็นมาก
อาจกล่าวได้ว่าสถานภาพของโรงเรียนประถมศึกษาที่พัฒนามาถึงระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
มีพื้นฐานส่วนหนึ่งมาจากผลงานทางด้านการนิเทศการศึกษาในยุคแรก
หัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์
กรมสามัญศึกษาท่านแรก(ที่ดูแลการนิเทศโรงเรียนประถมศึกษา)คือ ดร.สาย ภานุรัตน์
ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของการนิเทศการศึกษา
ท่านเป็นทั้งผู้บังคับบัญชาและเป็นเสมือนครูอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้
ทางด้านนิเทศการศึกษาให้แก่คณะศึกษานิเทศก์...”
ในช่วงเวลานั้นได้มีโครงการใหญ่โครงการหนึ่งคือ โครงการกรุงเทพ-ธนบุรี
ซึ่งเป็นโครงการที่ปรับปรุงโรงเรียนประถมศึกษา
โดยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เรามีโครงการปรับปรุงการประถมศึกษาโครงการแรกคือโครงการฉะเชิงเทรา เริ่มเมื่อ พ.ศ.2497
ในระยะแรกๆมีโรงเรียนประถมศึกษาต่างๆไปศึกษาดูงานเป็นประจำ ทำให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดยคณะกรรมการดำเนินงานปรับปรุงการประถมศึกษา จึงกำหนดให้มีโครงการกรุงเทพ-ธนบุรี
ขึ้นอีกโครงการหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2500
โครงการกรุงเทพ-ธนบุรี
มีแนวทางในการปรับปรุง 3 ประการคือ
1.การปรับปรุงบริเวณอาคารสถานที่ คือโรงเรียนมีรั้วรอบขอบชิด
มีไม้ดอกไม้ประดับและไม้ยืนต้นรอบรั้วโรงเรียน
เพื่อให้เกิดบรรยากาศด้านกายภาพที่สะอาด สดชื่น ร่มรื่น สวยงาม น่าอยู่น่าเรียน
2.การปรับปรุงด้านพลานามัย โดยให้มีการฟื้นฟูปรับปรุงวิชาในหมวดพลานามัย 2
วิชา คือ พลศึกษา กำหนดให้มีการเรียนการสอนทุกวันวันละครึ่งชั่วโมง
ให้มีการแข่งขันกีฬาสีในโรงเรียนด้วย
และสุขศึกษา ให้มีการตรวจสุขภาพเป็นประจำ ตัดเล็บ ตัดผม การแต่งกาย
เน้นเรื่องอนามัยนักเรียน แก้วน้ำดื่มต้องสะอาด ถูกสุขลักษณะ
ตลอดจนกิริยามารยาทต้องสะอาดเรียบร้อย
3.การปรับปรุงอุปกรณ์การสอนและวิธีสอน โรงเรียนในโครงการดังกล่าวจะจัดทำอุปกรณ์การเรียนการสอนไว้มากมาย ซึ่งเรื่องนี้เกิดปัญหาในภายหลังคือ
ครูไม่ได้นำอุปกณ์การสอนออกมาใช้ จะเก็บไว้ในตู้บ้าง แขวนไว้บ้าง
นำมาประดับไว้ในห้องเรียนบ้าง เช่น อุปกรณ์วัดสายตา ครูจะนำมาติดไว้ประจำห้องเรียน
ทำให้ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการตรวจวัดสายตา
เนื่องจากนักเรียนจะจำตัวอักษรในการวัดสายตาได้หมดหรือเกือบหมด
สมัยนั้นโรงเรียนประถมศึกษาทั้งหมดรวมโรงเรียนที่โอนไปให้โรงเรียนเทศบาลด้วย
จะสังกัดกองการประถมศึกษา กรมสามัญศึกษา เรื่องนี้อาจารย์จรูญ เอกอินทร์
ซึ่งเป็นศึกษานิเทศก์ใหม่ๆในขณะนั้น รับผิดชอบการสอนวิชาพลศึกษาในโรงเรียนโครงการกรุงเทพ-ธนบุรีได้เล่าไว้ตอนหนึ่งว่า
“...จำนวนโรงเรียนในโครงการกรุงเทพ-ธนบุรี
มีจำนวนเท่าใดจำไม่ได้ แต่ในสายที่ ดร.สาย ภานุรัตน์
ส่งให้ไปปฏิบัติงาน(ไปสอนประจำ)มีหัวหน้าสายชื่อ นายสมาน แสงมลิ
อาจารย์ใหญ่โรงเรียนวัดนิมมานนรดี
ซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปสอนพลศึกษาประจำอยู่ 5 โรงคือ
โรงเรียนวัดนิมมานนรดี
โรงเรียนวัดทองศาลางาม โรงเรียนวัดหนัง โรงเรียนมงคลวนาราม และโรงเรียนคฤหบดี
...สอนประมาณ 1 ปี นับเป็นประสบการณ์ที่ปูพื้นฐานการเป็นศึกษานิเทศก์ได้อย่างดี..”
ศึกษานิเทศก์ในสมัยนั้นต้องปฏิบัติงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ในส่วนภูมิภาคได้มีการแบ่งการนิเทศเป็นสายๆตามภาคการศึกษา(ต่อมาเรียกเขตการศึกษา)ทั้ง
12 ภาคการศึกษาทั่วประเทศ
ผมได้เขียนบทกลอนไว้ในหนังสือ
“สี่ปีที่เรือนราชมนู” ที่อาจารย์นิรันดร์
นวมารค ศึกษานิเทศก์รุ่นแรกๆได้แต่งเอาไว้บทหนึ่ง
แม้จะเป็นการเขียนเพื่อความคึกครื้นสนุกสนาน
แต่ก็สะท้อนให้เห็นชีวิตการทำงานของศึกษานิเทศก์ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
“เป็นศึกษานิเทศก์พิเศษแสน ต้องวางแผนงานเฉพาะให้เหมาะสม
ทั้งภาคต้นภาคปลายหมายนิยม ให้ครูชมว่าเขาได้อะไรดี
ถึงหน้าร้อนเราเลี่ยงไปเชียงใหม่ หนาวลงใต้ไปยะลาว่าเต็มที่
ไปอุดร อุบล ยลธานี ตามที่มีกำลังตั้งงบมา
นอนรถไฟไปสบายก็หลายหน ไปรถยนต์ตู้โอ่ โตโยต้า
ถ้าแค่เพชร ประจวบ
รวบเวลา ใช้รถยนต์หลายคราพากันจร
ได้ไปชมชนบทแสนสดสวย ได้ไปช่วยเพื่อนครูรู้ทางสอน
ได้นำเอาปัญหามาว่าวอน ให้กรมร้อนใจช่วยด้วยใจจริง”
จะเห็นได้ว่าการทำงานของศึกษานิเทศก์แต่ไหนแต่ไรมา
ล้วนทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงนโยบายของกรมไปสู่การปฏิบัติที่โรงเรียน โดยมีแผน โครงการเป็นตัวนำ
ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่ก็มีการอบรม ผลิตสื่อ
วิจัย และนิเทศติดตามผล แล้วก็สรุปรายงานกรม ซึ่งก็เหมาะกับบริบทในยุคนั้นๆ ที่มีความจำกัดของจำนวนศึกษานิเทศก์
การตั้งศึกษานิเทศก์สมัยนั้นต้องมีการสรรหาและคัดเลือกคนมาเป็นศึกษานิเทศก์จากครูที่เก่งและมีจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างแท้จริง
โดยต้องผ่านการฝึกอบรมศึกษานิเทศก์ใหม่อย่างเข้มข้น ระยะแรกอบรมถึง 45 วัน
และต่อมาเมื่อจำนวนคนเข้ามาเป็นศึกษานิเทศก์มีมากขึ้นจึงลดจำนวนวันลงมา
อย่างเช่นในรุ่นของผมต้องผ่านหลักสูตรฝึกอบรม 23 วัน โดยต้องไปฝึกงานการนิเทศการศึกษาที่สถานศึกษาด้วย
และจะมีอาจารย์พี่เลี้ยงคอยดูแลให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
ศึกษานิเทศก์ในยุคนั้นๆจึงได้รับการยอมรับศรัทธาจากโรงเรียนอย่างมาก
และสามารถสอนแนะ(coaching)ครูได้อย่างเต็มที่
---------------------------------------
อยากให้ศึกษานิเทศก์แบบนี้กลับมาค่ะ
คิดถึงท่านศน ธเนศด้วยครับ
จากบุญถึง
ศน.ปัจจุบัน ป.โท. ป.เอก แต่ความรู้ไม่แน่น มีช่องว่างเรื่องประสบการณ์และขาดทักษะการสื่อสาร ที่จำเป็น จึงพบว่า จะมีปัญหากับครูที่โรงเรียนต่างๆอยู่บ่อยครั้ง.. แล้วยิ่ง สพฐ.เรียกประชุมอบรมบ่อยๆ โอกาสที่จะได้พัฒนาตนเอง ผมเชื่อว่าจะน้อยลง จะทำงานใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น