ถอยหลังใช่ว่าจะทุกข์


                 

ผู้เขียน หวงถง/วังไฉ่ฉิง
ผู้แปล ชงเย่
พิมพ์ครั้งที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๑๕๕๖ สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ จำกัด 

          ครูนกหยิบเล่มนี้เพราะปกหลังที่เขียนไว้ว่า "ที่จริงชีวิตไม่ควรมีแต่ค่านิยมเรื่อง ความสำเร็จ เพียงอย่างเดียว ยังควรรวมถึง การรู้จักพอ  และ ความสุข ด้วย  หากชีวิตคนเราเป็นรถยนต์ คนที่ต้องการแต่ความสำเร็จโดยไม่ยอมเตรียมรับความล้มเหลว  ก็เหมือนรถที่ได้แต่พุ่งไปข้างหน้า  สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ไม่ได้มีแค่การเหยียบคันเร่ง แต่ต้องรู้จักเหยียบเบรกและเข้าเกียร์ถอยหลังด้วย นั่นคือที่มาของหนังสือ "ถอยหลัง ใช่ว่า ทุกข์"

          จากข้อความข้างต้นหากทบทวนตั้งแต่ในครอบครัว ที่ทำงาน  การใช้ชีวิตในสังคมและการสอนนักเรียนในห้องเรียนเหมือนกับการขับรถอย่างมีศาสตร์ มีเร่ง  มีเบรก และเข้าเกียร์ถอยหลัง ทั้งนี้เพื่อหาความสุขให้เจอพร้อมๆ กับคำว่า รู้จักพอจริงๆ
          ในคำนำของผู้แต่งกล่าวถึง คำเล่าลือว่าบนโลกนี้มี
"นกสีน้ำเงินแห่งความสุข"  หลายคนพยายามวิ่งตามหานกสีน้ำเงิน แต่กลับไม่พบเบาะแสใดๆเลย  แต่อาจจะอยู่ที่บ้านของเราแล้วก็ได้  ครูนกคิดว่าเรื่องนี้อยู่ที่มุมมองและการปรับใจ และสิ่งที่เราเลือกยึดถือ "สิ่งที่คุณกำแน่นอยู่ในมือคือนกสีน้ำเงินหรือว่างูพิษ
          หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็น ๔ ตอน เริ่มจาก
         
ตอนที่ ๑ รู้จักหยุด จึงจะพบเส้นทางแห่งความสุข  ครูนกประทับใจเรื่องรถบัสจะสายหรือเปล่า เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มซึ่งเป็นพนักงานดีเด่นขงอบริษัทเตรียมเดินทางไปพบลูกค้าเมืองข้างๆ โดยใช้รถบัส ตลอดระยะเวลาที่นั่งบนรถบัสเขาเป็นกังวลว่ารถบัสจะไปถึงที่หมายช้ากว่ากำหนด  กังวลจนทำให้หมดความรื่นรมย์กับสิ่งรอบตัวทำให้เกิดโรคขาดความสุขมากมาย  สะท้อนมาที่ตนเองเลยว่า การขับรถไปทำงานในตอนเช้า บางวันจะกังวลกับการถึงโรงเรียน  กังวลว่าถ้าสายจะหาที่จอดรถลำบาก  วันใดที่สติเท่าทันใจก็จะควบคุมให้ฟังเพลง ฟังข่าว  นั่งมองวิถีชีวิตของคนไปรับส่งลูกในตอนเช้าแบบหลากหลายรูปแบบ พบเลยว่า การไม่กดดันตนเองน่าจะรื่นรมย์ว่า
         
ตอนที่ ๒  หากไม่อาจเป็นดวงอาทิตย์ ก็จงเป็นดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดสิ ชอบเรื่อง "ผีเสื้อที่ไม่สามารถออกมาจากดักแด้"  เป็นเรื่องราวของเด็กผู้ชายที่พยายามช่วยผีเสื้อให้ออกมาจากรังดักแด้ด้วยคิดว่า ผีเสื้อไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จึงใช้กรรไกรตัดรังดักแด้  ปรากฏว่าผีเสื้อสามารถออกมาจากรังได้อย่างรวดเร็ว และลักษณะปีกของมันจะเล็กและแบน ไม่นานเจ้าผีเสื้อตัวนี้ก็ตาย เด็กน้อยเสียใจวิ่งไปหาครู ครูเลยบอกว่า รังดักแด้เป็นผลงานการออกแบบที่ชาญฉลาดของธรรมชาติที่ผีเสื้อจะต้องมุดออกมาจากรังดักแด้ด้วยความยากลำบากทำให้ของเหลวในร่างกายจะเข้าไปสู่ปีกอย่างช้าๆ เมื่อผ่านขั้นตอนดังกล่าวจึงกางปีกโผบินได้  ทำให้ครูนกคิดว่า อะไรที่ครูนกคิดว่า ทำลำบากจัง  ยากจัง ใช้เวลานานจัง หรืองานเยอะมากแต่ไม่มีใครมาช่วยเหลือ  เป็นการฝึกตนอีกวิธีการหนึ่ง  วันหนึ่งจะได้กางปีกแห่งความเชื่อมั่นในการพึ่งพาและดูแลตนเองได้
     
 ตอนที่ ๓ ชีวิตที่ไม่หลงใหลในลาภยศคือ หมอนที่ดีที่สุดของมนุษย์  ชื่นชอบในเรื่องแม่ผู้รักลูกอย่างสุดหัวใจไม่ได้  เป็นเรื่องของแม่ที่เลี่้ยงดูเด็กผู้หญิงซึ่งประสบอุบัติเหตุจนพิการคือสูญเสียมือขวา และเท้าซ้ายไป แต่เธอชอบเล่นไวโอลินโดยใช้เท้าขวาสีไวโอลิน จนกลายเป็นนักไวโอลินอายุน้อยที่มีชื่อเสียง วันหนึ่งนักข่าวถามแม่เธอว่า "จากอุปสรรคทางร่างกายของลูกสาวคุณ แต่สามารถประสบความสำเร็จได้ในวันนี้ต้องลำบากมากแน่ๆ คุณต้องทุ่มเทแรงกายมากมายเพื่อช่วยเหลือเธออย่างแน่นอน" แต่คำตอบของคนเป็นแม่บอกว่า การช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันคือการไม่ช่วยเหลือลูกเลย ฉันแค่บังคับตนเองไม่ให้รักลูกมากก็พอแล้ว   ทำให้คิดถึงผู้ปกครองของเด็กบางคนที่ครูนกรู้จักที่จะดูแลลูก  กังวลและคิดแทนลูก จนทำให้เด็กๆ ขาดทักษะชีวิต ทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่น  หากรักให้ถูกทางคงจะดีกว่านี้
       ตอนสุดท้าย
ความสุขคือบันได ต้องใช้สองมือไขว้คว้าจึงจะปีนขึ้นไปได้   ประทับใจในเรื่องชายซึ่งเป็นพนักงานทำงความสะอาดมาทำงานโดยใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง รวมวันหนึ่งก็สามชั่วโมงทำให้เจ้านายสอบถามว่าทำไมไม่นั่งรถด่วนจะได้ประหยัดเวลาเดินทางและมีเวลาทำงาานมากขึ้น  ชายคนดังกล่าวคิดว่า แบบที่เขาทำคุ้มกว่า  เจ้านายได้ออกความเห็นว่า ที่พนักงานทำงานความสะอาดคิดแบบนี้จึงเป็นได้แค่พนักงานทำความสะอาด  พนักงานทำความสะอาดได้ชวนเจ้านายทดลองนั่งรถไฟท้องถิ่นที่เปิดหน้าต่างหมด ทำให้ได้มองเห็นทิวทัศน์ เสียงนกเสียงธรรมชาติ ความงดงามของทิวทัศน์ตลอดเส้นทาง ทำให้เจ้านายดื่มด่ำกับสิ่งที่เห็น  พนักงานทำความสะอาดถามกลับว่า "ท่านยังคิดอยู่ไหมครับว่าผมจำเป็นต้องนั่งรถด่วนโดยเฉพาะ เพื่อหาเงินเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมง แต่กลับพลาดวิวสวยๆ เหล่านี้"  คงต้องบอกว่า สุขใครก็สุขของคนนั้น เราไม่จำเป็นและไม่มีสิทธิ์เลือกหนทางในการดำรงชีวิตให้ผู้อื่น เพราะชีวิตแต่ละคนต่างดำเนินไปด้วยตนเอง
      อ่านจบแล้วก็ใจร่มๆ ดีค่ะ 

หมายเลขบันทึก: 541671เขียนเมื่อ 7 กรกฎาคม 2013 15:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 ตุลาคม 2013 21:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ความพอดีและการฝืนความอยากของตน หรือคือการเอาชนะกิเลสตัวเองให้ได้ น่าประทับใจมากค่ะ คุณแม่ที่ห้ามความอยากดูแลเอาใจใส่ลูก ให้ลูกช่วยเหลือและพึ่งตนเอง ต้องใช้ความพยายามหักห้ามจิตใจสูงทีเดียว

ข้อคิดดี ๆ ที่ควรค่าแก่การอ่านและนำมาปฏิบัติ ให้เด็กอ่านกันและนำไปปฏิบัติ จะสร้างผู้ใหญ่ที่น่าเคารพรักอีกมากมายค่ะ ขอบคุณสำหรับคุณค่าที่แบ่งปันค่ะ

ขอบคุณค่ะ อาจารย์Sila Phu-Chaya
  • ที่มาเติมเต็มทางความคิดในการสอนเด็กๆ
  • คนเราถ้าชนะกิเลสได้ก็ถือว่าประเสริฐแล้วค่ะ

ความสุขสร้างเองได้ แต่ต้องใช้ความอดทน

ขอบคุณนะครับโดนใจจริงๆ ความสุขคือบันได ต้องใช้สองมือไขว้คว้าจึงจะปีนขึ้นไปได้

พี่นกเป็นหนังสือที่น่าอ่านมากๆ

สวัสดีค่ะ คุณkunrapee

ใช่เลยค่ะที่จะบอกว่า "ความอดทน" นำมาซึ่งความสุข และอีกหลายๆ อย่าง

สวัสดีค่ะ น้องลูกหมูเต้นระบำ

อ่านประโยคนี้ "ความสุขคือบันได ต้องใช้สองมือไขว้คว้า" ทำให้ครูนกคิดถึงเพลงสุดแต่ใจจะไขว้คว้า (ไม่เกี่ยวกันเลยนะเนี่ย)

สวัสดีค่ะ น้องอาจารย์ขจิต ฝอยทอง
  • เป็นหนังสือน่าอ่านอีกเล่มหนึ่งค่ะ
  • ใครๆ จะเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้ออะไรก็ตามพี่นกได้หนังสือกลับออกมาแทบทุกครั้ง

ครูนกสรุปความมาเล่าได้เก่งมากค่ะ อย่างนี้น่าเอามาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับเด็กๆมัธยมด้วยน่าจะดีนะคะ ทำให้พวกเขาได้คิดกันแต่เนิ่นๆ ไม่มัวแต่วิ่งตามกระแสสังคมกันไปหมด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท