Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

ตอน ๑๑ ผจญภัยในป่าลึกและผีบังบด


อีกสองวันต่อมา พระภิกษุหนุ่มก็เดินทางต่อกลับไปยังป่าคอนพระเพ็ญ ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 3 กิโลเมตร เมื่อย้ายมาปักกลดใหม่ ก็ต้องอธิษฐานปักกลดใหม่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

ขณะที่กำลังเดิน รอบต้นไม้เพื่อพิจารณาว่าจะปักกลดได้หรือไม่ได้นั้น ก็มีเสียงพูดดังขึ้นว่า ที่นี้เป็นบ้านเป็นที่อยู่ของพวกผม พระภิกษุหนุ่มจึงมองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบใคร พอเดินสำรวจต่ออีก ก็มีเสียงดังขึ้นอีกว่า ที่นี้เป็นบ้านของพวกข้าพเจ้าเอง เสียงดังขึ้นมาอย่างนี้สองถึง สามครั้ง

พระ ภิกษุหนุ่มก็ยุติการปักกลดใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น จึงเดินหาที่ใหม่ที่ไม่มีเจ้าของอยู่ ทั้งมนุษย์ อมนุษย์ และสัตว์ อีกทั้งลูกไม้ที่อยู่บนต้นไม้ ซึ่งจะมีสัตว์มากินลูกไม้ เช่น นกมากินลูกไม้ เมื่อนกมากินลูกไม้ งูที่หาอาหารก็จะมากินนกอยู่บนต้นไม้ นกและงูก็จะตกลงจากต้นไม้ลงมาข้างล่างหรือมาถูกกลด หรือขณะเดินจงกรมอยู่ งูก็จะฉกเอาได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อชีวิต

พระภิกษุที่ออกเดินธุดงค์ก็จะต้องศึกษาหาความรู้ในการเดินธุดงค์กับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์อีกทั้งศึกษาธรรมชาติของป่า สัตว์ที่อยู่ในป่าเสียก่อน เพราะความหิวของสัตว์อาจจะทำอันตรายได้ถึงชีวิต แม้แต่สุนัขที่เราเลี้ยงเวลามันแย่งอาหารกันกิน ถึงกับกัดเจ้าของก็มีมามากแล้ว สิ่งอันตรายที่ไม่ควรไปขัดขวางมีดังนี้

หนึ่งสัตว์กำลังจะเสพกาม

สองสัตว์กำลังต่อสู้กัน

สามสัตว์กำลังหิว

สี่สัตว์กำลังหวงเจ้าของ อันตรายต่อเจ้าของได้และอันตรายต่อบุคคลที่อยู่ใกล้ จำเป็นต้องหนีให้ไกล

แต่เพิ่มมนุษย์อีก คือ ผู้สูญเสียผลประโยชน์ ผู้สูญเสียหน้า ผู้สูญเสียเมียผัว ผู้สูญเสียตำแหน่ง สามารถทำอันตรายผู้อื่นถึงชีวิตได้

ดังนั้นทุกชีวิตทุกคนจึงต้องระวัง อย่าขาดสติสัมปชัญญะ ในการดำรงชีวิต

ดังนั้นการปักกลดจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ใช่ว่าจะปักกลดที่ไหนก็ได้

ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร พระภิกษุหนุ่มยึดแม่น้ำโขงเป็นหลักในการเดินทาง เมื่อเดินทางออกจากถ้ำน้ำตกตาดฟาง ก็เดินทางมายังเมืองปากช่อง ซึ่งเป็นเมืองที่หนาวอากาศเย็นตลอดทั้งปี เหมือนดอยอินทนนของเมืองไทยเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน หลังจากปักกลดได้เพียง 7 วัน ก็ต้องเดินทางต่อ เพราะฝนตกตลอดทั้งวัน ทุกวัน

เมืองปากช่องเป็นเมืองเกษตรเพาะปลูก โดยเฉพาะกาแฟ กระต่ายกับงูใหญ่จะมีมาก ถือว่าเป็นป่าชื้น เมืองปากช่องนี้อุดมสมบรูณ์ไปด้วยสัตว์ป่าทุกชนิดและมีต้นไม้นานาพันธุ์ ในเขตฝนตกชุกนั้นจะปักกลดที่ไหน ก็จะมีงูมีตะขาบมาอาศัยอยู่ด้วยเป็นประจำ

มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่พระภิกษุหนุ่มเดินจงกรมเสร็จแล้วก่อนที่จะมานั่งเจริญ ภาวนา เปิดกลดเข้าไปปรากฏว่ามีเพื่อนที่ไม่ได้รับเชิญ มาจับจองพื้นที่เสียก่อนแล้ว ลำตัวสีขาวยาวประมาณสักห้าเมตรเห็นจะได้เพราะขดตัวสามชั้นเหมือนว่าจะไม่หนี ไปไหน พระภิกษุหนุ่มเห็นแล้วก็ค่อย ๆ ถอยออกมายืนห่างประมาณสักสองสามวา แล้วแผ่เมตตาให้ แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็เลื้อยออกไป ลำตัวใหญ่ประมาณเท่าคนที่มีน้ำหนักประมาณ 60 กิโลกรัม เขาค่อยๆ เลื้อยอย่างเชื่องช้าๆ เสมือนว่า เสียดายที่จะต้องจากไป แต่ก่อนที่จะเลื้อยออกไปก็ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงเลยทีเดียว

เมื่อออกจากเมืองปากช่องก็ต้องเดินทางเรียบแม่น้ำโขง เพราะป่าหนาทึบมาก เดินได้ 2 วันก็พ้นเขตฝนตกชุก พอตกมายามราตรีสงบสงัด เวลาประมาณเที่ยงคืน

พระภิกษุหนุ่มก็สังเกตเห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นจากพุ่มไม้สูงประมาณสามเมตรกว่า แล้วค่อยๆ เคลื่อนไปเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ ลงไปทางริมแม่น้ำโขง เหมือนกับผีโขมด บางทีก็คล้ายกับผีกระสือ บางทีก็มีเสียงร้องเหมือนนกตะปุด นกฮูก นกเค้าแมว ที่แผดเสียงร้องในยามค่ำคืน แต่จริงๆแล้วลักษณะตัวเหมือนกระสือ คนชาวเหนือ คนอีสานจะเห็นบ่อย ๆ บางครั้งจะมีเสียงร้องเพลงอย่างโหยหวนครวญคราญเย็นยะเยือกจับใจ อีกทั้งยังมีแสงไฟพุ่งขึ้นเป็นระยะๆ ยามค่ำคืนราตรี ในป่าเขาดงดิบที่ปราศจากผู้คนนี้ยังมีสัตว์ที่เป็นอันตรายอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหมีควาย หรือเสือโคร่งตัวใหญ่ที่ออกไล่ล่าฆ่าสัตว์เป็นอาหาร ส่วนงูนั้นก็ตัวใหญ่เกินจะคาดเดา ออกเดินสวนสนามกันเป็นว่าเล่น

แต่พระภิกษุหนุ่มก็ทำสมาธิเจริญสติอยู่ตลอดเวลาไม่ขาด นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พึงกระทำได้ในป่าที่มืดมิดและอันตรายเช่นนี้ ซึ่งแม้ในเวลากลางวันยังไม่สามารถจะมองทะลุผ่านต้นไม้ไปได้ไกลถึงสิบเมตรเลย เพราะต้นไม้ขึ้นทึบหนามาก อากาศชื้นตลอดฤดู แสงแดดไม่สามารถจะส่องทะลุลงถึงพื้นได้นั่นเพราะใบไม้แน่นหนามาก พระภิกษุหนุ่มเร่งเดินทางเพื่อจะออกจากแดนอากาศหนาวเหน็บ ผ่านมาหลายค่ำคืน พอมาถึงเส้นทางที่จะเดินออกจากป่าที่หนาไปยังถ้ำผีกองกอย ไปยังถ้ำเอราวันอันเป็นเขตรอยต่อ

ขณะที่พระภิกษุหนุ่มกำลังครุ่นคิดว่าจะเข้าไปอยู่ในถ้ำเอราวันนั้นดีไหม สายตาของพระภิกษุหนุ่มได้มองไปเห็น สามีภรรยาคู่หนึ่งกำลังลำเลียงไม้ไผ่ เอาไปสร้างบ้าน แต่พระภิกษุหนุ่มนั้นก็สังเกตเห็นว่า สามีภรรยาคู่นี้พูดน้อยเกินไป เวลาพระภิกษุหนุ่มถามถึงเส้นทาง จะไม่พูดแต่ใช้มือชี้ไป โดยที่ตาไม่มองตามทางที่ชี้บอก พระภิกษุหนุ่มมองหน้าสองสามีภรรยาพร้อมกับแผ่เมตตาในจิต ส่งให้ด้วยความสงสารและเมตตา สองสามีภรรยานั้นกับบอกลาว่าจะกลับบ้านแล้วพระภิกษุหนุ่มจึงถามว่าบ้าน โยมอยู่ที่ไหน ทั้งสองชี้ไปทางภูเขาใหญ่อันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรัก อันเป็นเทือกเขาที่ติดต่อกันเป็นเทือกเขายาวใหญ่ ทั้งสามออกเดินไปด้วยกัน

พระภิกษุหนุ่มรับรู้ถึงความไม่ปกติของสองสามีภรรยาว่ามีเรื่องที่ปิดบัง อำพรางอยู่ในใจ ขณะที่เดินมาใกล้เงื้อมเขา สองสามีภรรยาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พระภิกษุหนุ่มนั้นคอยสังเกตตลอดเวลาตั้งแต่แรกพบ เพราะเคยได้ยินมาว่าในถิ่นนี้ เขตเทือกเขาที่ติดกับแม่น้ำโขงมีสิ่งลึกลับ มหัศจรรย์อยู่มากมาย ที่คนเราทั่วไปไม่เคยได้พบเห็น

ลักษณะนี้เขาเรียกว่าผีบังบด เวลาสนทนาก็ไม่สบตา ไม่มองคู่สนทนาด้วย ตาจะมองต่ำเสมอ เสื้อผ้าที่สวมใส่จะไม่มีสีฉูดฉาดหรือสดใส ดินแดนที่อยู่มักมีแสงแดดน้อย หรือเวลาพวกเหล่านี้ออกมามักจะเป็นเวลาที่ไม่มีแดดและเป็นบางเวลาเท่านั้น

ถ้ามีผีบังบดออกมา จะมีเสียงนกร้องเตือนให้เห็น เหมือนบรรยากาศจะสลัว ๆ มืดไม่สว่าง หากผู้ใดถูกผีบังบดเรียกจิตหรือสูบวิญญาณ ก็จะซูบผอม เหลืองไม่มองหน้าคนที่คุ้นเคย ไม่ชอบแสงสว่าง

ต่างจากพวกลับแลที่มักจะไม่ออกมาให้ผู้คนเห็นง่าย ๆ แต่จะอาศัยอยู่บริเวณหน้าผาที่ไม่มีต้นไม้ปกคลุมมากนัก หรือไม่มีต้นไม้ขึ้นและมักจะอยู่ในถ้ำเสียส่วนใหญ่

ซึ่งพระภิกษุหนุ่มได้เคยถูกบังบดหลอกให้หลงทางมาแล้ว เพื่อจะเอาไว้เป็นสมาชิกหรือบริวารนั่นเอง และติดอยู่ในในป่าแถบน้ำตกตาดฟางออกไปไหนไม่ได้ ไม่เห็นหนทางเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ

เดินไปที่ไหนก็วนกลับมาที่เดิมตลอดทั้งวัน มองไปข้างหน้าก็เหมือนมีควันไฟหรือเมฆหมอกปกคลุมอยู่ตลอดเวลา แต่พระภิกษุหนุ่มก็เจริญสติอยู่อย่างต่อเนื่องไม่ประมาท จึงสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของฝ่ายตรงข้ามทุกครั้ง

เมื่อพระภิกษุหนุ่มเดินทางออกจากดินแดนบังบดยังไม่ได้เวลามืดค่ำก่อนก็ต้อง หาที่ปักกลดก่อนที่จะดึก

เพราะไม่สามารถจะทราบความเคลื่อนอยู่รอบ ๆ ตัวได้ พอปักกลดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ทำทางเดินจงกรมเล็กน้อย พอได้เวลาประมาณสี่ทุ่มกว่า พระภิกษุหนุ่มก็เข้าไปนั่งภาวนาในอยู่ในกลด ขณะที่นั่งภาวนาก็มีเสียงเหมือนสัตว์เดินวนเวียนอยู่รอบ ๆ บริเวณที่ขีดเขตไว้รอบกลดเป็นการบ่งบอกว่าห้ามสิ่งที่ไม่ดี อันไม่ใช่คนเข้ามาได้ พระภิกษุหนุ่มนั่งภาวนาไม่สนใจอะไร เสียงเดินรอบกลดก็หายไป

แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก แต่เป็นเสียงคนพูดคุยกัน พระภิกษุหนุ่มนั้นเข้าสมาธิอย่างสงบ แล้วจิตไม่หวั่นไหวต่อเสียงใด ๆ เมื่อเสียงคนคุยกันไม่สามารถทำอะไรพระหนุ่มได้

เสียงคนกลายเป็นเสียงช้างร้องเหมือนกำลังเดินเข้ามาหาที่ปักกลด และได้ยินเสียงคนพูดขึ้นเหมือนตกใจว่าช้างจะเหยียบกลด

พระภิกษุหนุ่มจะกลัวหรือไม่นั้น คำตอบคือ เมื่อจิตเข้าสู่กระแสสมาธิได้แล้วความกลัวจะไม่มี แม้ชีวิตจะถูกทำร้ายก็ไม่ตกใจกลัวไม่ตื่นเต้น

ในอัปปนาสมาธิ มีแต่ความนิ่งสงบอย่างมีสติ อย่างนี้เรียกว่าวิปัสสนาฌาน

มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่อย่างสงบเยือกเย็น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะรู้เท่าทันต่อสิ่งที่มากระทบกายกระทบจิต

แต่ไม่ติดกับอารมณ์ที่กระทบ เพียงแต่รู้ว่ากระทบ แล้วไม่มีการปรุงแต่ง

จิตก็สงบเป็นปัสสัทธิ ลุ่มลึกเยือกเย็นยิ่งขึ้นมากกว่าเดิม....

โปรดติดตามฉบับต่อไปว่าพระภิกษุหนุ่มจะออกจากเมืองบังบดได้อย่างไร
 

หมายเลขบันทึก: 535226เขียนเมื่อ 8 พฤษภาคม 2013 21:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม 2013 21:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท