โอวาทธรรมเนื่องในงานบำเพ็ญกุศลพิเศษ...


เราเกิดมาเราก็ไม่ได้เอาอะไรมาด้วย เวลาตายก็ไม่ได้เอาอะไรไปด้วย ครั้งสุดท้ายก็จะมีแต่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงบำเพ็ญกุสลให้เราเหมือนที่เรากำลังปฏิบัติอยู่เดี๋ยวนี้ สุดท้ายเขาก็เชิญแขกผู้มีเกียรติมาทอดผ้าบังสุกุลให้เรา

วันนี้เป็นการบำเพ็ญกุศลพิเศษให้พลอากาศเอกดิลก ทรงกัลยาณวัตร มีการสวดอภิธรรมเป็นวันสุดท้ายพรุ่งนี้ก็จะได้นำสรีระไปพระราชทานเพลิง ในโอกาสต่อไปก็จะได้ฟังพระธรรมเทศนาเพื่อเราทุก ๆ คนจะได้น้อมบุญน้อมกุศลมอบให้ท่านเพื่อบูชาท่าน

พลอากาศเอกดิลก ทรงกัลยาณวัตร ท่านเป็นคนที่ดีมาก ตั้งแต่เยาว์วัย เรียนหนังสือก็ดี รับราชการท่านก็เป็นนายทหารที่ดี เป็นนายทหารที่เสียสละ มีภรรยามีลูกที่เป็นคนดี บุญกุศลของท่านพร้อมด้วยบุญกุศลของภรรยาและญาติ ๆ และเพื่อนทหารหาญ หาญ หาญ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พ่อแม่ครูบาอาจารย์มาแผ่เมตตาให้ในค่ำคืนวันนี้ด้วย

พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับเราทุก ๆ คนว่า ร่างกายของเราทุก ๆ ท่านทุก ๆ คนมันเป็นของชั่วคราว อายุขัยส่วนใหญ่ไม่เกิน 100 ปี ในที่สุดแล้วทุก ๆ คนก็ลาละสังขารจากไป 

ทุกท่านทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ถือว่าเป็นผู้มีบุญญาบารมี เป็นผู้ประเสริฐ ได้มีโอกาสได้มีเวลามาสร้างบารมีให้กับตัวเราเอง 

ร่างกายของเราก็เปรียบเสมือนยานพาหนะที่จะนำเราไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความดับทุกข์ คือพระนิพพาน คือการหยุดเวียนว่ายตายเกิด

คนเรานี้ถ้าไม่หมดกิเลสไม่สิ้นอาสวะ มันยังมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่

พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ว่าการเวียนว่ายตายเกิดนี้มันเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป ถึงจะเป็นคนรวยก็ทุกข์อย่างคนรวย ถึงจะเป็นคนจนก็ทุกข์อย่างคนจน ผู้ที่จะไม่มีความทุกข์เลยไม่มีนะ มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่แล้วทุกข์ก็ดับไป ความทุกข์มันเผาใจตนเอง มันเผาใจคนอื่นตลอดเวลา คนที่ไม่มีทุกข์มีแต่พระพุทธเจ้ามีแต่พระอรหันต์

พระพุทธเจ้าท่านมีทุกข์แต่ทางกายแต่ใจท่านไม่มีทุกข์ 

เราทุก ๆ คนมีทุกข์ทั้งทางกายและทุกข์ทั้งทางใจ ที่ว่าเรามีความสุขนี้มันไม่จริง มันเป็นความหลงมันเป็นความเพลิดเพลิน มันเป็นการบรรเทาทุกข์ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถต่าง ๆ เมื่อเรานั่งนานเราก็เป็นทุกข์ เรานอนนาน ๆ เราก็เป็นทุกข์ เราทำอะไรต่าง ๆ นาน ๆ มันก็ทุกข์ เราได้อาศัยการพลัดเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อบรรเทาทุกข์เท่านั้น เราพยายามกลบเกลื่อนด้วยการดื่ม ด้วยการบริโภคของมึนเมาต่าง ๆ นาน ๆ เพื่อกลบเกลื่อนทุกข์ พยายามหารูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ มาฟังมาดู แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ค่อยเปลี่ยนแปลงไป ร่างกายของเรามันก็เปลี่ยนแปลงไป

พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสบอกพวกเราทุก ๆ ว่า “สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันวิจิตรตระการตาดุจราชรถ ที่คนเขลาพากันลุ่มหลงหมกมุ่นอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่” สูทั้งหลายก็ได้แก่ตัวเราทุก ๆ คนที่พากันได้เกิดมาในโลกใบนี้

พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนหันกลับมาดูตัวเอง มาเมตตาตนเอง ส่วนใหญ่เราไปสลดสังเวชสงสารคนที่เขายากจน คนที่เขาพิกลพิการ ประสบอุทกภัยต่าง ๆ ไปสงสารเขา อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีนะ ความรักความเมตตา ความสงสาร แต่มันยังไม่ดีเท่ากับเราเมตตาตนเอง สงสารตนเอง 

สงสารตนเองว่าขณะนี้เรากำลังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร เรามาลุ่มหลงกับสิ่งต่าง ๆ กับเงินทอง ลาภยศสรรเสริญนะ มันไม่ดีแน่ เพราะอันนี้มันเป็นของชั่วคราว เป็นของใช้ชั่วคราว มันไม่จากเราไปเราก็ต้องจากมันไป

คนเรามันไม่อยากแก่มันก็แก่ ไม่อยากเจ็บมันก็เจ็บ ไม่อยากพลัดพรากมันก็พลัดพราก 

พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนมีสติมีสมาธิมีปัญญา รู้จักนึกรู้จักคิด อย่าไปลืมว่าทุก ๆ คนเกิดมาคนเดียว เวลาตายก็ตายคนเดียว ไม่มีใครเขาอยากจะตายไปกับเรา 

เราเกิดมาเราก็ไม่ได้เอาอะไรมาด้วย เวลาตายก็ไม่ได้เอาอะไรไปด้วย ครั้งสุดท้ายก็จะมีแต่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงบำเพ็ญกุสลให้เราเหมือนที่เรากำลังปฏิบัติอยู่เดี๋ยวนี้ สุดท้ายเขาก็เชิญแขกผู้มีเกียรติมาทอดผ้าบังสุกุลให้เรา

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าเรามาหลงในทรัพย์ในข้าวของเงินทอง ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ประสบพบเจอกันทีหลัง จึงว่ายังไม่เป็นปัญหาหลักเป็นแค่ปัญหาชั่วคราว เป็นปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องเรื่องเศรษฐกิจที่ทุกคนมีความจำเป็นใช้สอยปัจจัย ๔ 

เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่นี้ มันเป็นงานเฉพาะหน้า มันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ปัญหาใหญ่ปัญหาหลักคือปัญหาที่ทุก ๆ คนจะต้องออกจากวัฏฏะสงสาร ต้องประพฤติตนปฏิบัติตนให้ถึงเข้ามรรคผลพระนิพพาน 

พูดถึงเรื่องพระนิพพานญาติโยมฟังแล้วก็คิดว่ามันเป็นเรื่องเกินตัว แม้จะพูดถึงก็ไม่กล้าพูด แล้วคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของเรา ตามที่แท้จริงแล้ว เรื่องพระนิพพานมันเป็นเรื่องของเราเอง เรื่องความเป็นพระอริยเจ้ามันเป็นเรื่องของเราเอง 

พระพุทะเจ้าท่านตรัสสอนไว้ว่า มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะพึงประพฤติปฏิบัตินะ

ศีล ๕ นี้เป็นศีลของพระอริยเจ้า เป็นศีลของพระโสดาบัน ของพระสกิทาคามี ตลอดถึงพระอนาคามี ผู้มีธุรกิจมีหน้าที่ที่จะอยู่เป็นฆราวาส เป็นศีลของผู้ที่อยู่กับโลก อยู่กับสังคม อยู่กับคนดีกับคนไม่ดี อยู่กับธุรกิจการงาน การแย่งแย่งทรัพยากรกัน ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เราก็ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ได้รักษาศีล 

ทุกท่านทุกคนคิดไว้แล้วเสมอว่า มันปฏิบัติไม่ได้ เพราะอยู่ในสังคมอย่างนี้ อยู่ในสถานการณ์อย่างนี้มันจะปฏิบัติได้อย่างไร ถ้าจะปฏิบัติได้มันต้องไปอยู่วัด มันต้องปล่อยต้องวางทุกอย่างมันจึงจะปฏิบัติได้ 

เรากำลังพากันเห็นผิด กำลังคิดผิด... ความเป็นจริงแล้วทุกคนปฏิบัติได้ ที่มันปฏิบัติไม่ได้เพราะว่าเราไม่ปฏิบัติกัน 

ถ้าไม่มีสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดี หรือสิ่งยั่วยวนกวนใจเราจะไปปฏิบัติมันทำไม เพราะทุกอย่างเขาก็สงบของเขาอยู่แล้ว 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนว่าสิ่งภายนอกน่ะมันแก้ได้บ้างมันแก้ไม่ได้บ้าง ท่านให้เราพยายามมาแก้ที่ใจของเรา เหตุผลมันมีเยอะ เรื่องเหตุเรื่องผลเรื่องวิทยาศาสตร์ มันเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาก

พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาแก้ที่จิตที่ใจของเรา...

ทำไมเรามันถึงมีปัญหา เพราะเราไปถือทิฐิมานะไปถืออัตตาถือตัวถือตน อัตตาตัวตนของเรามันมีอยู่ที่ไหน มันไม่มี มันมีแต่ความเกิด ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากกันไปอย่างนี้ เราจะรอปัญหาต่าง ๆ ให้มันหมดไปมันเป็นไปไม่ได้ เดี๋ยวหมดปัญหานี้ปัญหาใหม่ก็มาอีก จนตายก็ไม่หมด อันนี้มันเป็นวัฏฏะสงสาร มันเป็นสังสารวัฏ คือการเวียนว่ายตายเกิด มันเกิดแล้วมันก็ตายมันไม่มีที่จบไม่มีที่สิ้น 

ศีล ๕ นั้นน่ะคือองค์ของพระพุทธเจ้า คือองค์พระธรรม คือองค์พระอริยสงฆ์ 

เน้นที่จิตที่ใจ 

คนเราเสื้อผ้าอาภรณ์ต่าง ๆ ปกปิดร่างกายของเราได้ คนอื่นมองไม่เห็น แต่มันปกปิดตัวเองไม่ได้ ตัวเองมันรู้มันเห็นอยู่ ใจของเราเราคิดอะไร คิดดี คิดไม่ดี คิดเรื่องไม่น่าคิดก็คิด คนอื่นเขาไม่รู้ว่าเราคิดอะไร แต่เราก็ปกปิดตัวเองไม่ได้

การรักษาศีล... ให้เราเน้นมาที่เจตนาของเรา ให้เรามีเจตนาที่จะละเว้น เป็นคนละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป สุปฏิปันโนก็คือตัวของเราเองทุก ๆ คนนี้แหละ อุชุปฏิปันโน ญายะปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโนฯ เป็นคนปฏิบัติดี เป็นคนปฏิบัติตรง เป็นคนปฏิบัติออกจากทุกข์   ก็คืออันไหนมันไม่ดีทำให้เราเป็นทุกข์เราก็อย่าไปคิด อย่าไปพูด อย่าไปทำ 

สามีจิปฏิปันโน คือตัวเราเองนี้แหละ คือผู้ปฏิบัติดีเราจะได้ไหว้ได้กราบตัวเองได้ พระอริยสงฆ์ก็เกิดขึ้นที่จิตที่ใจของเรา 

เราเป็นโยมเราก็เป็นพระทางจิตทางใจได้ พระที่เราข้างนอกเขาเรียกว่าพระสมมติสงฆ์ พระนุ่งห่มเหลืองเรียกว่าพระสมมติสงฆ์ ถ้าท่านไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านก็เป็นได้แค่พระโดยสมมติ ยังไม่ได้เป็นพระอริยสาวกในพระพุทธศาสนา ยังเป็นได้แค่พระที่เขาแต่งตั้งยังเป็นพระปลอมอยู่ 

ในโอกาส ณ เวลาปีใหม่ปี ๒๕๕๖ ให้ทุกท่านทุกคนน้อมเอาความรักความเมตตาของพระพุทธเจ้าที่ท่านเมตตาต่อพวกเราไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ รับเอาข้อวัตรปฏิบัติ รับเอาพระรัตนตรัย ข้อวัตรปฏิบัติไหว้พระสวดมนต์รักษาศีล ๕ นั่งสมาธิภาวนา แผ่เมตตา เป็นข้อวัตรปฏิบัติประจำตัวเราทุกคน เราจะได้เป็นผู้มีเมตตาต่อตนเอง เพราะคนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ยังไม่ได้เมตตาตนเองนะ เพราะยังนำตัวเองไปเพลิดเพลินในสิ่งต่าง ๆ ไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสารกัน 

ส่วนใหญ่เราพากันคิดว่าข้าเขาเป็นอย่างนี้ สังคมเขาเป็นอย่างนี้ เมืองเขาเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องปฏิบัติเหมือนเขา 

พระพุทธเจ้าท่านให้เราปฏิบัติเหมือนเขา ถ้าอันไหนมันเป็นบาปเป็นอกุศล เพราะอยู่ในสังคมเขาถ้าอันอันไหนมันไม่เป็นบาปเป็นอกุศล เพราะอยู่ในสังคมมีทั้งส่วนดีและไม่ดี ก็ช่างหัวมัน พระพุทธเจ้าท่านให้เลือกเอาแต่ส่วนที่ดีมาใส่จิตใส่ใจ อันไหนไม่ดีท่านให้ทิ้งมันไป ไม่ให้เรารับเอามา ถ้าเราไปรับมาใส่ใจของเราจะทำให้ใจของเราเกิดทุกข์ได้ ถ้าเราไปรับเอาสิ่งภายนอกมาใส่ในของเราใจของเราจะไม่สงบ ไม่เป็นหนึ่ง ไม่เป็นเอกัคตา ไม่เป็นวิมุติคือความหลุดพ้น เพราะเรื่องของเรามันก็แย่อยู่แล้ว เรายังจะไปรับเอาเรื่องของเขามาอีก 

ในวาระโอกาสพิเศษแห่งการบำเพ็ญกุศลให้พลอากาศเอกดิลก ทรงกัลยาณวัตร ในวันนี้ ด้วยอำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย บุญกุศลที่ได้บำเพ็ญแล้วนั้น ขออำนวยอวยพรให้ท่านพลอากาศเอกดิลก ทรงกัลยาณวัตร จงได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากพระพุทธเจ้าจากพระธรรมจากพระอริยสงฆ์ จากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ และเพื่อน ๆ เหล่าทหารหาญ หาญ หาญ ต่อถึงญาติ ๆ ญาติธรรม ถ้ามีสุขก็ให้มีสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป และขออำนวยอวยชัยให้ศรัทธาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านจงได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่พวกท่านทั้งหลายที่ได้มีเมตตามาช่วยกันอำนวยอวยชัยส่งท่านพลอากาศเอกดิลกในวันนี้ จงมีแต่ความผาสุกความสงบร่มเย็น ด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ


พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยายในงานสวดพระอภิธรรมและบำเพ็ญกุศลพิเศษ พลอากาศเอกดิลก ทรงกัลยาณวัตร

ค่ำวันจันทร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๖

ณ  วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร
หมายเลขบันทึก: 520828เขียนเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2013 08:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2013 08:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท