มหาธี
อาจารย์ ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี

กามนิต : ศึกษาพระไตรปิฎก


 

โครงการธรรมศึกษาวิจัย

กามนิต  : ศึกษาพระไตรปิฎก

อรรถกถา ฎีกาตลอดจนคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา

ธีรวัส  บำเพ็ญบุญบารมี

ผู้อำนวยการโครงการอนุรักษ์คัมภีร์ฯ

มหาบัณฑิตสาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

เพื่อเป็นธรรมทานไม่สงวนลิขสิทธิ์

คำนำ

ในหนังสือเล่มนี้รวบรวมและสกัดขึ้น เพื่อให้เข้าถึงเรื่อง กามนิตที่มีความสำคัญยิ่ง  โดยอ้างอิงจากพระไตรปิฏกและตำราอรรถกถา เจตนาหนังเสือเล่มนี้ เพื่อเข้าถึง เรื่อง กามนิตจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นคัมภีร์สำคัญและเป็นที่ศึกษาของวงการพระพุทธศาสนา  เพื่อให้ศาสนาพุทธได้ธำรงยิ่งยืนนาน จึงศึกษาค้นคว้าหาแห่งที่มาสรุปเป็นบทโดยย่อง่ายต่อความเข้าใจ และจดจำ 

ผลของงานเขียนครั้งนี้บางจุดได้นำมาจากข้อมูลเดิมที่ยังไม่ทราบว่าผู้ใดเขียนไว้ก็ขอให้เกิดผลบุญแก่ท่านผู้นั้นด้วย รวมถึงบุพการีครูอาจารย์ตลอดผู้มีคุณทุกท่านขออำนาจแห่งเจตนานี้เป็นปัจจัยให้ทุกท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์และสิ้นสุดแห่งกองกิเลส เข้าสู่พระนิพพานโดยทั่วหน้ากัน

ธีรเมธี

ธีรวัส  บำเพ็ญบุญบารมี

มหาบัณฑิตพุทธศาสน์ แห่งมหามกุฏราชวิทยาลัย

บทที่ ๑

ที่มาวรรณกรรมกามนิต

กามนิต (DerPilgerKamanita) เป็นวรรณกรรมประเภทนวนิยายอิงพระพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงมาก ประพันธ์ในปี ค.ศ. 1906 โดย คาร์ล อดอล์ฟ เจลเลอร์รุป นักประพันธ์ชาวเดนมาร์ก ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี ค.ศ. 1917  หนังสือกามนิตได้รับการยกย่องให้เป็นหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ฉบับภาษาไทยแปลโดยเสฐียรโกเศศ–นาคะประทีปในปีพ.ศ. 2473 มีรูปประกอบโดยอาจารย์ช่วง มูลพินิจ โดยแปลจากฉบับภาษาอังกฤษ (The Pilgrim Kamanita) ซึ่งแปลมาจากต้นฉบับภาษาเยอรมัน (DerPilgerKamanita) อีกทอดหนึ่ง

เนื้อเรื่องย่อ

ในเรื่องกามนิต กล่าวถึงบุรุษผู้หนึ่งผู้ซึ่งมีนามว่า กามนิต ผู้ที่หวังจะได้เข้าพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อที่จะได้ขจัดความทุกข์ต่าง ๆ ที่ตนได้เผชิญมา และได้พบกับความสุขอันเป็นนิรันดร์ ในระหว่างการเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น กามนิตได้เข้าขอพักที่บ้านของช่างปั้นหม้อท่านหนึ่งเป็นการชั่วคราว และในวันเดียวกันนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้เสด็จมาขอพักอาศัยที่บ้านหลังนั้นด้วยพอดี กามนิตจึงได้มีโอกาสเล่าเรื่องของตนเองและสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้าโดยที่ไม่รู้เลยว่าพระสงฆ์ที่สนทนาอยู่นั้นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง เรื่องราวดำเนินส่วนแรกเป็นภาคพื้นดิน และต่อในส่วนหลังเป็นภาคสวรรค์ ที่กามนิต ได้เสียชีวิตระหว่างเดินทางเพื่อจะได้พบ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไปเกิดเป็นเทวดาและพบกับ วาสิฏฐี ทั้งสองได้เล่าเรื่องราวชีวิตหลังความรักในโลกมนุษย์ ประสบการณ์แห่งการไขว่คว้าหากันจนได้มาพบเจอพุทธศาสนา ตลอดจนการเห็น การเกิดดับของสรรพสิ่งที่แม้แต่สวรรค์ พรหมก็หลีกหนีไม่เป็น ความเปลี่ยงแปลง มีแต่บรมสุขแห่งพระนิพพาน คือทางออกแห่งการเดินทางอันยาวนานนี้ วาสิฏฐีได้เข้าถึงความจริงนี้ก่อน และทำให้กามนิตได้รู้ว่าบุคคล ที่ตนพบในบ้านช่างปั้นหม้อ ได้ให้สัจธรรมแห่งความจริงไว้พิจารณา คือใคร การไม่ต้องเวียนว่ายอีกต่อไปเป็นเช่นไรในที่สุด ในเรื่องกามนิตนี้ มีกามนิต และวาสิฏฐีเป็นตัวเอก และนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังมีองคุลิมาล พระอานนท์ และพระสารีบุตร ปรากฏในเรื่องอีกด้วย เป็นการเชื่อมโยมหลักธรรมในพุทธศาสนากับความจริงแห่งความรักได้อย่างลึกซึ้งและกินใจ ซึ่งเดิมหนังสือไม่ได้มีการแบ่งเล่มเป็น สองภาคแต่ได้มีการแบ่งภาค เพือให้นักเรียนได้ศึกษาด้วยความยากในการทำความเข้าใจส่วนภาคสวรรค์ และประเด็นเรื่องนักบวชหญิงและภิกษุณี  กามนิต : ภาคบนดินและภาคบนสวรรค์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๗๓  เสฐียรโกเศศ (๒๔๓๑ - ๒๕๑๒) นาคะประทีป (๒๔๓๒ - ๒๔๘๘) แก่นอันเป็น คุณค่าของเรื่องกามนิต คือ ความรัก ความทุกข์จากรัก และดับทุกข์ด้วยธรรมะ นวนิยายเรื่องนี้เป็นงานโรแมนติกอันมีความลึกซึ้งรสรักทางวรรณกรรมได้เจือธรรมรสเข้าด้วยกันกลมกลืน ทรงพลัง ประทับใจ มิใช่งานประพันธ์ดาดๆ สำหรับชั่วเวลาสักระยะหนึ่ง งานวรรณกรรมเรื่องนี้จึงอยู่ในเกราะกำบังของกาลเวลา เนื่องจากความถึงพร้อมของเนื้อหาและรูปแบบศิลปะ ฉากแรกของกามนิต ประทับใจคนด้วยพรรณนาโวหารก่อนภาพพจน์แห่งจินตภาพดังนี้

  "ขณะที่พระองค์เสด็จมาใกล้เบญจคีรีนคร คือ ราชคฤห์ เป็นเวลาจวนสิ้นทิวาวาร แดดในยามเย็นกำลังอ่อนลงสู่สมัยโกล้วิกาล ทอแสงแผ่ซ่านไปยังสาลีเกษตร แลละลิ่วเห็นเป็นทางสว่างไปทั่วประเทศสุดสายตา ประหนึ่งมีหัตถ์ทิพย์มาปกแผ่อำนวยสวัสดี เบื้องบนมีกลุ่มเมฆเป็นคลื่นซ้อนซับสลับกันเป็นทิวแถว ต้องแสงแดดจับเป็นสีระยับวะวับแวว ประหนึ่งเอาทรายทองไปโปรยปราย เลื่อนลอยลิ่วๆ เรื่อยๆ รายลงจรดฟ้า ชาวนาและโคก็เมื่อยล้าด้วยตรากตรำทำงาน ต่างพากันเดิมดุ่มๆ เดินกลับเคหสถาน เห็นไรๆ เป็นรัศมีแห่งสีรุ้ง  อันกำแพงเชิงเทินป้อมปราการที่ล้อมกรุง  รวมทั้งทวารบถทางเข้านครเล่า มองดูในขณะนั้นเห็นรูปเค้าได้ชัดถนัดแจ้งดั่งว่านิรมิตไว้ มีสุมทุมพุ่มไม้ดอกออกดก โอบอ้อมล้อมแน่นเป็นขนัด ถัดไปเป็นทิวเขาสูงตระหง่าน มีสีในเวลาตะวันยอแสง ปานจะฉายไว้เพื่อแข่งกับแสงมณีวิเศษ มีบุษราคบัณฑรวรรณและก่องแก้วโกเมน แม้ร่วมกันให้พ่ายแพ้ฉะนั้น"

  ณ จุดเริ่มเรื่องที่พระบรมศาสดาพบกามนิตยังบ้านช่างปั้นหม้อ ด้วยสถานะผู้แรมทาง เป็นจุดใกล้จบชีวิตของกามนิตภาคบนดิน กามนิตแสวงหาพระศาสดา โดยยึดศรัทธาในพระองค์ ขณะที่ความปลงใจศึกษาธรรมนั้นน้อย ลักษณะดื้อรั้นเชื่อมั่นตน จึงมิได้รับรสพระธรรมที่ประทานโอวาทและไม่ทราบว่าอาคันตุกะนั้น คือ พระอรหันตสมัมาสัมพุทธเจ้าที่ใฝ่หา  เรื่องราวภาคบนดินของกามนิต เริ่มจากการเล่าเรื่องถวายพระผู้มีพระ

  ภาคเจ้า ต่อมาเมื่อกามนิตตายลงและด้วยอำนาจ ตถาคตโพธิศรัทธา จึงไปเกิด ณ สวรรค์

  ชั้นสุขาวดี เป็นกามนิตภาคบนสวรรค์ ปมของเรื่องราวชีวิตหนหลังครั้งภาคพื้นดิน จึงคลี่คลายเมื่อพบกับวาสิฏฐีในสรวงสวรรค์  ธรรมะที่วาสิฏฐีสดับจากพุทธโอษฐ์ครั้งเธอยังอยู่ในภาคบนดิน ได้ถ่ายทอดสู่กามนิตชายคนรัก  กระทั่งกามนิตสามารถพิจารณาธรรมนั้น หวนระลึกพระโอวาทที่ตนได้รับโดยตรง ณ บ้างช่างปั้นหม้อ และเข้าใจธรรมอย่างรู้แจ้งถึงที่สุดแห่งทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์จนเข้าถึงพระนิพพานในที่สุดกลวิธีการประพันธ์มีส่วนเร้าใจคนอ่านอย่างยิ่ง แม้ว่าเริ่มจากวิธีเล่าเรื่อง แต่ก็มิได้ใช้การบรรยายโวหารล้วนๆ แต่ละฉากแต่ละตอน มีตัวละครเคลื่อนไหว แสดงลีลาบทบาทและมี "ปม" เรื่อง ชวนให้ติดตามด้วยความกระหายใคร่รู้ตลอดเรื่อง กามนิตแสวงหาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเริ่มเรื่อง เขารู้ว่ามีโอกาสสนทนาธรรมกับพระองค์เมื่อถึงตอนจบ  กามนิตชายหนุ่มผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้ ความสามารถ และแคล่วคล่องว่องไวดังคำกล่าวขานว่า "ปานกามนิตหนุ่ม" แต่ทว่าคุณสมบัติต่างๆ ของเขามิได้ช่วยให้พ้นจากความตรอมตรม เพราะความดื้อรั้น และผ่อนปรนให้แก่ตน วาสิฏฐี

  ผู้หญิงที่เหมาะแก่การเป็นคู่ครองของกามนิตด้วยต่างมีอุดมคติ และดูเหมือนวาสิฏฐีจะมีอุดมคติยิ่งกว่ากามนิต กลับถูกพรากไปแต่งงานกับชายอื่น กามนิตยังแปรปรวนตามสถานการณ์ของการต่อสู้ภายในแห่งความใฝ่ดีกับโลกที่เป็นจริง โลกที่มีมายาการเย้ายวน กระนั้น วาสิฎฐีไม่วายถลำใจคิดปลงชีวิตสามี  สาตาเศียรชายที่มีชื่อว่าเป็นสามีด้วยการแต่งงานวิธีคลุมถุงชน อุดมคติของเธอเข้มแข็งกว่ากามนิต ประกอบกับสถานการณ์เปลี่ยนแปรไป เมื่อองคุลีมาลผู้จะร่วมแผนฆาตกรรม ก็เปลี่ยนใจกลับความประพฤติตนภายหลังเมื่อพบพระพุทธองค์

บทที่ ๒

ธรรมได้จากวรรณกรรมกามนิต

ขึ้นต้นอย่างไพเราะว่า "ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงมาตรัสรู้ในมนุษย์โลกแล้ว และถึงวาระอันควรจะเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน พระองค์ได้เสด็จสู่ที่จาริกไปในคาม ชนบท ราชธานีต่าง ๆ แห่งแคว้นมคธ จนบรรลุกรุงราชคฤห์มหานคร"ได้บรรยายบรรยากาศในวันนั้นว่า "ขณะพระองค์เสด็จมาใกล้เบญจคีรีนคร คือ ราชคฤห์ เป็นเวลาจวนสิ้นทิวาวาร แดดในยามเย็นกำลังอ่อนลงสู่สมัยใกล้วิกาล ทอแสงแผ่ซ่านไปยังสาลีเกษตรแลละลิ่วเห็นเป็นทาง สว่างไปทั่วประเทศสุดสายตา ดูประหนึ่งหัตถ์ทิพย์มาปกแผ่อำนวยสวัสดี เบื้องบนมีกลุ่มเมฆเป็นคลื่นซ้อนซับสลับกันเป็นทิวแถวต้องแสงแดดจับเป็นสี ระยับวะวับแววประหนึ่งเอาทรายทองไปโปรยปราย เลื่อนลอยละลิ่ว ๆ เรี่ย ๆ รายลงจดขอบฟ้าชาวนาและโคก็เมื่อยล้าด้วยตรากตรำทำงาน ต่างพากันดุ่ม ๆ เดินกลับเคหสถานเห็นไร ๆ เงาหมู่ไม้อันโดดเดี่ยวอยู่กอเดียว ก็ยืดยาวออกไปทุกที ๆ มีขอบปริมณฑลเป็นรัศมีแห่งสีรุ้ง"อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า "ครั้งกระนั้น พระองค์เป็นผู้แสวงหาความหลุดพ้นทุกข์ ต้องต่อสู้กับกิเลสมารอันหนาแน่น ต้องกระทำทุกกรกิริยา ซึ่งมนุษย์อื่นที่แกล้วกล้าสามารถก็ย่อท้อ ทำไม่ได้ จนภายหลังทรงเห็นแจ้งซึ่งสังสารทุกข์เสด็จออกจากทุกข์แล้ว ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันความเป็นไปของพระองค์ครั้งกระโน้นตลอดมาจนครั้งกระนี้ ก็เหมือนดั่งกลางวันในฤดูฝน พอรุ่งเช้ามีแสดงแดดมาแผดจ้า แล้วนภากาศพะยับอับแสง เกิดพายุแรง ฟ้าคะนองก้องสะท้าน ซ่านด้วยเม็ดฝน ครั้นแล้วท้องฟ้าก็หายมืดมน กลับสว่างสงบเงียบ มีวิเวกเหมือนภูมิประเทศในยามเย็นที่กล่าวแล้ว จนกว่าพระอาทิตย์จะอัสดงดิ่งหายไปในขอบฟ้าอันว่าพระอาทิตย์จะอัสดงลงฉันใด สำหรับพระตถาคตในขณะนี้ก็มีฉันนั้น พระองค์ได้ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้เห็นแจ้งซึ่งกองทุกข์ ทรงแสดงธรรมอันแท้จริงให้ประจักษ์ และประทานหลักความหลุดพ้นจากทุกข์แก่มนุษย์นิกรทั่วโลกธาตุ มีบริษัท ๔ เป็นผู้สืบศาสโนวาท เผยแพร่พระธรรมของพระองค์ให้แพร่หลาย และประพฤติปฏิบัติด้วยกายวาจา ใจ รักษาไว้ตลอดจิรกาลาวสานแม้เมื่อพระองค์ประทับยืนอยู่ขณะนั้น ก็ได้ทรงจินตนาการอันเกิดขึ้นด้วยพระปริวิตกถึงที่ได้เสด็จมายืนโดดเดี่ยวตลอดวันว่า "ถึงเวลาแล้ว ในไมช้า เราก็จะละสังขารนี้ไป คือสังสาระซึ่งเราได้ถ่ายถอนตนหลุดพ้นแล้วตลอดจนยังผู้ที่มาภายหลังให้หลุดพ้นด้วย..! แล้วเข้าสู่ความดับสนิทด้วยอำนาจปรินิพพานธาตุ"เรื่องได้ดำเนินมาถึงตอนที่กามนิตได้พบพระพุทธองค์ ในขณะทรงประทับแรมคืนที่บ้านช่างหม้อ ได้ทรงแสดงธรรมให้แก่กามนิตพระธรรมที่ทรงประกาศ คือ ธรรมอันทำให้แจ้งความจริงอย่างยิ่ง ๔ ประการ, ๔ ประการนั้นคืออะไร ?ได้แก่ ความจริงอย่างยิ่งคือทุกข์, ความจริงอย่างยิ่งคือเหตุให้เกิดทุกข์, ความจริงอย่างยิ่งคือการดับทุกข์ทั้งสิ้น และความจริงอย่างยิ่งคือทางที่ดำเนินไปถึงความดับทุกข์ทั้งสิ้น"ดูก่อนภารดา ความจริงอย่างยิ่งคือทุกข์นั้นเป็นอย่างไร ?, ได้แก่ ความเกิดมานี้เป็นทุกข์ ความที่ชีวิตล่วงไป ๆ เป็นทุกข์ ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความอาลัย ความคร่ำครวญ ความทนลำบาก ความเสียใจและความคับแค้นใจ ล้วนเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เป็นทุกข์, ความประจวบกับสิ่งที่ไม่รัก เป็นทุกข์ความที่ไม่สมประสงค์ เป็นทุกข์, รวมความว่าบรรดาลักษณะต่าง ๆ เพื่อความยึดถือ ผูกพันย่อมนำทุกข์มาให้ทั้งนั้น

ดูก่อนภารดา นี่แหละความจริงอย่างยิ่งคือทุกข์ก็แหละความจริงอย่างยิ่งคือเหตุให้เกิดทุกข์นั้นเป็นอย่างไร ? ได้แก่ ความกระหาย ซึ่งทำให้เกิดมีสิ่งต่าง ๆอันความเพลิดเพลินใจ และความร่านเกิดตามไปด้วย เพลิดเพลินนักในอารมณ์นั้น ๆ คือกระหายอยากให้มีไว้บ้าง กระหายอยากให้คงอยู่บ้าง กระหายอยากให้พ้นไปบ้าง

ดูก่อนภารดา นี้ความจริงอย่างยิ่งคือเหตุให้เกิดทุกข์ก็แหละความจริงอย่างยิ่งคือการดับทุกข์ทั้งสิ้นนั้นเป็นอย่างไร ? ได้แก่ ความดับสนิทแห่งความกระหายนี้เอง ไม่ใช่อื่น ความละเสียได้ ความปลดเสียได้ ซึ่งความกระหายนั่นแหละและการที่ความกระหายนั้นไม่ติดพันอยู่

ดู ก่อนภารดา นี่แหละความจริงอย่างยิ่งคือการดับทุกข์ทั้งสิ้นก็แหละความจริงอย่างยิ่งคือ ทางดำเนินไปถึงความดับทุกข์ทั้งสิ้นนั้นเป็นอย่างไร ?ได้แก่ ทางอันประเสริฐมีองค์ ๘ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ความพยายามชอบ ความระลึกชอบ ตั้งใจชอบ,

ดูก่อนภารดา นี่แหละความจริงอย่างยิ่งคือทางดำเนินไปถึงความดับทุกข์ทั้งสิ้น"ในท้ายแห่งเทศนา พระองค์ทรงประมวลพระธรรมบรรยายทั้งหมดในคราวเดียวกัน เสมือนด้วยเรือนอันตะล่อมขึ้นด้วยยอดเด่นเห็นสง่างามรุ่งเรืองได้แต่ไกล ด้วยพระวาจาว่าดั่งนี้

"ดูก่อนอาคันตุกะผู้แสวงบุญ ความเกาะเกี่ยวใคร่กระหายต่อความเกิด ย่อมเป็นเหตุให้ถึงความเกิด หากตัดความใคร่กระหายเช่นนั้นเสียได้ขาด ท่านก็ย่อมไม่เกิดในภพไร ๆ อีกอันภิกษุผู้พ้นแล้วจากความเกาะเกี่ยวยึดถือ พึงใคร่ในอารมณ์ไร ๆ แล้ว ย่อมบังเกิดญาณความรู้แจ้งขึ้นมาภายในจิตอันสงบ แจ่มใส ปราศจากอวิชชาความไม่รู้จริง วิมุตติความหลุดพ้นนั้นบัดนี้เป็นผลประจักษ์แล้ว นี้คือความเกิดเป็นครั้งสุดท้าย สิ้นความเกิดใหม่ในภพโน้นแล้ว"ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้ามิได้ชี้ความดับทุกข์ว่าเป็นที่สุดแห่งการปฏิบัติ หรือมิได้สอนให้กำหนดรู้ความทุกข์เป็นทางปฏิบัติก่อน เอาแต่พร่ำสอนด้วยวิธียกสมบัติ สวรรค์ในชาติหน้ามาให้ชมเพื่อล่อใจว่า เมื่อตายแล้วแล้วจะไปเกิดใหม่ใน ๑๖ ชั้นฟ้า ได้เสวยศฤงคารสมบัติสวรรค์ในชาติหน้านั้น มีแต่ความสุขได้อย่างใจทุกประการ เพียงเท่านี้จะมีผลเป็นอย่างไร ? คงมีสาวกอเนกอนันต์ มีความเชื่อถือ ยินดี รับคำสั่งสอนได้โดยเร็ว และคงเพียรพยายามเพื่อความหลุดพ้นจากโลกมนุษย์ด้วยความเต็มใจ แต่หารู้ไม่ว่า ความเพียรเพื่อหลุดพ้นแต่เป็นไปในอาการเช่นนี้ ย่อมเป็นการรั้งเอาตัณหาคือความร่านกระหายติดไปด้วยกันกับตนอย่างแน่นหนา ต้องเวียนว่ายตายเกิดในเหตุแห่งความทุกข์ แล้วก็ได้รับผลคือความทุกข์ จะหลุดพ้นไปไม่พ้นเลย เปรียบเหมือนสุนัขเฝ้าบ้าน ถูกผูกล่ามไว้กับเสา พยายามจะให้หลุดพ้นเครื่องล่ามไป แต่ก็รั้งเอาเครื่องล่ามนั้นไปด้วยรอบ ๆ เสา ก็ไม่สามารถหลุดไปได้ อุปมาฉันใด, ภิกษุผู้ตั้งความเพียรเพียงไรก็ตาม แต่เมื่อรั้งเอาตัณหาต้นเหตุแห่งความทุกข์มาเพลินใจไว้ด้วย ก็ต้องวนเวียนรับทุกข์แล้วทุกข์เล่า ไม่ออกจากภพน้อยภพใหญ่ไปได้ มีอุปไมยอย่างเดียวกันอีกตอนหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่กามนิต "ดูก่อนอาคันตุกะ ทั้งนี้ก็เช่นเด็กไม่เดียงสาคนหนึ่ง กำลังยืนอยู่เด็กคนนี้ปวดฟันเจ็บร้าวไปหมด พอเห็นแพทย์ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญก็วิ่งไปหาและบอกถึงความทุกข์ให้ฟังว่า"ข้าพเจ้าขอความกรุณาให้ใช้ความรู้ขอท่านช่วยทำให้รู้สึกเกิดปีติสุขแทนความเจ็บปวดที่มีอยู่ในขณะนี้" แพทย์ตอบว่า "ความรู้ที่มีอยู่ก็คือถอนเหตุแห่งความเจ็บปวดนั้นเสีย, การที่จะทำให้เกิดสุขทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องถอนเหตุที่ทำให้เจ็บออกเสียก่อน ย่อมไม่ได้" แต่เด็กนั้นไม่พอใจคร่ำครวญว่า "ได้ทนความเจ็บปวดรวดร้าวที่ฟันมานานแล้ว จึงควรได้รับรสแห่งความบันเทิงสุขแทน และก็ได้ทราบว่ามีแพทย์วิเศษที่สามารถทำให้เกิดความสุขได้โดยไม่ต้องถอนฟันที่เจ็บออก เข้าใจว่าท่านคือแพทย์วิเศษที่อาจทำได้ เมื่อท่านไม่สามารถทำได้ ก็ต้องไปหาแพทย์อื่น" ว่าแล้วเด็กคนนั้นก็ไป มีแพทย์เถื่อนทำปาฏิหาริย์เล่นกลได้มาจากแคว้นคันธาระ ตีกลองร้องโฆษณาว่า "ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง ความไม่มีโรคเป็นที่มุ่งของมนุษย์ ผู้ใดมีความเจ็บป่วยทนทุกข์เวทนาร้ายแรงเพียงไร ก็อาจรักษาให้กลับเป็นผู้มีแต่ความสุข ความบันเทิงทั่วทั้งสรรพางค์กายได้ โดยเสียค่ารักษาอันย่อมเยาว์" เด็กเจ็บฟันวิ่งไปหาแพทย์เล่นกลและขอให้ช่วยเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นความบันเทิงสุขด้วย แพทย์เล่นกลก็อวดอ้างและรับรองว่าตนมีความรู้ ความชำนาญในทางนี้ ว่าแล้วก็เรียกค่ารักษาเสียก่อน เอานิ้วแตะที่ฟัน เสกคาถาอาคมตามพิธี เด็กนั้นรู้สึกหายเจ็บปวด วิ่งกลับบ้านโดยความแช่มชื่นรื่นเริงเป็นสุขแต่มาไม่ช้า ครั้นความรู้สึกเป็นสุขนั้นค่อยจืดจางลงไป ความเจ็บปวดก็มาแทนที่อีก ทั้งนี้เพราะอะไร ? ก็เพราะไม่ถอนเอาต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดนั้นออกเสียก่อนวาสิฏฐี นางเอกของเรื่องเล่าว่า ได้เห็นพระพุทธเจ้าครั้งแรกหลังจากที่ได้รอนแรมมาไกลเพื่อเฝ้าพระองค์ณ ป่าประดู่ลาย ในเมืองโกสัมพี "เห็นพระภิกษุสูงอายุองค์หนึ่งออกมาจากป่า ทรวดทรงผึ่งผายสมเป็นเชื้อชาติกษัตริย์มีลักษณะสูง พระพักตร์อิ่มด้วยศานติ ทันใดนั้น ฉันก็นึกขึ้นทันทีว่า องค์นี้กระมังหนอคือพระมุนีศากยบุตร ซึ่งเขาขนานพระนามว่า พระพุทธเจ้าในพระหัตถ์กำใบประดู่ลาย ทรงหันไปทางหมู่พระภิกษุ และตรัสว่า

  "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันใบไม้ที่เรากำไว้กับใบไม้ที่มีอยู่ในป่าโน้น ข้างไหนจะมากกว่ากัน ?" พวกภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า "ใบไม้ในพระหัตถ์มีจำนวนน้อยกว่าใบไม้ที่มีอยู่ในป่าโน้น พระเจ้าข้า"ณ บัดนี้ ฉันราบแล้วว่า ผู้กล่าวนั้นคือพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสต่อไปว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความจริงก็เช่นนั้น สิ่งที่เราตถาคตได้เห็นแจ้งแล้วแต่มิได้แสดงแก่พวกท่านยังมีมากกว่าที่ได้แสดงแล้ว มีอุปมาเหมือนใบประดู่ลายที่มีอยู่ในกำมือเรากับที่มีอยู่ในป่าฉะนั้น,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นไฉนเราจึงไม่แสดงให้ฟังทั้งหมด ? เพราะไม่เป็นสาระประโยชน์เพื่อความหลุดพ้น ไม่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่ายในโลกีย์ไม่เป็นไปเพื่อจืดจางความรักใคร่ยินดี ไม่เป็นไปเพื่อความเย็นใจ ไม่เป็นไปเพื่อความรู้แจ้ง ไม่เป็นไปเพื่อความตื่นเต็มที่ และในที่สุดก็ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน"แล้วพระบรมศาสดาก็ตรัสต่อไปว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งใดแล ที่เราได้แสดงแก่ท่าน สิ่งนั้นคือความจริง เราได้แสดงแก่ท่านว่า ความทุกข์คืออะไร เหตุแห่งทุกข์คืออะไร ความดับทุกข์คืออะไรและทางดับทุกข์คืออะไร เหล่านี้เราได้แสดงแล้ว ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราได้แสดงแล้ว ก็เป็นอันแสดงจบแล้ว สิ่งใดเราไม่ได้แสดง ก็คงเป็นรายย่อยแสดงอยู่ในความจริง ๔ ประการ"พระพุทธเจ้า ทรงชี้แจงทางพ้นทุกข์จากสังสารวัฏด้วยวิธีกำจัดภพคือความคิด กำจัดความดิ้นรนแส่อยากและความหลงผิดในมายาให้สิ้นแล้ว ก็บรรลุความดับรอบคือพระนิพพาน เป็นคำชี้แจงอันอัศจรรย์ นิพพานเปรียบเหมือนเป็นเกาะโดดเดี่ยว อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันเดือดพล่านด้วยความเกิด มีหน้าผาแห่งศิลา ชายเกาะนี้คือมฤตยูซัดส่ายไม่เยือกไหว กลับกระจายตีฟองสู่ทะเลห้วงสังสารวัฏตามเดิม ในมหาสมุทรนี้มีเรือคือพระธรรมแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าแล่นตัดไปสู่เกาะนั้นโดยปลอดอันตราย แต่ต้องผ่ามรสุม คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ และ ที่ทรงกล่าวถึงสถานบรมสุข นั้นมิใช่ตรัสปรัมปรา หรือจากกวีผู้ร้อยกรองตามความนึกฝันของตน แต่ทรงแสดงตามที่ได้ทรงประสบตรัสรู้มาด้วยพระองค์เองพระบรมศาสดาทรงสั่งสอนให้กำจัดศัตรูภายใน ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง พระองค์มิได้ทรงปลดเปลื้องความทารุณกักขฬะอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ทรงปลดเปลื้องความทุกข์ให้หมดสิ้นเชิงเท่านั้น แล้วทรงกล่าวถึงความทุกข์ซึ่งมีอยู่ทั่วสากล และติดตามตนไปเหมือนเงาวาสิฏฐีได้ฟังธรรมตามนัยที่พระองค์ทรงแสดง ว่าสิ่งทั้งปวงย่อมมาแต่เหตุ เมื่อถึงกำหนดสิ้นเหตุก็ล่วงไป อันความผันแปรไม่คงที่นี้คือมายา แต่ความหลงปิดบังมิให้บุคคลเห็น เลยเป็นเหตุก่อทุกข์เดือดร้อนใจ ตราบใดความดิ้นรนเพื่อความอยากได้ ใคร่เป็นอยู่ ยังไม่ได้ถูกทิ้งถอนจนกระทั่งราก ตราบนั้นทุกข์ย่อมติดตามไปด้วยทุกข์ขณะ บุคคลจะหนีทุกข์ไปไม่พ้น ตราบใดที่ยังปล่อยให้ความดิ้นรนนี้งอกงามอยู่เสมอ ชวนเกิดความปรารถนาต่อหรือผัดใหม่เรื่อยไป ตราบนั้นทุกข์ก็ยังคงทับถมหนาแน่นอยู่ เมื่อบุคคลยังติดใจในความเป็นโน่นเป็นนี่อย่างไม่จืดจาง เขาย่อมชื่อว่าเป็นเครื่องมือเพิ่มกำลังความรัดรึงตนให้กระชับแน่นในสังสารวัฏ (สังสารวัฏ=การเวียนว่ายตายเกิด) ยิ่งจมดิ่งในความทุกข์ลงไปทุกที ไม่มีทางโผล่พ้นขึ้นมาได้และยังได้ฟังที่พระองค์ตรัสเทศนาถึงความไม่คงที่แห่งบรรดาสิ่งที่มีความเกิด ตรัสถึงความดับไปแห่งสิ่งทั้งปวงที่ธรรมชาติปรุงแต่งขึ้น ตรัสถึงลักษณะความล่วงไปเรื่อย เป็นกระแสน้ำแห่งบรรดารูปและนาม สรรพสังขารธรรมล้วนเป็นของไม่คงที่ เลือกเอาอย่างใจไม่ได้ทั้งนั้น แล้วทรงแสดงให้เห็นว่า ความปรารถนาเพื่อเกิดในภพใหม่ใด ๆ ภพ นั้น ๆ ย่อมไม่ถาวร คงที่อยู่ไม่ได้เลยในตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงห้วงเวลาที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า "ช่องว่างน้อย ๆในป่ารัง มีพระภิกษุราว ๒๐๐ องค์ยืนเฝ้าอยู่เป็นรูปอัฒจันทร์ ณ ท่ามกลางที่นี้มีต้นรังจนาดใหญ่ ๒ ต้นกำลังออกดอกเป็นกลุ่มก้อนขาวไสว ระวางควงต้นไม้รังทั้งคู่นี้ เห็นพระพุทธเจ้าประทับบรรทมบนพระแท่น ซึ่งปูลาดด้วยผ้าสีเหลือง มีพระหัตถ์ขวาหนุนพระเศียร ดอกรังก็โปรยเกสรเป็นละอองลงมาอาบพระองค์ด้านพระปฤษฎางค์ถัดไปไกล คือเขาหิมพานต์ มีหิมะปกคลุมเป็นนิจนิรันดร์ แต่บัดนี้ถูกความมืดเข้าปกคลุมพระพุทธเจ้า ตรัสกะพระอานนท์ก่อนกว่าผู้อื่นทั้งหมด เพราะท่านมายืนเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์แล้วว่า

"ดูก่อนอานนท์ เรารู้ได้ดีว่าท่านร้องไห้โศกเศร้าถึงเรา และท่านคงคิดอยู่ว่า ท่านยังไม่สิ้นอาสวะกิเลส ยังไม่บรรลุความเห็นแจ้ง

ดูก่อนอานนท์ ท่านจงเลิกคิดอย่างนั้นเสียเถิด จงอย่าปริเทวนาการ จงอย่าโศกเศร้า ดูก่อนอานนท์ เราได้บอกแก่ท่าน แล้วมิใช่หรือว่า บรรดาสิ่งทั้งปวงที่ยึดถือ รักใคร่ ย่อมมีอันต้องจากไป ธรรมดาย่อมเป็นธรรมดาของมันกระนั้น สิ่งทั้งปวงเกิดขึ้นเองโดยสภาวธรรม เราไม่ได้จัดการให้เกิดขึ้นแต่ชอบออกรับว่าเป็นของเรา สิ่งนั้น ๆ ย่อมมีอาการแปรไปตามธรรมดาวิสัย เราจะดิ้นรนให้เป็นอย่างใจเราคิดไม่ได้ นอกจากออกรับเอาเป็นของเราเปล่า ๆ และในที่สุดมันก็ต้องล่วงลับไปด้วยอำนาจแห่งธรรมดา เราจะฝืนให้คงอยู่ไม่สำเร็จเลย จะได้ก็แต่ความคลั่งเพ้อออกมารับเอาเสียเต็มแปล้ นับประสาอะไร ตัวท่านเองก็อย่าทะนง ย่อมตกอยู่ในอำนาจธรรมดาที่จะบันดาลให้เป็นอย่างไรได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายจึงเป็นอนัตตา คือเลือกไม่ได้ ไม่สำเร็จด้วยเอาสักอย่างเดียว มันเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป มันรวมกันแล้วย่อมจากไป ปรุงมันขึ้น มันก็แตกสลายไป, ดูก่อนอานนท์ ท่านได้ปฏิบัติเรามานานด้วยความเต็มใจ จงรักภักดีในเรา ไม่มีอิดเอื้อนท้อถอย ชื่อว่าได้พยายามดีแล้ว จงใช้ความพยายามอันสม่ำเสมอนั้นมาในทางบำเพ็ญเพียร ในไม่ช้าท่านจะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะดำกฤษณา ทิฏฐิความเห็นผิด และอวิชชาความไม่รู้แจ้ง เห็นผิดเป็นมายา"พระพุทธเจ้าตรัสเฉพาะพระอานนท์แล้ว ก็ทรงทอดทัศนาการมายังเหล่าสาวกที่ยืนเฝ้าอยู่เป็นวง แล้วตรัสว่าศาสดาไม่มีอีกต่อไปแล้ว,

ดูก่อนภิกษุ"ภิกษุทั้งหลาย บางทีท่านทั้งหลายจะนึกว่า พวกเรานั้นขาดศาสดาเสียแล้ว พระทั้งหลาย ท่านอย่าพึงคิดอย่างนั้น "ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใด ที่เราได้แสดงไว้แล้ว บัญญัติไว้แล้วแก่ท่านทั้งหลาย, ธรรมะและวินัยนั้นแล จักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลายโดยกาลเป็นที่ล่วงไปแห่งเรา" เพราะฉะนั้น ท่านอย่าพึงยึดถือเอาสิ่งภายนอกเป็นที่พึ่ง จงถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งให้มั่น พระธรรมนั้นจะเป็นความสว่างแก่ท่านเอง จะเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง"ล่วงมาอีกสักครู่ พระองค์ตรัสอีกว่า "ภิกษุทั้งหลาย บางทีจะมีบางท่านที่เกิดความสงสัยขึ้นในส่วนศาสดา หรือในส่วนพระธรรม ท่านจงถามเสียให้สิ้นระแวงเถิด เพื่อไปภายหน้าท่านจะได้ไม่โทษตนเองว่า เมื่อพระศาสดายังทรงมีชีวิตอยู่ ก็มิได้ไตร่ถามอะไรไว้" แต่ก็ไม่มีใครทูลไตร่ถามเพราะพระภิกษุที่มาประชุมในที่นั้นล้วนเป็นอรหันต์ หมดสิ้นความสงสัยในพระธรรมวินัยแล้วพระพุทธเจ้าเสด็จไสยาสน์อยู่ที่นั้น มีแสงเดือนในวันเพ็ญเดือน ๖ สีเหลืองอ่อนมาทั่วพระวรกาย ประหนึ่งว่าเทพบุตรกำลังเตรียมการสนานพระสรีรกายในครั้งสุดท้าย กล่าวคือโปรยละอองเกสรดอกไม้ลงมาพระองค์เผยพระโอษฐ์อีกครั้งหนึ่ง เป็นพระปัจฉิมวาจาที่จารึกไว้แก่สังสารโลก เป็นพระสัจธรรมอันล้ำเลิศว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราผู้ตถาคตขอเตือนท่านทั้งหลายให้รู้ว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม ความฉิบหายไป เป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นให้ถึงพร้อมบริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" ปัจฉิมโอวาทนี้มีชื่อเรียกว่า "อัปปมาทธรรม""ครั้นพระพุทธองค์ตรัสปัจฉิมโอวาทแล้ว มิได้ตรัสอะไรอีกเลย สิ้นพระดำรัส สิ้นพระสุรเสียง หับพระโอษฐ์หลับพระเนตรลง พระอัสสาสะประสาท ซึ่งเคยระบายอยู่ตาม ธรรมดาได้ค่อย ๆ แผ่วเบาลง ๆ ทุกที แล้วก็สิ้นกระแสลม

โดยพระอาการอันสงบ พระภิกษุองค์หนึ่งประกาศว่า พระบรมศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วอนิจจา...! แสงเดือนเพ็ญผ่องกระจ่างจับพระพักตร์อยู่เมื่อกี้ก็จางซีดขมุกขมัวลง ท้องฟ้าสลัวมัวพยับครื้มอากาศเย็นเฉียบจับหัวใจ น้ำค้างหยดเผาะ ๆ เป็นหยาดน้ำตาแห่งแห่งสวรรค์ เกษรดอกรังร่วงพรู เป็นสายสหัสธาราสรงสนานพระพุทธสรีระ จักจั่นเรไรสงัดเงียบ ดูไม่มีแก่ใจที่จะทำเสียง ธรรมชาติรอบข้างต่างสลดหมดความคะนองทุกสิ่งทุกอย่าง....!

หมายเลขบันทึก: 512554เขียนเมื่อ 18 ธันวาคม 2012 16:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มกราคม 2013 01:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

บทที่ ๓

กามนิต ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา

กามนิต ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ก็คือพระปุกกุสาติ ท่านเป็นชาวแคว้นคันธาระโดยกำเนิด เรื่องราว ของท่านดังนี้

สถานะเดิม

เกิดในราชตระกูลในกรุงตักกสิลา เป็นพระราชาพระนามว่า ปุกกุสาติการออกบวช

ออกบวชอุทิศแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า แต่พระปุกกุสาติไม่รู้จักพระผู้มีพระภาคเจ้ามาก่อน สาเหตุที่ออกบวชเพราะเลื่อมใสในกิตติศัพท์อันงามที่ได้ยินมาว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นผู้ไกลจากกิเลส รู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ดำเนินไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึกอย่างหาคนอื่นยิ่งกว่ามิได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้แจกธรรม ดังนี้

การบรรลุธรรม

สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเมื่อเสด็จจาริกไปในมคธชนบท  ทรงแวะยังพระนครราชคฤห์ เสด็จเข้าไปหานายช่างหม้อชื่อ ภัคควะ ยังที่อยู่ แล้วตรัสดังนี้ว่า

"ดูกรนายภัคควะ ถ้าไม่เป็นความหนักใจแก่ท่าน เราจะขอพักอยู่ในโรงสักคืนหนึ่งเถิด" นายภัคควะทูลว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่มีความหนักใจเลย แต่ในโรงนี้มีบรรพชิตเข้าไปอยู่ก่อนแล้ว ถ้าบรรพชิตนั้นอนุญาต ก็นิมนต์ท่านพักตามสบายเถิด" สำหรับบรรพชิตที่พักอยู่ก่อนแล้วก็คือท่านปุกกุสาตินั่นเอง ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาท่านปุกกุสาติยังที่พัก แล้วตรัสกะท่านปุกกุสาติดังนี้ว่า "ดูกรภิกษุ ถ้าไม่เป็นความหนักใจแก่ท่าน เราจะขอพักอยู่ในโรงสักคืนหนึ่งเถิด" ท่านปุกกุสาติตอบว่า

"ดูกรท่านผู้มีอายุ โรงช่างหม้อกว้างขวาง นิมนต์ท่านผู้มีอายุพักตามสบายเถิด"  เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่โรงช่างหม้อแล้ว ทรงลาดสันถัดหญ้า ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ประทับนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติมั่นเฉพาะหน้า พระองค์ประทับนั่งล่วงเลยราตรีไปเป็นอันมาก แม้ท่านปุกกุสาติก็นั่งล่วงเลยราตรีไปเป็นอันมากเหมือนกัน ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริดังนี้ว่า "กุลบุตรนี้ประพฤติน่าเลื่อมใสหนอ เราควรจะถามดูบ้าง" ต่อนั้นพระองค์จึงตรัสถามท่านปุกกุสาติดังนี้ว่า

"ดูกรภิกษุ ท่านบวช อุทิศใครเล่า หรือว่าใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร" ท่านปุกกุสาติตอบว่า

"ดูกรท่านผู้มีอายุ มีพระสมณโคดมผู้ศากยบุตร เสด็จออกจากศากยราชสกุลทรงผนวชแล้ว ก็พระโคดมผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแล มีกิตติศัพท์ฟุ้งไป งามอย่างนี้ ข้าพเจ้าบวชอุทิศพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น และพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น"พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า

"ดูกรภิกษุ ก็เดี๋ยวนี้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระองค์นั้นประทับอยู่ที่ไหน ฯ" ท่านปุกกุสาติตอบว่า

"ดูกรท่านผู้มีอายุ มีพระนครชื่อว่าสาวัตถีอยู่ในชนบท ทางทิศเหนือเดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่นั่น ฯ"พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามต่อไปว่า

"ดูกรภิกษุ ก็ท่านเคยเห็นพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นหรือ และท่านเห็นแล้วจะรู้จักไหม ฯ"

ท่านปุกกุสาติตอบว่า

"ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเลย ถึงเห็นแล้วก็ไม่รู้จัก ฯ" ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้มีพระดำริดังนี้ว่า "กุลบุตรนี้บวชอุทิศเรา เราควรจะแสดงธรรมแก่เขา" ต่อนั้น พระองค์จึงตรัสเรียกท่านปุกกุสาติว่า

"ดูกรภิกษุ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป" ท่านปุกกุสาติทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า "ชอบแล้ว ท่านผู้มีอายุ" ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงธรรมจบลง ท่านปุกกุสาติได้บรรลุอนาคามิผลและทราบแน่นอนว่า พระศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาถึงแล้ว จึงลุกจากอาสนะ ทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ซบเศียรลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษล่วงเกินได้ต้องข้าพระองค์เข้าแล้ว ผู้มีอาการโง่เขลา ไม่ฉลาด ซึ่งข้าพระองค์ได้สำคัญถ้อยคำที่เรียกพระผู้มีพระภาคด้วยวาทะว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุ ขอพระผู้มีพระภาคจงรับอดโทษล่วงเกินแก่ข้าพระองค์ เพื่อจะสำรวมต่อไปเถิด" พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอดโทษให้ครั้นแล้วท่านปุกกุสาติก็ขอบวชในพระพุทธศาสนา แต่พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "ดูกรภิกษุ ก็บาตรจีวรของเธอครบแล้วหรือ ฯ" ท่านปุกกุสาติตอบว่า "ยังไม่ครบ พระพุทธเจ้าข้า ฯ" พระพุทธองค์จึงตรัสต่อไปว่า "ดูกรภิกษุ ตถาคตทั้งหลาย จะให้กุลบุตรผู้มีบาตรและจีวรยังไม่ครบอุปสมบทไม่ได้เลย" ท่านปุกกุสาติ ยินดี อนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคกระทำประทักษิณแล้วหลีกไปหาบาตรและจีวร ทันใดนั้นแล แม่โคได้ปลิดชีพท่านปุกกุสาติ ผู้กำลังเที่ยวหาบาตรและจีวรอยู่นั่นเอง

บั้นปลายชีวิต

หลังจากบรรลุอนาคามิผลแล้วได้ไม่ถึงวันก็สิ้นชีพโดยถูกแม่โคตัวเดียวกับที่ขวิดท่านพระพาหิยะขวิดตายขณะที่ท่านกำลังแสวงหาบาตรและจีวร ทั้งนี้ด้วยเป็นเพราะบาปกรรมเก่าในอดีตชาติตามมาให้ผล กรรมเก่านั้น คือ ท่านร่วมกับเพื่อนลวงโสเภณีนางหนึ่งไปฆ่าชิงทรัพย์ เรื่องมีว่า ในชาตินั้นท่านเกิดเป็นเพื่อนกับลูกเศรษฐี วันหนึ่งท่านได้ร่วมกับพวกและบุตรเศรษฐี ๓ คนรวมท่านด้วยเป็น ๔ คน ได้ว่าจ้างโสเภณีนางหนึ่งไปหาความสุขสำราญกันในสวน ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจด้วยราคา ๑,๐๐๐ กหาปณะ ตกเย็นครั้นจ่ายค่าตัวให้นางแล้ว รู้สึกเสียดายจึงวางแผนฆ่านางทิ้งแล้วชิงเอาเงินคืนพร้อมทั้งปลดเอาเครื่องประดับในตัวนางไปด้วย ฝ่ายโสเภณีเมื่อรู้ว่าจะถูกฆ่าแน่ ทั้งที่ตัวเองไม่มีความผิด ก็อ้อนวอนขอชีวิต แต่ก็ไร้ผล ก่อนจะสิ้นชีวิต นางได้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ได้ฆ่าคนเหล่านั้นเป็นการแก้แค้นบ้างในชาติหน้า แรงอาฆาตทำให้นางไปเกิดเป็นนางยักษิณี ฝ่ายพระปุกกุสาติและเพื่อนอีก ๓ คนนั้น เวียนว่ายตายเกิดและตกนรกเพราะกรรมนั้นส่งผล แล้วมาในชาตินี้พระปุกกุสาติก็มาเกิดเป็นมนุษย์ นางยักษิณีอดีตโสเภณีจึงได้แปลงเป็นแม่โคมาขวิดตายหมดทุกคน โดยเพื่อนของท่าน ๓ คน คือ ท่านพระพาหิยะทารุจิริยะ เพชฌฆาตตัมพทาฐิกะ (โจรเคราแดง) และ สุปปพุทธกุฏฐิ (ชายขอทานขี้เรื้อน)

เอตทัคคะ-อดีตชาติ

ท่านไม่ได้ตำแหน่งเอตทัคคะใดๆ และยังต้องบำเพ็ญกิจของพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ เพื่อบรรลุอรหัตผลที่พรหมโลกชั้นปัญจสุทธาวาส ชาติที่ท่านพบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น หลังจากที่พระพุทธเจ้ากัสสปะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้นานแล้ว ช่วงเวลาที่พระพุทธศาสนากำลังใกล้สูญสิ้นไปจากโลก ท่านได้ออกบวชและได้เห็นพุทธบริษัท ๔ เป็นจำนวนมากต่างทอดทิ้งพระธรรมคำสอน จึงเกิดความสลดใจ ท่านพร้อมกับเพื่อนพระอีก ๖ รูป (รวมเป็น ๗ รูป) คิดว่า ตราบใดที่พระศาสนายังไม่เสื่อมสิ้นไป พวกเราจงเป็นที่พึ่งแก่ตนเองเถิด จึงพากันไปสักการะพระสุวรรณเจดีย์สูงหนึ่งโยชน์ที่มหาชนได้ร่วมกันสร้างเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว ได้มองเห็นภูเขาสูงชันลูกหนึ่ง จึงชวนกันขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่บนภูเขาลูกนั้น โดยตั้งใจว่าถ้าไม่สำเร็จมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะยอมสิ้นชีวิตอยู่บนนั้น แล้วจึงตัดไม้ไผ่มาทำเป็นพะอง (บันไดไม้) เพื่อปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผาของภูเขานั้น เมื่อทั้งหมดพากันขึ้นไปยังยอดสูงของภูเขาลูกนั้นแล้ว ก็ผลักพะองให้ตกหน้าผาไปเพื่อไม่ให้มีทางกลับลงมาได้ แล้วต่างก็บำเพ็ญสมณธรรมอยู่บนนั้นในบรรดาภิกษุทั้ง ๗ รูปเหล่านั้น พระเถระผู้อาวุโสสูงสุด ก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยอภิญญา ๖ ในคืนนั้นเอง ครั้นรุ่งเช้าพระมหาเถระจึงเหาะไปสู่ หิมวันตประเทศด้วยฤทธิ์ ล้างหน้าที่สระอโนดาต เที่ยวไปบิณฑบาตในอุตตรกุรุทวีป ฉันอาหารเสร็จแล้วได้ไปยังที่อื่นต่อไป ได้ภัตตาหารเต็มบาตรแล้ว เอาน้ำที่ สระอโนดาตล้างหน้าแล้วและเคี้ยวไม้สีฟันชื่อ อนาคลดา แล้วจึงนำภัตและสิ่งของเหล่านั้นมายังพระภิกษุเหล่านั้นที่ยังไม่บรรลุธรรมอันวิเศษ แล้วกล่าวว่า อาวุโส ทั้งหลาย บิณฑบาตนี้ผมนำมาจากแคว้นอุตรกุรุ น้ำและไม้สีฟันนี้นำมาจากหิมวันตประเทศ ท่านทั้งหลายจงฉันภัตตาหารนี้บำเพ็ญ สมณธรรมเถิด ผมจะอุปัฏฐากพวกท่านอย่างนี้ตลอดไป ภิกษุเหล่านั้นได้ฟัง แล้วจึงกล่าวว่า พระคุณเจ้าขอรับ พระคุณเจ้าทำกิจเสร็จแล้ว พวกกระผม แม้เพียงสนทนากับพระคุณเจ้าก็เสียเวลาอยู่แล้ว บัดนี้ ขอพระคุณเจ้าอย่ามาหา พวกกระผมอีกเลย พระมหาเถระนั้นเมื่อไม่สามารถจะให้ภิกษุเหล่านั้นยินยอม ได้โดยวิธีใด ๆ ก็หลีกไปแต่นั้นบรรดาภิกษุเหล่านั้นรูปหนึ่ง โดยล่วงไป ๒-๓ วันได้เป็น พระอนาคามีได้อภิญญา ๕ ภิกษุนั้นก็ได้ทำเหมือนอย่างเช่นที่พระเถระที่บรรลุพระอรหัตทำเหมือนกัน ครั้นถูกภิกษุที่เหลือที่ยังไม่บรรลุธรรมใด ๆ ห้าม ก็กลับไปเช่นเดียวกัน ภิกษุที่เหลือ ๕ องค์นั้น ครั้นถึงวันที่ ๗ จากวันที่ขึ้นไปสู่ภูเขาก็ยังไม่บรรลุคุณวิเศษใด ๆ จึงมรณภาพแล้วก็ไปเกิดในเทวโลก ฝ่ายพระเถระผู้เป็นขีณาสพก็ปรินิพพานในวันนั้นนั่นเอง ท่านที่เป็นพระอนาคามีได้บังเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส เทพบุตรทั้ง ๕ เสวยทิพยสมบัติใน สวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้นกลับไปกลับมา จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน (พระพุทธเจ้าโคดม) ทั้งหมดนั้นได้มาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง

บทที่ ๔

ที่มาสำคัญในพระไตรปิฎกและอรรถกถา

เรื่องกามนิตมีที่มาในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์  ๑๐. ธาตุวิภังคสูตร (๑๔๐)

 [๖๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเมื่อเสด็จจาริกไปในมคธชนบท ทรงแวะยังพระนครราชคฤห์ เสด็จเข้าไปหานายช่างหม้อชื่อภัคควะยังที่อยู่ แล้วตรัสดังนี้ว่า

  ดูกรนายภัคควะ ถ้าไม่เป็นความหนักใจแก่ท่าน เราจะขอพักอยู่ในโรงสักคืนหนึ่งเถิด นายภัคควะทูลว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่มีความหนักใจเลย แต่ในโรงนี้มีบรรพชิตเข้าไปอยู่ก่อนแล้ว ถ้าบรรพชิตนั้นอนุญาต ก็นิมนต์ท่านพักตามสบายเถิด ฯ

 [๖๗๔] ก็สมัยนั้นแล กุลบุตรชื่อปุกกุสาติ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตอุทิศพระผู้มีพระภาคด้วยศรัทธา ปุกกุสาติกุลบุตรนั้นเข้าไปพักอยู่ในโรงของนายช่างหม้อนั้นก่อนแล้ว ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาท่านปุกกุสาติยังที่พัก แล้วตรัสกะท่านปุกกุสาติดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ ถ้าไม่เป็นความหนักใจแก่ท่าน เราจะขอพักอยู่ในโรงสักคืนหนึ่งเถิด ท่านปุกกุสาติตอบว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุ โรงช่างหม้อกว้างขวาง นิมนต์ท่านผู้มีอายุพักตามสบายเถิด ฯ

 [๖๗๕] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่โรงช่างหม้อแล้ว ทรงลาดสันถัดหญ้า ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ประทับนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติมั่นเฉพาะหน้า พระองค์ประทับนั่งล่วงเลยราตรีไปเป็นอันมาก แม้ท่านปุกกุสาติก็นั่งล่วงเลยราตรีไปเป็นอันมากเหมือนกัน ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริดังนี้ว่า กุลบุตรนี้ประพฤติน่าเลื่อมใสหนอ เราควรจะถามดูบ้าง ต่อนั้นพระองค์จึงตรัสถามท่านปุกกุสาติดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ ท่านบวช อุทิศใครเล่าหรือว่าใครเป็นศาสดาของท่านหรือท่านชอบใจธรรมของใคร ฯ

 [๖๗๖] ท่านปุกกุสาติตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ มีพระสมณโคดมผู้ศากยบุตร เสด็จออกจากศากยราชสกุล ทรงผนวชแล้ว ก็พระโคดมผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแล มีกิตติศัพท์ฟุ้งไป งามอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุดังนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นผู้ไกลจากกิเลส รู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ดำเนินไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึกอย่างหาคนอื่นยิ่งกว่ามิได้เป็นครูของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้แจกธรรม ดังนี้ ข้าพเจ้าบวชอุทิศพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น และพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯ

พ. ดูกรภิกษุ ก็เดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระองค์นั้นประทับอยู่ที่ไหน ฯ

ปุ. ดูกรท่านผู้มีอายุ มีพระนครชื่อว่าสาวัตถีอยู่ในชนบท ทางทิศเหนือเดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่นั่น ฯ

พ. ดูกรภิกษุ ก็ท่านเคยเห็นพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นหรือ และท่านเห็นแล้วจะรู้จักไหม ฯ

ปุ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเลยถึงเห็นแล้วก็ไม่รู้จัก ฯ

 [๖๗๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้มีพระดำริดังนี้ว่า กุลบุตรนี้บวช

อุทิศเรา เราควรจะแสดงธรรมแก่เขา ต่อนั้น พระองค์จึงตรัสเรียกท่านปุกกุสาติว่า ดูกรภิกษุ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจัก

กล่าวต่อไป ท่านปุกกุสาติทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว ท่านผู้มีอายุ ฯ

 [๖๗๘] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีธาตุ ๖มีแดนสัมผัส ๖ มีความหน่วงนึกของใจ ๑๘ มีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อันเป็นธรรมที่ผู้ตั้งอยู่แล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมมเป็นไปก็เมื่อกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม ไม่เป็นไปอยู่ บัณฑิตจะเรียกเขาว่า มุนีผู้สงบแล้ว ไม่พึงประมาทปัญญา พึงตามรักษาสัจจะ พึงเพิ่มพูนจาคะพึงศึกษาสันติเท่านั้น นี้อุเทศแห่งธาตุวิภังค์หก ฯ

 [๖๗๙] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีธาตุ ๖ นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ ธาตุนี้มี ๖ อย่าง คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุวาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีธาตุ ๖นั่นเราอาศัยธาตุดังนี้กล่าวแล้ว ฯ

 [๖๘๐] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีแดนสัมผัส ๖ นั่นเราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน เป็นแดนสัมผัส ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีแดนสัมผัส ๖ นั่น เราอาศัยอายตนะดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ

 [๖๘๑] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีความหน่วงนึกของใจ ๑๘ นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว คือ บุคคลเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมหน่วงนึก รูปเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส หน่วงนึกรูปเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส หน่วงนึกรูปเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา ฟังเสียงด้วยโสตแล้ว ... ดมกลิ่นด้วยฆานะแล้ว ... ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ... รู้ธรรมารมณ์ด้วยมโนแล้ว ย่อมหน่วงนึกธรรมารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส หน่วงนึกธรรมารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส หน่วงนึกธรรมารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา นี้เป็นการหน่วงนึกโสมนัส ๖ หน่วงนึกโทมนัส ๖ หน่วงนึกอุเบกขา ๖ ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีความหน่วงนึกของใจ ๑๘ นั่น เราอาศัยความหน่วงนึกดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ

 [๖๘๒] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว คือ มีปัญญาเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ มีสัจจะเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ มีจาคะเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ มีอุปสมะเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุ คนเรานี้มีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔นั่น เราอาศัยธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ

 [๖๘๓] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงประมาทปัญญา พึงตามรักษาสัจจะพึงเพิ่มพูนจาคะ พึงศึกษาสันติเท่านั้น นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุอย่างไรเล่า ชื่อว่าไม่ประมาทปัญญา ดูกรภิกษุ ธาตุนี้มี ๖ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุเตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ ฯ

 [๖๘๔] ดูกรภิกษุ ก็ปฐวีธาตุเป็นไฉน คือ ปฐวีธาตุภายในก็มี ภายนอกก็มี ก็ปฐวีธาตุภายในเป็นไฉน ได้แก่สิ่งที่แค่นแข็ง กำหนดได้ มีในตน อาศัยตนคือ ผม ขนเล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า หรือแม้สิ่งอื่นไม่ว่าชนิดไรๆ ที่แค่นแข็ง กำหนดได้ มีในตน อาศัยตน นี้เรียกว่าปฐวีธาตุภายใน ก็ปฐวีธาตุทั้งภายในและภายนอก นี้แล เป็นปฐวีธาตุทั้งนั้นพึงเห็นปฐวีธาตุนั้นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเราไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา ครั้นเห็นแล้วจะเบื่อหน่ายปฐวีธาตุ และจะให้จิตคลายกำหนัดปฐวีธาตุได้ ฯ

 [๖๘๕] ดูกรภิกษุ ก็อาโปธาตุเป็นไฉน คืออาโปธาตุภายในก็มี ภายนอกก็มี ก็อาโปธาตุภายใน เป็นไฉน ได้แก่สิ่งที่เอิบอาบ ซึมซาบไป กำหนดได้มีในตน อาศัยตน คือ ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร หรือแม้สิ่งอื่นไม่ว่าชนิดไรๆ ที่เอิบอาบซึมซาบไป กำหนดได้ มีในตน อาศัยตน นี้เรียกว่า อาโปธาตุภายใน ก็อาโปธาตุทั้งภายในและภายนอก นี้แล เป็นอาโปธาตุทั้งนั้น พึงเห็นอาโปธาตุนั้นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา ครั้นเห็นแล้ว จะเบื่อหน่ายอาโปธาตุ และจะให้จิตคลายกำหนัดอาโปธาตุได้ ฯ

 [๖๘๖] ดูกรภิกษุ ก็เตโชธาตุเป็นไฉน คือ เตโชธาตุภายในก็มี ภายนอกก็มี ก็เตโชธาตุภายในเป็นไฉน ได้แก่สิ่งที่อบอุ่น ถึงความเร่าร้อน กำหนดได้มีในตน อาศัยตน คือ ธาตุที่เป็นเครื่องยังกายให้อบอุ่น ยังกายให้ทรุดโทรมยังกายให้กระวนกระวาย และธาตุที่เป็นเหตุให้ของที่กิน ที่ดื่ม ที่เคี้ยว ที่ลิ้มแล้วถึงความย่อยไปด้วยดี หรือแม้ สิ่งอื่นไม่ว่าชนิดไรๆ ที่อบอุ่น ถึงความเร่าร้อนกำหนดได้ มีในตน อาศัยตน นี้เรียกว่า เตโชธาตุภายใน ก็เตโชธาตุทั้งภายในและภายนอก นี้แล เป็นเตโชธาตุทั้งนั้น พึงเห็นเตโชธาตุนั้นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา ครั้นเห็นแล้ว จะเบื่อหน่ายเตโชธาตุ และจะให้จิตคลายกำหนัดเตโชธาตุได้ ฯ

 [๖๘๗] ดูกรภิกษุ ก็วาโยธาตุเป็นไฉน คือ วาโยธาตุภายในก็มี ภายนอกก็มี ก็วาโยธาตุภายในเป็นไฉน ได้แก่สิ่งที่พัดผันไป กำหนดได้ มีในตน อาศัยตนคือ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในลำไส้ ลมแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า หรือแม้สิ่งอื่นไม่ว่าชนิดไรๆที่พัดผันไป กำหนดได้ มีในตน อาศัยตน นี้เรียกว่าวาโยธาตุภายใน ก็วาโยธาตุทั้งภายในและภายนอก นี้แล เป็นวาโยธาตุทั้งนั้น พึงเห็นวาโยธาตุนั้นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเราครั้นเห็นแล้ว จะเบื่อหน่ายวาโยธาตุ และจะให้จิตคลายกำหนัดวาโยธาตุได้ ฯ

 [๖๘๘] ดูกรภิกษุ ก็อากาสธาตุเป็นไฉน คือ อากาสธาตุภายในก็มีภายนอกก็มี ก็อากาสธาตุภายในเป็นไฉน ได้แก่สิ่งที่ว่าง ปรุโปร่ง กำหนดได้มีในตน อาศัยตน คือ ช่องหู ช่องจมูก ช่องปากซึ่งเป็นทางให้กลืนของที่กินที่ดื่ม ที่เคี้ยว ที่ลิ้ม เป็นที่ตั้งของที่กิน ที่ดื่ม ที่เคี้ยว ที่ลิ้ม และเป็นทางระบายของที่กิน ที่ดื่ม ที่เคี้ยว ที่ลิ้มแล้วออกทางเบื้องล่าง หรือแม้สิ่งอื่น ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่ว่าง ปรุโปร่ง กำหนดได้ มีในตน อาศัยตน นี้เรียกว่า อากาสธาตุภายใน ก็อากาสธาตุทั้งภายในและภายนอก นี้แล เป็นอากาสธาตุทั้งนั้น พึงเห็นอากาสธาตุนั้นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเราไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา ครั้นเห็นแล้ว จะเบื่อหน่ายอากาสธาตุ และจะให้จิตคลายกำหนัดอากาสธาตุได้ ฯ

 [๖๘๙] ต่อนั้นสิ่งที่จะเหลืออยู่อีกก็คือวิญญาณอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง บุคคลย่อมรู้อะไรๆ ได้ด้วยวิญญาณนั้น คือ รู้ชัดว่า สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง ดูกรภิกษุ เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา ย่อมเกิดสุขเวทนาบุคคลนั้นเมื่อเสวยสุขเวทนา ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยสุขเวทนาอยู่ เพราะผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนานั้นแลดับไป ย่อมรู้สึกว่า ความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่ผัสสะนั้น คือตัวสุขเวทนาอันเกิดเพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา ย่อมดับย่อมเข้าไปสงบ เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา ย่อมเกิดทุกขเวทนาบุคคลนั้นเมื่อเสวยทุกขเวทนา ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยทุกขเวทนาอยู่ เพราะผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนานั้นแลดับไป ย่อมรู้สึกว่า ความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่ผัสสะนั้น คือตัวทุกขเวทนาอันเกิดเพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนาย่อมดับ ย่อมเข้าไปสงบ เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา ย่อมเกิดอทุกขมสุขเวทนา บุคคลนั้นเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ เพราะผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนานั้นแลดับไปย่อมรู้สึกว่าความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่ผัสสะนั้น คือตัวอทุกขมสุขเวทนาอันเกิดเพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา ย่อมดับ ย่อมเข้าไปสงบ ฯ

 [๖๙๐] ดูกรภิกษุ เปรียบเหมือนเกิดความร้อน เกิดไฟได้ เพราะไม้สองท่อนประชุมสีกัน ความร้อนที่เกิดแต่ไม้สองท่อนนั้น ย่อมดับ ย่อมเข้าไปสงบ เพราะไม้สองท่อนนั้นเองแยกกันไปเสียคนละทาง แม้ฉันใด

  ดูกรภิกษุฉันนั้นเหมือนกันแล เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา ย่อมเกิดสุขเวทนาบุคคลนั้นเมื่อเสวยสุขเวทนา ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยสุขเวทนาอยู่ เพราะผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนานั้นแลดับไป ย่อมรู้สึกว่า ความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่ผัสสะนั้น คือตัวสุขเวทนาอันเกิดเพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา ย่อมดับย่อมเข้าไปสงบ เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา ย่อมเกิดทุกขเวทนาบุคคลนั้นเมื่อเสวยทุกขเวทนา ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยทุกขเวทนาอยู่ เพราะผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนานั้นแลดับไป ย่อมรู้สึกว่า ความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่ผัสสะนั้น คือ ตัวทุกขเวทนาอันเกิดเพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนาย่อมดับ ย่อมเข้าไปสงบ เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา ย่อมเกิดอทุกขมสุขเวทนา บุคคลนั้นเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ เพราะผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนานั้นแลดับไปย่อมรู้สึกว่า ความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่ผัสสะนั้น คือตัวอทุกขมสุขเวทนาอันเกิดเพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา ย่อมดับ ย่อมเข้าไปสงบ ต่อนั้นสิ่งที่จะเหลืออยู่อีกก็คือ อุเบกขา อันบริสุทธิ์ ผุดผ่อง อ่อนโยน สละสลวยและผ่องแผ้ว ฯ

 [๖๙๑] ดูกรภิกษุ เปรียบเหมือนนายช่างทอง หรือลูกมือของนายช่างทองผู้ฉลาด ติดเตาสุมเบ้าแล้ว เอาคีมคีบทองใส่เบ้า หลอมไป ซัดน้ำไป สังเกตดูไปเป็นระยะๆ ทองนั้นจะเป็นของถูกไล่ขี้แล้ว หมดฝ้า เป็นเนื้ออ่อน สลวยและผ่องแผ้ว เขาประสงค์ชนิดเครื่องประดับใดๆ จะเป็นแหวน ตุ้มหู เครื่องประดับ มาลัยทองก็ตาม ย่อมสำเร็จความประสงค์อันนั้นแต่ทองนั้นได้ ฉันใด

  ดูกรภิกษุ ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่อเหลืออยู่แต่อุเบกขา อันบริสุทธิ์ ผุดผ่องอ่อนโยน สละสลวย และผ่องแผ้ว บุคคลนั้นย่อมรู้สึกอย่างนี้ว่า ถ้าเราน้อมอุเบกขานี้ อันบริสุทธิ์ ผุดผ่องอย่างนี้ เข้าไปสู่อากาสานัญจายตนฌาน และเจริญจิตมีธรรมควรแก่ฌานนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ อุเบกขาของเรานี้ ก็จะเป็นอุเบกขาอาศัยอากาสานัญจายตนฌานนั้น ยึดอากาสานัญจายตนฌานนั้น ดำรงอยู่ตลอดกาลยืนนาน ถ้าเราน้อมอุเบกขานี้ อันบริสุทธิ์ ผุดผ่องอย่างนี้ เข้าไปสู่วิญญาณัญจายตนฌาน และเจริญจิตมีธรรมควรแก่ฌานนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ อุเบกขาของเรานี้ก็จะเป็นอุเบกขาอาศัยวิญญาณัญจายตนฌานนั้น ยึดวิญญาณัญจายตนฌานนั้นดำรงอยู่ตลอดกาลยืนนาน ถ้าเราน้อมอุเบกขานี้ อันบริสุทธิ์ ผุดผ่องอย่างนี้ เข้าไปสู่อากิญจัญญายตนฌาน และเจริญจิตมีธรรมควรแก่ฌานนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ อุเบกขาของเรานี้ ก็จะเป็นอุเบกขาอาศัยอากิญจัญญายตนฌานนั้น ยึดอากิญจัญญายตนฌานนั้น ดำรงอยู่ตลอดกาลยืนนาน ถ้าเราน้อมอุเบกขานี้ อันบริสุทธิ์ ผุดผ่องอย่างนี้เข้าไปสู่เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น และเจริญจิตมีธรรมควรแก่ฌานนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ อุเบกขาของเรานี้ ก็จะเป็นอุเบกขาอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น ยึดเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น ดำรงอยู่ตลอดกาลยืนนาน บุคคลนั้นย่อมรู้สึกอย่างนี้ว่า ถ้าเราน้อมอุเบกขานี้ อันบริสุทธิ์ ผุดผ่องอย่างนี้ เข้าไปสู่อากาสานัญจายตนฌาน และเจริญจิตมีธรรมควรแก่ฌานนั้น จิตนี้ก็เป็นสังขตะถ้าเราน้อมอุเบกขานี้ อันบริสุทธิ์ ผุดผ่องอย่างนี้ เข้าไปสู่วิญญาณัญจายตนฌานและเจริญจิตมีธรรมควรแก่ฌานนั้น จิตนี้ก็เป็นสังขตะ ถ้าเราน้อมอุเบกขานี้อันบริสุทธิ์ ผุดผ่อง อย่างนี้ เข้าไปสู่อากิญจัญญายตนฌาน และเจริญจิตมีธรรมควรแก่ฌานนั้น จิตนี้ก็เป็นสังขตะ ถ้าเราน้อมอุเบกขานี้ อันบริสุทธิ์ ผุดผ่องอย่างนี้ เข้าไปสู่เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และเจริญจิตมีธรรมควรแก่ฌานนั้นจิตนี้ก็เป็นสังขตะ บุคคลนั้นจะไม่คำนึง จะไม่คิดถึงความเจริญหรือความเสื่อมเลยเมื่อไม่คำนึง ไม่คิดถึง ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่หวาดเสียว เมื่อไม่หวาดเสียว ย่อมปรินิพพานเฉพาะตนทีเดียว ย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ถ้าเขาเสวยสุขเวทนาอยู่ ย่อมรู้สึกว่า สุขเวทนานั้น ไม่เที่ยงอันบัณฑิตไม่ติดใจ ไม่เพลิดเพลิน ถ้าเสวยทุกขเวทนาอยู่ ย่อมรู้สึกว่า ทุกขเวทนานั้น ไม่เที่ยง อันบัณฑิตไม่ติดใจ ไม่เพลิดเพลิน ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ย่อมรู้สึกว่า อทุกขมสุขเวทนานั้น ไม่เที่ยง อันบัณฑิตไม่ติดใจ ไม่เพลิดเพลินถ้าเสวยสุขเวทนาก็เป็นผู้พรากใจเสวย ถ้าเสวยทุกขเวทนาก็เป็นผู้พรากใจเสวยถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนาก็เป็นผู้พรากใจเสวย เขาเมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุดย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุดย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด และรู้สึกว่า เบื้องหน้าแต่สิ้นชีวิตเพราะตายไปแล้ว ความเสวยอารมณ์ทั้งหมดที่ยินดีกันแล้วในโลกนี้แล จักเป็นของสงบ ฯ

 [๖๙๒] ดูกรภิกษุ เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน อาศัยน้ำมันและไส้จึงโพลงอยู่ได้ เพราะสิ้นน้ำมันและไส้นั้น และไม่เติมน้ำมัน และไส้อื่น ย่อมเป็นประทีปหมดเชื้อ ดับไป ฉันใด ดูกรภิกษุ ฉันนั้นเหมือนกันแล บุคคลนั้นเมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด และรู้สึกว่า เบื้องหน้าแต่สิ้นชีวิต เพราะตายไปแล้ว ความเสวยอารมณ์ทั้งหมดที่ยินดีกันแล้วในโลกนี้แล จักเป็นของสงบ เพราะเหตุนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้สึกอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งประการนี้ก็ปัญญานี้ คือความรู้ในความสิ้นทุกข์ทั้งปวง เป็นปัญญาอันประเสริฐยิ่ง ความหลุดพ้นของเขานั้น จัดว่าตั้งอยู่ในสัจจะ เป็นคุณไม่กำเริบ

  ดูกรภิกษุ เพราะสิ่งที่เปล่าประโยชน์เป็นธรรมดา นั้นเท็จ สิ่งที่ไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดา ได้แก่นิพพาน นั้นจริง ฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งประการนี้ ก็สัจจะนี้ คือนิพพาน มีความไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดา เป็นสัจจะอันประเสริฐยิ่ง อนึ่ง บุคคลนั้นแล ยังไม่ทราบในกาลก่อน จึงเป็นอันพรั่งพร้อม สมาทานอุปธิเข้าไว้ อุปธิเหล่านั้นเป็นอันเขาละได้แล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วนแล้ว ถึงความเป็นอีกไม่ได้ มีความไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยการสละอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งประการนี้ก็จาคะนี้ คือความสละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นจาคะอันประเสริฐยิ่ง อนึ่ง บุคคลนั้นแล ยังไม่ทราบในกาลก่อน จึงมีอภิชฌา ฉันทะ ราคะกล้า อาฆาต พยาบาทความคิดประทุษร้าย อวิชชา ความหลงพร้อม และความหลงงมงาย อกุศลธรรมนั้นๆ เป็นอันเขาละได้แล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วนแถึงความเป็นอีกไม่ได้ มีความไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยความสงบอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึ

ดูกรภิกษุ เพราะสิ่งที่เปล่าประโยชน์เป็นธรรมดา นั้นเท็จ สิ่งที่ไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดา ได้แก่นิพพาน นั้นจริง ฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งประการนี้ ก็สัจจะนี้ คือนิพพาน มีความไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดา เป็นสัจจะอันประเสริฐยิ่ง อนึ่ง บุคคลนั้นแล ยังไม่ทราบในกาลก่อน จึงเป็นอันพรั่งพร้อม สมาทานอุปธิเข้าไว้ อุปธิเหล่านั้นเป็นอันเขาละได้แล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วนแล้ว ถึงความเป็นอีกไม่ได้ มีความไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยการสละอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งประการนี้ก็จาคะนี้ คือความสละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นจาคะอันประเสริฐยิ่ง อนึ่ง บุคคลนั้นแล ยังไม่ทราบในกาลก่อน จึงมีอภิชฌา ฉันทะ ราคะกล้า อาฆาต พยาบาทความคิดประทุษร้าย อวิชชา ความหลงพร้อม และความหลงงมงาย อกุศลธรรมนั้นๆ เป็นอันเขาละได้แล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วนแถึงความเป็นอีกไม่ได้ มีความไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยความสงบอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปสมะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งประการนี้ ก็อุปสมะนี้ คือความเข้าไปสงบราคะ โทสะ โมหะ เป็นอุปสมะอันประเสริฐอย่างยิ่ง ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงประมาทปัญญา พึงตามรักษาสัจจะ พึงเพิ่มพูนจาคะ พึงศึกษาสันติเท่านั้น นั่น เราอาศัยเนื้อความนี้กล่าวแล้ว ฯ

 [๖๙๓] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า คนเรามีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อันเป็นธรรมที่ผู้ตั้งอยู่แล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมมเป็นไปก็เมื่อกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม ไม่เป็นไปอยู่ บัณฑิตจะเรียกเขาว่า มุนีผู้สงบแล้ว นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ ความสำคัญ

ตนมีอยู่ดังนี้ว่า เราเป็น เราไม่เป็น เราจักเป็น เราจักไม่เป็น เราจักต้องเป็นสัตว์มีรูป เราจักต้องเป็นสัตว์ไม่มีรูป เราจักต้องเป็นสัตว์มีสัญญา เราจักต้องเป็นสัตว์ไม่มีสัญญา เราจักต้องเป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่

  ดูกรภิกษุความสำคัญตนจัดเป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร ก็ท่านเรียกบุคคลว่า เป็นมุนีผู้สงบแล้ว เพราะล่วงความสำคัญตนได้ทั้งหมดเทียว และมุนีผู้สงบแล้วแล ย่อมไม่เกิดไม่แก่ ไม่ตาย ไม่กำเริบ ไม่ทะเยอทะยาน แม้มุนีนั้นก็ไม่มีเหตุที่จะต้องเกิด เมื่อไม่เกิด จักแก่ได้อย่างไร เมื่อไม่แก่ จักตายได้อย่างไร เมื่อไม่ตายจักกำเริบได้อย่างไร เมื่อไม่กำเริบ จักทะเยอทะยานได้อย่างไร ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า คนเรามีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อันเป็นธรรมที่ผู้ตั้งอยู่แล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม เป็นไป ก็เมื่อกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม ไม่เป็นไปอยู่ บัณฑิตจะเรียกเขาว่า มุนีผู้สงบแล้ว นั่นเราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ ท่านจงทรงจำธาตุวิภังค์ ๖ โดยย่อนี้ของเราไว้เถิด ฯ

 [๖๙๔] ลำดับนั้นแล ท่านปุกกุสาติทราบแน่นอนว่า พระศาสดาพระสุคต พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาถึงแล้วโดยลำดับ จึงลุกจากอาสนะทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ซบเศียรลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษล่วงเกินได้ต้องข้าพระองค์เข้าแล้ว ผู้มีอาการโง่เขลา ไม่ฉลาด ซึ่งข้าพระองค์ได้สำคัญถ้อยคำที่เรียกพระผู้มี-พระภาคด้วยวาทะว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ขอพระผู้มีพระภาคจงรับอดโทษล่วงเกินแก่ข้าพระองค์ เพื่อจะสำรวมต่อไปเถิด ฯ

 [๖๙๕] พ. ดูกรภิกษุ เอาเถอะ โทษล่วงเกินได้ต้องเธอผู้มีอาการโง่เขลา ไม่ฉลาด ซึ่งเธอได้สำคัญถ้อยคำที่เรียกเราด้วยวาทะว่า ดูกรท่านผู้มีอายุแต่เพราะเธอเห็นโทษล่วงเกินโดยความเป็นโทษแล้วกระทำคืนตามธรรม เราขอรับอดโทษนั้นแก่เธอ ดูกรภิกษุ ก็ข้อที่บุคคลเห็นโทษล่วงเกินโดยความเป็นโทษแล้วกระทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไปได้ นั่นเป็นความเจริญในอริยวินัย ฯ

ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าพระองค์พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเถิด ฯ

พ. ดูกรภิกษุ ก็บาตรจีวรของเธอครบแล้วหรือ ฯ

ปุ. ยังไม่ครบ พระพุทธเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรภิกษุ ตถาคตทั้งหลาย จะให้กุลบุตรผู้มีบาตรและจีวรยังไม่ครบอุปสมบทไม่ได้เลย ฯ

 [๖๙๖] ลำดับนั้น ท่านปุกกุสาติ ยินดี อนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคกระทำประทักษิณแล้วหลีกไปหาบาตรจีวร ทันใดนั้นแล แม่โคได้ปลิดชีพท่านปุกกุสาติ ผู้กำลังเที่ยวหาบาตรจีวรอยู่ ต่อนั้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตรชื่อปุกกุสาติที่พระผู้มีพระภาคตรัสสอนด้วยพระโอวาทย่อๆ คนนั้น ทำกาละเสียแล้ว เขาจะมีคติอย่างไร มีสัมปรายภพอย่างไร ฯ

 [๖๙๗] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุกกุสาติกุลบุตรเป็นบัณฑิต ได้บรรลุธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว ทั้งไม่ให้เราลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม

  ดูกรภิกษุทั้งหลายปุกกุสาติกุลบุตร เป็นผู้เข้าถึงอุปปาติกเทพ เพราะสิ้นสัญโญชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ เป็นอันปรินิพพานในโลกนั้น มีความไม่กลับมาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ  จบ ธาตุวิภังคสูตร ที่ ๑๐

ในคัมภีร์อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค ธาตุวิภังคสูตร

๑๐. อรรถกถาธาตุวิภังคสูตร

   ธาตุวิภังคสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับอย่างนี้ :- ในบทเหล่านั้น

บทว่า จาริกํ ได้แก่ จาริกไปโดยรีบด่วน.

บทว่า สเจ เต อครุ ความว่า ถ้าไม่เป็นความหนักใจ คือไม่ผาสุกอะไรแก่ท่าน. บทว่าสเจ โส อนุชานาติ ความว่า ได้ยินว่า ภัคควะมีความคิดอย่างนี้ว่า ธรรมดาบรรพชิตทั้งหลาย ย่อมมีอัธยาศัยต่างกัน คนหนึ่งมีหมู่เป็นที่มายินดี คนหนึ่งยินดีอยู่คนเดียว ถ้าคนนั้นยินดีอยู่คนเดียวจักกล่าวว่า ดูก่อนผู้มีอายุ ท่านอย่าเข้ามา ข้าพเจ้าได้ศาลาแล้ว ถ้าคนนี้ยินดีอยู่คนเดียว ก็จักพูดว่า ดูก่อนผู้มีอายุ ท่านจงออกไป ข้าพเจ้าได้ศาลาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จักเป็นเหตุให้คนทั้งสองทำการทะเลาะกัน ธรรมดาสิ่งที่ให้แล้ว ก็ควรเป็นอันให้แล้วเทียว สิ่งที่ทำแล้ว ก็ควรเป็นอันทำแล้วแล. เพราะฉะนั้น จึงกล่าวอย่างนี้.

บทว่า กุลปุตฺโต ได้แก่ กุลบุตรโดยชาติบ้าง กุลบุตรโดยมรรยาทบ้าง. บทว่า วาสูปคโต ได้แก่ เข้าไปอยู่แล้ว. ถามว่า กุลบุตรนั้นมาจากไหน. ตอบว่า จากนครตักกศิลา. ในเรื่องนั้นมีการเล่าโดยลำดับดังนี้. ได้ยินว่า ครั้นเมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสวยราชสมบัติในพระนครราชคฤห์ ในมัชฌิมประเทศ. พระเจ้าปุกกุสาติเสวยราชสมบัติในพระนครตักกศิลา ในปัจจันตประเทศครั้งนั้น พ่อค้าทั้งหลายต่างก็เอาสินค้าจากพระนครตักกศิลามาสู่พระนครราชคฤห์ นำบรรณาการไปถวายแด่พระราชา. พระราชาตรัสถามพ่อค้าเหล่านั้นผู้ยืนถวายบังคมว่า พวกท่านอยู่ที่ไหน. ขอเดชะ อยู่ในพระนครตักกศิลา.
 ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามถึงความเกษม และความที่ภิกษาหาได้ง่ายเป็นต้นของชนบทและประวัติแห่งพระนครกะพ่อค้าเหล่านั้นแล้ว ตรัสถามว่า พระราชาของพวกท่านมีพระนามอย่างไร. พระนามว่า ปุกกุสาติ พระเจ้าข้า. ทรงดำรงอยู่ในธรรมหรือ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ทรงดำรงอยู่ในธรรม ทรงสงเคราะห์ชนด้วยสังคหวัตถุสี่ ทรงดำรงอยู่ในฐานะมารดาบิดาของโลก ทรงยังชนดุจทารกนอนบนตักให้ยินดี. ทรงมีวัยเท่าใด. ลำดับนั้น พวกพ่อค้าทูลบอกวัยแด่พระราชานั้นทรงมีวัยเท่ากับพระเจ้าพิมพิสาร. ครั้งนั้น พระราชาตรัสกะพ่อค้าเหล่านั้นว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย พระราชาของพวกท่านดำรงอยู่ในธรรม และทรงมีวัยเท่ากับเรา พวกท่านพึงอาจเพื่อทำพระราชาของพวกท่านให้เป็นมิตรกับเราหรือ. อาจ พระเจ้าข้า. พระราชาทรงสละภาษีแก่พ่อค้าเหล่านั้น ทรงให้พระราชทานเรือนแล้วตรัสว่า พวกท่านประสงค์ในเวลาขายสินค้ากลับไป พวกท่านพึงพบเราแล้วจึงกลับไปดังนี้. พ่อค้าเหล่านั้นทำอย่างนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระราชาในเวลากลับ.
 พระราชาตรัสว่า พวกท่านจงกลับไป พวกท่านจงทูลถามถึงความไม่มีพระโรคบ่อยๆ ตามคำของเรา แล้วทูลว่า พระราชาทรงพระประสงค์มิตรภาพกับพระองค์. พ่อค้าเหล่านั้นทูลรับพระราชโองการแล้ว ไปรวบรวมสินค้า รับประทานอาหารเช้าแล้ว เข้าไปถวายบังคมพระราชา. พระราชาตรัสถามว่า แน่ะพนาย พวกท่านไปไหน ไม่เห็นหลายวันแล้ว. พวกพ่อค้าทูลบอกเรื่องราวทั้งหมดแด่พระราชา. พระราชาทรงมีพระหฤทัยยินดีว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย เป็นการดีเช่นกับเรา พระราชาในมัชฌิมประเทศได้มิตรแล้วเพราะอาศัยพวกท่าน.
 ในเวลาต่อมา พ่อค้าทั้งหลายแม้อยู่ในพระนครราชคฤห์ ก็ไปสู่พระนครตักกศิลา. พระเจ้าปุกกุสาติตรัสถามพ่อค้าเหล่านั้นผู้ถือบรรณาการมาว่า พวกท่านมาจากไหน. พระราชาทรงสดับว่าจากพระนครราชคฤห์จึงตรัสว่า พวกท่านมาจากพระนครของพระสหายเรา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามถึงความไม่มีพระโรคว่า พระสหายของเราไม่มีพระโรคหรือ แล้วทรงให้ตีกลองประกาศว่า จำเดิมแต่วันนี้ พวกพ่อค้าเดินเท้า หรือพวกเกวียนเหล่าใด มาจากพระนครของพระสหายเรา จำเดิมแต่กาลที่พ่อค้าทั้งปวง เข้ามาสู่เขตแดนของเรา จงให้เรือนเป็นที่พักอาศัยและเสบียงจากพระคลังหลวง จงสละภาษี อย่าทำอันตรายใดๆ แก่พ่อค้าเหล่านั้นดังนี้. ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารก็ทรงให้ตีกลองประกาศเช่นนี้เหมือนกันในพระนครของพระองค์. ลำดับนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงส่งพระบรรณาการแก่พระเจ้าปุกกุสาติว่า รัตนะทั้งหลายมีแก้วมณีและมุกดาเป็นต้น ย่อมเกิดในปัจจันตประเทศ รัตนะใดที่ควรเห็นหรือควรฟัง เกิดขึ้นในราชสมบัติแห่งพระสหายของเรา ขอพระสหายเราจงอย่าทรงตระหนี่ในรัตนะนั้นฝ่ายพระเจ้าปุกกุสาติก็ทรงส่งพระ ราชบรรณาการตอบไปว่า ธรรมดามัชฌิมประเทศเป็นมหาชนบท รัตนะเห็นปานนี้ใด ย่อมเกิดในมหาชนบทนั้น ขอพระสหายของเราจงอย่าทรงตระหนี่ในรัตนะนั้น. เมื่อกาลล่วงไปๆ อย่างนี้ พระราชาเหล่านั้น แม้ไม่ทรงเห็นกัน ก็เป็นมิตรแน่นแฟ้น.เมื่อพระราชาทั้งสองพระองค์นั้นทรงทำการตรัสอยู่อย่างนี้ บรรณาการย่อมเกิดแก่พระเจ้าปุกกุสาติก่อน.
 ได้ยินว่า พระราชาทรงได้ผ้ากัมพล ๘ ผืน อันหาค่ามิได้ มีห้าสี. พระราชานั้นทรงพระดำริว่า ผ้ากัมพลเหล่านี้งามอย่างยิ่ง เราจักส่งให้พระสหายของเรา. ทรงส่งอำมาตย์ทั้งหลายด้วยพระดำรัสว่า พวกท่านจงให้ทำผอบแข็งแรง ๘ ผอบเท่าก้อนครั่งใส่ผ้ากัมพลเหล่านั้นในผอบเหล่านั้น ให้ประทับด้วยครั้งพันด้วยผ้าขาว ใส่ในหีบพันด้วยผ้า ประทับด้วยตราพระราชลัญจกรแล้วถวายแก่พระสหายของเรา และได้พระราชทานพระราชสาส์นว่า บรรณาการนี้อันเราผู้อำมาตย์เป็นต้นแวดล้อมแล้ว เห็นในท่ามกลางพระนคร. อำมาตย์เหล่านั้นไปทูลถวายแด่พระเจ้าพิมพิสาร. พระเจ้าพิมพิสารนั้นทรงสดับพระราชสาส์น ทรงให้ตีกลองประกาศว่า ชนทั้งหลายมีอำมาตย์เป็นต้นจงประชุม ดังนี้ อันอำมาตย์เป็นต้นแวดล้อมแล้วในท่ามกลางพระนคร ทรงมีพระเศวตฉัตรกั้นประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์อันประเสริฐ ทรงทำลายรอยประทับ เปิดผ้าออก เปิดผอบ แก้เครื่องภายใน ทรงเห็นก้อนครั่ง ทรงพระราชดำริว่า พระเจ้าปุกกุสาติพระสหายของเราคงสำคัญว่า พระสหายของเรามีพระราชหฤทัยรุ่งเรือง จึงทรงส่งพระราชบรรณาการนี้ไปให้ดังนี้. ทรงจับก้อนอันหนึ่งแล้วทรงทุบด้วยพระหัตถ์ พิจารณาดูก็ไม่ทรงทราบว่า ภายในมีเครื่องผ้า. ลำดับนั้น ทรงตีก้อนนั้นที่เชิงพระราชบัลลังก์. ทันใดนั้น ครั่งก็แตกออก. พระองค์ทรงเปิดผอบด้วยพระนขา ทรงเห็นกัมพลรัตนะภายในแล้ว ทรงให้เปิดผอบทั้งหลาย แม้นอกนี้. แม้ทั้งหมดก็เป็นผ้ากัมพลลำดับนั้น ทรงให้คลี่ผ้ากัมพลเหล่านั้น. ผ้ากัมพลเหล่านั้นถึงพร้อมด้วยสี ถึงพร้อมด้วยผัสสะ ยาว ๑๖ ศอก กว้าง ๘ ศอก. มหาชนทั้งหลายเห็นแล้วกระดิกนิ้ว ทำการยกผ้าเล็กๆ ขึ้น พากันดีใจว่า พระเจ้าปุกกุสาติ พระสหายไม่เคยพบเห็นของพระราชาแห่งพวกเรา ไม่ทรงเห็นกันเลย ยังทรงส่งพระราชบรรณาการเห็นปานนี้ สมควรแท้เพื่อทำพระราชาเห็นปานนี้ให้เป็นมิตรพระราชาทรงให้ตีราคาผ้ากัมพลแต่ละผืน. ผ้ากัมพลทุกผืนหาค่ามิได้. ในผ้ากัมพลแปดผืนนั้น ทรงถวายสี่ผืนแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า. ทรงไว้ใช้สี่ผืนในพระราชวังของพระองค์. แต่นั้น ทรงพระราชดำริว่า การที่เราเมื่อจะส่งภายหลังก็ควรส่งบรรณาการดีกว่าบรรณาการที่ส่งแล้วก่อน ก็พระสหายได้ส่งบรรณาการอันหาค่ามิได้แก่เรา เราจะส่งอะไรดีหนอ. ก็ในกรุงราชคฤห์ไม่มีวัตถุที่ดียิ่งกว่านั้นหรือ. ไม่มีหามิได้ พระราชาทรงมีบุญมาก ก็อีกประการหนึ่ง จำเดิมแต่กาลที่พระองค์ทรงเป็นพระโสดาบันแล้ว เว้นจากพระรัตนตรัยแล้ว ไม่มีสิ่งใดอื่น ที่ชื่อว่าสามารถเพื่อยังพระโสมนัสให้เกิดขึ้นได้. พระองค์จึงทรงปรารภเพื่อทรงเลือกรัตนะธรรมดารัตนะมี ๒ อย่างคือ มีวิญญาณ ไม่มีวิญญาณ. ในรัตนะ๒ อย่างนั้น รัตนะที่ไม่มีวิญญาณ ได้แก่ ทองและเงินเป็นต้น ที่มีวิญญาณได้แก่สิ่งที่เนื่องกับอินทรีย์. รัตนะที่ไม่มีวิญญาณเป็นเครื่องใช้ ด้วยสามารถแห่งเครื่องประดับเป็นต้น ของรัตนะที่มีวิญญาณนั้นเทียว. ในรัตนะ ๒ อย่างนี้ รัตนะที่มีวิญญาณประเสริฐที่สุดรัตนะแม้มีวิญญาณมี ๒ อย่าง คือ ติรัจฉานรัตนะ มนุษยรัตนะ. ในรัตนะ ๒ อย่างนั้น ดิรัจฉานรัตนะ ได้แก่ ช้างแก้วและม้าแก้ว. ดิรัจฉานรัตนะแม้นั้น เกิดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องใช้ของมนุษย์ทั้งหลายนั้นเทียว. ในรัตนะ ๒ อย่างนั้น มนุษยรัตนะประเสริฐที่สุดด้วยประการฉะนี้.
 แม้มนุษยรัตนะก็มี ๒ อย่างคือ อิตถีรัตนะ ปุริสรัตนะ. ในรัตนะ ๒ อย่างนั้น แม้อิตถีรัตนะซึ่งเกิดแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมเป็นอุปโภคของบุรุษแล. ในรัตนะ ๒ อย่างนี้ ปุริสรัตนะเทียวประเสริฐที่สุดด้วยประการฉะนี้.
 แม้ปุริสรัตนะก็มี ๒ อย่างคือ อาคาริกรัตนะ ๑ อนาคาริกรัตนะ ๑. แม้ในอาคาริกรัตนะนั้น พระเจ้าจักรพรรดิย่อมทรงนมัสการสามเณรที่บวชในวันนี้ด้วยพระเบญจางคประดิษฐ์. ในรัตนะทั้ง ๒ อย่างแม้นี้ อนาคาริกรัตนะเท่านั้นประเสริฐที่สุด. แม้อนาคาริกรัตนะก็มี ๒ อย่างคือ เสกขรัตนะ ๑ อเสกขรัตนะ ๑. ในอนาคาริกรัตนะ ๒ อย่างนั้น พระเสกขะตั้งแสนย่อมไม่ถึงส่วนแห่งพระอเสกขะ. ในรัตนะ ๒ อย่างแม้นี้ อเสกขรัตนะเท่านั้นประเสริฐที่สุด.
 อเสกขรัตนะแม้นั้น ก็มี ๒ อย่างคือ พุทธรัตนะ สาวกรัตนะ. ในอเสกขรัตนะนั้น สาวกรัตนะแม้ตั้งแสน ก็ไม่ถึงส่วนของพุทธรัตนะ. ในรัตนะ ๒ อย่างแม้นี้ พุทธรัตนะเท่านั้นประเสริฐที่สุดด้วยประการฉะนี้.
 แม้พุทธรัตนะก็มี ๒ อย่าง คือ ปัจเจกพุทธรัตนะ สัพพัญญูพุทธรัตนะ. ในพุทธรัตนะนั้น ปัจเจกพุทธรัตนะแม้ตั้งแสน ก็ไม่ถึงส่วนของสัพพัญญูพุทธเจ้า. ในรัตนะ ๒ อย่างแม้นี้ สัพพัญญูพุทธรัตนะเท่านั้น ประเสริฐที่สุดด้วยประการฉะนี้.ก็ขึ้นชื่อว่า รัตนะที่เสมอด้วยพุทธรัตนะย่อมไม่มีในโลกพร้อมทั้งเทวโลก. เพราะฉะนั้น จึงทรงพระราชดำริว่า เราจักส่งรัตนะที่ไม่มีอะไรเสมอเท่านั้นแก่พระสหายของเรา จึงตรัสถามพวกพ่อค้าชาวนครตักกศิลาว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย รัตนะ ๓ อย่างนี้คือ พุทธะ ธรรมะ สังฆะย่อมปรากฏในชนบทของพวกท่านหรือ. ข้าแต่มหาราช แม้เสียงก็ไม่มีในชนบทนั้น ก็การเห็นจักมีแต่ที่ไหนเล่า.
 พระราชาทรงยินดีแล้ว ทรงพระราชดำริว่า เราอาจเพื่อจะส่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสู่สถานที่เป็นที่อยู่ของพระสหายเรา เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ชน แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะไม่ทรงแรมคืนในปัจจันตชนบททั้งหลาย เพราะฉะนั้น พระศาสดาจะไม่อาจเสด็จไป. พึงอาจส่งพระมหาสาวกมีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นต้น แต่เราฟังมาว่า พระเถระทั้งหลายอยู่ในปัจจันตชนบทสมควรเพื่อส่งคนทั้งหลายไปนำพระเถระเหล่านั้นมาสู่ที่ใกล้ตนแล้ว บำรุงเทียว เพราะฉะนั้น แม้พระเถระทั้งหลายไม่อาจไป ครั้นส่งสาส์นไปแล้วด้วยบรรณาการใด พระศาสดาและพระมหาสาวกทั้งหลายก็เป็นเหมือนไปแล้ว เราจักส่งสาส์นด้วยบรรณาการนั้น ดังนี้ ทรงพระราชดำริอีกว่า เราให้ทำแผ่นทองคำ ยาวสี่ศอก กว้างประมาณหนึ่งคืบ หนาพอควร ไม่บางนักไม่หนานัก แล้วจักลิขิตอักษรลงในแผ่นทองคำนั้นในวันนี้ ทรงสนานพระเศียรตั้งแต่เช้าตรู่ ทรงอธิษฐานองค์พระอุโบสถ ทรงเสวยพระยาหารเช้า ทรงเปลื้องพระสุคนธมาลาและอาภรณ์ออก ทรงถือชาดสีแดงด้วยพระขันทอง ทรงปิดพระทวารทั้งหลาย ตั้งแต่ชั้นล่าง เสด็จขึ้นพระปราสาท ทรงเปิดพระสีหบัญชรด้านทิศตะวันออก ประทับนั่งบนพื้นอากาศ ทรงลิขิตพระอักษรลงในแผ่นทองคำ ทรงลิขิตพระพุทธคุณโดยเอกเทศก่อนว่า พระตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี ทรงรู้แจ้งโลก ทรงเป็นสารถีฝึกคนอย่างยอดเยี่ยม เป็นพระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงตื่นแล้ว ทรงจำแนกพระธรรม เสด็จอุบัติในโลกนี้ ดังนี้. ต่อแต่นั้น ทรงลิขิตว่า พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศอย่างนี้ ทรงจุติจากชั้นดุสิต ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์พระมารดา การเปิดโลกได้มีแล้วอย่างนี้ เมื่อทรงอยู่ในพระครรภ์มารดา ชื่อนี้ได้มีแล้ว เมื่อทรงอยู่ครอบครองเรือน ชื่อนี้ได้มีแล้ว เมื่อเสด็จออกพระมหาภิเนษกรมณ์อย่างนี้ ทรงเริ่มตั้งความเพียรอันยิ่งใหญ่อย่างนี้ ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างนี้ เสด็จขึ้นสู่ควงมหาโพธิ ประทับนั่งบนอปราชิตบัลลังก์แล้ว ทรงแทงตลอดสัพพัญญุตญาณ เมื่อทรงแทงตลอดสัพพัญญุตญาณ เป็นอันมีการเปิดโลกแล้วอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่ารัตนะเห็นปานนี้ อื่นไม่มีในโลกพร้อมกับเทวโลก ดังนี้ ทรงลิขิตพระพุทธคุณทั้งหลายโดยเอกเทศอย่างนี้ว่า ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ในโลกนี้หรือโลกอื่น หรือรัตนะใดอันประณีตในสวรรค์ ทรัพย์และรัตนะนั้นเสมอ ด้วยพระตถาคต ไม่มี พุทธรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี ดังนี้ เมื่อจะทรงชมเชยธรรมรัตนะที่สองว่า
 พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตน ดังนี้แล้ว ทรงลิขิตโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ โดยเอกเทศว่า สติปัฏฐานสี่ ฯลฯ มรรคมีองค์แปดอันประเสริฐ ชื่อว่าพระธรรมอันพระศาสดาทรงแสดงแล้ว เห็นปานนี้และเห็นปานนี้ ดังนี้ แล้วทรงลิขิตพระธรรมคุณทั้งหลายโดยเอกเทศว่า พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดทรงสรรเสริญแล้วซึ่งสมาธิใดว่า เป็นธรรมอันสะอาด บัณฑิต ทั้งหลายกล่าว ซึ่งสมาธิใดว่าให้ผลในลำดับ สมาธิอื่นเสมอด้วยสมาธินั้น ย่อมไม่มี ธรรมรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีตด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี ดังนี้ ต่อแต่นั้น เมื่อจะทรงชมเชยพระสังฆรัตนะที่สามว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดี ฯลฯเป็นเนื้อนาบุญของโลก ดังนี้ ทรงลิขิตจุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีลโดยเอกเทศว่า ธรรมดากุลบุตรทั้งหลายฟังธรรมกถาของพระศาสดาแล้ว ออกบวชอย่างนี้ บางพวกละเศวตฉัตรบวช บางพวกละความเป็นอุปราชบวช บางพวกละตำแหน่งทั้งหลายมีตำแหน่งเสนาบดีเป็นต้นบวช ก็แล ครั้นบวชแล้ว บำเพ็ญปฏิบัตินี้ ทรงลิขิตการสำรวมในทวารหก สติสัมปชัญญะ ความยินดีในการเจริญสันโดษด้วยปัจจัยสี่ การละนีวรณ์ บริกรรมฌานและอภิญญา กรรมฐาน ๓๘ ประการ จนถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะโดยเอกเทศ ทรงลิขิตอานาปานสติกรรมฐาน ๑๖ ประการโดยพิสดารเทียว ทรงลิขิตพระสังฆคุณทั้งหลายโดยเอกเทศว่า ชื่อว่าพระสงฆ์สาวกของพระศาสดาถึงพร้อมด้วยคุณทั้งหลายเห็นปานนี้ และเห็นปานนี้ บุคคลเหล่าใด ๘ จำพวก ๔ คู่ อันสัตบุรุษทั้งหลาย สรรเสริญแล้ว บุคคลเหล่านั้นควรแก่ทักษิณาทาน เป็นสาวกของพระสุคต ทานทั้งหลายอันบุคคล ถวายแล้วในท่านเหล่านั้นย่อมมีผลมาก สังฆรัตนะ แม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความ สวัสดีจงมี ทรงลิขิตว่า ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว เป็นศาสนานำสัตว์ออกจากทุกข์ ถ้าพระสหายของเราจะอาจไซร้ ขอได้เสด็จออกทรงผนวชเถิด ดังนี้ ทรงม้วนแผ่นทองคำ พันด้วยผ้ากัมพลเนื้อละเอียด ทรงใส่ในหีบอันแข็งแรง ทรงวางหีบนั้นในหีบทองคำ ทรงวางหีบทองคำลงในหีบเงิน ทรงวางหีบเงินลงในหีบแก้วมณี ทรงวางหีบแก้วมณีลงในหีบแก้วประพาฬ ทรงวางหีบแก้วประพาฬลงในหีบทับทิม ทรงวางหีบทับทิมลงในหีบแก้วมรกต ทรงวางหีบแก้วมรกตลงในหีบแก้วผลึก ทรงวางหีบแก้วผลึกลงในหีบงา ทรงวางหีบงาลงในหีบรัตนะทุกอย่าง ทรงวางหีบรัตนะทุกอย่างลงในหีบเสื่อลำแพน ทรงวางหีบเสื่อลำแพนลงในผอบแข็งแรง ทรงวางผอบแข็งแรงลงในผอบทองอีก ทรงนำไปโดยนัยก่อนนั้นเทียว ทรงวางผอบที่ทำด้วยรัตนะทุกอย่างลงในผอบที่ทำด้วยเสื่อลำแพนแต่นั้น ทรงวางผอบที่ทำด้วยเสื่อลำแพนลงในหีบที่ทำด้วยไม้แก่น ทรงนำไปโดยนัยกล่าวแล้วอีกนั้นเทียว ทรงวางหีบที่ทำด้วยรัตนะทุกชนิดลงในหีบที่ทำด้วยเสื่อลำแพน ข้างนอกทรงพันด้วยผ้าประทับตราพระราชลัญจกร ตรัสสั่งอำมาตย์ทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงตกแต่งทางในสถานที่ซึ่งอยู่ในอำนาจของเรา ทำให้กว้างแปดอุสภะ สถานที่สี่อุสภะ ต้องให้งามเสมอ ท่านทั้งหลายจงตกแต่งสถานที่สี่อุสภะ ในท่ามกลางด้วยอานุภาพของพระราชาแต่นั้น ทรงส่งทูตด่วน แก่ข้าราชการภายในว่า จงประดับช้างมงคล จัดบัลลังก์บนช้างนั้น ยกเศวตฉัตร ทำถนนพระนครให้สวยงาม ประดับประดาอย่างดี ด้วยธงปฏากอันงดงาม ต้นกล้วย หม้อน้ำที่เต็ม ของหอม ธูปและดอกไม้เป็นต้น จงทำบูชาเห็นปานนี้ ในสถานที่ครอบครองของตนๆ ดังนี้ ส่วนพระองค์ทรงประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง อันกองกำลังพร้อมกับดนตรีทุกชนิดแวดล้อม ทรงพระราชดำริว่า เราจะส่งบรรณาการไปดังนี้ เสด็จไปจนสุดพระราชอาณาเขตของพระองค์แล้ว ได้พระราชทานพระราชสาส์นสำคัญแก่อำมาตย์แล้วตรัสว่า ดูก่อนพ่อ พระเจ้าปุกกุสาติพระสหายของเรา เมื่อจะทรงรับบรรณาการนี้ อย่ารับในท่ามกลางตำหนักนางสนมกำนัล จงเสด็จขึ้นพระปราสาทแล้วทรงรับเถิด.
 ครั้นพระราชทานพระราชสาส์นนี้แล้ว ทรงพระราชดำริว่า พระศาสดาเสด็จไปสู่ปัจจันตประเทศ ทรงนมัสการด้วยพระเบญจางคประดิษฐ์แล้วเสด็จกลับ. ส่วนข้าราชการภายในทั้งหลายตกแต่งทางโดยทำนองนั้นเทียว นำไปซึ่งพระราชบรรณาการ. ฝ่ายพระเจ้าปุกกุสาติทรงตกแต่งทางโดยทำนองนั้น ตั้งแต่รัชสีมาของพระองค์ ทรงให้ประดับประดาพระนคร ได้ทรงกระทำการต้อนรับพระราชบรรณาการ. พระราชบรรณาการเมื่อถึงพระนครตักกศิลา ได้ถึงในวันอุโบสถ. ฝ่ายอำมาตย์ผู้รับพระราชบรรณการไปทูลบอกพระราชสาส์นที่กล่าวแด่พระราชา. พระราชาทรงสดับพระราชสาส์นนั้นแล้ว ทรงพิจารณากิจที่ควรทำแก่อำมาตย์ทั้งหลายผู้มาพร้อมกับพระราชบรรณาการ ทรงถือพระราชบรรณาการ เสด็จขึ้นสู่พระปราสาทแล้วตรัสว่า ใครๆ อย่าเข้ามาในที่นี้.
 ทรงให้ทำการรักษาที่พระทวาร ทรงเปิดพระสีหบัญชร ทรงวางพระราชบรรณาการ บนที่พระบรรทมสูง ส่วนพระองค์ประทับนั่งบนอาสนะต่ำ ทรงทำลายรอยประทับ ทรงเปลื้องเครื่องห่อหุ้ม เมื่อทรงเปิดโดยลำดับจำเดิมแต่หีบเสื่อลำแพน ทรงเห็นหีบซึ่งทำด้วยแก่นจันทร์ ทรงพระราชดำริว่า ชื่อว่ามหาบริวารนี้จักไม่มีแก่รัตนะอื่น รัตนะที่ควรฟังได้เกิดขึ้นแล้วในมัชฌิมประเทศแน่แท้ลำดับนั้น ทรงเปิดหีบนั้นแล้ว ทรงทำลายรอยประทับพระราชลัญจนะ ทรงเปิดผ้ากัมพลอันละเอียดทั้งสองข้าง ทรงเห็นแผ่นทองคำ. พระองค์ทรงคลี่แผ่นทองคำนั้นออก ทรงพระราชดำริว่า พระอักษรทั้งหลายน่าพอใจจริงหนอ มีหัวเท่ากัน มีระเบียบเรียบร้อย มีมุมสี่ ดังนี้ ทรงปรารภเพื่อจะทรงอ่านจำเดิมแต่ต้น.
 พระโสมนัสอันมีกำลังได้เกิดขึ้นแก่พระองค์ที่ทรงอ่านแล้วอ่านอีกซึ่งพระพุทธคุณทั้งหลายว่า พระตถาคตทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้. ขุมพระโลมาเก้าหมื่นเก้าพันขุม ก็มีปลายพระโลมชูชันขึ้น. พระองค์ไม่ทรงทราบถึงความที่พระองค์ประทับยืนหรือประทับนั่ง. ลำดับนั้น พระปีติอันมีกำลังอย่างยิ่งได้บังเกิดขึ้นแก่พระองค์ว่า เราได้ฟังพระศาสนาที่หาได้โดยยากนี้ แม้โดยแสนโกฏิกัป เพราะอาศัยพระสหาย. พระองค์เมื่อไม่อาจเพื่อทรงอ่านต่อไป ก็ประทับนั่งจนกว่ากำลังปีติสงบระงับ แล้วทรงปรารภพระธรรมคุณทั้งหลายต่อไปว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วดังนี้. พระองค์ก็ทรงมีพระปีติอย่างนั้นแม้ในพระธรรมคุณนั้นเทียว. พระองค์ประทับนั่งอีกจนกว่าความสงบแห่งกำลังปีติ ทรงปรารภพระสังฆคุณทั้งหลายต่อไปว่า พระสงฆ์สาวกเป็นผู้ปฏิบัติดี. ในพระสังฆคุณแม้นั้น พระองค์ก็ทรงมีพระปีติอย่างนั้นเหมือนกัน.
 ลำดับนั้น ทรงอ่านอานาปานสติกัมมัฏฐาน ในลำดับสุดท้าย ทรงยังฌานหมวดสี่และหมวดห้าให้เกิดขึ้น. พระองค์ทรงยังเวลาให้ล่วงไป ด้วยความสุขในฌานนั้นและ. ใครอื่นย่อมไม่ได้เพื่อเห็น. มหาดเล็กประจำพระองค์คนเดียวเท่านั้น ย่อมเข้าไปได้. ทรงยังเวลาประมาณกึ่งเดือนให้ผ่านไปด้วยประการฉะนี้.
 ชาวพระนครทั้งหลายประชุมกันในพระลานหลวง ได้ทำการโห่ร้องตะโกนว่า จำเดิมแต่วันที่พระราชาทรงรับพระราชบรรณาการแล้ว ไม่มีการทอดพระเนตรพระนคร หรือการทอดพระเนตรดูนางฟ้อนรำ ไม่มีการพระราชทานวินิจฉัย พระราชาจงทรงพระราชทานพระราชบรรณาการที่พระสหายส่งมาให้แก่ผู้รับไปเถิด ธรรมดาพระราชาทั้งหลาย ย่อมทรงพยายามเพื่อหลอกลวงแม้ด้วยเครื่องบรรณาการ ยึดพระราชสมบัติของพระราชาบางพระองค์ให้แก่ตน พระราชาของพวกเราทรงทำอะไรหนอ ดังนี้พระราชาทรงสดับเสียงตะโกนแล้วทรงพระราชดำริว่า เราจะธำรงไว้ซึ่งราชสมบัติหรือพระศาสดา. ลำดับนั้น พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า ประธานและมหาอำมาตย์ของประธานย่อมไม่อาจเพื่อจะนับความที่เราเสวยราชสมบัติได้ เราจักธำรงไว้ซึ่งพระศาสนาของพระศาสดา ดังนี้. ทรงจับพระแสงดาบที่ทรงวางไว้บนพระที่บรรทม ตัดพระเกศาแล้วทรงเปิดพระสีหบัญชร ทรงยังกำพระเกศาพร้อมกับพระจุฑามณีให้ตกลงในท่ามกลางบริษัทว่า ท่านทั้งหลายถือเอากำเกศานี้ครองราชสมบัติเถิด.

 

 

มหาชนยกกำพระเกศานั้นขึ้นแล้ว ร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้าแต่พระสมมติเทพ พระราชาทั้งหลายชื่อว่าได้พระราชบรรณาการจากสำนักพระสหายแล้ว ย่อมเป็นเช่นกับพระองค์. พระเกศาและพระมัสสุประมาณสององคุลีแม้ของพระราชาได้มีแล้ว. ได้ยินว่า พระเกศาและพระมัสสุเกิดเป็นเช่นกับบรรพชาของพระโพธิสัตว์นั้นแลลำดับนั้น ทรงส่งมหาดเล็กประจำพระองค์ให้นำผ้ากาสาวพัสตร์สองผืน และบาตรดินจากในตลาด ทรงอุทิศต่อพระศาสดาว่า พระอรหันต์เหล่าใดในโลก เราบวชอุทิศพระอรหันต์เหล่านั้น ดังนี้ แล้วทรงนุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ทรงห่มผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ทรงสะพายบาตร ทรงถือธารพระกร ทรงจงกรมไปมาสอง-สามครั้งในพื้นใหญ่ ด้วยพระราชดำริว่า บรรพชาของเรางามหรือไม่ ดังนี้ ทรงทราบว่า บรรพชาของเรางามดังนี้แล้ว ทรงเปิดพระทวาร เสด็จลงจากพระปราสาทก็ประชาชนทั้งหลายเห็นนางฟ้อนผู้ยืนที่ประตูทั้งสามเป็นต้น แต่จำพระราชานั้นซึ่งเสด็จลงมาไม่ได้. ได้ยินว่า พากันคิดว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาเพื่อแสดงธรรมกถาแก่พระราชาของพวกเรา. แต่ครั้นขึ้นบนพระปราสาทแล้ว เห็นแต่ที่ประทับยืนและที่ประทับนั่งเป็นต้นของพระราชารู้ว่า พระราชาเสด็จไปเสียแล้ว จึงพากันร้องพร้อมกันทีเดียว เหมือนชนในเรือกำลังอับปางจมน้ำในท่ามกลางสมุทรฉะนั้น. เสนีทั้งสิบแปด ชาวนครทั้งหมดและพลกายทั้งหลายพากันแวดล้อมกุลบุตรผู้สักว่าเสด็จลงสู่พื้นแผ่นดินแล้ว ร้องเสียงดังฝ่ายอำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลแด่กุลบุตรนั้นว่า ข้าแต่เทวะ ธรรมดาพระราชาทั้งหลายในมัชฌิมประเทศทรงมีมายามาก ขอพระองค์ได้โปรดส่งพระราชสาส์นไปว่า ขึ้นชื่อว่าพุทธรัตนะ ได้เกิดขึ้นในโลกแล้วหรือไม่ ทรงทราบแล้วจักเสด็จไป ขอเดชะ ขอพระองค์จงเสด็จกลับเถิดเราเชื่อพระสหายของเรา เรากับพระสหายนั้นไม่มีความต่างกัน พวกเจ้าจงหยุดเถิด. อำมาตย์เหล่านั้นก็ติดตามเสด็จนั้นเทียว. กุลบุตรทรงเอาธารพระกรขีดเป็นตัวหนังสือ ตรัสว่า ราชสมบัตินี้เป็นของใคร. ของพระองค์ ขอเดชะ. ผู้ใดทำตัวหนังสือนี้ในระหว่าง บุคคลนั้นพึงให้เสวยพระราชอำนาจ. พระเทวีพระนามว่า สีวลี เมื่อไม่ทรงอาจเพื่อทำพระอักษรที่พระโพธิสัตว์กระทำแล้วในมหาชนกชาดก ให้มีระหว่างก็เสด็จกลับไป. มหาชนก็ได้ไปตามทางที่พระเทวีเสด็จไป. ก็มหาชนไม่อาจเพื่อทำพระอักษรนั้นให้มีในระหว่าง. ชาวนครทำพระอักษรนี้ไว้เหนือศีรษะกลับไปร้องแล้ว. มหาชนคิดว่ากุลบุตรนี้จักให้ไม้สีฟันหรือน้ำบ้วนปาก ในสถานที่เราไปแล้ว ดังนี้ เมื่อไม่ได้อะไรโดยที่สุดแม้เศษผ้าก็หลีกไป.  ได้ยินว่า กุลบุตรนั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า พระศาสดาของเราเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงบรรพชาพระองค์เดียวเสด็จไปพระองค์เดียว เราละอายต่อพระศาสดา ได้ยินว่า พระศาสดาของเราทรงบรรพชาแล้ว ไม่เสด็จขึ้นยาน และไม่ทรงสวมฉลองพระบาท โดยที่สุดแม้ชั้นเดียวไม่ทรงกั้นร่มกระดาษ. มหาชนขึ้นต้นไม้กำแพง และป้อมเป็นต้นแลดูว่า พระราชาของเราเสด็จไปดังนี้. กุลบุตรคิดว่า เราเดินทางไกล ไม่อาจเพื่อจะไปทางหนึ่งได้ จึงเสด็จติดตามพ่อค้าพวกหนึ่ง. เมื่อกุลบุตรผู้สุขุมมาลไปในแผ่นดินที่ร้อนระอุ พื้นพระบาททั้งสองข้าง ก็กลัดหนองแตกเป็นแผล. ทุกข์เวทนาก็เกิดขึ้นครั้นเมื่อพวกพ่อค้าตั้งค่ายพักนั่งแล้ว กุลบุตรก็ลงจากทาง นั่ง ณ โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง. ชื่อว่าผู้ทำบริกรรมเท้า หรือนวดหลังในที่นั่ง ไม่มี. กุลบุตรเข้าอานาปานจตุตถฌาน ข่มความลำบากในทางความเหน็จเหนื่อยและความเร่าร้อน ยังเวลาให้ผ่านไปด้วยความยินดีในฌานในวันรุ่งขึ้น

เมื่ออรุณขึ้นแล้ว ทำการปฏิบัติสรีระ เดินติดตามพวกพ่อค้าอีก.
  ในเวลาอาหารเช้า พวกพ่อค้ารับบาตรของกุลบุตรแล้วใส่ขาทนียะและโภชนียะลงในบาตรถวาย. ขาทนียะและโภชนียะนั้นเป็นข้าวสารดิบบ้าง เศร้าหมองบ้าง. แข็งเสมอกับก้อนกรวดบ้าง จืดและเค็มจัดบ้าง. กุลบุตรพิจารณาสถานที่พัก บริโภคขาทนียะและโภชนียะนั้นดุจอมฤตโดยทำนองนั้น เดินไปสิ้นทาง ๒๐๐ โยชน์ต่ำกว่า ๘ โยชน์ (๑๙๒ โยชน์) แม้จะเดินไปใกล้ซุ้มประตูพระเชตวันก็ตาม แต่ก็ไม่ถามว่า พระศาสดาประทับอยู่ ณ ที่ไหน. เพราะเหตุไร. เพราะเคารพในพระศาสดา และเพราะอำนาจแห่งพระราชสาส์นที่พระราชาทรงส่งไป.
 ก็พระราชาทรงส่งพระราชสาส์นไป ทรงทำดุจพระศาสดาทรงอุบัติในกรุงราชคฤห์ว่า พระตถาคตทรงอุบัติในโลกนี้. เพราะฉะนั้น จึงไม่ถาม เดินทางไปสิ้น ๔๕ โยชน์

ในเวลาพระอาทิตย์ตก กุลบุตรนั้นไปถึงกรุงราชคฤห์ จึงถามว่า พระศาสดาทรงประทับ ณ ที่ไหน. ท่านมาจากที่ไหนขอรับ. จากอุตตรประเทศนี้. พระนครชื่อว่า สาวัตถี มีอยู่ในทางที่ท่านมา ไกลจากพระนครราชคฤห์นี้ประมาณ ๔๕ โยชน์ พระศาสดาประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถีนั้น. กุลบุตรนั้นคิดว่า บัดนี้ไม่ใช่กาล เราไม่อาจกลับ วันนี้เราพักอยู่ในที่นี้ก่อน พรุ่งนี้จักไปสู่สำนักพระศาสดา. แต่นั้นจึงถามว่า เหล่าบรรพชิตที่มาถึงในยามวิกาล พัก ณ ที่ไหน. พัก ณ ศาลานายช่างหม้อนี้ ท่าน. ลำดับนั้น กุลบุตรนั้นขอพักกะนายช่างหม้อนั้นแล้ว เข้าไปนั่งเพื่อประโยชน์แก่การพักอาศัยในศาลาของนายช่างหม้อนั้น.
 ในเวลาใกล้รุ่งวันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลก ทรงเห็นกุลบุตรชื่อว่าปุกกุสาติ ทรงพระดำริว่า กุลบุตรนี้อ่านเพียงสาส์นที่พระสหายส่งไป ละราชสมบัติใหญ่ เกินร้อยโยชน์ บวชอุทิศเจาะจงเรา เดินทางสิ้น ๑๙๒ โยชน์ถึงกรุงราชคฤห์ ก็เมื่อเราไม่ไป จักไม่แทงตลอดสามัญญผล ๓ จะทำกาลกิริยาไร้ที่พึ่ง โดยการพักคืนเดียว แต่ครั้นเมื่อเราไปแล้ว จักแทงตลอดสามัญญผล ๓ ก็เราบำเพ็ญบารมีทั้งหลายสิ้นสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ชนเท่านั้น เราจักทำการสงเคราะห์แก่กุลบุตรปุกกุสาตินั้น ดังนี้
 ทรงทำการปฏิบัติพระสรีระแต่เช้าตรู่ มีพระภิกษุสงฆ์แวดล้อม เสด็จบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี ภายหลังภัตเสด็จกลับจากบิณฑบาต เสด็จเข้าพระคันธกุฏิ ทรงระงับความลำบากในการเดินทางครู่หนึ่ง

ทรงพระดำริว่า กุลบุตรได้ทำกิจที่ทำได้ยากเพราะความเคารพในเรา ละราชสมบัติเกินหนึ่งร้อยโยชน์ ไม่ถือเศษผ้า โดยที่สุดแม้คนผู้ให้น้ำบ้วนปาก ออกไปเพียงคนเดียว ดังนี้ ไม่ตรัสอะไรในพระเถระทั้งหลายมีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นต้น พระองค์เองทรงถือบาตรและจีวรของพระองค์ เสด็จออกไปเพียงพระองค์เดียว และเมื่อเสด็จไป ก็ไม่ได้ทรงเหาะไป ไม่ทรงย่นแผ่นดิน. ทรงพระดำริอีกว่า กุลบุตรละอายต่อเราไม่นั่งแม้ในยานหนึ่ง ในบรรดาช้าง ม้า รถและวอทองเป็นต้น โดยที่สุดไม่สวมรองเท้าชั้นเดียว ไม่กางร่มกระดาษออกไป แม้เราก็ควรไปด้วยเท้าเท่านั้น ดังนี้ จึงเสด็จไปด้วยพระบาท.
 พระองค์ทรงปกปิดพระพุทธสิรินี้ คือ อนุพยัญชนะ ๘๐  รัศมี ๑ วา  มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ เสด็จไปด้วยเพศของภิกษุรูปหนึ่ง ดุจพระจันทร์เพ็ญที่หมอกเมฆปกปิดไว้ฉะนั้น โดยปัจฉาภัตเดียวเท่านั้น ก็เสด็จไปได้ ๔๕ โยชน์ ในเวลาพระอาทิตย์ตก ก็เสด็จถึงศาลาของนายช่างหม้อนั้น ในขณะที่กุลบุตรเข้าไปแล้วนั้นแล. ท่านหมายถึงศาลาของนายช่างหม้อนั้น จึงกล่าวว่า ก็โดยสมัยนั้นแล กุลบุตรชื่อว่าปุกกุสาติ มีศรัทธาออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า เขาเข้าไปพักในนิเวศน์ของนายช่างหม้อนั้นก่อน ดังนี้.
 ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ครั้นเสด็จไปอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ทรงข่มขู่ว่า เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จไปยังศาลาของนายช่างหม้อประทับยืนที่ประตูนั้นแล เมื่อจะให้กุลบุตรทำโอกาส จึงตรัสว่า สเจ เต ภิกฺขุ ดังนี้เป็นต้น.

บทว่า อุรุทฺทํ ได้แก่ สงัดไม่คับแคบ.

บทว่า วิหรตายสฺมา ยถาสุขํ ความว่า กุลบุตรทำโอกาสว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอยู่เป็นสุข ตามอิริยาบถที่มีความผาสุกเถิด. ก็กุลบุตรละราชสมบัติเกินหนึ่งร้อยโยชน์แล้วบวช จักตระหนี่ศาลาของนายช่างหม้อที่คนอื่นทอดทิ้ง เพื่อพรหมจารีอื่นหรือ. ก็โมฆบุรุษบางพวกบวชในศาสนาแล้ว ถูกความตระหนี่ทั้งหลายมีความตระหนี่ เพราะอาวาสเป็นต้นครอบงำ ย่อมตะเกียกตะกาย เพราะอาวาสของบุคคลเหล่าอื่นว่า สถานที่อยู่ของตน เป็นกุฏิของเรา เป็นบริเวณของเรา ดังนี้.

บทว่า นิสีทิ ความว่า พระโลกนาถทรงสุขุมาลชาติอย่างยิ่ง ทรงละพระคันธกุฏิเป็นเช่นกับเทพวิมาน ทรงปูลาดสันถัดคือหญ้าในศาลาช่างหม้อซึ่งมีขี้เถ้าเรี่ยราดไปทั่ว สกปรกด้วยภาชนะแตก หญ้าแห้ง ขี้ไก่และขี้สุกรเป็นต้น เป็นเช่นกับที่ทิ้งขยะ ทรงปูปังสุกุลจีวรประทับนั่ง ดุจเสด็จเข้าพระมหาคันธกุฏิ อันมีกลิ่นทิพย์เช่นกับเทพวิมานแล้วประทับนั่งฉะนั้น. ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุบัติในพระมหาสัมมตวงศ์อันไม่เจือปน แม้กุลบุตรก็เจริญแล้วในขัตติยครรภ์. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงถึงพร้อมด้วยพระอภินิหาร แม้กุลบุตรก็ถึงพร้อมด้วยอภินิหาร. พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดี กุลบุตรก็ดี ต่างก็ทรงสละราชสมบัติทรงผนวช. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระวรรณะดุจทอง แม้กุลบุตรก็ม ท่านหมายถึงการเข้าสมาบัตินั้น จึงกล่าวว่า อถโข ภควา พหุเทวรตฺตึ เป็นต้นถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาด้วยพระดำริว่า เราจักแสดงธรรมแก่กุลบุตรมิใช่หรือ เพราะเหตุไร จึงไม่ทรงแสดงเล่าตอบว่า ไม่ทรงแสดง เพราะเหตุว่า กุลบุตรมีความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางยังไม่สงบระงับ จักไม่อาจเพื่อรับพระธรรมเทศนาได้ ขอให้ความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางนั้นของกุลบุตรสงบระงับก่อน. อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า ธรรมดานครราชคฤห์เกลื่อนกล่นด้วยมนุษย์ ไม่สงัดจากเสียง ๑๐ อย่าง เสียงนั้นจะสงบโดยประมาณสองยามครึ่ง พระองค์ทรงรอการสงบเสียงนั้นจึงไม่ทรงแสดง. นั้นไม่ใช่การณ์. เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสามารถเพื่อยังเสียง แม้ประมาณพรหมโลกให้สงบระงับได้ ด้วยอานุภาพของพระองค์. พระองค์ทรงรอความสงบระงับจากความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางก่อน จึงไม่ทรงแสดง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุเทวรตฺตึ ได้แก่ ประมาณสองยามครึ่ง.
 บทว่า เอตทโหสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากผลสมาบัติแล้ว ทรงลืมพระเนตรที่ประดับประดาด้วยประสาทห้าอย่าง ทรงแลดูดุจทรงเปิดสีหบัญชรแก้วมณี ในวิมานทองฉะนั้น.

อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค ธาตุวิภังคสูตร  อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค ธาตุวิภังคสูตร

  ลำดับนั้น พระองค์ทรงเห็นกุลบุตรปราศจากการคะนองมือ การคะนองเท้าและการสั่นศีรษะ นั่งเหมือนเสาเขื่อนที่ฝังไว้อย่างดีแล้ว เหมือนพระพุทธรูปทองไม่หวั่นไหวเป็นนิตย์ จึงตรัสว่า เอตํ ปาสาทิกํ นุโข เป็นต้น.
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาสาทิโก คือนำมาซึ่งความเลื่อมใส.
 ก็คำนั้นเป็นภาวนปุงสกลิงค์. ในคำนั้นมีเนื้อความดังนี้ว่า กุลบุตรย่อมเป็นไปด้วยอิริยาบถอันน่าเลื่อมใส เพราะฉะนั้น อิริยาบถเป็นกิริยาที่น่าเลื่อมใสโดยประการใด ก็ย่อมเป็นไปโดยประการนั้น.
 ในอิริยาบถทั้ง ๔ อย่าง อิริยาบถ ๓ อย่างย่อมไม่งาม. จริงอยู่ ภิกษุเดินไป มือทั้งหลายย่อมแกว่งเท้าทั้งหลายย่อมเคลื่อนไป ศีรษะย่อมสั่น. กายของภิกษุผู้ยืน ย่อมแข็งกระด้าง. อิริยาบถแม้ของภิกษุผู้นอน ย่อมไม่น่าพอใจ. แต่เมื่อภิกษุปัดกวาดที่พักกลางวัน ในปัจฉาภัต ปูแผ่นหนัง มีมือและเท้าชำระล้างดีแล้ว นั่งขัดสมาธิอันประกอบด้วยสนธิสี่นั้นเทียว อิริยาบถย่อมงาม.
 ก็กุลบุตรนี้ขัดสมาธินั่งเข้าอานาปานจตุตถฌาน. กุลบุตรประกอบด้วยอิริยาบถด้วยประการฉะนี้แล. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปริวิตกว่า กุลบุตรน่าเลื่อมใสหนอแล

ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปริวิตกว่า เอาเถิดเราควรจะถามดูบ้าง แล้วตรัสถาม เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงรู้ความที่กุลบุตรนั้นเป็นผู้บวชอุทิศพระองค์หรือ.

ตอบว่า ไม่ทรงรู้หามิได้ แต่เมื่อไม่ตรัสถาม ถ้อยคำก็ไม่ตั้งขึ้น เมื่อถ้อยคำไม่ตั้งขึ้นแล้ว การแสดงย่อมไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จึงตรัสถาม เพื่อเริ่มตั้งถ้อยคำขึ้น.

บทว่า ทิสฺวาปาหํ น ชาเนยฺยํ ความว่า ชนทั้งหมดย่อมรู้พระตถาคตผู้รุ่งโรจน์ด้วยพุทธสิริว่านี้พระพุทธเจ้า. การรู้นั้นไม่น่าอัศจรรย์. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปกปิดพระพุทธรัศมีเสด็จไปด้วยอำนาจของภิกษุผู้บิณฑบาตรูปหนึ่ง จึงรู้ได้ยาก. ท่านปุกกุสาติกล่าวสภาพตามเป็นจริงว่า เราไม่รู้ด้วยประการฉะนี้. ความจริงเป็นอย่างนั้น ท่านปุกสุสาติไม่รู้พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น แม้ประทับนั่ง ณ. ศาลาช่างหม้อด้วยกัน.

บทว่า เอตทโหสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางสงบระงับแล้ว ทรงมีพระดำริ.

บทว่า เอวมาวุโส ความว่า กุลบุตรได้อ่านสักว่าสาส์นที่พระสหายส่งไป สละราชสมบัติออกบวช ด้วยคิดว่า เราจักได้ฟังพระธรรมเทศนาอันไพเราะของพระทศพล ครั้นบรรพชาแล้วก็เดินทางไกลประมาณนี้ ก็ไม่ได้พระศาสดาผู้ตรัสสักบทว่า ดูก่อนภิกษุ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน กุลบุตรนั้นจักไม่ฟังคำที่ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน โดยเคารพหรือ.

กุลบุตรนี้เป็นเหมือนนักเลงสุราที่กระหายและเหมือนช้างที่ตกมันฉะนั้น. เพราะฉะนั้น กุลบุตรเมื่อปฏิญาณถึงการฟังโดยความเคารพ จึงทูลว่า เอวมาวุโส ดังนี้.

บทว่า ฉธาตุโร อยํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสข้อปฏิบัติส่วนเบื้องต้นแก่กุลบุตร แต่ทรงปรารภเพื่อตรัสบอกวิปัสสนาลักษณะเท่านั้น ซึ่งมีความว่างเปล่าอย่างยิ่งอันเป็นปทัฎฐานแห่งพระอรหัต แต่เบื้องต้น.
 จริงอยู่ บุพภาคปฏิปทาของผู้ใดยังไม่บริสุทธิ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสบอกบุพภาคปฏิปทานี้ คือศีลสังวร ความคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ การประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียรเป็นเครื่องตื่น สัทธรรม ๗ ฌาน ๔ แก่ผู้นั้นก่อนเทียวแต่บุพภาคปฏิปทานั้นของผู้ใดบริสุทธิ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่ตรัสบุพภาคปฏิปทานั้น แต่จักตรัสบอกวิปัสสนานั้นแล ซึ่งเป็นปทัฏฐานแห่งพระอรหัตแก่ผู้นั้น. ก็บุพภาคปฏิปทาของกุลบุตรบริสุทธิ์แล้ว จริงอย่างนั้น กุลบุตรนั้นอ่านพระสาส์นแล้วขึ้นปราสาทอันประเสริฐนั้นเทียว ยังอานาปานจตุตถฌานให้เกิดขึ้นแล้ว จึงเดินทางไปตลอด ๑๙๒ โยชน์ ยังกิจในยานให้สำเร็จ. แม้สามเณรศีลของกุลบุตรนั้นก็บริบูรณ์ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสบุพภาคปฏิปทา แต่ทรงปรารภเพื่อจะตรัสบอกวิปัสสนาลักษณะอันมีความว่างเปล่าอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นปทัฏฐานแห่งพระอรหัตเท่านั้นแก่กุลบุตรนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่าฉธาตุโร ได้แก่ธาตุ ๖ มีอยู่ บุรุษไม่มี.
 ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสิ่งที่ไม่มีด้วยสิ่งที่มีในที่ไหน ทรงแสดงสิ่งที่มีด้วยสิ่งที่ไม่มีในที่ไหน ทรงแสดงสิ่งที่มีด้วยสิ่งที่มีในที่ไหน ทรงแสดงสิ่งที่ไม่มีด้วยสิ่งที่ไม่มีในที่ไหน คำดังกล่าวมานี้พึงให้พิสดารโดยนัยที่กล่าวแล้วในสัพพาสวสูตรนั้นแล.

แต่ในธาตุวิภังคสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงสิ่งที่มีด้วยสิ่งที่ไม่มี จึงตรัสอย่างนั้น. ก็ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสละบัญญัติว่า บุรุษ ตรัสว่า ธาตุเท่านั้นแล้วทรงวางพระหฤทัย กุลบุตรก็พึงทำความสนเท่ห์ ถึงความงงงวยไม่อาจเพื่อรับเทศนาได้. เพราะฉะนั้น พระตถาคตจึงทรงละบัญญัติว่า บุรุษโดยลำดับ ตรัสสักว่า บัญญัติว่า สัตว์หรือบุรุษหรือบุคคลเท่านั้น โดยปรมัตถ์ ชื่อว่าสัตว์ ไม่มี ทรงวางพระทัยในธรรมสักว่า ธาตุเท่านั้น ตรัสไว้ในอนังคณ

สูตร

ว่า เราจักให้แทงตลอดผลสาม ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ ดุจอาจารย์ให้เรียนศิลปะด้วยภาษานั้น เพราะเป็นผู้ฉลาดในภาษาอื่น. ในธาตุวิภังคสูตรนั้น ธาตุ ๖ ของบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นจึงชื่อว่ามีธาตุ ๖. มีอธิบายว่า ท่านย่อมจำบุคคลใดว่า บุรุษ บุคคลนั้นมีธาตุ ๖ ก็ในที่นี้โดยปรมัตถ์ก็มีเพียงธาตุเท่านั้น.

  ก็บทว่า ปุริโส คือ เป็นเพียงบัญญัติ.แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ปติฏฐาน เรียกว่า อธิษฐาน ในบทนี้ว่า จตุราธิฏฺฐาโน ความว่า มีอธิษฐานสี่. มีอธิบายว่า ดูก่อนภิกษุ บุรุษนี้นั้นมีธาตุ ๖ มีผัสสอายตนะ ๖ มีมโนปวิจาร ๑๘ ดังนี้. กุลบุตรนั้นเวียนกลับจากธาตุนี้เทียว ถือเอาอรหัตอันเป็นสิทธิที่สูงสุด ดำรงอยู่ในฐานะ ๔ นี้ ถือเอาพระอรหัต เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่ามีอธิษฐาน ๔. บทว่า ยตฺถฏฺฐิตํ ได้แก่ ดำรงอยู่ในอธิษฐานเหล่าใด. บทว่า มญฺญสฺสวา นปฺปวตฺตนฺติ ได้แก่ ไม่มีกิเลสเครื่องสำคัญตนเป็นไป. บทว่า มุนิ สนฺโตติ วุจฺจติ ได้แก่ มุนีผู้พระขีณาสพ เรียกว่าสงบแล้ว ดับแล้ว

  บทว่า ปญฺญํ นปฺปมชฺเชยฺย ความว่า ไม่พึงประมาท สมาธิปัญญาและวิปัสสนาปัญญาตั้งแต่ต้นเทียว เพื่อแทงตลอดอรหัตผลปัญญา.

บทว่า สจฺจมนุรกฺเขยฺย ความว่า พึงรักษาวจีสัจ ตั้งแต่ต้นเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งปรมัตถสัจ คือนิพพาน.

บทว่า จาคมนุพฺรูเหยฺย ความว่า พึงพอกพูนการเสียสละกิเลสแต่ต้นเทียว เพื่อทำการสละกิเลสทั้งปวงด้วยอรหัตมรรค.

บทว่า สนฺติเมว โส สิกฺเขยฺย ความว่า พึงศึกษาการสงบระงับกิเลสตั้งแต่ต้นเทียว เพื่อสงบระงับกิเลสทั้งหมดด้วยอรหัตมรรค.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบุพภาคาธิษฐานทั้งหลาย มีสมถวิปัสสนาปัญญาเป็นต้นนี้ เพื่อประโยชน์แก่การบรรลุอธิษฐานทั้งหลายมีปัญญาธิษฐานเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า ผสฺสายตนํ ความว่า อายตนะ คือ อาการของผัสสะ. บทว่า ปญฺญาธิฏฺฐาโน เป็นต้น พึงทราบด้วยอำนาจแห่งปัญญาทั้งหลายมีอรหัตผลปัญญาเป็นต้น ซึ่งได้กล่าวแล้วในบทก่อน. บัดนี้ เป็นอันกล่าวถึงบทว่า อันเป็นธรรมที่ผู้ตั้งอยู่แล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องสำคัญตน และกิเลสเครื่องหมักหมม เป็นไปด้วยอำนาจแห่งมาติกาที่ตั้งไว้แล้ว. แต่ครั้นบรรลุอรหัตแล้ว กิจด้วยคำว่า ไม่พึงประมาทปัญญาเป็นต้น ย่อมไม่มีอีก. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวางมาติกาที่มีธาตุกลับกันแล้ว เมื่อจะทรงจำแนกวิภังค์ด้วยอำนาจตามธรรมเท่านั้น จึงตรัสคำว่า ไม่พึงประมาทปัญญา ดังนี้เป็นต้น ด้วยประการฉะนี้. ถามว่า ในบาทคาถานั้น ใครประมาทปัญญา ใครไม่ประมาทปัญญา. ตอบว่า บุคคลใดบวชในศาสนานี้ก่อนแล้ว สำเร็จชีวิตด้วยอเนสนา ๒๑ วิธีด้วยอำนาจกรรมมีเวชกรรมเป็นต้น ไม่อาจเพื่อตั้งจิตตุปบาทโดยสมควรแก่บรรพชา บุคคลนี้ชื่อว่าประมาทปัญญา.

ส่วนบุคคลใดบวชในศาสนาแล้วตั้งอยู่ในศีล เล่าเรียนพระพุทธพจน์ สมาทานธุดงค์อันเป็นที่สบาย ถือกัมมัฏฐานอันชอบจิต อาศัยเสนาสนะอันสงัด กระทำกสิณบริกรรม ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น เจริญวิปัสสนาว่า ในวันนี้แล พระอรหัตดังนี้ เที่ยวไป บุคคลนี้ชื่อว่าไม่ประมาทปัญญา.

 

แต่ในสูตรนี้ ได้ตรัสถึงความไม่ประมาทปัญญานั้นด้วยอำนาจแห่งธาตุกัมมัฏฐาน. ส่วนคำใดพึงกล่าวในธาตุกัมมัฏฐานนั้น คำนั้นได้กล่าวไว้แล้วในสูตรทั้งหลายมีหัตถิปโทปมสูตรเป็นต้นในหนก่อนนั้นแล. ในสูตรนี้มีอนุสนธิ โดยเฉพาะว่า ต่อนั้นสิ่งที่จะเหลืออยู่อีก คือวิญญาณดังนี้. เพราะได้ตรัสรูปกัมมัฏฐานในหนก่อนแล้ว. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงเปลี่ยนแสดงอรูปกัมมัฏฐาน ด้วยอำนาจเวทนา จึงทรงปรารภเทศนานี้. ก็หรืออรูปกัมมัฏฐานนี้ใดอันเป็นวิญญาณ ผู้กระทำกรรมด้วยอำนาจวิปัสสนาที่ภิกษุนี้พึงถึงในธาตุทั้งหลายมีปฐวีธาตุเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เมื่อจะทรงจำแนกแสดงอรูปกัมมัฏฐานนั้นด้วยอำนาจวิญญาณธาตุ จึงทรงปรารภเทศนานี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวสิสฺสติ ความว่า จะเหลือเพื่อประโยชน์อะไร. จะเหลือเพื่อประโยชน์แก่การแสดงของพระศาสดา และเพื่อประโยชน์แก่การแทงตลอดของกุลบุตร. บทว่า ปริสุทธํ ได้แก่ ปราศจากอุปกิเลส. บทว่า ปริโยทาตํ ได้แก่ ประภัสสร. บทว่า สุขนฺติปิ ปชานาติ ความว่า ย่อมรู้ชัดว่า เมื่อเราเสวยสุข ชื่อว่าเสวยสุขเวทนา. แม้ในบททั้งสองที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็ถ้าเวทนากถานี้ไม่ได้ตรัสไว้ในหนก่อนไซร้ ก็ควรเป็นไปเพื่อตรัสไว้ในสูตรนี้. ก็เวทนากถานั้นได้ตรัสไว้แล้วในสติปัฏฐานสติปัฏฐานนั้นเทียว เพราะฉะนั้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในสติปัฏฐานนั้นแล. บทเป็นต้นอย่างนี้ว่า สุขเวทนียํ ได้กล่าวไว้แล้ว เพื่อแสดงความเกิดขึ้นและความดับด้วยอำนาจปัจจัย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขเวทนียํ คือ เป็นปัจจัยแห่งสุขเวทนา. แม้ในบทที่เหลือทั้งหลายก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อุเปกฺขาเยว อวสิสฺสติ ความว่า ก็ศิษย์จับมุกดาที่อาจารย์ผู้ทำแก้วมณีผู้ฉลาด ร้อยเพชรด้วยเข็มเอามาวางแล้ววางอีกให้ในแผ่นหนังเมื่อทำการร้อยด้วยด้าย ชื่อว่าทำเครื่องประดับมีตุ้มหูแก้วมุกดาและข่ายแก้วมุกดาเป็นต้นชื่อฉันใด กุลบุตรนี้เมื่อมนสิการซึ่งกัมมัฏฐานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสให้แล้ว ชื่อว่าได้กระทำให้คล่องแคล่วฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น รูปกัมมัฏฐานก็ดี อรูปกัมมัฏฐานก็ดี ได้เกิดคล่องแคล้ว ด้วยประการเท่านี้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ต่อนั้นสิ่งที่จะเหลืออยู่ คืออุเบกขา ดังนี้. ถามว่า จะเหลือเพื่ออะไร. ตอบว่า เพื่อการทรงแสดงของพระศาสดา. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพื่อแทงตลอดของกุลบุตรดังนี้บ้าง. คำนั้นไม่ควรถือเอา. กุลบุตรได้อ่านสาส์นของพระสหายได้ยืนอยู่บนพื้นปราสาท ยังอานาปานจตุตถฌาณให้เกิดแล้ว ก็อานาปานจตุตถฌานนั้น ย่อมยังยานกิจของกุลบุตรนั้นผู้เดินทางมาประมาณนี้ให้สำเร็จ เพราะฉะนั้น จึงเหลือเพื่อการตรัสของพระศาสดาเท่านั้น. ก็ในฐานะนี้ พระศาสดาตรัสคุณในรูปาวจรฌานแก่กุลบุตร. เพราะได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ รูปาวจรจตุตถฌานนี้ คล่องแคล่วก่อน ดังนี้. บทว่า ปริสุทฺธา เป็นต้น เป็นการแสดงคุณแห่งอุเบกขานั้นเทียว. บทว่า อุกฺกํ พนฺเธยฺย คือ เตรียมเบ้าเพลิง. บทว่า อาลิมฺเปยฺย ความว่า ใส่ถ่านเพลิงลงในเบ้านั้นแล้วจุดไฟ เป่าด้วยสูบให้ไฟลุกโพลง. บทว่า อุกฺกามุเข ปกฺขิเปยฺยความว่าคีบถ่านเพลิงวางไว้บนถ่านเพลิงหรือใส่ถ่านเพลิงบนถ่านเพลิงนั้น. บทว่า นีหตํ คือ มีมลทินอันนำออกไปแล้ว. บทว่า นินฺนิตกสาวํ ได้แก่ มีน้ำฝาดออกแล้ว. บทว่า เอวเมว โข ความว่า ทรงแสดงคุณว่า จตุตถฌานูเปกขานี้ก่อน ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่ธรรมที่ท่านปรารถนา ในบรรดาธรรมนี้คือ วิปัสสนา อภิญญา นิโรธ ภโวกกันติ เหมือนทองนั้นย่อมเป็นไปเพื่อชนิดแห่งเครื่องประดับที่ปรารถนาและต้องการแล้วฉะนั้น. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสโทษ เพื่อความผ่องแผ้วจากความใคร่ในรูปาวจรจตุตถฌานแม้นี้ แต่ตรัสคุณเล่า. ตอบว่า เพราะการยึดมั่นความใคร่ในจตุตถฌานของกุลบุตร มีกำลัง. ถ้าจะพึงตรัสโทษไซร้ กุลบุตรก็จะพึงถึงความสงสัย ความงงงวยว่า เมื่อเราบวชแล้ว เดินทางมาตลอด ๑๙๒ โยชน์ จตุตถฌานนี้ยังยานกิจให้สำเร็จได้ เรามาสู่หนทางประมาณเท่านี้ ก็มาแล้วเพื่อความยินดีในฌานสุข ด้วยฌานสุข พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโทษแห่งธรรมอันประณีตเห็นปานนี้ ทรงรู้หนอแลจึงตรัส หรือไม่ทรงรู้จึงตรัส ดังนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคุณ. ในบทนี้ว่า ตทนุธมฺมํ ดังนี้ อรูปาวจรฌาน ชื่อว่าธรรม. รูปาวจรฌาน เรียกว่าอนุธรรม เพราะเป็นธรรมคล้อยตามอรูปาวจรฌานนั้น อีกประการหนึ่ง วิปากฌาน ชื่อว่าธรรม กุศลฌาน ชื่อว่าอนุธรรม. บทว่า ตทุปาทานา คือ การถือเอาธรรมนั้น. บทว่า จิรํ ทีฆมทฺธานํ ได้แก่ ตลอด ๒๐,๐๐๐ กัป. ก็คำนั้น ตรัสด้วยอำนาจแห่งวิบาก. แม้นอกจากนี้ก็มีนัยเหมือนกัน. . พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสคุณของอรูปาวจรฌาน โดยวาระ ๔ อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงโทษแห่งอรูปาวจรฌานนั้น จึงตรัสว่า เธอรู้ชัดอย่างนี้ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สงฺขตเมตํ ความว่า ในปฐมพรหมโลกนั้น มีอายุ ๒๐,๐๐๐ กัป แม้ก็จริง แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงกระทำจิตนั้นให้เป็นการปรับปรุง คือความสำเร็จ ความพอกพูนก็ย่อมทรงกระทำ. อายุนั้นไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน ชั่วคราว มีการเคลื่อนไป แตกดับและกระจัดกระจายเป็นธรรมดาคล้อยตามความเกิด ถูกชราบันทอน อันมรณะครอบงำ ตั้งอยู่ในทุกข์ ไม่มีอะไรต้านทาน ไม่เป็นที่เร้นลับ ไม่เป็นที่พึ่ง ไม่เป็นที่พึ่งพาอาศัย. แม้ในวิญญาณายตนะเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. บัดนี้ เมื่อจะทรงถือเอาเทศนาด้วยยอดคืออรหัต จึงตรัสว่า บุคคลนั้นจะไม่คำนึง ดังนี้เป็นต้น. เหมือนหมอผู้ฉลาดเห็นความเปลี่ยนแปลงแห่งพิษแล้ว กระทำใจให้พิษเคลื่อนจากฐานให้ขึ้นข้างบน ไม่ให้เพื่อจับคอหรือศีรษะ ให้พิษตกลงในแผ่นดินฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงคุณในอรูปาวจรฌานแก่กุลบุตรฉันนั้นเหมือนกัน. กุลบุตร ครั้นฟังอรูปาวจรฌานนั้นแล้ว ครอบงำความใคร่ในรูปาวจรฌาน ตั้งความปรารถนาในอรูปาวจรฌาน. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ความที่กุลบุตรนั้นครอบงำความใคร่ในรูปาวจรฌานนั้นแล้ว จึงทรงแสดงโทษนั้นทั้งหมด ด้วยบทเดียวเท่านั้นว่า สงฺขตเมตํ ดังนี้แก่ภิกษุผู้ยังไม่บรรลุ ยังไม่ได้อรูปาวจรฌานนั้นว่า ชื่อว่าสมบัติในอากาสานัญจายตนะเป็นต้นนั้นมีอยู่ ก็อายุของผู้ได้อากาสานัญจายตนะเป็นต้นนั้น ในพรหมโลกที่หนึ่งมี ๒๐,๐๐๐ กัป ในพรหมโลกที่สองมี ๔๐,๐๐๐ กัป ในพรหมโลกที่สามมี ๖๐,๐๐๐ กัป ในพรหมโลกที่สี่มี ๘๔,๐๐๐ กัป แต่อายุนั้นไม่เที่ยง ไม่ยังยืน ไม่แน่นอน เป็นไปชั่วคราว มีการเคลื่อนไป แตกดับและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา คล้อยตามความเกิด ถูกชราบันทอน อันมรณะครอบงำ ตั้งอยู่ในทุกข์ ไม่มีอะไรต้านทาน ไม่เป็นที่เร้นลับ ไม่เป็นที่พึ่ง ไม่เป็นที่พึ่งพาอาศัย แม้ได้เสวยสมบัติในพรหมโลกนั้น ตลอดกาลประมาณเท่านี้ ทำกาลกิริยาอย่างปุถุชนแล้ว พึงตกในอบายสี่อีก. กุลบุตรได้ฟังพระพุทธพจน์นั้นแล้ว ยึดมั่นความใคร่ในอรูปาวจรฌาณ. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงทราบความที่กุลบุตรนั้นเป็นผู้ยึดมั่นความใคร่ในรูปาวจรและอรูปาวจรแล้ว เมื่อจะทรงถือยอดคืออรหัต จึงตรัสว่า บุคคลนั้นจะไม่คำนึง ดังนี้เป็นต้น. ก็หรือว่ามหาโยธะ (นายทหารผู้ใหญ่) คนหนึ่ง ยังพระราชาพระองค์หนึ่งให้พอพระราชหฤทัยแล้ว จึงได้บ้านส่วยซึ่งมีรายได้หนึ่งแสน. พระราชาทรงระลึกถึงอานุภาพของมหาโยธะนั้นว่า โยธะมีอานุภาพมาก เขาได้ทรัพย์น้อย ดังนี้ จึงพระราชทานอีกว่า ดูก่อนพ่อ บ้านนี้ไม่สมควรแก่ท่าน ท่านจงรับเอาบ้านอื่นซึ่งมีรายได้ตั้งสี่แสน. เขารับสนองพระบรมราชโอการว่า ดีละ พระเจ้าข้า ละบ้านนั้นแล้วรับเอาบ้านนี้. พระราชาตรัสสั่งให้เรียกมหาโยธะนั้นผู้ยังไม่ถึงบ้านนั้นแล ทรงส่งไปว่า ท่านจะมีประโยชน์อะไรด้วยบ้านนั้น อหิวาตกโรคกำลังเกิดในบ้านนั้น แต่ในที่โน้นมีนครใหญ่ ท่านพึงยกฉัตรเสวยราชย์ในนครนั้นเถิดดังนี้. มหาโยธะนั้นพึงเสวยราชย์อย่างนั้น. ในข้อนั้น พึงเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนพระราชา. ปุกกุสาติกุลบุตรเหมือนมหาโยธะ. อานาปานจตุตถฌานเหมือนบ้านที่ได้ครั้งแรก. การให้กระทำการยึดมั่นซึ่งความใคร่ในอานาปานฌานแล้วตรัสอรูป เหมือนกาลให้มหาโยธะสละบ้านนั้นแล้วตรัสว่า เจ้าจงถือเอาบ้านนี้. การที่ให้กุลบุตรนั้นเปลี่ยนการปรารถนาในสมาบัติเหล่านั้นที่ยังไม่ถึง ด้วยการทรงแสดงโทษในอรูปว่า สงฺขตเมตํ แล้วทรงถือเอาเทศนาด้วยยอดคืออรหัตในเบื้องสูง เหมือนกาลที่ตรัสสั่งให้เรียกมหาโยธะซึ่งยังไม่ถึงบ้านนั้น แล้วตรัสว่า ท่านจะมีประโยชน์อะไรด้วยบ้านนั้น อหิวาตกโรคกำลังเกิดในบ้านนั้น ในที่โน้นมีนคร ท่านจงยกฉัตรเสวยราชย์ในนครนั้นเถิด. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เนว อภิสงฺขโรติ คือไม่สั่งสม ได้แก่ไม่ทำให้เป็นกอง. บทว่า น อภิสญฺเจตยติ คือ ไม่ให้สำเร็จ. บทว่า ภวาย วา วิภวาย วาได้แก่ เพื่อความเจริญหรือเพื่อความเสื่อม. พึงประกอบแม้ด้วยอำนาจแห่งสัสสตะและอุจเฉทะ. บทว่า น กิญจิ โลเก อุปาทิยติ ความว่า ไม่ถือ ไม่ลูบคลำ แม้ธรรมหนึ่งอะไรๆ ในธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้นในโลกด้วยตัณหา. บทว่า นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งอยู่ในพุทธวิสัยของพระองค์ ทรงถือยอดคืออรหัตด้วยเทศนา. ส่วนกุลบุตรแทงตลอดสามัญผล ๓ ตามอุปนิสัยของตน. พระราชาเสวยโภชนะมีรสต่างๆ ด้วยภาชนะทองคำ ทรงปั้นก้อนข้าวโดยประมาณของพระองค์ ครั้นเมื่อพระราชกุมารประทับนั่ง ณ พระเพลา แสดงความอาลัยในก้อนข้าวพึงทรงน้อมก้อนข้าวนั้น. กุมารทรงทำคำข้าวโดยประมาณพระโอษฐ์ของพระองค์ พระราชาทรงเสวยคำข้าวที่เหลือด้วยพระองค์เองหรือทรงใส่ในจานฉันใด พระตถาคตผู้ธรรมราชาก็ฉันนั้น เมื่อทรงถือยอดคือพระอรหัตโดยประมาณพระองค์ ทรงแสดงเทศนา. กุลบุตรแทงตลอดสามัญญผล ๓ ตามอุปนิสัยของตน. ก็ในกาลก่อนแต่นี้ กุลบุตรนั้นแสดงกถาอันประกอบด้วยไตรลักษณ์ อันมีความว่างเปล่าอย่างยิ่งเห็นปานนี้ว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะทั้งหลาย ย่อมไม่กังขา ย่อมไม่สงสัยว่า นัยว่าไม่เป็นอย่างนั้น ข้อนั้นอาจารย์ของเรากล่าวแล้วอย่างนี้ ทราบว่า ความเป็นคนเขลา ความเป็นผู้ผิดไม่มี ด้วยประการฉะนี้. ได้ยินว่า ในฐานะบางอย่าง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จไปด้วยเพศอันบุคคลไม่รู้ได้ ได้มีความสงสัย มีความเคลือบแคลงว่า นั่นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนอแล. เพราะกุลบุตรนี้แทงตลอดอนาคามิผลแล้ว ในกาลนั้นจึงถึงความตกลงว่า บุคคลนี้ คือพระศาสดาของเรา. ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร กุลบุตรจึงไม่แสดงโทษล่วงเกินเล่า. ตอบว่า เพราะไม่มีโอกาส. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำวาระอันไม่ตัดแล้วด้วยมาติกาตามที่ทรงยกขึ้นแล้ว จึงทรงแสดงพระเทศนา ดุจทรงให้หยั่งลงสู่อากาศคงคาฉะนั้นแล. บทว่า โส คือ พระอรหันต์นั้น. บทว่า อนชฺโฌสิตา ความว่า รู้ชัดว่า ไม่ควรแล้ว เพื่อกลืน ติดใจ ถือเอา. บทว่า อนภินนฺทิตา คือ รู้ชัดว่า ไม่ควรแล้วเพื่อเพลิดเพลินด้วยอำนาจแห่งตัณหาและทิฐิ. บทว่า วิสํยุตฺโต น เวทิยติ ความว่า ก็ถ้าว่า ราคานุสัยเพราะปรารภสุขเวทนา ปฏิฆานุสัยเพราะปรารภทุกขเวทนา อวิชชานุสัยเพราะปรารภเวทนานอกนี้ พึงเกิดแก่บุคคลนั้นไซร้ บุคคลนั้น ก็ชื่อว่าประกอบพร้อมแล้วเสวย. แต่เพราะไม่เกิดจึงชื่อว่าไม่ประกอบเสวยคือสลัดออกแล้ว พ้นวิเศษแล้ว. บทว่า กายปริยนฺติกํ ความว่า เวทนาซึ่งเกิดขึ้นมีกายเป็นที่สุด จนถึงความเป็นไปแห่งกาย ต่อแต่นั้นก็ไม่เกิด. แม้ในบทที่สองก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อภินนฺทิตานิ สีติภวิสฺสนฺติ ความว่า ความเสวยอารมณ์ทั้งหมดเป็นอันชื่อว่าไม่ยินดีแล้ว เพราะความที่กิเลสทั้งหลายไม่มีพิเศษ ในอายตนะสิบสอง จักดับในอายตนะสิบสองนี้นั้นเทียว. ก็กิเลสทั้งหลายแม้ดับแล้วเพราะมาถึงนิพพาน ย่อมไม่มีในที่ใด เรียกว่าดับแล้วในที่นั้น. เนื้อความนี้นั้นพึงแสดงด้วยสมุทยปัญหาว่า ตัณหานั้น เมื่อจะดับย่อมดับในที่นั้น. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ความเสวยอารมณ์ทั้งหมดแม้เป็นธรรมชาติสงบแล้ว เพราะอาศัยนิพพาน จักเป็นของสงบในโลกนี้แล. ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสความเสวยอารมณ์ทั้งหลายในที่นี้มิใช่หรือ ทำไมจึงไม่ตรัสกิเลสทั้งหลายเล่า. ตอบว่า เพราะแม้ความเสวยอารมณ์ทั้งหลายจะเป็นของสงบ เพราะไม่มีกิเลสนั้นเทียว. ธรรมดาความที่ความเสวยอารมณ์ทั้งหลายเป็นของสงบ ไม่มีในฐานะนอกนี้ เพราะฉะนั้น คำนั้นกล่าวดีแล้ว. นี้เป็นการเปรียบเทียบอุปมาในบทนี้ว่า เอวเมว โข. เหมือนบุรุษคนหนึ่ง เมื่อประทีปน้ำมันไหม้อยู่ ครั้นน้ำมันหมดแล้ว ก็เติมน้ำมันเหล่านั้น เมื่อไส้หมดก็ใส่ไส้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเปลวประทีปก็ไม่ดับฉันใด ปุถุชนก็ฉันนั้นเหมือนกัน ตั้งอยู่ในภพหนึ่ง ย่อมทำกุศลและอกุศล เขาก็จะเกิดในสุคติและในอบายทั้งหลาย เพราะกุศลและอกุศลนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เวทนาทั้งหลายก็ยังไม่ขาดสูญนั้นเทียว. อนึ่ง คนหนึ่งกระสันในเปลวประทีปแอบซ่อนด้วยคิดว่า เพราะอาศัยบุรุษนี้เปลวประทีปจึงไม่ดับดังนี้ พึงตัดศีรษะของบุรุษนั้น. เพราะไม่ใส่ไส้และไม่เติมน้ำมันอย่างนี้ เปลวประทีปที่หมดเชื้อก็ย่อมดับฉันใด พระโยคาวจรผู้กระสันในประวัตตกาลก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมตัดขาดกุศลและอกุศลด้วยอรหัตมรรค. เพราะความที่กุศลนั้นถูกตัดขาดแล้ว ความเสวยอารมณ์ทั้งหลายย่อมไม่เกิดขึ้นอีกแก่ภิกษุผู้ขีณาสพ เพราะความแตกแห่งกายดังนี้. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะอรหัตผลปัญญา ยิ่งกว่าสมาธิปัญญาและวิปัสสนาปัญญาในเบื้องต้น. บทว่า เอวํ สมนฺนาคโต ความว่า ผู้ประกอบพร้อมด้วยอรหัตผลปัญญาอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ อันสูงสุดนี้. ญาณในอรหัตมรรค ชื่อว่าญาณในความสิ้นไปซึ่งทุกข์ทั้งปวง. แต่ในสูตรนี้ทรงประสงค์ญาณในอรหัตผล. เพราะเหตุนั้นแล จึงตรัสว่า ความหลุดพ้นของเขานั้นจัดว่าตั้งอยู่ในสัจจะ เป็นคุณไม่กำเริบ ดังนี้. ก็ในบทเหล่านั้น บทว่า วิมุตฺติ ได้แก่ อรหัตผลวิมุตติ. บทว่า สจฺจํ ได้แก่ ปรมัตถสัจ คือนิพพาน. ความหลุดพ้นนั้นตรัสว่า ไม่กำเริบ เพราะทำอารมณ์อันไม่กำเริบด้วยประการฉะนี้. บทว่า มุสา ได้แก่ ไม่จริง. บทว่า โมสธมฺมํ ได้แก่ สภาพที่พินาศ. บทว่า ตํ สจฺจํ ความว่า สัจจะนั้นเป็นของแท้มีสภาพ. บทว่า อโมสธมฺมํ ได้แก่ มีสภาพไม่พินาศ. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะปรมัตถสัจ คือนิพพานนั้นแล สูงกว่าวจีสัจบ้าง ทุกขสัจและสมุทัยสัจบ้าง ด้วยอำนาจแห่งสมถะและวิปัสสนาแต่ต้น. บทว่า เอวํ สมนฺนาคโต ความว่า ผู้ประกอบพร้อมด้วยปรมัตถสัจจาธิษฐานอันสูงสุดนี้. บทว่า ปุพฺเพ คือ ในกาลเป็นปุถุชน. บทว่า อุปธี โหนฺติ ได้แก่ อุปธิเหล่านี้คือขันธูปธิ กิเลสูปธิ อภิสังขารูปธิ ปัญจกามคุณูปธิ. บทว่า สมตฺตา สมาทินฺนา ความว่า บริบูรณ์คือถือเอาแล้ว ได้แก่ลูบคลำแล้ว. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะการสละกิเลสด้วยอรหัตมรรคนั้นแลดีกว่าการสละกิเลสด้วยอำนาจแห่งสมถะและวิปัสสนาแต่ต้น และกว่าการสละกิเลสด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นต้น. บทว่า เอวํ สมนฺนาคโต คือ ผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยจาคาธิษฐานอันสูงสุดนี้. ชื่อว่าอาฆาฏะ ด้วยอำนาจแห่งการทำการล้างผลาญ ในคำเป็นต้นว่า อาฆาโฏ. ชื่อว่าพยาบาท ด้วยอำนาจแห่งการปองร้าย. ชื่อว่าสัมปโทสะ ด้วยอำนาจแห่งการประทุษร้ายทุกอย่าง. ท่านกล่าวอกุศลมูลเท่านั้น ด้วยบททั้ง ๓. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะการสงบระงับกิเลสด้วยอรหัตมรรคนั้นแล สูงกว่าการสงบระงับกิเลสด้วยอำนาจแห่งสมถะและวิปัสสนาแต่เบื้องต้น และการสงบระงับกิเลสด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นต้น. บทว่า เอวํ สมนฺนาคโต ความว่า ผู้ประกอบพร้อมด้วยอุปสมาธิษฐานอันอุดมนี้. บทว่า มญฺญิตเมตํ ความว่าความสำคัญแม้ ๓ อย่างคือ ตัณหามัญญิตะ มานมัญญิตะ ทิฏฐิมัญญิตะ ย่อมเป็นไป. ก็บทนี้ว่า อสฺสมหํ ในบทนี้ว่า อหมสฺมิ คือความสำคัญตัณหานั้นเทียว ย่อมเป็นไป. ชื่อว่า โรค เพราะอรรถว่าเบียดเบียน ในบทว่า โรโค เป็นต้น. ชื่อว่า คัณฑะ เพราะอรรถว่าประทุษร้ายในภายใน. ชื่อว่า สัลละ เพราะอรรถว่าเสียดแทงเนืองๆ. บทว่า มุนิ สนฺโตติ วุจฺจติ ความว่า บุคคลนั้นเรียกว่า มุนีผู้พระขีณาสพ ผู้สงบแล้ว คือผู้สงบระงับแล้วดับทุกข์แล้ว. บทว่า ยตฺถ ฐิตํ คือ ตั้งอยู่ในฐานะใด. บทว่า สงฺขิตฺเตน ความว่า ก็พระธรรมเทศนาแม้ทั้งหมดของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ย่อแล้วเทียว. ชื่อว่า เทศนาโดยพิสดารไม่มี. แม้สมันตปัฏฐานกถาก็ย่อแล้วนั้นแล. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังเทศนาให้ถึงตามอนุสนธิด้วยประการฉะนี้. ก็ในบุคคล ๔ จำพวก มีอุคฆฏิตัญญูเป็นต้น ปุกกุสาตีกุลบุตรเป็นวิปัจจิตัญญู. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธาตุวิภังคสูตรนี้ ด้วยอำนาจแห่งวิปัจจิตัญญู ด้วยประการฉะนี้. ในบทว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บาตรและจีวรของข้าพระองค์ยังไม่ครบแล. มีคำถามว่า เพราะเหตุไร บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์จึงไม่เกิดขึ้นแก่กุลบุตรเล่า. ตอบว่า เพราะความที่บริขาร ๘ อย่างอันกุลบุตรไม่เคยให้ทานแล้วในกาลก่อน. กุลบุตรมีทานเคยถวายแล้ว มีอภินิหารได้กระทำแล้ว จึงไม่ควรกล่าวว่า เพราะความที่ทานไม่เคยให้แล้ว. ก็บาตรและจีวรอันสำเร็จแต่ฤทธิ์ ย่อมเกิดแก่สาวกทั้งหลายผู้มีภพสุดท้ายเท่านั้น. ส่วนกุลบุตรนี้ยังมีปฏิสนธิอีก. เพราะฉะนั้น บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ จึงไม่เกิดขึ้น. ถามว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ทรงแสวงหาด้วยพระองค์เองให้ถึงพร้อมเล่า. ตอบว่า เพราะพระองค์ไม่มีโอกาส. อายุของกุลบุตรก็สิ้นแล้ว. มหาพรหมผู้อนาคามีชั้นสุทธาวาส ก็เป็นราวกะมาสู่ศาลาช่างหม้อแล้วนั่งอยู่. เพราะฉะนั้น จึงไม่ทรงแสวงหาด้วยพระองค์เอง. บทว่า ปตฺตจีวรํ ปริเยสนํ ปกฺกามิ ความว่า ท่านปุกกุสาติหลีกไปในเวลานั้น เมื่ออรุณขึ้นแล้ว. ได้ยินว่า การจบพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า การขึ้นแห่งอรุณและการเปล่งพระรัศมี ได้มีในขณะเดียวกัน. นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบพระเทศนาแล้ว ทรงเปล่งพระรัศมีมีสี ๖ ประการ. นิเวศน์แห่งช่างหม้อทั้งสิ้นก็โชติช่วงเป็นอันเดียวกัน. พระฉัพพัณณรัศมีชัชวาลย์แผ่ไปเป็นกลุ่มๆ ทำทิศทางทั้งปวงให้เป็นดุจปกคลุมด้วยแผ่นทองคำ และดุจรุ่งเรืองด้วยดอกคำและรัตนะอันประเสริฐซึ่งมีสีต่างๆ. เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานว่า ขอให้ชาวพระนครทั้งหลายจงเห็นเรา ดังนี้. ชาวพระนครทั้งหลายเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ต่างก็บอกต่อๆ กันว่า ได้ยินว่า พระศาสดาเสด็จมาแล้ว นัยว่า ประทับนั่ง ณ ศาลาช่างหม้อ แล้วกราบทูลแด่พระราชา. พระราชาเสด็จไปถวายบังคมพระศาสดาแล้วตรัสถามว่า พระองค์เสด็จมาแล้วเมื่อไร. เมื่อเวลาพระอาทิตย์ตกวานนี้ มหาบพิตร. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาด้วยกรรมอะไร. พระเจ้าปุกกุสาติพระสหายของพระองค์ทรงฟังพระราชสาส์นที่มหาบพิตรส่งไปแล้ว เสด็จออกบวช เสด็จมาเจาะจงอาตมาภาพ ล่วงเลยกรุงสาวัตถีเสด็จมาสิ้น ๔๕ โยชน์ เสด็จเข้าสู่ศาลาช่างหม้อนี้แล้วประทับนั่ง อาตมภาพจึงมาเพื่อสงเคราะห์พระสหายของมหาบพิตร ได้แสดงธรรมกถา กุลบุตรทรงแทงตลอดผล ๓ มหาบพิตร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลานี้ พระเจ้าปุกกุสาติประทับอยู่ที่ไหน พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พระเจ้าปุกกุสาติกุลบุตรทรงขออุปสมบทแล้ว เสด็จไปเพื่อทรงแสวงหาบาตรและจีวร เพราะบาตรและจีวรยังไม่ครบบริบูรณ์. พระราชาเสด็จไปทางทิศทางที่กุลบุตรเสด็จไป. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเหาะไปปรากฏ ณ พระคันธกุฏีในพระเชตวันนั้นแล. แม้กุลบุตรเมื่อแสวงหาบาตรและจีวร ก็ไม่ไปสู่สำนักของพระเจ้าพิมพิสาร และของพวกพ่อค้าเดินเท้า ชาวเมืองตักกศิลา. ได้ยินว่า กุลบุตรนั้นคิดอย่างนี้ว่า การที่เลือกแสวงหาบาตรและจีวรที่พอใจและไม่พอใจในสำนักนั้นๆ แล ไม่สมควรแก่เราผู้ดุจไก่ พระนครใหญ่ จำเราจักแสวงหาที่ท่าน้ำ ป่าช้า กองขยะและตามตรอก ดังนี้. กุลบุตรปรารภเพื่อแสวงหาเศษผ้าที่กองขยะในตรอกก่อน. บทว่า ชีวิตา โวโรเปสิ ความว่า แม่โคลูกอ่อนหมุนไปวิ่งมาขวิดกุลบุตรนั้นผู้กำลังแลดูเศษผ้าในกองขยะแห่งหนึ่ง ให้กระเด็นขึ้นถึงความตาย. กุลบุตรผู้ถูกความหิวครอบงำ ถึงความสิ้นอายุในอากาศนั่นเทียว ตกลงมานอนคว่ำหน้าในที่กองขยะเป็นเหมือนรูปทองคำฉะนั้น. ก็แลทำกาละแล้วไปเกิดในพรหมโลกชั้นอวิหา. พอเกิดแล้วก็บรรลุพระอรหัต. ได้ยินว่า ชนที่สักว่าเกิดแล้วในอวิหาพรหมโลกมี ๗ คน ได้บรรลุพระอรหัตสมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ภิกษุ ๗ รูป เข้าถึงอวิหาพรหมโลกแล้วหลุดพ้นมีราคะและโทสะสิ้นแล้ว ข้ามตัณหาในโลก และท่านเหล่านั้นข้ามเปลือกตม บ่วงมัจจุราช ซึ่งข้ามได้แสน ยาก ท่านเหล่านั้นละโยคะของมนุษย์แล้ว เข้าถึงโยคะ อันเป็นทิพย์. ท่านเหล่านั้น คือ อุปกะ ๑ ปลคัณฑะ ๑ ปุกกุสาติ ๑ รวม ๓ ภัททิยะ ๑ ขันฑเทวะ ๑ พาหุทัตติ ๑ ปิงคิยะ ๑ ท่านเหล่านั้น ละโยคะ ของมนุษย์แล้ว เข้าถึงโยคะอันเป็นทิพย์ ดังนี้. ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารทรงพระราชดำริว่า พระสหายของเราได้อ่านสักว่าสาส์นที่เราส่งไป ทรงสละราชสมบัติ ที่อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ เสด็จมาทางไกลประมาณเท่านี้ กิจที่ทำได้ยากอันกุลบุตรได้ทำแล้ว เราจักสักการะเข้าด้วยเครื่องสักการะของบรรพชิต ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า พวกท่านจงไปตามหาพระสหายของเรา ดังนี้. ราชบริวารทั้งหลายที่ถูกส่งไปในที่นั้นๆ ได้เห็นกุลบุตรนั้น. เห็นเขาล้มลงที่กองขยะ กลับมาทูลแด่พระราชา. พระราชาเสด็จไปทรงเห็นกุลบุตรแล้ว ทรงคร่ำครวญว่า ท่านทั้งหลาย พวกเราไม่ได้เพื่อทำสักการะแก่พระสหายหนอ พระสหายของเราไม่มีที่พึ่งแล้ว ตรัสสั่งให้นำกุลบุตรด้วยเตียง ทรงตั้งไว้ในโอกาสอันสมควร ตรัสสั่งให้เรียกผู้อาบน้ำให้และช่างกัลบกเป็นต้น โดยให้รู้ถึงการทำสักการะแก่กุลบุตรผู้ยังไม่ได้อุปสมบท ทรงให้อาบพระเศียรของกุลบุตร ทรงให้นุ่งผ้าอันบริสุทธิ์เป็นต้น ทรงให้ตกแต่งด้วยเพศของพระราชา ทรงยกขึ้นสู่วอทอง ทรงให้ทำการบูชาด้วยวัตถุทั้งหลายมีดนตรี ของหอมและมาลาทุกอย่างเป็นต้น ทรงนำออกจากพระนคร ทรงให้ทำมหาจิตกาธารด้วยไม้หอมเป็นอันมาก ครั้นทรงทำสรีรกิจของกุลบุตรแล้ว ทรงนำเอาพระธาตุมาประดิษฐ์ไว้ในพระเจดีย์. คำที่เหลือในบททั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล.   จบอรรถกถาธาตุวิภังคสูตรที่ ๑๐

  บรรณานุกรม

เอกสารปฐมภูมิ

๑) พระไตรปิฎก

มหามกุฏราชวิทยาลัย  พระไตรปิฎกภาษาไทย ๙๑ เล่ม กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์

ธีรวัส  บำเพ็ญบุญบารมี “สีลัพพตปรามาสในพุทธศาสนาเถรวาท : ศึกษาเชิงวิเคราะห์วิทยานิพนธ์  ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐

  ประวัติผู้รวบรวมเรียบเรียงเขียน

ชื่อสกุล  นายธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท