ปัญญาที่มืดบอด..."บุคลิกแห่งตน"


       บุคลิกของคนเรามีหลากหลาย และทางจิตวิทยาก็มี psycho-test หลายตัวที่ถูกนำมาใช้ในการวัดและประเมินบุคลิกภาพของคน...ตั้งแต่สมัยเริ่มเรียนทางจิตวิทยาให้คำปรึกษานั้น ดิฉันชอบฐานแนวคิดทฤษฎีหนึ่งมากที่เรานำมาใช้ในการวิเคราะห์คน...เราจะเรียกกันอย่างคุ้นชินว่าหน้าต่าง Johari หรือ Johari Window

หน้าต่างนี้แบ่งบุคลิกคนออกเป็น 4 กลุ่ม
กลุ่มแรก...I am OK ...You are OK. คนที่มีบุคลิกในกลุ่มนี้ค่อนข้างจะมองว่าตัวเองนั้นดี...และมองว่าคนอื่นดีด้วยเช่นกัน...ค่อนข้างมองโลกในความรื่นรมย์...และมองต่อสิ่งต่างๆ เป็นเชิงบวก...หรืออาจกล่าวได้ว่ามองเห็นความดีทั้งส่วนของตนเองและความดีของผู้อื่นด้วย สรุปคนที่มีลักษณะดังเช่นในกลุ่มนี้มักจะมีสุขภาพจิตที่ดี

กลุ่มสอง...I am OK...You are not OK. คนในกลุ่มนี้ก็เช่นกัน...มองเห็นความดีในตนเอง มองว่าตนเองดี...แต่มองว่าคนอื่นไม่ดี เวลาที่มีปัญหาก็มักจะกล่าวโทษคนอื่นหรือ Projection ว่าที่ผิดพลาดนั้นเป็นเพราะคนนั้น เป็นเพราะคนนี้...เป็นเพราะสิ่งนั้น เป็นเพราะสิ่งนี้...แต่ไม่ได้มองหรือทบทวนที่ตน...แต่จะบอกว่าตนเองนั้นถูก..เป็นคนดีแต่คนอื่นนั้นไม่ดี

กลุ่มสาม...I am not OK...You are OK. คนในกลุ่มนี้จะตรงกันข้ามกับลักษณะที่สอง..เวลาที่เกิดอะไรก็จะกล่าวโทษตนเอง ว่าตนเองความผิดของตนเอง เพราะตนเองไม่ดี..ส่วนใหญ่จะมองว่าตนเองนั้นมีความไม่ดี แย่..แต่คนอื่นนั้นดีไปหมด มองว่าตนเองนั้นด้อยค่า หรือที่เราเรียกว่า Introjection ในผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ก็มักจะมีบุคลิกลักษณะดังเช่นในกลุ่มนี้ด้วย

กลุ่มสี่...I am not OK...You are not OK. คนในกลุ่มนี้จะยิ่งแย่มาก...เพราะมองไม่เห็นทั้งส่วนที่ดีของตนเอง และของผู้อื่นด้วย...สุขภาพจิตของคนในกลุ่มนี้จะแย่มากๆ...การพัฒนาให้มีทัศนะต่อการมองโลก...ค่อนข้างจะทำได้ยากหากเจ้าตัวไม่พร้อมเปิดรับ...ในการพัฒนาแห่งตน...คนที่มีลักษณะเช่นนี้ ถือว่ามีความมืดบอดแห่งปัญญายิ่ง...

       แต่อย่างไรก็ตามก็ใช่ว่าคนเรา..จะมีลักษณะที่ถาวรไปตลอด สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากคนๆ นั้นเริ่มตระหนักและมองเห็นตนเอง...โอกาสแห่งการพัฒนาตนนั้นจะมีสูง...การที่เราจะสังเกตว่าใครมีลักษณะอย่างไรนั้น...จะทำได้ไม่ยากมากนั้น หากเราพอทราบแล้วว่าเขามีลักษณะเช่นไร..การยอมรับในตัวบุคคลนั้นจะมีมากขึ้น...ก็จะได้บอกกับตนเองว่า "อ้อ!! ที่เขาพูด ทำ..ก็เพราะเขาเป็นคนเช่นนี้เอง..." ความรู้สึกในการให้อภัยและยอมรับก็จะมีมากขึ้น...


 

หมายเลขบันทึก: 50407เขียนเมื่อ 16 กันยายน 2006 20:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2013 12:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

I am sick, I am not ok (no k)... 555 Just kidding...

ในความหมายของ OK นั้นหมายถึงว่า ดีอย่างเดียวหรอคะ ถ้าหมายถึงพอใจในตนเอง ถือว่า I am OK ได้รึเปล่า เพราะอาจจะไม่ได้ดีเด่น แต่เท่าที่เป็นนั้น OK พอใจ รับได้กับตัวเอง ส่วนคนอื่นๆ เราไปตัดสินเค้าจากตัวเราเอง คงไม่ได้ ทุกๆ คนมีที่มาที่ไปของความคิด และการกระทำ หลายครั้งจึงเกิดการเข้าใจผิดกัน เพราะไม่สื่อสารถึงสิ่งที่ตั้งใจให้ชัดเจน แต่บางครั้ง บางคนการการะทำบางอย่างเกิดจากการสร้างปมเด่นข่มปมด้อยของตน ถ้าเราเข้าใจเค้าได้ คงจะให้อภัยเค้าได้ ทุกคนๆ ส่วนลึกๆ จะมีความดีสถิตอยู่ในใจเสมอ เพียงแต่สถาพการณ์บางอย่างคงจะทำให้การแสดงออกเป็นอย่างที่เป็น

^_^

น้าน!!!...

แว๊ป...มานี่เสียแล้ว...มิตรที่ดีของเรา...

เมื่อสักครู่เพิ่งจะบอกให้ไปพัก...ที่ไหนได้...ชะแว๊ปมานี่เอง...

....

"พอใจในตนเอง ถือว่า I am OK ได้" ...เพราะแค่เราพอใจในตนเองนั้น...ก็ถือว่าดีแล้วคะ...แม้เพียงน้อยนิดก็ตาม...

แหม!!...ขนาดไม่สบาย...ก็ยังอุตส่าห์มาแบบเป็นการเป็นงานนะคะ...แนนอย่าหักโหม...มากนะหากไม่สบายพักผ่อนมาก...จะทำให้ฟื้นตัวได้เร็ว...และนานด้วย...

*^__^*

เป็นห่วงคะ

กะปุ๋ม

 

  • กลุ่มที่ 5 We're ok, I will be ok
  • ขออนุญาตสร้างกลุ่มใหม่ครับ อิอิ
  • ทำงานเยอะรักษาสุขภาพด้วยนะครับท่านกะปุ๋ม
  • ขอให้พลังแห่งความOKสถิตกับท่านตลอดไป

555...

เข้ามาขำขำ...ท่านปภังกร...

มาอย่างร่าเริง...อารมณ์ดีเช่นเดิมแล้วนะคะ...

ดึกๆ..อย่างนี้ท่าน...ยังไม่นอน...

รักษาสุขภาพเช่นเดียวกันนะคะ...

*^__^*

เมื่อสักครู่กะปุ๋มชะแว๊ป...ไปจิบกาแฟรอบดึกกับเพื่อนสนิท...คะ...คืนนี้ทำงานต่อ...สู้ๆๆ...(บอกกับตัวเอง)

ขอบคุณนะคะที่แวะมาทักทาย

พูดถึงเรือง ทัศนะชีวิต เนี่ยผมจำได้ว่า ไม่ว่าจะไปอบรมที่เกี่ยวกับการทำงานกับคน อย่าง OD, Counseling,  Life skill ก็ต้องมีบรรจุหัวข้อนี้เข้าไปด้วยเสมอ

แต่หลังจากอบรมแล้ว ไม่นานความรู้นี้ก็ถูกกลืนหายไปกับความทรงจำของผู้เข้าอบรม

จนบางครั้งที่ให้ผมคิดว่า  เอ...ผู้เข้าอบรม คงดื้อต่อเรืองนี้ไปล่ะ  เพราะเจอทฤษฎีนี้บ่อยเหลือเกิน (ผมเทียบเคียงกับ อาการดื้อยา ..... ไม่ได้มีเจตนาว่าใครดื้อด้าน)

การสอนให้คนเข้าใจคนอื่นเนี่ยมันยากจริง เพราะมันยากตั้งแต่เข้าใจนเองละ

ผมชอบกลอนแปลง ที่ปรากฎในหนังสือ ของ อ. สุวิทย์ มูลคำ (เล่มไหนผมจำไม่ได้ละ เพราะมีหลายเล่มเหลือเกิน) ทีบอกว่า

โทษคนอื่นมองเห็นเช่นภูเขา

โทษของเรามองเห็นเป็นเส้นขน

ตดคนอื่นเราบ่นเบื่อว่าเหลือทน

ตดของตนถึงจะเหม็นไม่เป็นไร

แม้จะแผลงๆ ไปนิด แต่ก็ทำให้ผมนึกถึงเจ้าทัศนะชีวิตนี้เลย

คุณคนไกลคะ...

การที่เราจะเข้าใจคนอื่นได้นั้น...เราต้องเข้าใจตัวเรา และยอมรับในตัวเราก่อน...สังเกตไหมคะว่าบางครั้งเราก็เกิดการยอมรับตัวเราเองไม่ได้ .. อย่างหลายๆ คนมักจะเกิดคำถามกับตนเองว่า..."ทำไม..ฉันถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมฉันถึงเป็นอย่างนี้...ทำไมฉันถึงไม่เหมือนคนนั้น ทำไมฉันถึงไม่เหมือนคนนี้...ฉันอยากเป็นอย่างนั้น ฉันอยากเป็นอย่างนี้"...เหล่านี้เป็นต้น สะท้อนถึงความรู้สึกที่เป็น real-self กับ Idea-self ไม่สอดคล้องกัน...และเกิดจากการไม่ยอมรับในตนเอง...ไม่พึงพอใจในตนเอง...หากแม้ตัวเรายังยอมรับตัวเราไม่ได้...ก็เป็นการยากที่เราจะเกิดการยอมรับในผู้อื่นได้อย่างแท้จริง...

...

โทษคนอื่นมองเห็นเช่นภูเขา

โทษของเรามองเห็นเป็นเส้นขน

ตดคนอื่นเราบ่นเบื่อว่าเหลือทน

ตดของตนถึงจะเหม็นไม่เป็นไร

น่าจะจัดคนอยู่ในกลุ่ม I am OK ...You are not OK. นะคะ ประมาณว่าอะไรตนเองก็ดีไปหมด...แต่คนอื่นนั้นไม่มีดีอะไรเลย...

ขอบคุณนะคะที่ช่วยมาต่อยอดเติมเต็ม...

*^__^*

กะปุ๋ม

เอ

ถ้าเข้าใจไปไม่ผิด

โจ ฮารี่ window จะเป็นเรื่อง open blind spot hiden อะไรนั่น

แต่ i'm ok you ok อะไรเนี่ย เป็นเรื่อง transaction analysis

หรือนี่เป็นทฤษฎีใหม่หรือเปล่าคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท