ฉันถูกบังคับให้เรียนพยาบาล ด้วยเหตุผลที่ว่า “แม่หาเงินส่งลูกทั้งสามคนให้เรียนพร้อมกันไม่ไหว หนูเป็นคนโต เรียนทุนพยาบาลนี่แหละ แม่ไม่ต้องใช้เงินเยอะ จบมาก็มีงานทำเลย”
“คนไข้คะ เดี๋ยวขอวัดความดันหน่อยค่ะ”
ฉันพูดกับคนไข้หญิงเตียงหมายเลขหนึ่งวัยยี่สิบสองปีที่นอนหันหน้าเข้าฝาผนัง เธอพลิกตัวเล็กน้อย วางท่อนแขนลงบนเตียงอย่างเชื่องช้า “อืมม..วันนี้เริ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบบ้างแล้ว” ฉันแอบดีใจลึกๆ หลังจากสองวันที่ผ่านมาเธอนอนนิ่ง ไม่ยินดียินร้าย ไม่ใคร่จะร่วมมือกับการรักษาเท่าไหร่นัก
“วันนี้ได้ทานยาที่หมอจัดให้มั้ยคะ” ฉันแกล้งถามเพราะรู้ว่าเธอไม่ยอมกินยาที่จัดให้จากเพื่อนพยาบาลเวรก่อนหน้า
“ถ้าอยากหายเร็วๆก็ต้องทานยานะ” ฉันพยายามสบตาจ้องหน้าเธอแต่ก็ไร้ผลเพราะเธอยังคงนอนหลับตามือก่ายหน้าผากบังใบหน้าไว้ ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของเธอ
ฉันรู้สึกสนใจคนไข้รายนี้เป็นพิเศษ เธอถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยสาเหตุกรีดข้อมือตัวเองเพื่อฆ่าตัวตาย มีอาการซีด อ่อนเพลียมาก ไม่มีญาติมาเยี่ยม นอกจากเด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่มาคอยดูแลหยิบโน่นนี่ให้ แต่ละวันเธอเอาแต่นอนนิ่ง หันหน้าเข้าฝา ไม่พูดจากับใคร ไม่สนใจการรักษา อาการทางร่างกายเกือบหายดีแล้วแต่อาการทางจิตใจนี่สิท้าทายให้ฉันเดินเข้าไปฝึกปรือฝีมือในด้าน..การให้คำปรึกษา
ด้วยความรู้สึกที่บอกกับตัวเองมาโดยตลอดว่า “ไม่อยากเป็นพยาบาล” ทำให้ฉันพยายามดิ้นรนเพื่อไปตามหาฝันและทางของตัวเอง แต่ก็ทำอะไรตามใจตัวเองได้ไม่มากนักเพราะยังอยู่ในช่วงเวลาของการทำงานชดใช้ทุน ฉันสนใจติดตามหาข่าวคราวเรื่องทุนศึกษาต่อต่างประเทศเป็นพิเศษเผื่อว่าจะทำให้ได้พบกับ “ฝันที่ตั้งใจ” จนได้พบกับข่าวรับสมัครพยาบาลไทยที่ พูดภาษาอังกฤษและภาษาเขมรได้ เข้าร่วมปฏิบัติงานกับแรงงานไทยในประเทศสิงคโปร์เพื่อลดปัญหาโรคไหลตาย ฉันจึงได้สมัครเข้าร่วมโครงการและผ่านการคัดเลือก จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดอบรมปฐมนิเทศมอบหมายภารกิจรวมทั้งฝึกวิทยายุทธ์ให้เป็น “ผู้ให้การปรึกษา” สำหรับนำไปปฏิบัติงานในต่างแดน ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ฉันประทับใจและรักบทบาทของ “พยาบาลให้คำปรึกษา”
เธอ..ถูกจัดให้นอนเตียงติดกับที่นั่งทำงานของพยาบาลเพราะถือเป็นคนไข้อาการหนักที่ต้องอยู่ในสายตาได้ตลอดเวลา ฉันมองเห็นเธอผ่านกระจกใสด้านหัวเตียง ฉันขอเพื่อนร่วมเวรเข้าไปดูแลเธอและให้การพยาบาลทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งการตรวจวัดสัญญาณชีพ ทำแผล แจกยา ยกอาหารเข้าไปให้ เปลี่ยนขวดน้ำเกลือและอื่นๆ เพื่อให้มีโอกาสได้เข้าไปพูดคุย สร้างสัมพันธภาพมากขึ้น ฉันรูดผ้าม่านรอบเตียงปิดไว้ตลอดเวลา เพราะคิดว่าในเวลาแบบนี้ เธอคงอยากอยู่คนเดียว
“สวัสดีค่ะ พี่ชื่อเจี๊ยบ เป็นพยาบาลประจำอยู่ที่ตึกนี้ พี่เป็นพยาบาลให้คำปรึกษา ถ้ามีอะไรเครียดหรือไม่สบายใจ ก็คุยกับพี่ได้” เป็นคำพูดที่ฉันบอกกับเธอตั้งแต่วันแรก และดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่นัก ผ่านมาถึงวันที่สามแล้ว แม้ว่าฉันจะซักถามอาการ ชวนพูดคุยแค่ไหน คำตอบที่ได้รับกลับมายังคงเป็น..ความเงียบและการนิ่งเฉยอยู่นั่นเอง หลังจากการชวนพูดคุยฉันมักจะนั่งเงียบๆอยู่กับเธอข้างเตียงภายในม่านสักพัก แล้วจึงค่อยเดินออกมา
ก่อนลงเวรกลับบ้านวันนี้ฉันเอื้อมมือไปแตะท่อนแขนของเธอและบอกว่า “พรุ่งนี้พี่ไม่ได้มาทำงาน แต่ถ้าพร้อมและอยากจะเล่าอะไรให้พี่ฟัง บอกเจ้าหน้าที่ให้เขาตามพี่มาหาได้.. เข้มแข็งไว้นะ” เธอ...ไม่แสดงอาการตอบโต้ให้ฉันรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาบ้างเลย
ฉันกลับมาทำงานอีกครั้งช่วงเวรบ่ายในวันถัดไป เมื่อเดินเข้ามาในตึกเหลือบมองเห็นเธอจากด้านข้าง ผมสีทองยาวประบ่า ใบหน้าเรียบเฉย สายน้ำเกลือถูกถอดออกไปจากตัวเธอหมดแล้ว ม่านรอบเตียงยังคงรูดปิด ประหนึ่งว่าไม่อยากพบหน้าใครเช่นเดิม.....หลังรับเวรเสร็จ ฉันถือเครื่องวัดความดันโลหิตเดินเข้าไปหาเธอภายในม่าน
“สวัสดีค่ะ เป็นยังไงบ้าง ดูสดชื่นขึ้นเยอะเลย เดี๋ยวนอนลงให้พี่วัดไข้ วัดความดันหน่อยนะคะ” เธอหันหน้ามามองฉัน เป็นครั้งแรกพร้อมล้มตัวลงนอน เหยียดแขนด้านที่ไม่มีแผลให้ฉันทำงานอย่างง่ายดาย
“ความดันปกตินะคะ วันนี้ทั้งวันอุจจาระ ปัสสาวะไปกี่ครั้ง” เธอลุกนั่ง หันขวับมาหาฉันอย่างรวดเร็ว พร้อมคว้ามือฉันไว้ทั้งสองข้าง และบอกว่า
“หมอคะ หนูมีเรื่องจะพูดด้วย” ฉันรีบวางเครื่องมือที่ถือไว้ลงโดยเร็วและดึงเก้าอี้มานั่งคุยกับเธอข้างเตียง เพิ่งได้เห็นใบหน้าเรียวของเธอชัดเจนในวันนี้เอง ถือได้ว่าเป็นผู้หญิงสวยเข้าขั้นทีเดียว ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ออกซีดเล็กน้อยอาจเป็นเพราะไม่ได้แต่งหน้า คิ้วและขอบตาถาวรถูกเขียนอย่างถาวร แววตาเศร้า
“ไหนมีอะไร เล่าให้พี่ฟังซิคะ ขอบคุณนะที่ไว้ใจ ทุกเรื่องที่เราคุยกันพี่จะเก็บไว้เป็นความลับ ไม่ต้องกังวลนะ” ฉันจ้องหน้าเธอ
“หนูไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใคร หนูแต่งงานกับผู้ชายที่เขามีเมียแล้ว เขาโกหกหนู เขาบอกว่าเขาไม่มีใคร เมียเขามาในวันแต่งงานของหนู ฯ ” เธอพรั่งพรูคำพูดมากมายออกมาพร้อมน้ำตา
“ ค่ะ แล้วยังไงอีก เล่าต่อไปซิคะ/ …อืมม..แล้วจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ/ …กำลังหมายถึงว่า ..เราอยากจะเลิกกับเขาเหรอคะ ฯ” ฉันใช้เวลาคุยกับเธอเกือบหนึ่งชั่วโมง การพูดคุยของเราเป็นไปอย่างราบรื่น เธอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฉันรับรู้ ด้วยลักษณะท่าทางที่เป็นมิตรและไว้ใจ หลังจากวันนั้นเราได้มีโอกาสพูดคุยกันอีกสองสามครั้ง และเธอสามารถบอกได้ว่าจะตัดสินใจดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไป ก่อนออกจากโรงพยาบาล เธอออกปากชวนฉันไปเยี่ยมที่บ้านพร้อมวาดแผนที่บ้านไว้ให้เสร็จสรรพ ฉันขอพาเพื่อนที่ไว้ใจได้ไปด้วยหนึ่งคน
หลังจากที่แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้สองสามวัน ฉันก็ตามไปเยี่ยมเธอที่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณสิบห้ากิโลเมตร เธออาศัยอยู่ในบ้านกับหลานสาวที่ไปนั่งเฝ้าดูแลเธอขณะอยู่ที่โรงพยาบาลเพียงสองคน พ่อแม่และญาติพี่น้องอยู่ต่างจังหวัด เธอประกอบอาชีพเป็นช่างเสริมสวย บ้านที่อยู่เป็นบ้านไม้สองชั้น ด้านล่างตกแต่งเป็นร้านเสริมสวย มีตู้โชว์สินค้าวางอยู่ด้านหน้า ถัดเข้าไปในบ้านมีเก้าอี้นั่งทำผมวางอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ มีอุปกรณ์ทำผม ทำเล็บวางเรียงรายอยู่ในชั้นพลาสติคล้อเลื่อน มีเตียงสำหรับนอนสระผม วางอยู่ด้านในสุดของตัวบ้าน เธอเรียกฉันให้เข้าไปนั่งที่เก้าอี้โซฟาตัวยาว
“พี่หมอสวัสดีค่ะ เชิญเข้ามานั่งก่อนค่ะ”
“จ๊ะ ขอบคุณมาก เป็นยังไงบ้าง ลูกค้าเยอะมั้ย”
“ตอนนี้ยังไม่เปิดร้านค่ะยังเพลียอยู่บ้างก็เลยนอนพักเล่นๆไปก่อน”
“สบายใจขึ้นบ้างหรือยัง...” ฯลฯ
ฉันและเพื่อนนั่งคุยกับเธออยู่นานประมาณครึ่งชั่วโมง ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ทั่วไป และแนวทางการจัดการกับปัญหาที่ทำให้เธอคิดฆ่าตัวตาย นั่งฟังในสิ่งที่เธออยากพูดระบายออกมาโดยไม่ขัดจังหวะ บางครั้งโยนคำถามกระตุ้นให้เธอได้ทบทวนความคิดของตัวเอง ฉันกล่าวชื่นชมเมื่อเธอมีทางออกให้กับตัวเองและให้กำลังใจเพื่อทำในสิ่งที่ตั้งใจให้สำเร็จก่อนลากลับ
“หนูตัดใจเลิกกับเขาแล้วค่ะ อายชาวบ้านนิดหน่อยแต่ก็ช่างมัน ทำยังไงได้ มันเป็นเวรเป็นกรรมของเราเอง”
“เก่งมากค่ะ ดูท่าทางจะเป็นคนที่เข้มแข็ง สู้ชีวิตมากเลยนะคะ ถ้าวันไหนคิดอยากฆ่าตัวตายขึ้นมาอีกยังไงก็ขอให้เล่าให้พี่ฟังก่อนนะคะ ..."
เวลาผ่านไปประมาณหกเดือน ขณะที่ฉันกำลังทำงานช่วงเวลาเวรเช้าอยู่นั้น น้องคนงานเดินมาเรียกและบอกว่า
“พี่เจี๊ยบมีแขกมารอพบ” ฉันเดินออกมาบริเวณที่นั่งพักของญาติผู้ป่วย พบเธอหน้าตาสดใส สวมเสื้อยืดคอวีสีแดง นุ่งกางเกงยีนส์รัดรูปสีน้ำเงินเข้ม รองเท้าส้นสูง นั่งรออยู่กับชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกัน หน้าตาใจดี ฉันยิ้มทักทายเดินเข้าไปหาและถามว่า “เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ยคะ”
เธอยิ้มรับและยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ หนูสบายดีแล้วค่ะ วันนี้หนูพาแฟนใหม่มาแนะนำให้พี่รู้จัก หนูเล่าเรื่องนางฟ้าใจดีให้เขาฟัง เขาเลยอยากเห็นตัวจริง ...”
“นางฟ้าใจดี” เป็นคำพูดที่แตะใจฉันอย่างแรง ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันเฝ้าบอกตัวเองเสมอว่า..ฉันอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นพยาบาลและพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหนีออกไปจากวิชาชีพนี้ วันนี้มีคนมาบอกว่าฉันเป็นนางฟ้าสำหรับเขา คำพูดประโยคสั้นๆ ทำให้ฉันต้องกลับหันมามองตัวเอง อีกครั้ง หรือว่าจริงๆแล้วฉันเกิดมาเพื่อ..เป็นนางพยาบาล ???
“ถ้าสามารถทำให้คนอื่นมีความสุข..คือ....ความสุขที่ฉันมี เหตุไฉนต้องตามหาอีกต่อไป !!!...”
"ป่วยทางกายพยาบาลได้ด้วยหยูกยา
ป่วยทางใจพยาบาลได้ด้วยใช้ใจ
ตามล่าฝัน ยิ่งล่ายิ่งห่งใกล
เอ๋ะ....ทำไมพอหยุดล่าฝันมาพบ"
(ขอบคุณเรื่องเล่าที่สร้างพลังสร้างสุข)