ผมได้รับแรงบันดาลใจให้เขียนบันทึกนี้จากการอ่านหนังสือ J. Krishnamurti : a life แต่งโดย Mary Lutyens พิมพ์โดย Penguin Books, 2005 ที่ผมซื้อมาจากอินเดียตอนไปแต่งงานลูกสาว โชคดีจริงๆ ที่เห็นหนังสือเล่มนี้ตอนไปเดินเตร่ที่ร้านหนังสือที่สนามบิน
ชีวิตของกฤษณมูรติเหมือนนิยาย แต่เป็นเรื่องจริง หนังสือเกี่ยวกับคำสอนหรือคำบรรยายของท่านมีคนแปลเป็นภาษาไทยหลายเล่ม ที่บ้านผมก็มีหนังสือภาษาอังกฤษที่บันทึกคำปาฐกถาของท่าน พอผมซื้อหนังสือเล่มนี้และเอามาอวดภรรยา เขาก็ว่าทันทีว่าเห็นมีอยู่ที่บ้านแล้ว ซื้อทำไมอีก เขารู้ว่าผมบ้าหนังสือ ก็กลัวว่าจะซื้อซ้ำ (ซึ่งผมก็เคยซื้อซ้ำจริงๆ เพราะตกหลุมสำนักพิมพ์ เขาเปลี่ยนปก) ผมรีบบอกว่าที่มีอยู่เป็นบันทึกคำสอน แต่เล่มนี้เป็นประวัติ ตั้งแต่เกิดจนตาย อยากได้มานานแล้ว
พอกลับมาเมืองไทยเขาเห็นผมจับอยู่แต่หนังสือเล่มนี้ก็รู้ทันทีว่าผมสนุกกับการอ่านหนังสือเล่มนี้จริงๆ ผมชอบอ่านหนังสือชีวประวัติ ของคนดีคนเก่ง ผมว่ามันสอนใจเราดี มันให้ความรู้ในมิติที่ลึก โดยเปิดโอกาสให้เราตีความ ยิ่งคนเขียนเขียนอย่างละเอียด ให้ภาพของสภาพสังคมในขณะนั้นด้วยผมยิ่งชอบ
ชีวิตของกฤษณมูรติเป็นตัวอย่างของคนที่เกิดมามีจิตประภัสสร (สะอาด มีกิเลสน้อย) เป็นพิเศษ ที่น่าสนใจคือในสภาพสังคมตามปกติ (ของอินเดีย) ดช. กฤษณะ เมื่อโตขึ้นจนอายุ ๑๔ เป็นคนไม่เอาไหน สมองช้า เรียนช้า เหม่อลอย อยู่กับความฝัน แต่มีฝรั่งคนหนึ่งชื่อ Charles Webster Leadbeater ตาแหลม มองว่าเด็กคนนี้แหละที่น่าจะเป็นอวตารของพระศรีอาริยเมตไตร เพราะเป็นเด็กที่มีแววแห่งจิตประภัสสรสูง น้องชายชื่อนิตยานันทะ อายุอ่อนกว่า ๓ ปี ก็มีคุณลักษณะนี้ แต่อ่อนกว่า สมาคม Theosophical Society นำโดยนาง Annie Besant จึงขอจากพ่อเอาไปเลี้ยงดู ให้การศึกษา และฝึกฝนสำหรับให้ตรัสรู้เป็นศาสดาของโลก สมาคมนี้ตั้งขึ้นเพื่อหาทางส่งเสริมการมาเกิดของศาสดาคือพระศรีอาริยเมตไตร
แล้วกฤษณมูรติก็ "ตรัสรู้" หรือ enlighten ขึ้นเองจริงๆ เป็นการ "ตรัสรู้" สู่อิสรภาพ เป็นการประกาศ "ความจริง" ที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อของกลุ่ม Theosophist ที่เชื่อในศาสดา เชื่อว่าจะมีศาสดามาช่วยกู้โลก แต่กฤษณมูรติเมื่ออายุ ๓๕ บอกว่าตนไม่ใช่ศาสดา และศาสดาไม่มีความจำเป็นต่อการเข้าถึงความจริงแท้ เพราะคนเราจะเข้าถึงความจริงแท้ ความเป็นอิสระแท้ ความสุขแท้ ก็ด้วยตนเองเท่านั้น ไม่มีศาสดาคนไหนจะมาช่วยให้บรรลุได้
หนังสือเล่มนี้หนาถึง ๗๕๐ หน้า เป็นการรวมเล่มของหนังสือ ๓ เล่ม ที่เล่มแรกกล่าวถึงช่วงต้นชีวิต ถึงอายุ ๓๕ เล่มที่ ๒ กล่าวถึง ช่วงอายุที่กฤษณมูรติมีกำลังเต็มที่ ตั้งแต่อายุ ๓๕ - ๘๕ และเล่มที่ ๓ เป็นเรื่องของชีวิตช่วงสุดท้ายก่อนถึงแก่กรรมในปี คศ. 1986 และการตีความชีวิตของกฤษณมูรติ ผมเพิ่งอ่านจบไปตอนเดียวอย่างไม่ละเอียดนัก ก็เอามาเล่าด้วยความพิศวงว่าคนที่เกิดมาจิตใจดี มีความเห็นแก่ตัวน้อย มีจริง ถ้าส่งเสริมเขาให้ดี ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมาก ทำให้ผมฝันเฟื่องเรื่องการศึกษาไปไกล
วิจารณ์ พานิช
๖ สค. ๔๙