แสงไฟริบหรี่ทางการศึกษาและการเมืองไทย ที่ปลายอุโมงค์


กล่าวฝ่ายสังคมมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นต้นกระบวนด้านวิชาการเราก็โง่พอกันกับฝ่ายการเมือง

(บทความนี้ตีพิมพ์ใน ผจก. ออนไลน์ เมื่อจันทร์ ผ่านมา)  


เมื่อสองสัปดาห์ก่อนได้มีบทความในนิตยสาร The Economist วิจารณ์การศึกษาไทย เขาบอกว่าการศึกษาไทยล้มเหลวมาก แม้จะทุ่มงบลงไปละเลงกันถึง 20% ของงบประมาณชาติเข้าไปแล้ว (น่าจะมากที่สุดในโลกเมื่อคิดเป็นร้อยละของงบประมาณ...ผู้เขียน) ส่วนตัวชี้วัดสัมฤทธิผลการศึกษาก็แสดงว่ามันเลวลงเรื่อยๆ ทั้งในระดับสัมบูรณ์ และสัมพัทธ์กับเพื่อนบ้าน (เช่น มาเลย์ เวียดนาม อินโดนีเซีย)
       
        ท่านที่พอมีความรู้อ่านออกอังกฤษ ลองอ่านดูได้นะครับhttp://www.economist.com/node/21556940
       
        ผมเชื่อว่าความตกต่ำทางการศึกษาทั้งปวงเป็นผลพวงของการที่ประเทศไทยเรามีหัวโง่ หัวในที่นี้มีสองหัวคือ หัวการเมือง และหัววิชาการ ซึ่งหัวทั้งสองนี้ยังมีการเชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้นอีกด้วย (เรียกโก้ๆ ว่าบูรณาการก็ได้)
       
        ความโง่ (อวิชชา) เป็นต้นกำเนิดวงจรแห่งทุกข์ได้เสมอ ตั้งแต่ทุกข์ทางวิญญาณ อารมณ์ไปจนถึงทุกข์แห่งชาติ อวิชชาที่สำคัญที่สุดคือการไม่รู้จักตนเองว่าเรามีอวิชชาอะไรสะสมอยู่ในขณะนี้ พอไม่รู้จักตนเองมันก็แก้ไขตนเองไม่ได้ มันก็ยิ่งจมปลักอวิชชาลึกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่อาจวิวัฒน์พัฒนาชาติให้ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง ตามแบบฉบับตัวเองได้ อย่างมากที่สุดก็ได้แค่ลอกเลียนแบบคนอื่นไปแบบเชื่องๆ ทั้งที่ลักษณะสังคมเราต่างจากสังคมเขามากหลาย
       
        เช่นสังคมเราเป็นสังคมอิงนาย (อิงอำนาจ) แต่คณะราษฎร์ซึ่งเป็นต้นกระบวนด้านการเมืองดันโง่ไปลอกเอาระบบ ปชต. ฝรั่งมาใช้แบบทั้งดุ้น เช่น ระบบวันแมนวันโหวต ส่งผลมาทำให้เกิดการซื้อขายเสียงได้ง่ายๆ ทั้งโดยตรงและอ้อม (เช่นประชานิยม) ส่งผลให้เราได้นักการเมืองโง่ๆ ที่ซื้อเสียงเข้าไปถอนทุน แทนที่จะไปบริหารประเทศ (แต่คิดไปแล้วก็ดีไปอย่างที่ไอ้พวกนี้ไม่มีเวลาบริหารประเทศ เพราะถ้าให้คนโง่พวกนี้บริหารประเทศชาติคงฉิบหายยิ่งไปกว่านี้เสียอีก)
       
        เมื่อหัวขบวนการเมืองมันโง่เสียแล้ว มันก็นำปลายขบวนไปสู่ความโง่ด้วย ...จะหนีพ้นไปได้อย่างไร
       
        สังคมฝรั่งเป็นสังคมแนวราบ (อิงตน) ส่วนไทยเราเป็นสังคมแนวดิ่ง (อิงนาย) มันต่างกันฟ้ากะเหว ดังนั้นถ้าเราเอาระบบ ปชต.ฝรั่งมาใช้ทั้งดุ้นดัง ๘๐ ปีที่ผ่านมาผมรับรองว่าไม่ช้าจะฉิบหายวายวอดกันหมดชาติ ดังที่ผมได้วิเคราะห์ไว้ในบทความก่อนๆ (เช่น “๘๐ ปี ก๋วยเตี๋ยวาธิปไตย”)
       
        กลไก ปชต.ที่สำคัญที่สุดคือการแยกและการคานอำนาจที่เขาวางไว้ดีแล้วในบริบทสังคมแนวราบ พอเราไปลอกเอามาใช้กับระบบสังคมแนวดิ่งมันก็เละตุ้มเป๊ะ กลายเป็นตราประทับรับรองความเป็นเผด็จการในคราบ ปชต.ของฝ่ายบริหารไปอย่างน่าสมเพชเวทนายิ่ง ที่ฝ่ายนิติบัญญัติกอกระดุมกุมรับคำสั่งจากฝ่ายบริหารประหลกๆ
       
        ในบทความก่อนนี้ผมได้เสนอว่าการปรับแก้ความผิดเพี้ยนของระบบการเมืองไทยนั้นทำได้ในสามระดับคือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งนี้เพื่อให้เข้ากันได้กับลักษณะสังคมแนวดิ่งแบบเรา หากไม่ทำเช่นนี้ก็ต้องปรับแก้สังคมให้เป็นแนวราบ ซึ่งมันยากมาก อย่าคิดว่าหมดอำมาตย์แล้วจะเป็นแนวราบนะ ดูอย่างจีน เวียดนามสิ ไม่มีอำมาตย์แล้วเป็นแนวราบไหม ยิ่งเป็นแนวดิ่งยิ่งกว่าเดิมเสียอีกกระมัง
       
        การแก้ที่ต้นน้ำคือการปรับคุณภาพของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เช่น การให้สอบวัดความรู้ทางสังคมการเมืองให้ผ่านก่อนได้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ใช่ว่าหมูหมากาไก่ที่ไหนก็ได้สิทธิวันแมนวันโหวตเท่ากัน ซึ่งพอเสนอดังนี้ก็โดนด่าตรึม ทั้งที่ระบบฝรั่งเดิมที่ไปลอกเขามานั้นก็ “จำกัดสิทธิ” อยู่แล้วเช่น ต้องอายุครบ ๑๘ ปี ทั้งที่เด็กอายุ ๑๕ ปีอาจสนใจและมีความรู้ด้านการเมืองดีกว่าคนแก่อายุ ๓๕ ปีเสียอีก
       
        กลางน้ำ (ซึ่งเราบกพร่องมากที่สุด เพราะขาดการคานอำนาจดังกล่าวแล้ว) ทำได้หลากหลายวิธี เช่น การให้ ส.ว. มาจากการดำรงตำแหน่งในองค์กรต่างๆ และการสรรหา โดยห้ามมาจากการเลือกตั้งโดยสิ้นเชิง พอเสนอเช่นนี้ก็โดนด่าตรึมอีกตามเคย หาว่าไม่เป็น ปชต. (เพราะคิดตามกรอบปชต.ฝรั่ง) ทั้งที่ระบบนี้เป็น ปชต. แบบธรรมชาติที่ “เลือกตั้ง” กันมาในรอบแรก สอง สาม สี ห้า หก หลายสิบปีแล้ว กว่าที่จะได้มาดำรงตำแหน่งในองค์กรหรือได้มาได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับการคัดสรร ซึ่งระบบการเลือกตั้งแบบธรรมชาตินี้มันจริงแท้แน่นอนกว่าวันแมนวันโหวตแบบหมูหมากาไก่มากมายเสียอีก
       
        จากนั้น รธน.ก็กำหนดออกไปสิว่า ให้ ส.ว. มีอำนาจในการคานอำนาจกับ ส.ส. เป็นอย่างดี เช่น ในการโหวตไม่ไว้วางใจนั้น ให้ ส.ส.ฝ่ายค้านนำเสนอ ส.ส.สองฝ่ายอภิปรายโต้ตอบกันให้พอใจ จากนั้นให้ ส.ว.เป็นคนโหวตตัดสิน แบบนี้คานอำนาจแน่ เพราะ ส.ว.ระบบนี้ไม่สังกัดพรรคใด ซื้อเสียงก็ยาก เพราะต่างก็มีเงิน มีศักดิ์ศรี ไม่ต้องพึ่งใคร
       
        อีกทั้งในการเข้าดำรงตำแหน่งของรัฐมนตรีทุกคน ก็ต้องผ่านการโหวตรับรองของ ส.ว.ด้วย ซึ่งจะทำให้เราได้ รมต.ที่เก่งและดีเข้าไปบริหารประเทศ อย่างน้อยก็คงเก่งดีกว่าระบบปัจจุบัน ที่หมูหมากาไก่ที่ไหนพอได้รับอาณัติจากหัวหน้าพรรคก็เข้าดำรงตำแหน่งได้ เพื่อไปถอนทุน...เรื่องดีๆ แบบนี้เราไม่เคยคิดลอกเลียนฝรั่ง เช่น ใน USA นั้น รมต. ทุกคนต้องได้รับการโหวตรับรองการเสนอชื่อจาก ส.ว. (senate) ก่อนเสมอ หลายคนโหวตไม่ผ่าน ทำให้รัฐบาลต้องพิถีพิถันในการเสนอชื่อ เพราะหากไม่ผ่านรัฐบาลจะเสียหน้ามาก ทำให้คะแนนเสียงตกวูบได้ เพราะ ส.ว.เขาจะขุดค้นสิ่งต่างๆ มาตีแผ่ ที่บ่อยครั้งไปเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ทางธุรกิจของพรรครัฐบาล
       
        สำหรับปลายน้ำนั้น คือการตรวจสอบควบคุมการบริหารประเทศของรัฐบาล ซึ่ง รธน.ไทยเราได้มีการกำหนดรัดกุมพอควรดีอยู่แล้ว โดยการกำหนดองค์กรอิสระต่างๆ ขึ้นมา แต่ผมได้เคยเสนอให้มีการจัดตั้ง “สภากระทรวง” ทำหน้าที่คล้ายรัฐสภา ในการกำกับดูแลการออกกฎหมายระดับกระทรวง และกำกับดูแลการบริหารกระทรวง โดยสมาชิกสภานั้นให้มีทั้ง ส.ส.รัฐบาล และ ส.ส.ฝ่ายค้าน อีกทั้ง ส.ว.ด้วย
       
        อย่าลืมว่าการโกงกินนั้น ส่วนใหญ่เกิดในระดับกระทรวงเสียด้วย ถ้ามีสภากระทรวงกำกับเช่นนี้ก็จะโกงได้ยากขึ้น และมีการคานอำนาจในการบริหารรัฐกิจได้รัดกุมมากขึ้น
       
        กล่าวฝ่ายสังคมมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นต้นกระบวนด้านวิชาการเราก็โง่พอกันกับฝ่ายการเมือง เพราะอาจารย์น้อยไม่กล้าเถียงอาจารย์ใหญ่ (อำนาจนิยม แบบแนวดิ่ง) อีกทั้ง อาจารย์ใหญ่เองก็โง่เห่อลอกฝรั่งเหมือนนักการเมืองนั่นแหละ ทำให้เราไปลอกวิชาการฝรั่งมาใช้ทั้งหมด ด้วยการไปดูงานต่างประเทศกันอยู่นั่นแหละ จนอธิการและรองอธิการบดีมหาลัยไทยบางคนใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่เมืองนอก ส่วนบ้านนอกไทยเราไม่เคยจรไปทัศนาสักครั้ง
       
        วิชาการด้านการเมือง เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ไม่ต้องพูดถึง มหาลัยไทยเดินตามฝรั่งแบบเชื่องๆ มาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ที่น่าตกใจคือ ประวัติศาสตร์ โบราณคดีทั้งหลายที่เป็นของเราเองแท้ๆ ยังต้องเดินตามฝรั่ง เขาบอกว่าเรามาจากเทือกเขาอัลไตก็ต้องว่าตามเขา มาจากน่านเจ้าก็เอากะเขาด้วย ผมเองน่าจะเป็นคนแรก (หรือคนแรกๆ) ที่เสนอว่าไทยเราอยู่ตรงนี้ ไม่ได้มาจากไหน (มาทราบภายหลังว่ามีนักวิชาการไทยบางท่านก็เสนอทฤษฎีนี้ในช่วงเวลาเดียวกับที่ผมได้เสนอ)
       
        บัดนี้ผมเสนอว่า ขอมคือสยาม และนครวัดสร้างโดยคนสยาม อีกทั้งพระเจ้าอู่ทองเป็นขอมที่หนีการลุกฮือของเขมรมาก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา โดยผมมีหลักฐานมัดแน่นหนายากจะหลุดได้ ...ก็โดนด่าตรึมตามเคย เพราะมันค้านกับทฤษฎีฝรั่ง บางคนก็ถามแบบโง่ๆ ว่า ผมเป็นใครถึงกล้าไปเถียงกับทฤษฎีของ ศาสตราจารย์เซย์เดย์ (นักวิชาการอาณานิคมฝรั่งเศส ที่กล่าวอ้างมั่วๆ ว่าเขมรสร้างนครวัด ดังนั้นนครวัดต้องเป็นของฝรั่งเศสด้วยสิ)
       
        หัวขบวนการเมืองและการศึกษาไทยเราทั้งสองหัวนี้ได้และกำลังชักนำสังคมไทยไปสู่ความเป็นทาสต่างชาติในทุกเรื่อง ก่อเกิดความผิดเพี้ยนทุกระดับ ขาดการคานอำนาจทัดทานกันในระหว่างองคาพยพของสังคม เช่น หัวหน้าพรรค นายทุน อธิการบดี จะทุบหัวโต๊ะสั่งการอะไรก็ได้เสมอ ทั้งที่อาจโง่ คิดไม่ออก และหรือเลวด้วย เพราะรับเงินนายทุนไทยและต่างชาติเข้ามาเพื่อทุบโต๊ะ
       
        ความผิดเพี้ยนที่สำคัญที่สุดคือนักการเมือง ภายใต้การชี้นำปรึกษาของนักวิชาการ ที่ชักนำเอาทุนต่างชาติเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำชาติเรา จนพ่อแม่ในชนบทต้องทิ้งลูกเต้าเข้าไปทำงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างชาติ ปล่อยให้เด็กๆ โตขึ้นมาโดยไม่มีพ่อแม่ให้ความอบอุ่น มันก็เลยเสียเด็กกันหมด ติดยา บ้ากาม แว้น ไม่สนใจการเรียนกันหมดทั้งประเทศ
       
        ข้อมูลตื้นๆ อันสำคัญยิ่งนี้นักการเมืองไทยมันเคยสั่งให้สำนักงานสถิติแห่งชาติไปหาข้อมูลเพื่อเอามาประกอบการตัดสินใจวางนโยบายพัฒนาชาติบ้างไหม เชื่อว่าไม่ เพราะทั้งสองฝ่าย “ไม่มีเวลา” ต่างมัวแต่เอาเวลาไปถอนทุนหรือไปดูงานต่างประเทศกันหมด
       
        แล้วลองคิดดูว่าเด็กวันนี้คือวัตถุดิบของการสร้างสังคมชาติในวันหน้า แล้ววันหน้าเราจะมีอะไรเหลือหรือ นอกจากโง่ยกกำลังสอง สี่ แปด สิบหก...อสงไขย ไปเรื่อยๆ
       
        ส่วนนักวิชาการ “กรรมมารอ” บอบ้าอีกพวกก็ปฏิลูบปฏิคลำการศึกษา ให้เลิกสอนแบบครูสอนนักเรียนด้วยความเมตตาเหมือนในกาลก่อน แต่ให้หันมาสอนแบบ “ใบงาน” ที่นักเรียนเป็นศูนย์กลางแบบ “ควายเซ็นเตอร์” ...ก็ยิ่งเข้าทางครู เพราะจะได้มีเวลาไปหาเงินผ่อนรถผ่อนบ้านมากขึ้น ส่วน ผอ.ก็จะได้มีเวลาไปเล่นกอล์ฟกะนายกอบจ. อบต. มากขึ้น เพื่อไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งบริหารที่สูงขึ้น
       
        การศึกษาไทย การเมือง วิชาการมหาลัยไทย จึงวินาศฉิบหายมาเป็นลำดับดังนี้แล ข้าพเจ้าเฝ้ามองมาเป็นเวลานานปีด้วยความชอกช้ำระกำเศร้าเป็นหนักหนา บทความหลากหลายที่ได้เขียนเสนอไปมากก็เหมือนน้ำพริกที่โยนให้ละลายหายไปกับเกลียวคลื่นท้องทะเล ที่นอกจากเหนื่อยแรงตำ แรงโยนแล้วยังถูกเต่าปูปลามันหัวเราะเยาะเอาด้วยซ้ำไป
       
        วันนี้ แสงริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์ยังมองไม่เห็น สงสัยอุโมงค์รถไฟขบวนนี้มันคงตันเสียแล้ว อากาศหายใจก็กำลังจะหมดรอมร่อ รอวันตายหมู่กันทั้งคอก
       
        ได้แต่ภาวนาขอให้ตกราง จะได้ตะกายวิ่งกลับสวนทางออกมาทางต้นอุโมงค์..นั่นเป็นวิธีเดียวที่อาจพอรอดตายได้บ้าง

หมายเลขบันทึก: 495888เขียนเมื่อ 24 กรกฎาคม 2012 22:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 กรกฎาคม 2012 18:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ใช่เลยค่ะอาจารย์  " ส่วนนักวิชาการ “กรรมมารอ” บอบ้าอีกพวกก็ปฏิลูบปฏิคลำการศึกษา ให้เลิกสอนแบบครูสอนนักเรียนด้วยความเมตตาเหมือนในกาลก่อน แต่ให้หันมาสอนแบบ “ใบงาน” ที่นักเรียนเป็นศูนย์กลางแบบ “ควายเซ็นเตอร์” .  เห็นใบงานกาบ้านหมวยน้อยแต่ละอันเป็นมึนงง  เขาจะสอนให้เด็กเป็นเทวดาหรือไงนี่

กดไลค์เห็นด้วยตลอดชีวิตเลยค่ะอาจารย์

เลิก อิงนาย ได้เมื่อไหร่ เราก็เป็นไท 5 5

ทุกคน อิงตน บนความถูกต้อง ทั้งผองก็สงบ

ถูกใจ ๆ ขอก็อปห้วข้อเรื่อง ไปวางไว้ใน เรียนรู้วิธีการโกงในประเทศไทยจากหลายภาคส่วน (เอาไว้ปราบโกง) ด้วยครับ http://www.gotoknow.org/blogs/posts/495316

แฟนคลับที่ไม่ปรากฎนามตรงนั้นจะได้อะไร ที่ลึก ๆ ลงไปอีกครับ

ขอก็อปไปวางในเฟซบุ๊คอีกที รายการนี้ถูกใจ จะเอาไปช่วยผ้าป่าชาติ จะได้ฉลาดรู้ทันคนกันมากๆ ขอบคุณครับ

  • อย่างนี้..มีเท่าไร ก็ต้องเท(ดอกไม้)ให้หมดหน้าตัก..
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท