แอ่วเมืองเหนือ(๑)


    เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้รับภารกิจเป็น"พลขับรถ".. เดินทางไปเชียงใหม่ครับ..ตั้งชื่อบันทึกว่า"แอ่วเมืองเหนือ"คงจะไม่ถูกต้องนัก...เอาเป็นว่าขอ"แอ่ว"ไปด้วยก็แล้วกันเมื่อโอกาสอำนวย....ตั้งใจไว้คือหากมีเวลาก็จะไปเยี่ยมชม.."วัง"กับ "วัด"เก่าๆในอดีตนะครับ.....เราออกเดินทางแต่เช้ามืดไปกันเรื่อย ๆแบบสบายๆ แวะพักไปตามทาง  ประมาณเที่ยงก็ถึงเกาะคา ลำปาง ขอเก็บภาพพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาฝากครับ....พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเมื่อ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

        สถานที่ตั้ง พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งใหม่นี้ตามประวัติศาสตร์ เคยเป็นเส้นทางเดินทัพของพระองค์ เมื่อครั้งยกทัพไปตีพม่าที่เมืองหาง ก่อนเสด็จสวรรคตที่เมืองหาง และได้อัญเชิญเคลื่อนย้ายพระบรมศพจากเมืองหาง ผ่านเมืองเชียงใหม่ เมืองหริภุญชัย ข้ามเทือกเขาขุนตาล ห้างฉัตร และเกาะคา ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง สบปราบ ทุ่งเสลี่ยม สุโขทัย เข้าสู่กรุงศรีอยุธยา...พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นรูปพระองค์ท่านทรงม้าศึก รายล้อมด้วยทหารเอก ๙ นาย ทางด้านซ้ายของพระองค์มี ๖ นายคือ  เจ้าพระยาสีหราชเดโชชัย ยืนถือดาบคนแรก  คนที่สองเจ้าพระยาสุโขทัย ยืนด้านในตรงขาหลังของม้าทรง คนที่สาม พระราชมนู ยืนด้านนอกถือปืนยาว คนที่สี่ เจ้าพระยาจักรี ยืนสวมหมวกด้านในต่อจากเจ้าพระยาสุโขทัย คนที่ห้า พระชัยบุรี ยืนถือดาบและโล่ห์  คนที่หก พระยาท้ายน้ำ ยืนถือหอก...

      ส่วนทางด้านขวาของพระองค์ มี ๓ นาย คนแรกคือ พระยาศรีไสยณรงค์ สวมหมวกถือดาบ คนที่สองคือ พระยาราชฤทธานนท์ ยืนถือหอก คนที่สามคือ พระอมรินทราฤาไชย ยืนถือดาบ  ..

        สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรูปพระองค์ท่านทรงม้าศึกกับทหารเอก ๙ นาย  พระบรมรูปของพระองค์ท่านที่ทรงม้าศึกจะมีที่อยุธยาอีกแห่งหนึ่ง...

        พระบรมรูปที่วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา  ทรงประทับนั่งหลั่งทักษิโณทก ประกาศอิสรภาพ

 

พระบรมรูปที่ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พิษณุโลก ทรงประทับยืนหลั่งน้ำทักษิโณทก ประกาศอิสรภาพ

พระบรมราชานุสาวรียสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี......

....ครับหลังจากแวะสักการะพระองค์ท่านแล้ว..ก็ขออนุญาตเดินทางต่อครับ..ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านครับ...

ขอขอบคุณข้อมูล จาก FB กลุ่มจัดทำหนังสือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นครลำปาง

 

        

หมายเลขบันทึก: 494718เขียนเมื่อ 13 กรกฎาคม 2012 19:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม 2012 20:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)

ทหารเอกทั้ง ๙ นาย...(ข้อมูลจากป้ายแสดงบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์)

พระยาสีหราชเดโช
ปรากฏนามในพระไอยการ ตำแหน่งนาพลเรือน ในกฎหมายตราสามดวงจุลศักราช ๑๑๖๖ ว่า “ออกญาศรีราชเดโชไชยอะไภยพิธียปรากรมกาหุ” ส่วนในพระราชพงศาวดารฉบับราชหัตถเลขา เรียกว่า “พระยาศีราชเดโช” เป็นกองหน้าในครั้งสงคราม ยุตธหัตถี พ.ศ.๒๑๓๕
เจ้าพระยาสีหาราชเดโชชัย ยืนถือดาบในตำแหน่งคนแรกด้านซ้ายของพระหัตถ์ ท่านมีความโดดเด่นด้านการรบ เป็นกองหน้าในสงครามยุทธหัตถี
ปรากฏนามในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน ในกฎหมายตราสามดวงจุลศักราช ๑๑๖๖ ว่า “ออกญาศรีราชเดโชไชยอะไภยพิรียปรากรมภาหุ” ส่วนในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเรียกว่า “พระยาศรีราชเดโช” และได้ปรากฏตัวในเหตุการณ์ต่างๆได้แก่
- เหตุการณ์พระยาละแวกแต่งตั้งเจ้าฟ้าทะละหะ,พระยาเดโช,พระยาราชนายก,พระยามไมตรีและพระยาแสนท้องฟ้ามาตีหัวเมืองฝั่งตะวันออกในปี พ.ศ. ๒๑๒๙ ขณะที่กรุงศรีอยุทธยามีศึกติดพันกับหงสาวดี พระยาสีหราชเดโชชัยได้รับพระราชทานกระแสรับสั่งให้เป็นแม่ทัพไปรบกับเขมรที่เมืองนครพร้อมด้วยพระยาศรีไสยณรงค์
- เป็นกองหน้าในครั้งสงครามยุทธหัตถี พ.ศ.๒๑๓๕
- ในศึกพระเจ้าแปร พ.ศ.๒๑๓๗ เป็นกองหน้าถือพล ๕,๐๐๐ คน ยกทัพไปสุพรรณบุรี
- ในศึกตีเมืองละแวก (ครั้งที่ ๒) พ.ศ.๒๑๓๗ เป็นนายกองคุมไพร่พลล้อมเมืองละแวกทางทิศใต้
- ในเหตุการณ์พระยาหัวเมืองเหนือก่อจลาจล ประมาฯปี พ.ศ.๒๑๔๒-๒๑๔๓ สมเด็จพระเอกทาศรถ พระอนุชาธิราช รับสั่งให้พระยาสีหราชเดโชชัยแต่งข้าหลวงไปประจำยังเมืองของพระยาหลวงเมืองน่าน,พระยาเชียงของ,พระยาพยาก,พระยาเมืองยอง,พระยาขวาและหัวเมืองทั้งหมด

เจ้าพระยาสุโขทัย
ปรากฏนามในพระไอยการเก่า ตำแหน่งนาหัวเมืองฉบับอยุธยา ของหอพระสมุด วชิรญาญ ว่า “เจ้าพระยาศรธรรมาโศกราชชาติภักดีบดินทรสุรินทรฤาไชยอภัยพิธีปรากรมพาหุ เจ้าเมืองศุโขทัย” เป็นหนึ่งในสักขีพยานในพระราชพิธีหลั่งน้ำทักษิโณทก
เจ้าพระยาสุโขทัย ยืนในตำแหน่งคนที่ ๒ ตรงกับขาหลังซ้ายของม้าทรง ท่านร่วมรบกับพระราชมนูในสงครามพระเจ้าเชียงใหม่ ครั้งที่ ๒
ปรากฏนามในอัยการเก่าตำแหน่งนาหัวเมืองฉบับอยุธยา ของหอพระสมุดวชิรญาญว่า “เจ้าพระยาศรีธรรมาโศราชชาติภักดีบดินทรสุรินทรฤาไชยอภัยพิรียบรากรมพาหุเจ้าเมืองสุโขทัย “ปรากฏตัวในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ในเหตุการณ์ต่างๆ ดังนี้
-ปี พ.ศ.๒๑๒๘ พระเจ้านันทบุเรงมีพระราชบัญชาให้พระยาพสิมยกทัพสมทบกับพระเจ้าเชียงใหม่ลงมาตีกรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้นพระยาพสิมยกลงมาแต่เพียงทัพเดียวจึงถูกทัพเรือเจ้าพระยาจักรีตีแตกพ่ายไปตั้งรับอยู่บนเขาพระยาแมน สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงมีพระราชบัญชา ให้เจ้าพระยาสุโขทัยเป็นแม่ทัพไปตีทัพพระยาพะสิมซ้ำแตกกระจัดกระจายไปถึงกาญจนบุรี
- เป็นหนึ่งในสักขีพยานในพระราชพิธีหลั่งน้ำทักษิโณทกตั้งสีมาจารึกเพื่อเป็นราชไมตรีของกรุงศรีอยุธยา และกรุงระแวก ครั้งสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ณ ตำบลสะเกศ ในปี พ.ศ.๒๑๒๘
- รับพระราชบัญชาให้เป็นนายทัพถือพลไปล่อทัพพระเจ้าเชียงใหม่พร้อมกับพระราชมนู ในสงครามพระเจ้าเชียงใหม่(ครั้งที่ ๒) สมรภมิป่าจิก-ป่ากระทุ่มปี พ.ศ. ๒๑๒๘
ราชทินนาม “เจ้าเมืองสุโขทัย” ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาในนาม “พระยาสุโขทัย” ซึ่งสันนิษฐานว่าจะเป็นคนละคนกันกับ “เจ้าพระยาสุโขทัย” ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นโดยพระยาสุโขทัย ได้ร่วมทัพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระมหาธรรมราชา ไปรบกับพระยาอ่อน ณ ตำบลแสนสโทง ตามคำร้องของพระศรีสุพรรมาธิราชกษัตริย์ละแวก ประมาณปี พ.ศ.๒๑๔๗

พระราชมนู
เป็นทหารเอกคู่พระทัยที่มีความสามารถมากของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฎนามในพระไอยการ ตำแหน่งนาหัวเมืองในกฎหมายตราสามดวง จุลศักราช ๑๑๖๖ ว่า “หลวงราชมนูเจ้ากรมกองชนะ” ต่อมาทรงแต่งตั้งให้พระราชมนูเป็นเจ้าพระยามหาเสนาบดีศรีสมุหพระกลาโหม
พระราชมนู ยืนถือในตำแหน่งคนที่ ๓ ด้านหน้าเจ้าพระยาสุโขทัย ท่านร่วมรบเจ้าพระยาสุโขทัยในสงครามพระเจ้าเชียงใหม่ครั้งที่ ๒
เป็นทหารเอกคู่พระทัยที่ทีความสามารถมากของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฏนามในพระอัยการตำแหน่งนาหัวเมือง ในกฎหมายตราสามดวง จุลศักราช ๑๑๖๖ ว่า “หลวงราชมณู เจ้ากรมกองชนะ” ปรากฏตัวในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาในเหตุการณ์ต่างๆดังนี้
-ในปี พ.ศ.๒๑๒๘ พระยาสิมถูกทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกพ่าย ทัพพระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งยกมาไม่ทันกำหนดเพิ่งจะยกทัพมาถึงเมืองชัยนาท พระเจ้าเชียงใหม่สำคัญว่าทัพพระยาสิมยังไม่แตกพ่าย จึงส่งไชยกะยอสู และนันทกะยอสูลงมาที่บางพุทรา สมเด็จพระนเรศวรจึงมีรับสั่งให้พระราชมนูยกพลทหารอาสา ๓,๐๐๐ คน ไปตีทัพไชยกะยอสู และนันทกะยอสู จนแตกพ่ายขึ้นไปจนถึงทัพใหญ่ที่เมืองชัยนาท พระเจ้าเชียงใหม่เห็นดังนั้นจึงเลิกทัพกลับไปเมืองเชียงใหม่
- พ.ศ. ๒๑๒๘พระเจ้าเชียงใหม่ได้รับพระราชบัญชาจากพระเจ้านันทบุเรง ให้ยกพลเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งเป็นการแก้ตัวในศึกคราวที่แล้ว ในสงครามพระเจ้าเชียงใหม่ครั้งที่ ๒ นี้ พระราชมนูได้รับพระราชบัญชาจากสมเด็จพระนเรศวรให้ยกพล ๑๐,๐๐๐ คนไปล่อทัพพระเจ้าเชียงใหม่แต่ไม่ยอมล่าถอย จนสมเด็จพระนเรศวรต้องส่งม้าเร็วซึ่งก็คือ จะหมื่นทิพรักษา ด้วยพระราชกระแสรับสั่ง ไปตรัสคาดโทษว่า “ถ้ายังขัดมิถอยให้นำศีรษะลงมา” พระราชมนูจึงได้ถอยทัพลง ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรใช้ยุทธวิธีตีขานบทัพพระเจ้าเชียงใหม่แตกพ่ายไป
-ในสงครามยุทธหัตถี พ.ศ.๒๑๓๕ เป็นแม่กองคุมกองกลองชนะซ้ายขวาข้างละ ๕๐๐ คน เข้าร่วมรบ
- ในศึกตีเมืองละแวก (ครั้งที่ ๑) ปี พ.ศ.๒๑๓๖ พระราชมนูได้รับพระราชบัญชาจากสมเด็จพระนเรศวรให้เป็นทัพหน้า แต่เสียทีถูกทัพเขมรตีแตกพ่ายลงมาถึงทัพหลวง สมเด็จพระนเรศวรพิโรธจะลงพระราชอาญาถึงชีวิต แต่สมเด็จพระเอกทศรถพระอนุชาธิราชทูลขอเอาไว้ โดยใช้ให้ไปตีเมืองปัตตอง (พระตะบอง) และเมืองโพธิสัตว์แทนเพื่อเป็นการไถ่โทษ ในศึกครั้งนั้นพระราชมนูตีทุ่งสองเมืองได้สำเร็จ ก่อนสมเด็จพระนเรศวรจะรับสั่งให้ยกทัพกลับพระนครฯ
- หลังศึกตีเมืองละแวก (ครั้งที่ ๒) ในปี พ.ศ. ๒๑๓๗ สมเด็จพระนเรศวรได้โปรดฯ แต่งตั้งให้พระราชมนูเป็นเจ้าพระยามหาเสนาบดีศรีสมุหพระกลาโหม เพื่อเป็นบำเหน็จความดีความชอบ ทรงพระราชทานพานทอง น้ำเต้าทอง เจียดซ้ายขวา กระบี่ ฝวักทองและเครื่องอุปโภคต่างๆ

เจ้าพระยาจักรี
ปรากฏนามในพระไอยการเก่า ตำแหน่งนาพลเรือน ในกฎหมายตราสามดวงจุลศักราช ๑๑๖๖ ว่า “เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์สมุหนายกอัครมหาเสนาบดีอะไภยพิธีปรากรมกาหุ” เป็นปีกซ้ายทัพหลวง ในสงครามยุทธหัตถี
เจ้าพระยาจักรี ยืนสวมมาลา ในตำแหน่งคนที่ ๔ ด้านซ้ายมือเจ้าพระยาสุโขทัย เป็นแม่ทัพเรือทำศึกกับพระยาพสิม
ปรากฏนานในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนในกฎหมายตราสามดวง จุลศักราช ๑๑๖๖ ว่า “เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษมุหนายอัครมหาเสนาบดีอะไภจพิรีปรากรมภาหุ” ปรากฏตัวในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ในเหตุการณ์ต่างๆ ดังนี้
-ครั้งศึกพระยาพสิม พ.ศ. ๒๑๒๘ได้รับพระราชบัญชาเป็นแม่ทัพเรือคุมไพร่พลไปรับศึกพระยาพสิมที่เมืองสุพรรณบุรี ศึกครั้งนั้นทัพพระยาพสิมถูกตีแตกพ่ายไปจนถึงตำบลเขาพระยาแมน
-เป็นปีกซ้ายทัพหลวงในสงครามยุทธหัตถี พ.ศ.๒๑๓๕ และเป็นหนึ่งในแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทัน
- ประมาณปี พ.ศ.๒๑๔๒ เจ้าพระยาจักรีรับพระราชบัญชา ให้เป็นแม่กองคุมไพร่พลพร้อมกับเจ้าฟ้าแสนหวี ไปทำนาสร้างยุ้งฉางที่เมืองเมาะลำเลิง เพื่อใช้เป็นเสบียงในการตีหงสาวดีในครั้งนั้นพระเจ้าตองอูปลุกปั่นชาวมอญจนเกิดจลาจล เจ้าพระยาจักรีไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ สมเด็จพระนเรศวรพิโรธทรงตรัสคาดโทษไว้และเป็นแม่ทัพตีเมืองเมาะตะมะ เมื่อตีได้พระองค์จึงมีพระราชบัญชาให้เจ้าพระยาจักรีคงอยู่ ณ เมืองเมาะลำเลิง

พระชัยบุรี หรือเจ้าพระยาสุรสีห์พิทัษณุวาธิราช
เป็นทหารเอกคู่พระทัย ที่มากด้วยความสามารถและประสบการณ์ รับราชการการสนองพระเดชพระคุณด้วยความสื่อสัตย์ จงรักภักดีถึงขั้นได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อยู่เสมอ บรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้ายได้รับการ โปรดเกล้าฯ เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช เจ้าเมืองพิษณุโลก อันเป็นหัวเมืองเหนือชั้นเอก รองจากกรุงศรีอยุธยาราชธานี
พระชัยบุรี ยืนถือโล่ ในตำแหน่งคนที่ ๕ ด้านซ้ายพระราชมนูท่านได้รับไว้วางพระราชหฤทัย เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสมอ
เป็นทหารเอกคู่พระทัย ที่มากด้วยความสามารถและประสบการณ์ รับราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ถึงขั้นได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อยู่เสมอ บรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้ายได้รับการ โปรดเกล้าฯ เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช เจ้าเมืองพิษณุโลกอันเป็นหัวเมืองชั้นเอก รองจากกรุงศรีอยุธยาราชธานี นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้ พวกเราลูกหลานเผ่าไทยขอน้อมรำลึก และสักการะในคุณงามความดีของท่าน และเหล่านักรบผู้กล้า ที่มีคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองตลอดชั่วนิรันดร์
จากการสืบค้นทางประวัติศาสตร์ พระชัยบุรี เป็นทหารเอกคู่พระทัยรุ่นแรก ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงไว้วางใจพระราชหฤทัย และนับถือน้ำใจมากที่สุด รับราชการจนมีตำแหน่งสูงสุดของเมืองพิษณุโลก เดิมชื่อ “ดวง” เป็นชาวเมือง สวางคบุรี (แขวงเมืองพิชัย) บรรรดาศักดิ์เริ่มแรกในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เป็นขุนเดชพระเวทย์แสนศึกสู้ รับราชการจนมีความชอบเป็น ออกพระชัยบุรี,พระชัยบุรี,เจ้าเมืองชัยบาดาล,พระยาชัยบูรณ์ บรรดาศักดิ์สุดท้ายคือ เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช ผู้ดำรงตำแหน่ง เจ้าเมืองพิษณุโลก ในปี พ.ศ.๒๑๓๖ ชอบอนุรักษ์ไก่ชนพันธ์เขียวพาลี และปรากฏนามในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน ในกฎหมายตราสามดวง จุลศักราช ๑๑๖๖ ว่า “เจ้าพญาสุรศรีพิศมาธิราชชาติพัทยาธิเบศวราธิบดีอภัยพิรียบรากรมภาหุ เมืองพิษณุโลกเอกอุ”

พระยาท้ายน้ำ
ปรากฏนามในพระไอยการ ตำแหน่งนาหัวเมือง ในกฎหมายตราสามตวง จุลศักราช ๑๑๖๖ ว่า “ออกพญาศรีราชเดชไชยท้ายน้ำอะไภยพิธรยปรากรมภาหุ” เป็นกองหลังในสงครามยุทธัตถี
พระยาท้ายน้ำ ยืนถือดาบในตำแหน่งคนที่ ๖ ด้านหลังซ้าย ตรงหางม้าทรง ท่านเป็นกองหลังในสงครามยุทธหัตถี
ปรากฏนามในพระไอยการตำแหน่งนาหัวเมืองในกฎหมายตราสามดวงจุลศักราช ๑๑๖๖ ว่า ออกพญาศรีราชเดชไชยท้ายน้ำอะไภยพิริยปรากรมภาหุ” ปรากฏตัวในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาในเหตุการณ์ต่างๆได้แก่
-เป็นกองหลัง ในสงครามยุทธหัตถี พ.ศ.๒๑๓๔
-ในศึกตีเมืองละแวก(ครั้งที่๒)พ.ศ.๒๑๓๗ เป็นนายกองคุมไพร่พลล้อมเมืองละแวก ทางทิศตะวันออก
-ในศึกตีเมืองตองอู พ.ศ.๒๑๔๒ เป็นนายกองคุมไพร่พลล้อมเมืองตองอูทางทิศไต้
-เป็นหนึ่งในข้าราชการบริหารที่ได้ตามเสด็จพระเอกาทศรถ พระอนุชาธิราชไประงับเหตุพระรามเดโชและท้าวพระยาหัวเมืองเหนือก่อจลาจลกระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้าเชียงใหม่

พระยาศรีไสยณรงค์ หรือ “พระศรีถมอรัตน์”
เป็นทหารเอกคู่พระทัยรุ่นแรกๆ ที่สมเด็จพระนเรศวร ขึ้นครองราชย์ ร่วมรบกับพระองค์หลายเหตุการณ์ หลังจากศึกยุทธหัตถีทรงตั้งให้ “พระยาศีไสยณรงค์” ครองเมืองตะนาวศรี และพระยาศรีไสยณรงค์นี้คือ “พระศรีถมอรัตน์”
พระยาศรีไสยณรงค์ หรือ “พระศรีถมอรัตน์” ยืนถือดาบ ทางด้านขวาพระหัตถ์ เป็นคนแรก ท่านเป็นทหารเอกรุ่นแรกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
เป็นทหารเอกคู่พระทัยรุ่นแรกๆ ที่สมเด็จพระนเรศวรขึ้นครองราชย์ ร่วมรบกับพระองค์หลายเหตุการณ์หลังจากศึกยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรทรงพิโรธที่แม่ทัพนายกองของพระองค์ตามเสด็จไม่ทัน หากเพราะพระมหาอุปราชมีเลือดขัติยะสูงออกมารบด้วยคำท้าของสมเด็จพระนเรศวรที่ตรัสว่า “เจ้าพี่ จะยืนช้างอยู่ในร่มไม้ทำไมเชิญเสด็จมาทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด กษัตริย์ภายหน้าที่จะชนช้างได้อย่างเราจะไม่มีแล้ว”
พระองค์ก็คงจะสวรรคตลงกลางวงล้อม พระองค์หมายจะประหารชีวิตเหล่านั้น แต่มีพระนพรัตน์วัดป่าแก้วได้ทูลขอชีวิตไว้ พระนเรศวรจึงมีบัญชาให้แม่ทัพเหล่านั้นทำคุณไถ่โทษโดยต้องตีเมืองตะนาวศรีและทวายให้จงได้ แม่ทัพทั้ง ๖ ท่านก็สามารถเอาเมืองทั้งสองมาถวายพระนเรศวรตามพระบัญชาแก้ตัวได้ พระนเรศวรทรงตั้งให้ “พระยาศรีไสยณรงค์” ครองเมืองตะนาวศรี และพระยาศรีไสยณรงค์นี้ก็คือ “พระศรีถมอรัตน์” ราวปี พ.ศ.๒๑๓๙ กรมการเมืองกุยบุรีแจ้งเข้าไปว่า พระยาศรีไสยนรงค์เป็นกบฏ สมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้ สมเด็จพระเอกาทศรถยกทัพไปปราบปราม และตั้งพระยาราชฤทธานนท์เป็นเจ้าเมืองตะนาวศรีแทน

พระยาราชฤทธานนท์

ปรากฏในพระไอยการเก่า ตำแหน่งนาหัวเมือง ฉบับของหอพระสมุดวชิรญาญ ว่า “พระราชฤทธานนท์พหลภักดี”
พระยาราชฤทธานนท์ ยืนถือหอกในตำแหน่งด้านขวาของพระหัตถ์เป็นคนที่สอง ท่านเป็นยกบัตรในทัพพระยาศรีไสยณรงค์
ปรากฏนามในพระไอยการเก่า ตำแหน่งนาหัวเมืองฉบับกรุงศรีอยุธยาของหอสมุทรวชิรญาณว่า “พระราชฤทธานนท์พหลภักดี” ปรากฏตัวในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาในเหตุการณ์ต่างๆดังนี้
- ได้รับพระราชบัญชาการจากสมเด็จพระนเรศวรให้เป็นยกบัตรในทัพพระยาศรีไสยณรงค์ คุมไพร่พลไปรับทัพสมเด็จพระมหาอุปราชาที่ตำบลทุ่งหนองสาหร่ายในปี พ.ศ.๒๑๓๕
- ประมาณ ปี พ.ศ.๒๑๓๖ รับพระราชบัญชาจากสมเด็จพระนเรศวรให้ยกพล ๕,๐๐๐ คน ไประงับเหตุวิวาทระหว่างเมืองเชียงแสนและล้านช้าง เมื่อพระยาหลวงเมืองแสนแม่ทัพล้านช้างทราบข่าวจึงยกทัพกลับไป พระยาราชฤทธานนท์จึงให้พระรามเดโชอยู่ช่วยราชการพระเจ้าเชียงใหม่ ณ เมืองเชียงแสน ตามพระราชกระแสรับสั่งของสมเด็จพระนเรศวร
- ประมาณปี พ.ศ.๒๑๓๘ กรมการเมืองกุยบุรีแจ้งเข้าไปว่า พระยาศรีไสยณรงค์ (ในขณะนั้นเรียกพระยาตะนาวศรี) เป็นกบฏสมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดฯ ให้สมเด็จพระเอกาทศรถ ยกทัพไปปราบปรามและตั้งพระยาราชฤทธานนท์ เป็นเจ้าเมืองตะนาวศรีแทน

พระอมรินทรฤาไชย
เจ้าเมืองราชบุรี เปรียนเสมือนทหารช่างของสมเด็จพระนเรศวร ปรากฏนามในพระไอยการเก่าตำแหน่งนาหัวเมือง ฉบับอยุธยา ของหอพระสมุดวิรญาญว่า “ออกพระอมรินทรฤาไชยออกพระราชบุรีย์”
พระอมรินทร์ฤาไชย เจ้าเมืองราชบุรี ยืนถือดาบในตำแหน่งด้านขวาของพระหัตถ์ เป็นคนที่สาม ท่านเปรียบเสมือนช่างของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
เจ้าเมืองราชบุรี เปรียบเสมือนทหารช่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฏนามในพระอัยการเก่าตำแหน่งนาหัวเมืองฉบับอยุธยาของหอพระสมุดวิรญาณว่า “ออกพระอมรินทรฤาไชย ออกพระราชบุรี” พระอมรินทรฤาไชยได้รับพะราชบัญชาจากสมเด็จพระนเรศวรให้จัดกำลังพล ๕๐๐ คนซุ่มเป็นกองโจร ก่อกวนทัพสมเด็จพระมหาอุปราชา ซึ่งยกทัพผ่านมาทางด่านเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี โดยรื้อสะพานทางเดินทัพของข้าศึกทางด้านหลังในปี พ.ศ.๒๑๓๕

สวัสดีค่ะพี่หนุ่มกร

  • ได้ความรู้มากมายเลยค่ะ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เหล่านี้
  • ชอบนำไปเล่าให้เด็ก ๆ ฟัง ค่ะ แต่เล่าแบบไม่ละเอียดอะไรนัก
  • แต่เด็ก ๆ ส่วนมากจะรู้จักพระนเรศวรค่ะ คงเป็นเพราะอิทธิพลของภาพยนตร์ไทยด้วย
  • คุณครูเลยเบาแรงไปหน่อย ค่ะ 
  • ขอบพระคุณค่ะ พี่หนุ่มกรและครอบครัวสบายดีนะคะ

ครูประวัติศาสตร์ ตัวจริง มีที่นี่นะคะเนี่ยๆๆ... ขอบพระคุณที่คุณลุงนำมาเผยแพร่ให้แก่ผู้อยากรู้ ...

พี่หนุ่มกรก่อนอื่นต้องขอบพระคุณที่มาเยือนเกาะคา ลำปางบ้านเกิดของหนู ขอบคุณสำหรับข้อมูลแบบแน่นมากๆค่ะ ความใฝ่ฝันของหนูคือไปไหว้อนุสาวรีย์วีรชนทุกๆแห่ง ยังไม่ครบค่ะพี่ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

สวัสดีครับคุณ หมูจ๋า Blank  ขอบคุณที่แวะมาทักทาย..ดีใจที่ได้รู้จัก ขอให้ความฝันเป็นจริงนะครับ..ผมเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน..อยากจะไปให้ครบทุกจังหวัดเลยครับ...

สวัสดีครับ Krutoom Blank ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจ..ยังงงๆอยู่เลย ไปพบปะเจอกันได้อย่างไร....ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อเย็นอีกครั้ง...คงได้มีโอกาสเจอะเจอกันอีกนะครับ

สวัสดีครับคุณครู อิงจันทร์ Blank ...ขอบคุณครับ...อาจจะเป็นเพราะเห็นซาก"วัง""วัด" มาตั้งแต่เด็กเลยทำให้สนใจวิชาประวัติศาสตร์ครับ..คุณครูสบายดีนะครับ

ขอบคุณพี่ใหญ่ Blank ที่แวะมาให้กำลังใจ ครับ...

พระองค์ท่านตรัสว่ายังขาดไปอีกหนึ่งคน ซึ่งจริง ๆ แล้วต้องมี 10 คน

ส่วนทางด้านขวาของพระองค์
มี ๓ นาย คนแรกคือ พระยาศรีไสยณรงค์ สวมหมวกถือดาบ
คนที่สองคือ พระยาราชฤทธานนท์ ยืนถือหอก
คนที่สามคือ พระอมรินทราฤาไชย ยืนถือดาบ ขาดไปอีกหนึ่ง คนที่สี่ พระยาราชกฤษฤทธิไกร

ตำแหน่งพระยาราชกฤษฤทธิไกร ใกล้เคียงกับ ตำแหน่งพระยาสีหราชฤทธิไกร

ตามการการจัดลำดับขุนนางไทยตามแบบโบราณ

ได้แก่ ตำแหน่งเสนาบดี มี 2 ตำแหน่ง คือ

1. พระยาสีหราชเดโชไชย

2. พระยาสีหราชฤทธิไกร

ข้ารองบาทพระนเรศ

ผมคิดว่า คนถือดาบหน้าด้านซ้าย ขององค์พระนเรศวร (ตำแหน่งที่1) ไม่ใช่ ท่านเจ้าพระยาสีหราชเดโชชัย หรอกครับ

แต่เป็น พระราชมนู ครับ

ลองกลับไปสืบค้นอีกครั้งน่ะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท