อ่านพบข่าวนี้ Early intensive diabetes therapy preserves beta-cell function แล้วตามไปอ่านต้นฉบับในวารสาร Diabetes Care ฉบับเดือนกรกฎาคมนี้เอง ซึ่งเป็นเรื่องของการศึกษาในคนซึ่งทางผู้วิจัย คือ คุณหมอ Lindsay B. Harrison จากภาควิชาอายุรศาสตร์ ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย Texas Southwestern เมืองดัลลัสและคณะ ได้ทำการศึกษาในคน 58 คนเป็นเวลา 42 สัปดาห์ เป็นผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานที่ยังไม่เคยได้รับการรักษาใดๆมาก่อน
ผู้เขียนสรุปจากผลการศึกษานี้ว่าผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรเริ่มรักษาด้วยการปรับอาหารและหรือการใช้ยาตัวเดียวแล้วปรับเปลี่ยนตามขั้นตอน แต่ควรได้รับการรักษาในระยะแรกอย่างเข้มข้นด้วยอินสุลินเพื่อให้เบต้าเซลล์ฟื้นคืนหน้าที่ได้อย่างมากที่สุด แล้วตามด้วยการรักษาด้วยสูตรที่มีอินสุลินหรือยากินเพื่อลดระดับน้ำตาลหลายๆตัวโดยไม่มีผลต่างกันในเรื่องผลข้างเคียงของการรักษาทั้งสองแบบ
นอกจากนั้นใน Medscape News ซึ่งสัมภาษณ์คุณหมออีกท่านจากสถาบันเดียวกัน คือคุณหมอ Gregory Clark ซึ่งท่านก็ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจถึงการรักษาตามปกติที่ทำอยู่ ซึ่งท่านเรียกว่าความเรื่อยเฉื่อย (the clinical inertia) ทางการรักษาเบาหวาน คือเมื่อการควบคุมทำได้แย่ลงแพทย์จึงจะเปลี่ยนวิธีการรักษาไปอีกขั้น ดังนั้นผู้ป่วยอาจต้องอยู่ในภาวะการมีน้ำตาลในเลือดที่ควบคุมไม่ได้เป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะได้ยาใหม่ คุณหมอ Gregory Clark กล่าวว่าเขาเชื่อว่าผลการจากศึกษานี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงความเรื่อยเฉื่อยในการดูแลรักษาเบาหวานได้
อ่านแล้วรู้สึกน่าสนใจเผื่อแพทย์ไทยที่สถาบันไหนอยากลองทำวิจัยในคนไข้ไทยดูบ้างน่ะค่ะ เพราะตัวเองก็เคยคิดเหมือนกันว่า คนที่เรารู้จักที่เป็นเบาหวานแทบทุกคนดูจะมีแต่แย่ลงๆ จนถึงขั้นต้องฉีดอินสุลินกันในที่สุดทั้งนั้น ถ้าเราเปลี่ยนวิธีอาจจะช่วยให้ขบวนการมันกลับทางกันบ้างก็ได้นะคะ
ขอบคุณมากค่ะพี่โอ๋
ปรับยา + ปรับความคิด ความเข้าใจที่แท้จริงว่า "ตนเอง" มีโรคประจำต้ว ด้วยนะคะ ==> ความเข้าใจที่แท้จริง เป็นประโยชน์มากนะคะ
ขอบคุณมาก สำหรับบทความดีดีนี้ค่ะ