ฝึกตาย : มีอย่างนี้ด้วย


ฝึกตาย

ไม่เคยรู้มาก่อน + น่าสนใจ เพราะเคยได้ยินในหนัง (กลางแปลง --หลาย ๆๆๆๆปีมาแล้วล่ะ) ที่จะมีคนพูดบอกผู้กำลังจะสิ้นชีวิตในหนังว่าให้นึกถึงพระเอาไว้ เออมาอ่านเจอมาที่ นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เขียนไว้ใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน 2555 ไม่นึกเลยว่ามันมีจะรายละเอียดขนาดนี้เลย อ่านกันเลยดีกว่า  --คัดลอกเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับชื่อเรื่องที่บันทึกเป็นส่วนใหญ่ (URL ของเนื้อเรื่องเต็ม ๆอยู่ท้ายเนื้อหานี้)

... พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ...

ทรรศนะที่ว่าสัตว์โลกมีการเวียนว่ายตายเกิดเป็นหลักทางพระพุทธศาสนา และแม้กระทั่งปัจจุบันนี้คนตะวันตกที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่ถ้ามีใจใฝ่รู้สักหน่อยก็จะเชื่อในเรื่องเวียนว่ายตายเกิด และมีอีกจำนวนมากมายที่หันมานับถือพระพุทธศาสนากันเลย

ในเมื่อมีเวียนว่ายตายเกิด คนเราที่กำลังจะตายก็เหมือนลูกเต๋าที่ถูกทอดลงไปในจานรูเล็ตที่หมุนวน มันอาจจะตกช่องแดงหรือช่องดำก็แล้วแต่โอกาส
หมายความว่าอาจไปตกตาดีหรือตาร้ายก็ได้
แต่การไปเกิดใหม่ในภพภูมิหน้า ไม่ใช่เรื่องการเสี่ยงดวงแบบโยนลูกเต๋า ความจริงแล้วมันมีกฎมีเกณฑ์ที่แน่นอนจำนวนหนึ่ง
ซึ่งถ้ายึดกุมได้ดีและปฏิบัติให้ถูกต้อง คนคนนั้นก็มีโอกาสตายดีแล้วไปเกิดดีได้ด้วย แต่ถ้าปล่อยไปตามเรื่องตามราว โอกาสที่จะตกไปสู่ตาร้ายก็มีมากเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน ปัญญาในพระพุทธศาสนาเถรวาทกล่าวว่า จุติจิตหรือจิตสุดท้ายของผู้ตาย จะไปก่อให้เกิดปฏิสนธิจิตในชาติต่อไป ถ้าจุติจิตนั้นกำลังรับภาพหรือได้ยินเสียงอันก่อให้เกิดอารมณ์ใด ก็จะทำให้จุติจิตเสวยอารมณ์นั้น เรียกกันว่ากรรมอารมณ์
ด้วยกฎแห่งกรรม ผู้ที่ทำกรรมไม่ดีมาก่อนก็อาจจะได้ยินเสียงสัตว์หรือผู้คนที่เขาเคยทำร้ายมาหลอกหลอน เสียงเหล่านั้นเรียกว่า กรรมนิมิต ก็จะทำให้เขาไปเกิดในอบายภูมิตามกรรมที่ได้กระทำไว้
แต่ถ้าเป็นเสียงในทางที่ดี เช่น เสียงพระสวดมนต์ เสียงที่ได้ยินนั้นก็จะโน้มนำจิตไปได้ในเชิงบวก คนนั้นก็จะไปเกิดในภพภูมิที่ดี
อาจารย์กานดาวศรีเล่าว่า มีชายหนุ่มที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย มีอาการคลุ้มคลั่งอย่างหนักเมื่อจะเข้านอนก็จะรู้สึกเหมือนมีคนจะมาทำร้ายและจะจับเขาไปข่มขืน ทั้งๆ ที่ตัวเขาเป็นผู้ชาย นั่นเป็นเพราะเขาไปก่อกรรมกับคนอื่นมาแบบนี้นั่นเอง ก่อนตายจึงทุรนทุรายเหลือกำลัง ต้องได้ช่วยโดยการโน้มนำถึงพระพุทธคุณ ถึงได้ตายจากไปด้วยดี บางคนอาจเกิดคตินิมิต คือเห็นภาพของดินแดนที่ตนจะไปเกิด เช่น ไฟนรก หรือดินแดนสุขาวดี เขาก็จะไปเกิดในดินแดนนั้นๆ
ด้วยเหตุฉะนี้การที่ผู้ตายจะไปเกิดในภพภูมิที่ดีหรือไม่ดี ย่อมมีเหตุมาจากจุติจิตหรือจิตสุดท้ายเสวยอยู่ในอารมณ์ใด
เปรียบเสมือนวัวจำนวนมากที่เบียดเสียดอยู่ในคอก อาจมีทั้งวัวสีขาวและวัวสีดำ เมื่อเปิดประตูคอก วัวตัวที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดก็มีสิทธิหลุดออกนอกประตูก่อนวัวตัวอื่น
ทางพุทธศาสนาจึงให้ความสำคัญกับจิตสุดท้ายของผู้ตาย โดยพยายามให้ผู้ที่กำลังจะตายอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี
เช่น อยู่ท่ามกลางญาติพี่น้องที่อบอุ่น เห็นภาพพระพุทธรูป หรือได้ยินเสียงสวดมนต์ เพื่อเขาจะได้ตายดีนั่นเอง
ถ้าอย่างนั้นคำถามก็มีว่า ถ้าเผื่อผู้ตายนั้นตลอดชีวิตประกอบกรรมดีมาตลอด แต่บังเอิญว่าขณะจะตายเกิดไปคิดในสิ่งที่ไม่ดี ก็มีผลให้ไปเกิดในอบายภูมิหรือไม่
คำตอบก็คือเป็นไปได้อย่างยิ่ง มีตัวอย่างในพระไตรปิฎก พระนางมัลลิกา มเหสีของพระเจ้าปะเสนทิโกศล นางปฏิบัติแต่คุณงามความดี แต่บังเอิญก่อนตายจิตไปคิดถึงว่าเคยโกหกพระราชาในเรื่องเพียงเล็กน้อยนิดเดียว ก็บันดาลให้พระนางต้องตกนรกไป

พระเจ้าปะเสนทิโกศลคิดถึงพระมเหสีมากเลยไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อถามว่าพระมเหสีบัดนี้ไปอยู่ ณ ที่ใด
พระพุทธเจ้าทรงตระหนักรู้ในเรื่องนี้ ซึ่งถ้าพระราชารู้ความจริงก็อาจทำให้เสื่อมศรัทธาในการประกอบคุณงามความดี จึงบันดาลให้พระราชาลืมที่จะถามพระพุทธเจ้าในทุกครั้งที่เข้าเฝ้า
การณ์เป็นไปเช่นนี้อยู่ถึงเจ็ดวัน จนพระมเหสีหมดจากอกุศลกรรมที่ทำไว้และได้ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว วันนั้นพระราชาได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอีกหนหนึ่ง เมื่อถามถึงพระมเหสี พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าบัดนี้พระนางไปอยู่บนสวรรค์แล้ว

พระอาจารย์ไพศาลอธิบายว่ากรรมที่ส่งผลให้ไปเกิดในชาติต่อไปมีหลายประเภท ประเภทที่ส่งผลเร็วที่สุดนอกจากครุกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่เกิดจากการทำร้ายพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์และการทำปิตุฆาตมาตุฆาตแล้ว
กรรมที่ส่งผลเร็วที่สุดต่อจากกรรมนี้ก็คือ อสันนกรรม เป็นกรรมอันเกิดขึ้นในขณะจิตสุดท้ายก่อนจะดับนั่นเอง ดังนั้น แม้ก่อกรรมชั่วไว้มากมาย ถ้าจิตสุดท้ายคิดในทางที่ดีก็มีโอกาสไปสู่สุคติภพ
ดังนั้น การเตรียมตัวตายจึงสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังมีกรรมอย่างที่สามที่ส่งผลคือ อาจิณณกรรม ได้แก่ กรรมที่ก่อไว้เป็นอาจิณ ตลอดชีวิตชอบกระทำกรรมดีหรือชั่ว ก็จะเกิดผลแห่งกรรมนั้นต่อไป เพราะฉะนั้น พระมเหสีถึงแม้ว่าจะตกนรกไปเจ็ดวัน แต่หลังจากนั้นอาจิณณกรรมก็ส่งผลให้เธอไปเกิดบนสวรรค์
ฟังดังนี้แล้ว ใครที่ทำกรรมชั่วไว้สาหัส อย่าคิดว่าก่อนตายก็ประคองจิตให้ตายดีก็แล้วกัน เพราะหลังจากนั้นแล้วอาจิณกรรมก็จะส่งผลพาคุณไปอบายภูมิอยู่ดี
และอยู่อย่างนั้นต่อเนื่องยาวนานด้วย

ถึงตรงนี้ผู้อ่านจะเห็นได้ว่า การทำดีอยู่เนืองนิจก็จำเป็น การเตรียมตัวตายก็จำเป็น เป็นทวินแอ็กชั่น ที่บุคคลผู้ใฝ่ดีควรมีพร้อมเอาไว้
การเตรียมตัวตายให้ดี ยังเป็นโอกาสอันประเสริฐที่บุคคลผู้ตายนั้นอาจมีโอกาสบรรลุนิพพานอีกด้วย
พระอาจารย์ไพศาลได้ช่วยยืนยันเรื่องนี้ ว่ามีตัวอย่างในพระไตรปิฎกหลายกรณี เช่น พระนางสามาวดีที่ประกอบกรรมดี แต่ถูกปองร้ายด้วยการจุดไฟเผา ขณะเมื่อกำลังจะตายความทุกข์ที่ได้รับอันแสนสาหัสเป็นเหตุให้หมดความยึดติดในรูปแล้วเข้าสู่พระนิพพาน ซึ่งในคัมภีร์วัชรยานได้ขยายความไว้โดยละเอียด

ถึงตรงนี้ใครที่อ่านใคร่ครวญความตายมาหลายตอนคงจำได้ว่าวัชรยานแบ่งการตายเป็น 8 ขั้นตอน ในแต่ละขั้นตอนผู้ตายจะประสบแต่ละสภาวะดังนี้คือ :
1. ภาพลวงตา เกิดในขั้นธาตุดินแตกดับ ตาผู้ตายจะพร่ามัวมองไม่เห็น เห็นแต่ภาพลวงตา ภาพไฟนรกหรือดินแดนสุขาวดี จะเกิดขึ้นในจังหวะนี้ได้
2. หมอกควัน เกิดในขั้นธาตุน้ำแตกดับ จะเริ่มไม่ได้ยินเสียง แต่อาจเกิดเสียงหลอกหลอนจากภูติผีในตอนนี้ หรือเสียงสวดมนต์ก็มีได้ถ้าประกอบกรรมดี จิตจะรับรู้กลุ่มหมอกหรือควันบางๆปกคลุมห้อง
3. หิ่งห้อย เกิดในขั้นธาตุไฟแตกดับ ผู้ตายจะเหนื่อยหอบ จิตจะรับรู้ประกายไฟหรือเขม่าบนก้นกระทะเหล็ก หรือปรากฏเป็นแสงหิ่งห้อย แล้วแต่กรรมที่ทำไว้
4. เปลวเทียน เกิดในขั้นธาตุลมแตกดับ ลมหายใจหยาบหยุดไปดูเหมือนผู้ตายหยุดหายใจซึ่งเรามักจะรับรู้ว่าตายแล้ว แท้จริงยังเหลือลมละเอียด จิตจะรับรู้เหมือนเปลวเทียนที่ริบหรี่ของชีวิต
5. ภาวะขาวสว่าง เกิดในขั้นที่จิตละเอียดดวงแรกปรากฏ แล้วดับไป จิตจะรับรู้แสงขาวสว่าง
6. ภาวะสีส้มแดง เกิดในขั้นที่จิตละเอียดดวงที่สองปรากฏ แล้วดับไป จิตจะรับรู้แสงส้มแดง
7. ภาวะดำทำมึน เกิดในขั้นที่จิตละเอียดดวงที่สามปรากฏ แล้วดับไป จิตจะรับรู้ความดำทะมึน
8. ภาวะแสงกระจ่าง เกิดในขั้นที่โพธิจิต หรือจิตประภัสสรปรากฏ เป็นภาวะที่รับรู้สัทธรรมได้ เป็นจังหวะทองของชีวิตที่อาจผลุบเข้านิพพานได้

ดังนั้น การฝึกตาย จึงดีหลายอย่าง เพื่อการใช้ชีวิตที่มีอยู่ให้อำนวยประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน เพื่อชีวิตในชาติหน้า และเพื่อโอกาสแห่งพระนิพพานอีกด้วย ถึงวันนี้คุณอยากฝึกตายแล้วหรือยัง?

ที่มา เนื้อหาเต็ม ๆ ที่ นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เขียนไว้ใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน 2555 : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341230282&grpid=03&catid=&subcatid

 

หมายเลขบันทึก: 493508เขียนเมื่อ 5 กรกฎาคม 2012 00:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม 2012 00:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท