วันนี้ได้คุยกับผป. ซึ่งทำงาน บ เอกชน ส่งเสริมเกษตรกรปลูกข้าวโพด วึ่งขยายพื้นที่ไปได้มากขึ้นตามลำดับ
ตรงกับ การปลูกหัวมันฝรั่ง ที่ลดน้อยลง ตามลำดับไป
สาเหตุใหญ่ คือ ราคา กก.ละ 10 กว่าบาท ดึงดูดใจ เกษตรกรมาก
พอไปค้นดู ราคา ข้าวโพด ในตลาดโลก วันนี้ สูงกว่า กลางปี 2010 สองปีก่อน 1 เท่าตัว ส่วนราคาข้าว ทรงๆ ในระย 5 ปีที่ผ่านมา
จึงไม่แปลก ที่ป่า ต่างๆ จะถูกถางเพื่อปลูกข้าวโพด กันมากขึ้น
นอกจากนี้ ปลูกข้าวโพด ฤดูฝน จะได้ผลผลิต เร็ว แต่ปลูกในฤดูหนาว ผลผลิตไม่ดี
การปลูกในเขตชลประทาน จึงปลูกมาก ได้ตลดอปี
ปัจจุบัน เกษตรกร เขตแจ้ห่ม เลือกปลูกข้าวไว้พอรับประทาน และเปลี่ยนนาข้าว เป็นไร่ข้าวโพด หรือ นาข้าวโพด แทน
แต่ราคาสูงผิดปกติ ได้ มันก็คงราคาตกได้ เมื่อ ตลาดข้าวโพดเปลี่ยนลดลงไป เช่น การปศุสัตว์ลดลง หรือ ราคาข้าวโพดตก เพราะผลผลิตล้นตลาด ตามที่ทุกคนแห่ไปปลูกข้าวโพด
ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม พบว่า พืชไร่ คนปลูกไม่ค่อยรวย หรือมักเป็นหนี้
ส่วนพ่อค้าที่รับซื้อขายต่างหาก ที่รวย
เรื่องนี้ ก็ต้องฉลาด รู้จักทำเกษตร แบบจำกัดความเสี่ยง
ผู้เขียนไม่ใช่เกษตรกรอาชีพ แต่กำลังฝึกเป็น นักวนเกษตร มือใหม่ ปลูกสิ่งที่กินได้ ไว้ก่อน ปลุกสิ่งที่เป็นยาได้ด้วย ปลูกให้หลากหลายชนิด พันธุ์ด้วย ปลูกไปแล้ว รดน้ำไม่ทัน เพราะฝนแล้งทิ้งช่วง คาดการณ์ผิด ต้นไม้ตาย ก็พลาดมาหลายครั้ง
การปลูกพืชไร่ อย่างโชคช่วยก็รวยง่าย เช่น แมลงไม่ลง ราคายังดี หากตรงกันข้าม ก็ขาดทุน
วนเกษตร ได้เงินช้ามาก แต่มีโอกาสพลาดน้อย มั่นคงกว่า จึงถูกจริตกับ บางคน ที่ใจถึง มองอนาคตเข้าว่า มากกว่ามองปัจจุบัน
ผู้เรียนรู้รุ่นหลัง
น่าเสียดายจริงๆ ครับ ไทยเราจะไปปลูกข้าวโพดแข่งกับเกษตรกรทั้งทวีปอเมริกา (เหนือและใต้) ได้อย่างไร ข้าวโพดเป็นพืชพื้นเมืองของเขาแท้ๆ แล้วปลูกแบบเป็นแปลงใหญ่นี่เหมือนเสี่ยงโชคอย่างที่อาจารย์เขียนจริงๆ ด้วยครับ
อยากปลูกพืชประเภทสมุนไพรที่มีตลาดรองรับควรปลูกอะไรดีที่ขายได้ดี มีราคาสามารถเก็บไว้ได้ด้วย
ขอขอบคุณ คุณ วีรพัฒน์ เงาธรรมทรรศน์ มากนะครับที่มาให้ข้อมูลดีๆๆๆมาแบ่งบันกันนะครับ ผมว่าการปลูกข้าวโพด พืชไร่ปลูกมากเกินไปอาจจะทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำลงและยังทำลายทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย เห็นด้วยที่จะวนเกษตรถึงจะได้เงินช้าแต่คุ้มกับการลงทุนและยังทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเกิดความสมดุลอีกด้วย
การปลูกสมุนไพร ที่มีตลาดรองรับ นั้น
โปรดเข้าใจ กลไกตลาด ด้วย ว่า ปรับตัวอยู่เสมอ พอแพง คนก็จะปลูกมาก ปีหน้า ก็อาจจะไม่แพง ตลาดมักมีประสิทธิภาพ ไม่ปล่อยแพงจนขาดเหตุผล จะไม่แพงแบบไร้การแข่งขัน
การพยายามหาเงิน นั้นดี แต่มีความเสี่ยง อาจจะต้องคิดเรื่องมั่นคง คือ ปลูกสมุนไพร ให้เรากินเองก่อน จะเป็นอาหาร เป็นยา ก็แล้วแต่
หลังจากนั้น ดูตลาดในท้องถิ่น หากที่อื่นรับราคาแพง แต่ค่าขนส่ง เป็นของเรา เราก็เกิดความเสี่ยง
หากไม่โลภ ก็ปลูก กลุ่มเครื่องเทศ เลือกตัวที่เราชำนาญ ในการปลูก รอดมากว่าตาย และ ราคาจูงใจ
การปลูกสมุนไพร ตระเวน ขาย ก็คงยุ่ง หาก ร่วมเป็นพันธมิตร กับ รพ.ที่แปรรูปสมุนไพร ก็คงจะดี ระดับหนึ่ง แต่รพ.อย่างนี้มีไม่มาก และคงจะไม่ได้รวยเร็ว พอมีกำไรเลี้ยงตัวเอง ข้อดี คือ เราได้รู้จักสมุนไพรไปเรื่อย ที่ละสองสามตัว