บันทึกครูนิธิ-ลูกหลง
ในชีวิตความเป็นครู เคยโดนลูกหลงมาแล้ว ล้วนเป็นบทเรียนที่ดี น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง รอให้คลื่นสงบก่อนค่อยลงมือ ถ้าใครเคยเป็นครูปกครอง คงจะเคยได้ยินคำเหล่านี้
“ใจไม่ใจ” “ไม่ใจนี่หว่า” “สตอ-กลิ้ง” “แน่จริงใจเลย” “เอาม้วนเลย” ฯลฯ
คำเหล่านี้เป็นคำท้าดวลของเด็ก ๆ ถ้าตามศัพท์เด็กไม่ทันจะไม่รู้เลย คิดว่าเด็กคุยเล่นกัน แต่จริง ๆ แล้วถึงขั้นวิกฤติแล้ว
คำว่า “ใจไม่ใจ” คือ เป็นการถามฝ่ายตรงข้ามว่า ใจถึงหรือเปล่า? แน่ใจไหม? ถ้าใจไม่ถึงไม่ต้องมาทำใหญ่แถวนี้
ส่วนคำว่า “ไม่ใจนี่หว่า” ก็เป็นคำถากถางฝ่ายตรงข้าม ว่าใจไม่กล้าพอที่จะรับคำท้า คล้าย ๆ คำว่า “ป๊อด” คือปอดแหก ขี้กลัวนั่นเอง
ส่วนคำว่า “สตอ-กลิ้ง” ก็คือคำด่าฝ่ายตรงข้ามที่ดูท่าทางมั่นใจ แต่งตัวสวย หรือดูเด่นกว่าในกลุ่ม
คำว่า “แน่จริงใจเลย” คือคำท้าให้ฝ่ายตรงข้ามลุยเข้ามาก่อนเลย พร้อมรับมือเสมอ
คำว่า “เอาม้วนเลย” เป็นสัญญาณบอกเพื่อน ๆ ลุยได้เลย คล้ายคำว่า “ฉายไฟ” หรือ “กล้อง แฟล็ต ไฟ พร้อม” เราจึงได้เห็นคลิปวิดีโอออกมา จนเป็นประเด็นสังคมทุกวันนี้
หัวหน้าครูฝ่ายปกครองที่ทำงานด้วย ท่านใช้วิธีเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อนเตือนเพื่อน มีเครือข่ายมากมาย ตั้งแต่หัวหน้าห้อง นักศึกษาในชมรมของงานปกครอง นักศึกษาชมรมอาสาสมัคร และหน่วยสายลับนิรนาม กลุ่มหลังนี่จะไม่เปิดเผยตัวตนให้รู้ว่าเป็นใคร ครูฝ่ายปกครองจะให้หมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวกับเด็กทุกคน และติดไว้หน้าห้องปกครอง เด็ก ๆ เหล่านี้จะMemory เบอร์ไว้ สายลับนิรนามจะส่งข่าวให้ฝ่ายปกครองทราบโดย
- ใช้ตู้ไปรษณีย์ที่ติดตั้งไว้หน้าห้องปกครอง โรงอาหาร และตามชั้นเรียน โดยครูปกครองมีกุญแจไขเปิดอ่านคนเดียว ทุกวัน ในกรณีแจ้งข่าวเรื่องยาเสพติด เรื่องร้องเรียน เบาะแสต่าง ๆ
- ใช้วิธีส่งข่าวทางโทรศัพท์ ซึ่งวิธีนี้ใช้มากที่สุด ครูจึงไปปรามได้เร็ว
- ส่งข่าวต่อกลุ่มนักศึกษาในชมรมปกครอง หรือเดินมาแจ้งด้วยตนเอง โดยมีข้ออ้างว่ามาส่งงานที่ห้องปกครอง หรือมาเข้าพบครูปกครอง หรือครูปกครองเรียกตัวมาพบ
ชื่อของเด็กที่ส่งข้อมูลจะเป็นความลับ บางทีไม่จำเป็นต้องบอกว่าใครแจ้งแค่ได้ยินเสียงหัวหน้าครูปกครองจะรู้ทันทีว่าเสียงเด็กคนไหน(ความสามารถส่วนตัว ต้องใช้ความใกล้ชิดกับเด็กจากการทำกิจกรรมร่วมกันในชมรมต่าง ๆ )
ส่วนใหญ่จะเป็นภาคเรียนแรกที่เด็กทะเลาะกัน เพราะต่างพ่อต่างแม่ ต่างครอบครัว ต่างสถาบัน ยังไม่ถูกละลายพฤติกรรม ในวันปรับสภาพของเด็กจึงควรจัดกิจกรรมละลายพฤติกรรม อย่าวิชาการมากเลย...กรณีเด็กทะเลาะถึงขั้นลงมือ เคยมีประสบการณ์ 2 ครั้ง
ครั้งแรกไม่มีข่าวสารแจ้งให้ทราบล่วงหน้า จึงปรามกันไม่ทัน ไปพบตอนที่กำลังลุยกันแบบแยกไม่ออก เพราะเหนียวมาก ต่างคนก็ต่างไม่ยอม เธอดึงผมฉัน ฉันดึงผมเธอ เธอจิกเนื้อฉัน ฉันจิกเนื้อเธอ ทั้งจิก ทั้งดึง จนแทบจะหลุดติดมือ เจ็บก็เจ็บแต่ไม่ยอมปล่อยเพราะกลัวเสียเปรียบ วิธีการห้ามกรณีนี้เสียงครูเอาไม่อยู่หรอก กำลังหน้ามืด ไม่สนเสียงใครทั้งนั้น ใหญ่แค่ไหนก็ไม่กลัว จัวหวะที่เขาหยุดนิ่งซึ่งใช้เวลาไม่ถึงนาที เพราะต่างคนต่างจิก ต่างดึง มันแกะออกกันเองไม่ได้ ก็ไปไหนไม่ได้ จัวหวะนี้ต้องรีบเข้าไปแกะออกจากกัน พร้อมกันทั้ง 2 คน ถ้าแกะออกไม่พร้อมกันก็จะหาว่าครูลำเอียงเข้าข้างคนใดคนหนึ่งอีก เคยเข้าไปแยก เลยโดนเล็บของเด็ก ซึ่งไว้ยาวมากเพื่องานนี้ ขูดเอาเนื้อที่แขนจนเลือดออกเป็นทางยาว ก็ไม่ได้โทษ หรือโกรธเด็กเพราะเป็นช่วงชุลมุน เด็กฝั่งหนึ่งเห็นแผล สำนึกได้ยกมือไหว้ขอโทษ อีกฝั่งหนึ่งกำลังอารมย์แรง ยังลงไม่ได้ บอกว่า “ก็ครูมาขวางทำไม!” เออ....ก็พูดถูก มาขวางทำไมก็ต้องเจ็บแบบนี้แหละ.... ทั้งคู่โดนพักการเรียน 3 วัน หลังจากนั้นมารายงานตัวที่ห้องปกครองทุกเช้า เที่ยง เย็น อยู่ช่วยทำงานที่ห้องปกครองพร้อมกัน เป็นเวลา 2 อาทิตย์ งานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายต้องทำด้วยกัน 2 คน
ครั้งที่ 2 นี่กำลังเดินจะไปสอน เด็กผู้ชาย 2 คนต่างคนต่างถือไม้มาจากไหนไม่รู้ ยาวเป็นวา คนละท่อน วิ่งไล่ตีกันวนรอบตัวครูนี่แหละ แต่ยังไม่โดนกัน แล้วก็ไปยืนตรงข้ามกันโดยมีครูอยู่ตรงกลาง เหตุการณ์มันเร็วมาก ก็มัวแต่ตกตลึง ร้องว่า "เดี๋ยว ๆ" แล้วยกมือกันไม้ จำได้ว่าใช้แขนกันไว้ตอนที่เด็กกำลังเอาไม้แหย่กัน เหมือนหยั่งเชิง พยายามจะแหย่ให้อีกฝ่ายลงมือก่อน หันมองคนนั้นที คนนี้ที คนนั้นก็ฟ้องว่าคนนี้ คนนี้ก็ฟ้องว่าคนนั้น ชี้มือข้ามครูไปมา ไม้ก็ลากแก่วงไปมาทั้ง 2 ทาง คาดเดาไม่ถูกว่ามันจะลงทางไหน หัวครูหรือหัวใคร มีลูกศิษย์ผู้ชาย 2 -3 คน ร้องห้าม “ เฮ้ย ! ระวังอาจารย์ ๆ” แล้วก็เข้ามาดึงตัวครูออกไป พอครูออกจากตรงกลาง เจ้า 2 คนนั้นก็วิ่งมาวนรอบครูอีก จะเอายังไงเนี่ย! เสียงฝั่งหนึ่งถามว่า “อาจารย์จะเข้าข้างใคร” อีกฝั่งโต้กลับมาว่า “อาจารย์อย่าไปฟังมัน ฟังผมนี่” ยังไม่ทันพูดอะไร เด็กผู้ชาย 3- 4 คนก็ช่วยดึงครูออกมาอีก บอกให้ทั้ง 2 ฝ่ายทิ้งไม้ก่อน เล่นอาวุธไม่ใช่ลูกผู้ชาย แน่จริงตัวต่อตัว พอตั้งสติได้ก็เลยต้องออกโรงแล้ว ถามว่าทะเลาะเรื่องอะไร เป็นเพื่อนห้องเดียวกันไม่ใช่เหรอ ค่อยคุยกันได้ไหม ถามถ่วงไปเรื่อย ๆ จนครูหัวหน้าปกครองมา พาไปสอบที่ห้องปกครอง ปรากฏว่าตัวเองโดนไม้ครูดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัว เจ็บตัวแล้วโกรธเด็กไหม! ไม่โกรธเลย! แต่โกรธที่เด็กทะเลาะกันมากกว่า ทั้ง 2 คนโดนทำโทษให้พักการเรียน 3วัน มารายงานตัวที่ห้องปกครองทุกเช้า เที่ยง เย็น อยู่ช่วยทำงานที่ห้องปกครองพร้อมกัน เป็นเวลา 2 อาทิตย์ งานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายต้องทำด้วยกัน 2 คน
ปรากฏว่าเด็ก ๆ คุ้นเคยกับหัวหน้าครูห้องปกครองและครูห้องปกครอง เพราะครูห้องปกครองไม่รื้อฟื้นเรื่องเก่า แต่ชวนคุยเรื่องอื่นที่คุยแล้วเด็กสบายใจ แถมสอนการบ้านให้ด้วย
เคยมีไหมที่ทะเลาะกันไม่ยอมเลิกสักที ทั้งที่ทำโทษแล้ว ให้เวลาศึกษาปรับความเข้าใจกันแล้ว เจอรายเดียวเท่านั้น เป็นหญิงห้าว หัวหน้าปกครองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คู่นี้ไม่รู้เป็นคู่แค้นมาแต่ปางไหน เจอหน้ากันก็ฮึ่ม ๆ ใส่กันอยู่เรื่อย สั่งห้ามมีเรื่องในโรงเรียนอีก ถ้ามีเรื่องอีกจะไล่ออกทั้งคู่ ก็เบาลงได้หน่อย แต่พออยู่นอกโรงเรียนก็ไปก่อเหตุกันอีก ซึ่งรู้ข่าวบ้างไม่รู้ข่าวบ้าง ไประงับเหตุการณ์ทันบ้างไม่ทันบ้าง ช่วงจัดกิจกรรมกีฬาในโรงเรียน ก็เลยเรียกมาคุย ถ้าอยากชกกันนักจะจัดให้ แต่ต้องชกตามกติกา วันเปิดกีฬาสีจะให้ชกเปิดงาน ตอนแรกก็ยังคึกกันอยู่ว่าเอาแน่ ๆ แต่ครูหัวหน้าปกครองมีแผนเด็ดกว่านั้น เพราะคนที่ไปนั่งเชียร์มีทั้งครู มีทั้งนักเรียนสาว ๆ และนวมที่ใช้ก็ทาน้ำมัน มันก็ลื่นพรึด! คมำซ้าย คมำขวา กว่าจะครบ 3 ยก ลงมาแทนที่จะโกรธกันกลับมานั่งหัวเราะที่ห้องปกครองทั้งคู่ เพราะขำตัวเองและเขินอายสาว ๆ เลิกทะเลาะกันไปเลย
เรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่องครูเสือ ที่คุณพิศาล อัครเสนีย์ แสดงเป็นครูเสือที่ดุมาก เด็ก ๆ กลัว ถ้ากำลังทะเลาะกันอยู่ พอบอกว่าครูเสือมา เด็กเผ่นแน่บทุกคน มีวันหนึ่งครูเสือทราบว่าจะมีเด็ก 2 คนที่เป็นคู่ปรับนัดชกกันที่ท้ายวัด ครูเสือเตรียมนวมไปให้อย่างดี ถ้าอยากชกกันนัก ก็ต้องชกตามกติกา ครูเสือจะเป็นกรรมการให้ และเป็นคนดูด้วย แต่ต้องชกให้สมศักดิ์ศรี และต้องชกจนกว่าคนดูจะพอใจสั่งให้ยุติการชก ถ้ายกเลิกการชกก่อนที่จะสั่งจะโดนตีทั้งคู่ แรก ๆ ก็ต่างคนต่างชกเอาเป็นเอาตาย พอเวลาผ่านไปก็เริ่มหมดแรงเริ่มแตะกันมากกว่าชก แต่ก็เลิกชกไม่ได้เพราะกลัวโดนครูเสือตี จนหมดแรงครูเสือก็ยังไม่สั่งให้ยุติการชก ต้องร้องขอให้ครูเสือสั่งยกเลิกการชก ครูเสือถามว่าจะชกกันอีกไหม จะให้ชกต่อยังไง... แค่นี้ก็คงเข็ดแล้วครูเสือ....บางทีการแก้ปัญหาเด็กก็ต้องเกลือจิ้มเกลือนะ
ถูกต้องเลยค่ะอาจารย์ ควรทำแฟ้มประวัติเด็กไว้ค่ะแล้วส่งต่อข้อมูลได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องสืบใหม่ จนกว่าเด็กจะจบการศึกษา
เยี่ยมมากเลยพี่เอ มีเวลามาบันทึกขอให้พี่สาวเรา ขยันบันทึกต่อนะคะ