ในการจัดการเรียนรู้ครั้งหนึ่ง ๆ นั้น ผู้จัดจะต้องมองเห็นภาพงานให้ตลอด เมื่อเห็นภาพงานตลอดแล้ว ความเป็นหนึ่งเดียวก็จะเกิดขึ้นมาได้
ความเป็นหนึ่งเดียวที่เกิดจากการจัดการเรียนนั้น จะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และการเรียนรู้ที่เกิดเป็นหนึ่งเดียวในตัวผู้เรียนนั้น เรียกว่า องค์ความรู้
แล้วการเรียนรู้คืออะไร.....
การเรียนรู้ คือ การที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติการเรียนตามกระบวนการที่กำหนดไว้จนกระทั่งเกิดการรู้จริงจนรู้แจ้งในเรื่องที่จะเรียนรู้และสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวที่เรียนรู้ได้ทั้งหมดนั้นให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติจนสามารถพัฒนาตนเองได้
องค์ความรู้ คือความรู้ที่ผู้เรียน สามารถนำความรู้ที่ตนเรียนรู้ในสาระนั้น ๆ มาเชื่อมโยงเข้ากันเป็นหนึ่งเดียวได้ หรือเรียกว่ารู้รอบครอบระบบเรื่องนั้น ๆ เช่นในเรื่องของ แผนการเรียนรู้ พอพูดถึงกิจกรรมการเรียนรู้คุณครูจะสามารถตอบได้ว่า กิจกรรมชุดนี้เมื่อเรียนจบแล้วจะบรรลุจุดประสงค์นำทางข้อนี้และจุดประสงค์นำทางชุดนี้จะบรรลุจุดประสงค์ปลายทาง ข้อนี้ และในขณะเดียวกัน จุดประสงค์ปลายทาง 2-3 ข้อนี้จะสามารถบรรลุผลการเรียนรู้ข้อนี้ และทั้งหมดนี้สามารถประเมินผลได้ว่า บรรลุมาตรฐานข้อนี้เอง นี่คือภาพขององค์ความรู้ที่มองเห็นได้ตลอดแนว
จะเห็นได้ว่า เมื่อคุณครูจัดภาพงานสอนให้เป็นระบบต่อเนื่องเชื่อมโยงให้เป็นเรื่องเดียวกันตลอดแนว แล้วส่งผลต่อความ เข้าใจการเรียนรู้ได้อย่างดี เพราะผู้เรียนจะไม่เกิดความสับสนเรื่องที่เรียนรู้ ยิ่งถ้าคุณครูสามารถสร้างพื้นฐานเรื่องราวที่จะนำสอนให้ ชัดเจนมองเห็นภาพได้ดีก็จะเข้าใจเรื่องนั้น ๆ ได้อย่างดี
การสอนที่จะให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องราวที่กำลังเรียนนั้น คุณครูจะต้องเตรียมปูพื้นฐานเรื่องราวเหล่านั้นให้แก่ผู้เรียน โดยวิธีการที่เป็นสากล คือ
4. ตัวความรู้ที่พูดว่า นักเรียนได้เรียนรู้นั้น ต้องเป็นความรู้ที่ผุดขึ้นมาจากจิตใจของนักเรียนผู้เรียนเอง ซึ่งผู้เรียนแต่ละคนอาจจะสรุปความคิดรวบยอด ถ่ายทอดออกมาได้ไม่เหมือนกัน แต่ภาพงานนั้นรู้ได้เหมือนกัน
โดยเฉพาะในข้อที่ 4 นั้น มีความสำคัญมาก เพราะมันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ตัวผมเองมีโอกาสร่วมเขียนแผนการเรียนรู้กับเพื่อนครู พบว่าเวลาเขียนความคิดรวบยอด หรือสาระสำคัญแล้ว เรามักจะคิดต่างกันเพราะเรามีมุมมองต่อการสอนต่างกัน เพื่อนผมมองเห็นความสำคัญของสาระความรู้ ก็จะเขียนสาระสำคัญว่า
“มนุษย์อาศัยทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกของตน และในขณะเดียวกันมนุษย์ก็เป็นผู้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ”
ส่วนผมมองเห็นความสำคัญของทักษะกระบวนการ ดังนั้นเวลาผมเขียนสาระสำคัญผมก็จะเน้นความสำคัญลงไปที่ทักษะกระบวนการ ผมจึงเขียนว่า
“การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ สังเกต ศึกษา ค้นคว้าเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติด้วยตนเอง ผู้เรียนย่อมจะมองเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น”
ถามว่า ผมกับเพื่อนใครผิดใครถูก ตอบได้ว่าไม่มีคนผิดเพราะในความต่างนั้นมีความเหมือน กล่าวคือ เราต่างต้องการเน้นให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติจนเกิดจิตอนุรักษ์ แต่เราใช้วิธีการจี้จุดที่ต่างกัน แต่ทว่าเมื่อเรียนจบแล้วก็จะเดินทางมาสู่ จุดหมายปลายทางเดียวกันได้
ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนั้น ไม่จำเป็นต้องให้ผู้เรียนแต่ละคนที่เรียนเรื่องเดียวกันสรุปบทเรียนในมุมมองเดียวกัน ยิ่งนักเรียนสรุปบทเรียนได้หลายมุมมองจะดีมาก แต่ครูจะทำวิธีการใดที่จะหลอมรวมความคิดต่างนั้นให้มาสู่จุดหมายปลายทางเดียวกันได้ ตรงนี้ต่างหากที่ครูจะเกิดการเรียนรู้
การปูพื้นฐานให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้นั้นมีความสำคัญมาก เพราะเป็นการเรียนชนิดค่อย ๆ เรียนไปจนเรียนรู้ เป็นการเรียนที่ไม่ใช่ครูระดมความรู้เข้าสู่ผู้เรียนในทันทีทันใดชนิดใครรับได้รับเอาไป ผลสุดท้ายเราจะมีเด็กที่รู้เรื่อง พอจะรู้เรื่อง ไม่ค่อยรู้เรื่องและไม่รู้เรื่องเลย โดยจะมีจำนวนที่น้อย มาก มากขึ้นตามลำดับ
ผมเองนั้นเรียนคณิตศาสตร์อ่อนมาก ๆ เพราะขาดพื้นฐาน เมื่อครูรีบสอนผมก็ยิ่งไม่รู้เรื่องมากยิ่งขึ้น ผมเพิ่งรู้และเข้าใจคณิตศาสตร์ตอนที่เป็นครูนี่เอง สิ่งนี้เป็นจุดประทับใจและสะเทือนใจผมจนทุกวันนี้ ส่งผลให้ผมต้องสอนช้า ๆ สอนแบบหวังผลให้เด็ก ๆ เรียนรู้จนได้ เช่น ถ้าผมจะสอนเรื่อง เส้นผ่าศูนย์กลาง เส้นรัศมี ผมว่าต้องให้เด็กเล่นกับวงกลม สนุกกับการเรียน เช่น
3.1 วงกลมทั้งหมดมีขนาดเท่ากันไหม
3.2 ทำไมวงกลมทั้งหมดจึงมีขนาดเท่ากัน
เมื่อนักเรียนสามารถสรุปความรู้ที่เกิดจากความคิดของตนได้แล้ว ครูกับนักเรียนร่วมกันเสวนา หาข้อสรุปที่เป็นกลางเพื่อฝึกการสรุปความคิดรวบยอดเชิงวิชาการให้ แต่ทั้งนี้ความคิดเดิมของนักเรียนก็คงไว้อย่าไปลบออก การเปรียบเทียบทางด้านการใช้ภาษาก็จะเกิดขึ้น
เปิดโอกาสให้นักเรียนขีดเส้นผ่าศูนย์กลางในวงกลม 1 วงหลาย ๆ เส้น วัดขนาดความยาวแล้วสรุปความคิดของตน
วาดวงกลมให้โตขึ้น ขีดเส้นผ่าศูนย์กลางหลาย ๆ เส้น สรุปความคิดของตน
ขีดเส้นรัศมีในวงกลมต่างขนาดสรุปเป็นความคิดของตน
ร่วมกันสรุปความคิดต่อเส้นผ่าศูนย์กลางและเส้นรัศมีที่เรียนรู้ผ่านมา
จะเห็นได้ว่าเรื่องเล็ก ๆ แต่กว่าจะสอนให้เข้า(ไปอยู่ในหัว) ใจ ได้นั้นต้องใช้เวลา
เมื่อนักเรียนเข้าใจเรื่องเส้นผ่าศูนย์กลางแล้วลองให้นำวิธีการนี้ไปใช้ในการเรียนรู้เรื่องเส้นรอบวง มุม องศา และเศษส่วน แล้วครูคอยสังเกตหาจุดพัฒนาต่อไป เป็นการเรียนรู้ร่วมระหว่างครูกับศิษย์แต่คนละความคิดคนละมุมมอง ตัวความรู้นั้นจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากมวลประสบการณ์ที่เข้าไปสั่งสมอยู่ในตัวผู้เรียน ถักทอเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ก็จะเกิดเป็นความรู้ที่เรียนรู้มา ถ้าถามว่ากว่าจะรู้นั้นจะต้องใช้เวลานานเพียงใด ไม่สามารถตอบได้เพราะมันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แต่ในความเข้าใจของคนทั่วไปนั้นมักจะสรุปว่า เรียนก็รู้ได้ทันที ความรู้ที่เรียนเสร็จรู้นั้นมักจะเป็นความรู้ไม่แท้ เป็นความรู้ที่รู้จากการได้ยินได้ฟังได้ทำ เป็นความรู้ที่เรียกว่ารู้ เท่านั้น แต่ตัวรู้นี้ เมื่อสั่งสมไว้นาน ๆ มาก ๆ เข้าหล่อหลอมกันได้ก็จะเกิดตัวรู้จริงขึ้นมาในที่สุด ผมจะยกตัวอย่างคนที่เรียนธรรมะ สามารถตอบเรื่อง อริยสัจสี่ ได้ถูกต้อง เพราะเขารู้จำ แต่ถามว่าเขายังมีทุกข์ไหม ตอบได้ว่า มี ทำไมเขาตอบเรื่องอริยสัจได้แล้วยังทุกข์อีก ก็เป็นเพราะเขาไม่รู้จริง เขาจึงไม่แจ้งในเรื่องนั้น
อริยสัจสี่นั้นจะผุดพรายขึ้นมาในบึ้งจิต เมื่อคราวถึงเวลา คับขันขึ้นมา ตัวธรรมจะผุดมากล่อมเกลาจิตให้สงบนิ่งได้ เช่น คนที่เข้าถึงธรรมยามเจ็บป่วยจะนอนดูอาการเจ็บป่วยอย่างสงบ เพราะรู้ว่า ความเจ็บป่วยนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราไปวุ่นวายกับมันก็จะเป็นทุกข์ ที่เป็นทุกข์เพราะจิตคิด ตัวจิตคิดนี่แหละคือ สมุทัย วิธีการที่จะไม่ให้ทุกข์เกิดก็คือ รู้เท่าทันจิตที่จะคิด การรู้เท่าทันจิตคือ มรรค เมื่อจิตคิดรู้ว่า ผู้ป่วยรู้เท่าทันก็จะหยุดคิดจึงสงบ อาการสงบนี้คือ นิโรธ
ทั้งหมดนั้นจะผุดพรายขึ้นมาในจิตอย่างอัศจรรย์ สำหรับผู้เข้าถึงอริยสัจสี่ เมื่อผู้นั้นรู้เท่าทันความเจ็บให้ได้ก็จะมี ไตรลักษณ์ เกิดซ้อนขึ้นมาคือ เมื่อเห็นอาการเจ็บ ก็รู้ว่านั่นคือ เวทนา ร่างกายส่วนนั้นที่เกิดเวทนาขึ้นมาได้นั้นเพราะมันไม่เที่ยง มันเสื่อมลงไปตามธรรมชาติของสังขาร มันเป็นอนิจจัง และมันเจ็บ ๆ หาย ๆ ไม่ยั่งยืนเพราะมันไม่เที่ยงมันทุกขัง ที่มันเจ็บ ๆ หาย ๆ เจ็บ ๆ นั้นเพราะมันใช่ของจริง เรียกว่าเจ็บไม่จริง หายไม่จริง เราควบคุมมันไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ตัวตนของเราที่แท้จริง มันเป็นอนัตตา เมื่อเราเห็นได้ดังนี้แล้วเราก็รู้สึกลึก ๆ ต่อไปว่า “อย่าเอามันมาใส่ใจ ปล่อยปละมันไป มันจะเจ็บก็เรื่องของมัน” เห็นไหมว่า “ความคิดชอบ” ก็เกิดขึ้น นั่นคือเราเดินทางมาจาก อริยสัจสี่ สู่ ไตรลักษณ์ แล้วทะลุเข้า มรรคอันมีองค์ 8 ในชั่วอึดใจเดียว ไม่ต้องท่องจำ ไม่ต้อง ทบทวนแต่ตัวรู้จะดำเนินการของมันขึ้นมาในดวงจิต ผุดมากล่อมเกลาจิตให้สงบได้ นี่คือ ความรู้ที่แท้จริง จะต้องนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ
แต่ทว่ากว่าที่ตัวรู้จะเกิดได้ดั่งที่แสดงผ่านมา ผู้รู้คือคน ๆ นั้นจะต้องฝึกฝนอยู่นานโดยการพิจารณา ให้เห็นความเจ็บปวดในกายที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเห็นภาพอาการเหล่านั้นชัดเจน เรียกว่า คิดแบบโยนิโสมนสิการ คือพิจารณาอย่างแยบคาย คิดแล้วคิดอีก พิจารณาแล้วพิจารณาอีก ไม่ใช่ทำครั้งเดียวแล้วจะเกิด
บทเรียนในชั้นเรียนก็เหมือนกัน ถ้าคุณครูฝึกทักษะกระบวนการเรียนรู้แก่ผู้เรียนซ้ำ ๆ แต่ต่างสถานการณ์จนผู้เรียนเชี่ยวชาญก็จะดึงมาใช้ได้ทันทีที่ต้องการใช้ เหมือนกับการฝึกเด็กให้ว่ายน้ำได้ พอเก่งแล้วไม่ว่าสระน้ำใหญ่เล็กหรือเป็นแม่น้ำลำคลองก็จะว่ายได้ทั้งนั้น
ก่อนจะจบผมก็ถามว่า บทเรียนทุกวันนี้ สอนเด็กว่ายน้ำ สอนแล้วเด็กว่ายน้ำเป็นไหม ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น คำตอบปัญหาข้อนี้ไม่ใช่เฉพาะครู แต่ผู้เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษาทุกท่านต้องร่วมพิจารณาค้นหาคำตอบและร่วมกันปรับปรุงแก้ไข
ไม่มีความเห็น