วันนี้เป็นวันพระ เป็นวันแห่งการรักษาศีลฟังธรรม ช่วงนี้เป็นช่วงออกพรรษา หน้าหนาว ฝนก็หยุดตก เย็นสบาย ก็มีอากาศร้อนบ้างในตอนกลางวัน
บรรยากาศดีเดินจงกรมตามร่มไม้ก็ได้ ฝึกปล่อยฝึกวาง วางทิฐิวางมานะ วางตัววางตน วางจิตใจที่มันพุ่งไปข้างหน้า จิตใจที่มันพุ่งไป ข้างหลัง จิตใจคนเรามันคิดของเราไปเรื่อย ปรุงแต่งของเราไปเรื่อย มันชอบสร้างวิมานทางความคิด
พระพุทธเจ้าท่านให้เราหยุด ให้เราเย็น ให้เราไม่วุ่นวายตามความคิดตามอารมณ์...
ให้เราได้เจริญสติปัฏฐานให้กายให้ใจอยู่ด้วยกัน ฝึกให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัวให้มันมาก ๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ ไม่ว่าเราจะทำอาหาร ทำการทำงาน เดินบิณฑบาต ฉันภัตตาหาร พยายามให้จิตใจของเราอยู่กับเนื้อกับตัว ให้ใจของเรามีเครื่องอยู่ ถ้าใจของเราไม่มีอยู่กับปัจจุบันเดี๋ยวมันจะฟุ้งไปเรื่อย มันดีดมันดิ้นของมันไปเรื่อยนะใจนี้ เราต้องหางานให้ตัวเองทำ งานของเราก็คืองานภาวนา งานของเราก็คือใจอยู่กับเนื้อกับตัว อย่าไปคิดว่าใจอยู่กับเนื้อกับตัวมันจะได้อะไร ถ้าใจของเราอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วมันจะได้ความสงบ มันจะได้สติ มันจะได้สมาธิได้ปัญญาที่ดับทุกข์อย่างแท้จริง
เราขยันนี้ไม่ใช่วันหนึ่งสองวัน วันข้างหน้าเราต้องขยันมากกว่าเดิมยิ่งไปเรื่อย ๆ การฝึกฝนตนเองต้องติดต่อกัน ๆ ทุก ๆ วันจนกลายเป็นปีเป็นหลายปี ถ้ายังไม่บรรลุธรรมต้องทำจนวันโน่นแหละ
คนเรากว่าจะฝึกตนเองได้ ฝึกตนเองเป็นมันไม่ใช่ของง่าย ส่วนใหญ่มันทิฐิมานะมาก มันเชื่อมั่นตนเอง มันหลงตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราฝึกปล่อยฝึกวางอัตตาตัวตน เอาศีลเป็นที่ตั้ง เอาธรรมะเป็นทางเดิน
คนเก่ามันนิสัยเหมือนเก่า นิสัยขี้เกียจก็ขี้เกียจอยู่อย่างนั้น นิสัยชอบเอาประโยชน์แต่คนอื่น คนเรามันมีเหตุผลมากมันแก้ตัวมาก ถ้าเกี่ยวกับธรรมวินัย
เราอย่าเป็นคนมีเหตุผลมากแก้ตัวมาก อย่าไปคิดว่าธรรมะมันกดดันเราข้อวัตรปฏิบัติมันกดดันเรา แทนที่จะปฏิบัติให้มันสบาย ๆ แต่กลับไปสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้ตัวเอง นี้ความโลภมันพูด นี้ความโกรธมันพูด นี้ความหลงมันพูด นี้ไม่ใช่ธรรมะมันเป็นอัตตาตัวตน แสดงว่าเราปฏิบัติถูกต้องแล้ว กิเลสมันร้อนแล้ว อัตตาตัวตน มันไม่ได้รับความสะดวกสบายแล้ว ข้อวัตรปฏิบัติธรรมวินัยเข้ามาจัดการแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านให้ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ อย่าไปสนใจมันเลย อย่าไปหนีหน้ามันเลย บุกมันเข้าไปเลย อย่าถอยอย่าง่อนแง่นคลองแคลน อย่าไปลูบ ๆ คลำ ๆ มันเป็นสีลัพพัตตปรามาส ที่ผ่าน ๆ มาทุกท่านทุกคนก็ประจักษ์แก่ใจอยู่แล้วว่าเราถูกหลอก ผัดวันประกันพรุ่งอยู่นั่นแหละ
มีผลมากจริง ๆ ธรรมวินัยนี้ มันอยู่เหนือเหตุเหนือผลของเราทุกคน เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปต่อต้านทางจิตใจ เราไม่มีสิทธิ์ที่ไปปรุงแต่งให้เราเองเกิดปัญหาไม่มีที่จบที่สิ้น
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนเน้นมาหาตัวเรา แก้ไขตัวเราให้ได้ เราเป็นนักปฏิบัติ เป็นนักรบ นักต่อสู้ ไม่ใช่นักถอย เราต้องเป็นนักต่อสู้กับอัตตาตัวตน ความยึดความถือของตัวเอง
ทุกท่านทุกคนให้มองตัวเองว่า ตัวเองยังเป็นคนอ่อนแอ จิตใจต้องแข็งแรงมากกว่านี้ ต้องต่อสู้ ให้มากกว่านี้ ถ้าเราไปคิดช้าเกินสติมันไม่ทัน กิเลสมันต่อยเราไปหลายหมัดแล้ว เรามีแต่แพ้กับแพ้ ทั้งแพ้คะแนน ทั้งแพ้น็อค ต้องสติปัญญาไว จิตใจแข็งแกร่ง อย่าให้ความเคยชินมันมาครอบงำเรา ให้ทุกท่าน
ทุกคนถือว่าร่างกายผอมนี้ไม่มีปัญหาอย่าให้ใจมันผอม ตัวดำไม่มีปัญหาแต่อย่าให้ใจมันดำ ใจมันสกปรก โรคมะเร็งโรคปวดแข้งปวดขาอะไรต่าง ๆ ถือว่าเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย แต่เรื่องใหญ่คือทุกคนนั้นเป็นโรคทางจิตทางใจ เป็นโรคจิต ให้กิเลสมันถลุงตั้งแต่เช้าจนนอนหลับ ตื่นขึ้นมันมาถลุงเราต่อ เราเป็นคนเปรียบเสมือนไม่มีเจ้าของ เป็นทาสรับใช้ของกิเลสอัตตาตัวตน
พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านไม่ตามกิเลสไป ท่านไม่ตามอัตตาตัวตนไป สร้างความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป สร้างความเห็นภัยในวัฏฏะสงสารของเราให้มากขึ้น
ความไม่ละอายต่อบาปความไม่เกรงกลัวต่อบาปของเรานี้แหละ มันเป็นนายใหญ่ เป็นแม่ทัพใหญ่อยู่ในหัวใจของเรา มันหยาบ มันกระด้าง มันก้าวร้าว มันแข็งแกร่งแข็งแรงมาก ความไม่ละอายต่อบาป
ความไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป มันกล้าคิดในสิ่งที่ไม่ควรจะคิด มันกล้าพูดในสิ่ง ที่ไม่ควรจะพูด มันกล้าทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าธรรมที่จะคุ้มครองเราได้ก็คือความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป การปฏิบัติธรรมมันเน้นที่จิตที่ใจ ถ้าเราไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปแล้วล่ะก็ ปฏิบัติอย่างไร ก็แก้ไขไม่ได้ เจริญงอกงามไม่ได้
ทุกท่านทุกคนต้องกลับมาถามตัวเองว่าเราเป็นคนละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปหรือยัง ถ้ายังก็ให้ตั้งใจใหม่ สมาทานใหม่ ว่าสิ่งเหล่านี้เราจะไม่คิดอีก เราจะไม่พูดอีก เราจะไม่ทำอีก
ที่ผ่าน ๆ มาเรามันเสียศักดิ์ศรีของความเกิดเป็นมนุษย์มามากแล้ว เราไม่น่าแย่ขนาดนี้ ไม่น่าเลวขนาดนี้
ในทุก ๆ ๑๕ วันเขาลงพระอุโบสถกันเพื่อจะบอก เพื่อจะถามว่าท่านมีความละอายเกรงกลัว ต่อบาปไหม ท่านมีความผิดทางกายวาจาใจไหม ถ้าท่านมีความผิดทางกายวาจาใจ ท่านต้องแก้ไข ท่านต้องหยุด เพราะการปฏิบัติของเราทุกท่าน คือปฏิบัติเพื่อทำที่สุดแห่งกองทุกข์ คือ เข้าถึง พระนิพพาน มันไม่ใช่เพื่อไปสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อลาภยศสรรเสริญเยินยอ ไม่ใช่เพื่อความดีอำนาจวาสนา
มหาโจรภายนอกหรือว่าข้าศึกภายนอก สงครามโลกก็ดีมันยังไม่ร้ายเท่ามหาโจรภายใน หรือความไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ความไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร
ทุกท่านทุกคนต้องเน้นเข้าหาใจ อย่าไปมองคนอื่น ที่ว่าคนนั้นคนนี้ไม่ดี นักปฏิบัติต้องกลับมา มองตนเอง ให้กดดันตัวเอง ให้ประหัตประหารตนเอง ด้วยการเป็นคนไม่มีทิฐิมานะอัตตาตัวตน
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่าไปถือมานะอย่าไปถือตัวถือตน ถือว่าเราดีกว่าเขาก็ไม่ใช่ ถือว่าเราเสมอเขาก็ไม่ใช่ ถือว่าเราต่ำกว่าเขาก็ไม่ใช่ ถ้ามันมีทิฐิมานะมีอัตตาตัวตน มันไม่ใช่ทั้งนั้น
ถ้าทุกท่านทุกคนไม่มีเรา ไม่มีตัวตนของเรา เรื่องทุกอย่างมันก็จบลง ก็จะพบกับความสุข ความสงบ ความดับทุกข์
พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านบอกเราสอนเรา เน้นมาที่จุดบกพร่องของเรา เราจะทำตัว เป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้ ถือว่าเป็นโอกาสดีของเรา โชคดีของเรา เราได้บวชได้ปฏิบัติ อุบาสกอุบาสิกาได้มาอยู่วัด วันนี้วันพระเราได้มาถือศีล รักษาศีล เป็นโอกาสดีของเราทุกคนทุกท่าน....
พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
เช้าวันศุกร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๔
ไม่มีความเห็น