คำว่า “เสนง” คือ เขาสัตว์ เป็นภาษาเขมร การรำเสนง เป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย ซึ่งเป็นพิธีปีใหม่ของพราหมณ์ (อุรคินทร์ วิริยะบูรณะ, ผู้รวบรวม, ๒๕๒๖ : ๓๒๙) ดังนั้นการรำเสนงหากจะพูดห้วน ๆ ก็คือการรำเขาควายนั้นเอง
กรมศิลปากร (๒๕๒๕) ได้รวบรวมงานนิพนธ์ของนายอาคม สายาคม ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ กรมศิลปากรที่นิพนธ์เรื่องราวของนาฏศิลป์เอาไว้มากมาย หนึ่งในนั้นมีนาฏกรรมเกี่ยวกับลัทธิพราหมณ์ซึ่งแทบจะสูญหายไปจากแผ่นดินเอาไว้ด้วย กล่าวคือ การรำถวายเทพเจ้าที่สำคัญในงานราชพิธีที่ประกอบขึ้นในประเทศไทยมีอยู่สองพระราชพิธีด้วยกันคือ พระราชพิธีทอดเชือก ดามเชือก และพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย ซึ่งเป็นการรำในพระราชสำคัญของประเทศไทยในอดีตทั้งสิ้น
พระราชพิธีทอดเชือกตามเชือก เป็นพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับพราหมณ์พฤฒิบาศ การฟ้อนรำในพระราชพิธีนี้ได้แก่ รำพัดชา ท่ารำพัดชาเป็นท่ารำที่ปกปิดเป็นอย่างยิ่ง การออกแสดงก็มีโอกาสน้อย ท่ารำคงอยู่เฉพาะกับผู้มีหน้าที่โดยตรงเท่านั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นาอาคม สายาคม ผู้เชี่ยวชาญนาฎศิลป์ กรมศิลปากรได้รับถ่ายทอดท่ารำนี้จากท่านจมื่นศิริวังรัตน์ (เฉลิม คชาชีวะ) และมีการบันทึกเป็นหลักฐานเพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป
การรำเสนงในพระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวาย
การรำเสนงในพระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวายมาจากตำนานตอนหนึ่งกล่าวว่า เมื่อพระพรหมได้สร้างโลกแล้วขอให้พระอิศวรไปรักษา แต่พระอิศวรทรงห่วงใยว่าโลกที่สร้างขึ้นมานี่จะไม่แข็งแรง จึงทรงยืนบนตัวนาคด้วยพระบาทข้างเดียวที่โยงตัวกับขุนเขาสองสองฝั่งมหาสมุทรแล้วไกวไปมา เพื่อทดสอบความแข็งแรงของแผ่นดินเหล่าพญานาคทั้งหลายก็พากันโสมนัสยินดีลงสูสาครใหญ่เล่นน้ำเป็นที่สนุกสนาน การแหวกว่ายเล่นสาครของเหล่าพญานาคนี่เองเป็นที่มาของการแต่งตัวของเหล่านาลิวันโดยการใส่เครื่องสวมหัวเป็นพญานาคแล้วรำเสนง
ไมเคิล ไรท์ (๒๕๓๖ : ๑๖๔) ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการรำเสนงไว้ดังนี้
“การรำเสนง (เขาควาย) ดูเป็นพื้นเมืองอุษาคเนย์เหลือเกิน และดูขมุ ๆ ระแด ๆ ด้วยซ้ำ ชะรอยจะเป็นการรำของพรานช้างชาวกุยในอิสานตอนใต้ ?
การที่คนรำสาดน้ำกันเป็นการบังคับความอุดมสมบูรณ์อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งตรงกับความมุ่งหมายของเพลง ติรุเวมบาไวของทมิฬ ทำให้พิธีกรรมหรือเทศกาลของไทยและของทมิฬตรงกันในความมุ่งหมายและเข้ากันได้อย่างสวยงามและมีความหมาย...”
ในอินเดียใต้ ติรุเวมบาไวเป็นเทศการของหญิงชาวทมิฬที่จะต้องตื่นก่อนรุ่งอรุณในช่วงเดือนอ้าย แล้วพากันแห่ตามถนนร้องเพลงติรุเวมบาไว เพื่อปลุกเจ้าแม่ (พระอุมาเทวี) ให้ตื่นขึ้นมาทำให้ดินอุดมสมบูรณ์หลังจากที่เก็บเกี่ยวข้าวไปแล้ว แล้วพากันลงไปในบารายในเทวสถาน พลางสาดน้ำร้องเพลงเล่นกันไปด้วย (ไมเคิล ไรท์ ๒๕๓๖ : ๑๖๓) ซึ่งดูแล้วก็คล้ายกับการเล่นน้ำของเหล่าพญานาคที่เล่นสาดน้ำกันเพราะความดีใจเมื่อเห็นว่าโลกแข็งแรงอันเนื่องจากการทดสอบของพระอิศวร
อาจสรุปจุดประสงค์ของการรำเสนงได้ว่า เป็นการร่ายรำเขาสัตว์ที่พัฒนาขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นผสมผสานคติของอินเดียกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด อาจจะเริ่มจากชาวเขมรซึ่งเป็นพรานช้าง โดยผูกความเชื่อเรื่องนาคที่ว่าเป็นสัตว์ที่มีหน้าที่ให้น้ำ ส่วนเขาสัตว์อาจจะมีความหมายของความอุดมสมบูรณ์ของอาหาร จุดประสงค์การรำเสนงก็เพื่อให้เทพเจ้าพอพระทัยจะได้ประทานความอุดมสมบูรณ์ฟ้าฝน และอาหารอะไรทำนองนี้
สำหรับประเทศไทย พระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย หาใช่แค่พระราชพิธีที่ทดสอบความแข็งแรงมั่นตงของบ้านเมืองประการเดียวไม่ อีกจุดประสงค์หนึ่งก็เพื่อสร้างความสนุกสนานให้แก่ประชาชน การต้อนรับพระอิศวรจึงต้องจัดอย่างสนุกสนานครึกครื้นไปด้วยโดยดึงเอาคติการที่นาคเล่นน้ำอย่างสนุกสนานเข้ามาผสมผสาน นั่นก็คือมีการรำเสนงร่วมด้วยนั่นเอง
การรำเสนงเนื่องในพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรียัมปวายน่าจะมีมานานแล้วอย่างช้าที่สุดในรัตนโกสินทร์ตอนต้น
และยังคงมีการรำเสนงในพระราชพิธีต่อ ๆ สืบจนถึงรัชกาลที่ ๗ จนในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ จึงเป็นอันเลิกการรำเสนงไปพร้อม ๆ กับพระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวาย
เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ มีการจัดจำลองพระราชพิธีโล้ชิงช้าขึ้น และได้มีการจดบันทึกท่ารำไว้เป็นหลักฐานไว้ด้วย (ศิลปากร, กรม ๒๕๒๕ : ๓๓๖) พระราชครูวามเทพมุนี (สว่าง รัวสิพราหมณ์กุล) ได้เขียนรำลึกไว้ในหนังสือที่ระลึกงานทำบุญอายุครบ ๖๐ ของนายอาคม สายาคมว่า
“ในพระราชพิธีตรียัมปวาย ตรีปวาย นาลิวันจะต้องขึ้นกระดานโล้ชิงช้า (เพื่อหยั่งพสุธาป การพิธีนี้นาลิวันจะฟ้อนรำถวายพระอิศวร เนื่องด้วยพระราชพิธีนี้ได้เลิกกันไปถึง ๔๒ ปีแล้ว (พ.ศ. ๒๔๗๘ – ๒๕๒๐) การรำเสนงของนาลิวันก็พลอยเลือนลางไปด้วย ทางเทวสถานก็ได้นายอาคม สายาคม ผู้นี้เป็นผู้ประติดประต่อท่ารำเสนงจากผู้มีอายุในปัจจุบันซึ่งเคยเห็นมาเมื่อครั้งก่อน ให้เข้ารูปเข้ารอยเป็นแบบอย่างต่อไป ในการรำถวายพระอิศวร ซึ่งต้องจารึกไว้ในประวัติของพราหมณ์ในปัจจุบัน ไม่สามารถบิดเบื่อนความจริงนี้ได้” (อ้างใน ศิลปากร, กรม ๒๕๒๕ : ๓๒๘)
หน้าพาทย์ ที่ใช้ประกอบการรำใช้หน้าพาทย์ เพลงนาค เพลงเสนง
ผู้แสดง ใช้ผู้รำซึ่งสมมติเรียกว่า นาลิวัน จำนวน ๑๒ คน
การแต่งกาย สวมสนับเพลา แล้วนุ่งโจงทับ เสื้อขาว คาดผ้าเกี้ยว ศีรษะสวมหัวพญานาคมือถือเขาควาย
อุปกรณ์ ขันธสาคร มหานทีที่เหล่าพญานาคเล่นน้ำเมื่อครั้งพระอิศวรทดสอบความแข็งแรงของโลก และ เขาวัว หรือเขาควาย สาเหตุการใช้เขาวัวเพราะ วัวเป็นสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับพระอิศวรในฐานะของพาหนะ ภายหลังที่เปลี่ยนมาใช่เขาควายในภายหลังเพราะเขาวัวได้หายากขึ้นนั่นเอง (กุสุมา คงสนิท และคณะ. ๒๕๔๕ : ๔๒)
ท่ารำ แต่เดิมแยกเป็นท่อนย่อย ๆ ได้ ๙ ท่า แต่ในการบันทึกของนายอาคม สายาคมได้รวมท่ารำเป็นขั้นตอนได้ ๔ ท่า
เริ่มแรกท่าถวายบังคม เริ่มตั้งแถวเรียง ๓ แถว หรือตั้งแถวรูปครึ่งวงกลมก็ได้ มีขันสาคร (ขันใส่น้ำ) ตั่งอยู่กลางวงจากนั้นชักเท้าขวานั่งลงคุกเข่า ถวายบังคม ๓ ครั้ง
ท่าที่ ๑ ตั้งเข่าซ้าย มือทั้งสองข้างจับเขาถวายทำท่าแบกข้างขวา ยืดตัวขึ้นก้าวเท้าขวา มือทั้งสองจับเขาควายทำท่าแบกข้างซ้าย จากนั้นทำท่าสลับกัน เดินวนไปตามเข็มนาฬิกา ๓ รอบ
ท่าที่ ๒ ก้าวเท้าซ้าย มือขวาถือเขาควายบังหน้ามือซ้ายจีบอยู่ที่ชายพก ก้าวเท้าขวา เปลี่ยนมือซ้ายตั้งวงบังหน้า มือขวาถือเขาควายถือไว้ที่ชายพกทำสลับกัน เดินวนตามเข็มนาฬิกาเป็นรูปวงกลม ๓ รอบ
ท่าที่ ๓ มือซ้ายตั้งมือตึงแขน มือขวาถือเขาควยยกไว้วางบนระดับศีรษะ เดินเข้าหาขันสาครซึ่งตั้งอยู่กลางวง
- เมื่อถึงขันสาคร มือขวาซึ่งถือเขาควายทำท่าจ้วงตักน้ำในขัน ส่วนมือซ้ายจับอยู่ที่ชายพก
- มือซ้ายทำท่าตั้งมือตึงแขน มือขวาถือเขาควาย เดินถอยออกมา (กลับ มาอยู่รอบวงตามเดิม)
- นำมือทั้งสองข้างมารวมไว้ที่หว่างอก จากนั้นใช้มือซ้ายวนที่ปากกระบอกเขาควาย แล้วเดินเป็นวงกลมเล็ก ๆ หนึ่งรอบ
- ทำท่ายกเขาควาย สาดน้ำออกจากเขาควายไปทางขวามือ
- เดินเข้าหาขันสาครอีกครั้งด้วยท่าเดิม มือซ้ายตั้งมือตึงแขน มือขวาจับเขาควายไว้วงบน
- เมือถึงขันสาคร มือซ้ายจับที่ชายพก มือขวาที่ถือเขาควาย จ้วงตักน้ำและสาดออกไป เป็นครั้งที่ ๒
- มือซ้ายทำท่าตั้งมือตึงแขน มือขวายกเขาควายไว้วงบน เดินถอยออกมาอยู่นอกวง
- เดินเข้าหาขันสาครอีกครั้งด้วยท่าเดิม
- เมื่อถึงขันสาครทำท่าจ้วงตักน้ำ แล้วสาดออกจนหมดขัน เป็นครั้งที่ ๓
- มือซ้ายทำท่าตั้งมือตึงแขน มือขวายกเขาควายไว้วงบน เดินถอยออกมาที่เดิม
ท่าที่ ๔ ก้าวเท้ายกมือขวาที่ถือเขาควายไว้วงบนระดับศีรษะ มือซ้ายจับหวายมือ ขัดหลังไว้ระดับชายกระเบน
- ก้าวเท้าขวายกมือซ้ายตั้งไว้วงบน มือขวาที่ถือเขาควายนำมาขัดหลังทำสลับกันเดินวนไปจนครบ ๓ รอบ
- เมื่อครอบสามรอบแล้วแปลแถวเป็นรูปครึ่งวงกลมอีกครั้ง
- ชักเท้าขวา ลงนั่งคุกเข่าถวายบังคมอีก ๓ ครั้ง จากนั้นก้าวเท้าซ้ายลุกขึ้นยืน
- จากนั้นก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้าชักเท้าขวาตามไป ลุกขึ้นยืน หัวหน้าเดินนำเป็นแถวเข้าไป
การบวงสรวงบูชาเทพเจ้าตามลัทธิพราหมณ์ที่ต้องประกอบด้วยเครื่องคาวหวานแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้คือการฟ้อนรำถวายเทพเจ้าให้เกิดความสำราญพระทัย การขอพรสิ่งใดก็จะได้ง่ายสมความปรารถนา ดังนั้นพระราชพิธีสำคัญทางศาสนาพราหมณ์จึงมีการฟ้อนรำประกอบด้วย แต่ท่าฟ้อนรำบางท่าบางชุดเป็นสิ่งที่หวงแหนเช่นเดียวกับตำรามนต์พิธีต่าง ๆ ที่แต่ละตระกูลพราหมณ์จะเก็บไว้เฉพาะตระกูล พราหมณ์ถือว่าท่ารำต่าง ๆ เป็นท่ารำสมมติประจำเทพเจ้า การเช่นนี้ทำให้ท่ารำต่าง ๆ สูญหายไปเสียมาก เช่นเดียวกับตำราความรู้ของพราหมณ์ที่สูญหายไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา ที่เหลืออยู่ก็ยากที่จะสืบสาวได้ ผู้รู้ก็มีอยู่น้อยนัก โอกาสการแสดงก็มีน้อยครั้ง จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากศิลปินผู้มีฝีมือในการสืบสารท่ารำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลัทธิพราหมณ์
วาทิน ศานติ์ สันติ : เรียบเรียง
หนังสือประกอบการเขียน
กุสุมา คงสนิท, และคณะ. “พระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย : การศึกษาชุดการแสดง “รำเสนง”.” ศิลปนิพนธ์ศึกษาศาสตร์บัณฑิต (ต่อเนื่อง) สาขาวิชานาฎศิลป์ศึกษา ภาควิชานาฎศิลป์ไทยศึกษา คณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์. ๒๕๔๕.
ศิลปากร, กรม. รวมงานนิพนธ์ของนายอาคม สายาคม ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์กรมศิลปากร. ไม่ปรากฏครั้งที่พิมพ์. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๒๕.
ไมเคิล ไรท์. “พระราชพิธีตรียัมปวาย โล้ชิงช้า ซับซ้อนเกินกว่าที่ใคร ๆ คิด.” ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๑๑ (กันยายน ๒๕๓๖) : ๑๖๒ – ๑๗๑.
อุคินทร์ วิริยะบูรณะ, ผู้รวบรวม. ประเพณีไทย ฉบับมหาราชครูฯ. ไม่ปรากฏครั้งที่พิมพ์. กรุงเทพฯ : ประจักษ์การพิมพ์. ๒๕๒๖.
ไม่มีความเห็น