ขบวนแห่พระยายืนชิงช้า
พระยายืนชิงช้าคือผู้ที่มีบทบาทสำคัญผู้หนึ่งในพระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวาย เนื่องจากพระยายืนชิงช้าคือผู้แทนของพระมหากษัตริย์ (ไมเคิล ไรท์, ๒๕๓๖ : ๑๖๔) และผู้แทนของพระอิศวร ที่เสด็จลงมาทอดพระเนตรการโล้ชิงช้าในพระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวาย ตามตำนานการทดสอบความมั่นคงแข็งแรงของโลก โดยพราหมณ์จะเป็นผู้ผูกดวงชะตา และทำพิธีอัญเชิญพระอิศวรให้สิงสถิตพระยายืนชิงช้า ก่อนจะแห่แหนไปยังโรงพิธีใกล้เทวสถานโบสถ์พราหมณ์เพื่อให้เป็นมงคลแก่บ้านเมือง
ขบวนแห่แหนของพระยายืนชิงช้าจะมีการจัดอย่างมโหฬาร ประกอบด้วยขบวนหน้าและขบวนหลัง ส่วนขบวนของพระยายืนชิงช้าอยู่ตรงกลาง พระยายืนชิงช้านั่งบนเสลี่ยง แวดล้อมด้วยเครื่องสูง อาทิ กรรชิง บังสูรย์ ตามด้วยขบวนเชิญเครื่องยศของผู้รับหน้าที่เป็นพระยายืนชิงช้า
ขบวนแห่แหนของพระยายืนชิงช้าน่าจะมีมานานแล้วอย่างน้อยที่สุดก็ในรัตนโกสินทร์ตอนต้น
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรุงรัตนโกสินทร์ได้ก้าวสู่การเป็นการเมืองสมัยใหม่ เสริมความสง่างามของพระนครด้วยตึกรามบ้านช่องที่งดงามตามแบบศิลปะตะวันตก ถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญ และงดงามแห่งหนึ่งของโลก ในส่วนของขนบธรรมเนียมประเพณีได้มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย โดยเฉพาะขนบธรรมเนียมในราชสำนักที่ได้รับแบบแผนของราชสำนักยุโรปเข้ามาปรับใช้ เช่น การใช้ตราสัญลักษณ์ที่มีลักษณะคล้ายตราอาร์มประจำราชวงศ์ หรือตระกูลขุนนาง ในรัชสมัยนั้นจึงเกิดธรรมเนียมการทำธงเป็นรูปตราตำแหน่งทางราชการของผู้รับหน้าที่พระยายืนชิงช้าเย็บลงบนผ้าปัศตูแดงนำหน้ากระบวนแห่ ซึ่งเป็นการทำเลียนแบบการมีทหารแห่ขบวนเสด็จ และถือธงนำหน้าขบวน ซึ่งก็เป็นธรรมเนียมใหม่ที่เกิดขึ้นในรัชการนี้
นอกจากนี้ การจัดขบวนแห่ของพระยายืนชิงช้าแต่ละคน ก็ได้จัดให้มีเรื่องราวสอดคล้องกับตำแหน่งหน้าที่ทางราชการของผู้นั้นด้วย เช่น ถ้าพระยายืนชิงช้าเป็นเสนาบดีกระทรวงพระคลัง จะจัดขบวนแห่ให้มีคนถือกระดานแจกเบี้ยหวัด อันเป็นการจำลองหน้าที่ทางราชการของพระยายืนชิงช้าเข้าประกอบในขบวนแห่ หากพระยายืนชิงช้ามีตำแหน่งสัสดีมีคนถือสมุด เป็นทหารอาสาหกเหล่าบ้าง ถือแฟ้มบัญชีบ้าง เป็นต้น
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีการขยายตัวของการศึกษาของเยาวชนมากขึ้นกว่าในรัชการก่อน ด้วยมีการตราพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ นำไปสู่การจัดตั้งโรงเรียนขึ้นอย่างมากมาย จึงได้มีการขอนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ ให้เขาร่วมกระบวนแห่ด้วย จากเดิมที่มีแต่ข้าราชการ และพราหมณ์ ประกอบกับการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ารับราชการเพื่อรับใช้ประเทศชาติ โดยเฉพาะข้าราชการ ทหาร ต่อมากระบวนแห่ได้มีการพัฒนาขึ้นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นแต่เพียงกระบวนแห่ที่แสดงเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับข้าราชการในแต่ละกรมที่ได้รับหน้าที่เป็นพระยายืนชิงช้าเท่านั้น
ใน พ.ศ. ๒๔๖๐ ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พระยายืนชิงช้าในครั้งนั้นคือเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งปลัดทูลฉลองกระทรวงกลาโหม กระบวนแห่งพระยายืนชิงช้าในพระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวาย ในครั้งนั้นเป็นขบวนแห่มโหฬาร เป็นการแสดงวิธีการจัดกระบวนทัพในอดีตและปัจจุบัน คือการจัดขบวนจัตุรงคเสนาอย่างโบราณ อันประกอบด้วย กองช้าง กองเสนาพลรบ กองม้า กองเกวียน และขบวนจัตุรงคเสนาอย่างใหม่ ประกอบด้วยทหารจากกรมกองต่างๆ และอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ ทหารม้า ๒ กองร้อย กองปืนกล ๑ กองพัน ๔ กองร้อย ทหารบกปืนใหญ่ ๑ กองร้อย มีปืน ๔ กระบอก รถกระสุน ๘ คัน รถโทรศัพท์สนาม ๑ คัน โทรศัพท์บรรทุกต่างๆ ๒ ต่าง โทรศัพท์คนหาบหาม ๑ สำรับ รถบรรทุกเรือสะพาน ๒ คัน ให้ส่งลงมาจากรุงเก่าทั้งนี้ให้ล้านแต่งเครื่องสนามอย่างครบสมบูรณ์ (เปลื้อง ณ นคร, ๒๕๐๕ : ๗ - ๘)
นอกจากนี้ ในกระบวนการแห่ยังมีการแสดงเพื่อจูงใจให้ราษฎรสมัครเข้ามาเป็นทหาร ด้วยการตกแต่งรถกรมเสมียนตราทหารบกเข้าร่วมขบวนแห่ด้วย โดยตกแต่งตอนน้ารถเป็นรูปคชสีห์ยืนแท่น และมีตัวหนังสืออยู่เบื้องหน้าว่า “ความพร้อมเพรียงเป็นผลสำเร็จความมุ่งหมายและชัยชนะ” (เปลื้อง ณ นคร, ๒๕๐๕ : ๑๕) ตอนกลางรถทำเป็นรูปเครื่องพิมพ์ดีด โดยซ่อนเปียโนไว้ภายใน มีผู้ทำหน้าที่เสมียนทำการดีดพิมพ์หนังสือ ๑ คน และสามารถเล่นเปียโนได้เมื่อทำการดีดพิมพ์จะมีเสียงดนตรีสร้างจุดเด่นให้กับขบวน และมีเสมียนช่วยหรือทำงานกระจุกระจิกอีก ๑ คน ทั้งสองคนนี้แต่งตัวเป็นทหาร (เปลื้อง ณ นคร, ๒๕๐๕ : ๑๕)
การแสดงละครในขบวนแห่พระยายืนชิงช้า
มีกรมสัสดีส่งบวนรถเข้าขบวนแห่พระยายืนชิงช้าในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ขบวนรถของกรมสัสดีนี้จะมีการละเล่นเพื่อสร้างความสนุกสนานในขบวนแห่ คือทำเป็นละครสั้น ๆ ประกอบดนตรีในเรื่องการรับสมัครทหาร เป็นการประชาสัมพันธ์ให้เข้ารับราชการทหาร ในสมัยนั้นระบบการเกณฑ์ไพร่พลได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ผู้ชายใดที่จะไม่เข้ารับราชการจะต้องเสียเงินที่เรียกว่าค่า ราชการ ผู้ชายไทยในสมัยนั้น นิยมเสียเงินข้าราชการเพระจะได้เอาเวลาไปประกอบอาชีพส่วนตัว เพาระเศรษฐกิจของบประเทศในสมัยนั้นเป็นแบบเพื่อค้าขาย ทหารจึงทีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับสมัยที่ยังใช้ระบบการเกณฑ์ไพร่พล กล่าวคือ
ขบวนรถของกรมสัสดีนั้นจะมีสมุดจำลองขนาดใหญ่คนสามารถเข้าไปได้วางกลางรถ ที่ปกสมุดนั้นจะเขียนหนังสือตัวใหญ่ว่า ทะเบียนทหาร มีขีดรับ ต่อลงมาเขียนตัวย่อมลงหน่อยว่า ผู้ที่เข้าทะเบียนเป็นทหารแล้วจะได้รับความอบรมให้มีกำลังแข็งแรงและมีความรู้ดีขึ้น ทางตอนหน้าของรถ มีทหารแสดงเป็นพนักงานทะเบียน ๑ นาย ให้แต่งตัวเป็นทหารชั้นนายสิบสัสดี และทหารอีก ๑ นาย โดยเลือกคนที่ตัวเล็กอ่อนแอ ให้แสดงเป็นผลเรือน นุ่งผ้าใส่เสื้อชั้นใน ในตอนท้ายของรถ มีทหารขลุ่ย ๑ นาย ทหารกลอง ๑ นาย คอยบรรเลงดนตรี และมีพลทหารหน้าตาดีอีกหนึ่งนาย วิธีการแสดงคือ เริ่มแรก นักดนตรีจะบรรเลงเพลง เมื่อเพลงจบลง ผู้แสดงจะพูดไปตามบทสนทนาที่เตรียมไว้ พนักงานทะเบียนจะถามผู้อาสาสมัครทหารว่า :-
จ. ( เจ้าพนักงานทะเบียน) แกจะมาอาสาเป็นทหารหรือ
อ. (ผู้อาสา) ฉันมาอาสาแต่ปีก่อนนี้แล้ว คนเต็มอัตราเสีย เข้าไม่ได้ ปีนี้ ขออาสาอีก
จ. ฉันมีความยินดีมาก เป็นหน้าที่ผู้ชายทุกคน ที่สมควรจะต้องศึกษาวิชาทหาร เตรียมตัวไว้ สำหรับเมื่อมี ข้าศึกศตรูจะทำร้ายเรา จะได้ช่วยกันปราบปรามเสีย ให้บ้านเมืองและครอบครัวของเราเองปราศจากอันตราย
การที่เป็นทหารนั้น ได้ประโยชน์สำหรับตัวด้วย ที่ได้รับความฝึกหัดสั่งสอนให้ผู้มีกลังแข็งแรง และมีความรู้ดีขึ้น การฝึกหัดสั่งสอนก็เพียง ๒ ปีเท่านั้น และยังได้พระทรงกรุณาโปรดเกล้า ฯ มิต้องให้เสียเงินค่าราชการด้วยจนตลอดชีพ
เชิญเข้าไปทางนี้ซิ (ชี้ไปที่สมุด ผู้อาสาเข้าไปในสมุดไปยืนพักอยู่เสียข้างล่าง และในขณะเมื่อพูดกันอยู่นั้น พลทหารบก [ที่หน้าตาดี รูปร่างดี : ผู้เขียน] ต้องเข้าไปเตรียมอยู่ที่บันไดในสมุด พอคนอาสาเข้าไปในสมุด พลทหารบกก็ขึ้นบันไดไปโผล่ขึ้นบนสมุด ยืนท่าตรงชูป้ายขึ้น ให้ทางหนังสืออยู่ริมถนน)
แล้วเจ้าพนักงานทะเบียนร้องบอกแก่คนทั้งหลายว่า เชิญท่านทั้งหลายสังเกตดู (ชี้ไปที่พลทหาร) ผู้ที่เข้าเป็นทหารแล้ว ย่อมมีท่าทางท่วงทีที่แข็งแรงเฉียบแหลมขึ้นกว่าแต่ก่อน
เมื่อสิ้นคำแล้ว ขลุ่ย กลองทำเพลง พลทหารกลับลงมาในสมุด และทั้งผู้อาสาด้วยออกมาพักอยู่ข้างนอกได้ แต่ป้ายนั้นต้องเอาไว้ในสมุด เมื่อขลุยกลองหยุดเพลงแล้ว ก็ตั้งตนเล่นไปใหม่อย่างที่แล้วมา คือเล่นสลับกันไปกับขลุย กลอง
ในป้ายที่พลทหารชูนั้น ให้มีหนังสือทั้งสองข้างว่า “ฉันต้องเล่าเรียนและฝึกหัดมาก แต่มีความสุขสบายดี” (เปลื้อง ณ นคร, ๒๕๐๕ : ๑๖ - ๑๗)
กล่าวได้ว่าขบวนแห่พระยายืนชิงช้ามิได้เป็นเพียงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ขบวนแห่พระยายืนชิงช้าได้กลายเป็นงานมหกรรมที่ยิ่งใหญ่ และการแสดงออกถึงแสนยานุภาพตลอดจนเรื่องราวที่พระมหากษัตริย์ทรงให้ความสำคัญอันเกี่ยวข้องกับกิจการบ้านเมือง โดยทรงสื่อสารไปยังมหาชนด้วยการจัดขบวนแห่พระยายืนชิงช้า ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นการสะท้อนสภาวการณ์ของบ้านเมืองด้วย
วาทิน ศานติ์ สันติ : เรียบเรียง
หนังสืออ้างอิง
เปลื้อง ณ นคร. “พระยายืนชิงช้า พ.ศ. ๒๔๖๐.” พิมพ์ในการพระราชทานเพลิงศพ พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) ณ เมรุพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส. ๒๕๐๕.
ท.กล้วยไม้ ณ อยุธยา, ศาสตราจารย์พิเศษ. ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ. เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า. ไม่ปรากฏครั้งที่พิมพ์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์อัมรินทร์. ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์.
ไมเคิล ไรท์. “พระราชพิธีตรียัมปวาย โล้ชิงช้า ซับซ้อนเกินกว่าที่ใคร ๆ คิด.” ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๑๑ (กันยายน ๒๕๓๖) : ๑๖๒ – ๑๗๑.
ไม่มีความเห็น