๗. ฝากไว้ ในหัวใจ "ครู"
จากประสบการณ์ยาวนานเกือบ ๒๕ ปีของการเป็นครูในโรงเรียนมัธยม ช่วยสอนช่วยฝึกนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ ประมาณ ๒๗ โรงเรียน ช่วยร่างหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ๓ ครั้ง เป็นอาจารย์พิเศษระดับอุดมศึกษา ๑๔ ปี ผู้ประเมินคุณภาพการศึกษา(ภายนอก) ๗ ปี และวิทยากรบรรยายกว่า ๒๐ ปี เป็นที่ปรึกษาโรงเรียน (ทางการและไม่เป็นทางการ) นับไม่ถ้วน ขอยืนยันว่า "ครู" คือ ผู้ทำให้เกิดปัญหาการเรียนการสอนที่ไม่มีคุณภาพ และการจัดการศึกษาล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพ เพราะ "คนที่มีอาชีพครู" มากที่สุด
แต่...คนที่ต้องรับผิดชอบ เป็นตัวการสร้าง "สาเหตุ" ทำให้ "ครู" มีปัญหา ไร้คุณภาพ คือ "ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา" เพราะไม่ยอมเป็นพี่เลี้ยงครู ช่วยเหลือให้ครูมีความรู้ความสามารถที่แท้จริงให้มากยิ่งขึ้น แถมยังไม่สามารถกำกับ ควบคุม ติดตาม นิเทศ ประเมินผลให้ครูทำงานตามหลักสูตรและตัวชี้วัดการจัดการเรียนรู้อย่างจริงจัง แล้วเพื่อนครู จะเป็นครูที่เก่ง และเป็นครูที่แท้จริงได้เร็ววันได้อย่างไร แถมดีไม่ดี บุคคลเหล่านี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เพื่อนครูท้อแท้ อยากเลิกเป็น "ครู" ไปก็มี (เพื่อนครูอยากอ่านละเอียด ลองอ่าน "ตัวการ" ที่ีทำให้การศึกษาไทยล้มเหลว และไร้ประสิทธิภาพดูสิครับ จะร้องอื้อฮือแน่เลยครับ https://www.gotoknow.org/posts/491163)
.
ผมจึงขอสรุป เพื่อเสนอแนะต่อเพื่อนครู ที่จะก้าวสู่การเป็น "ครู" ที่มีคุณภาพ และทำงานอย่างมีความสุข ความภาคภูมิใจตลอดชีวิต โดยไม่ต้องไปหวังพึ่งระบบการบริหาร หรือตัวผู้บริหารสถานศึกษา หรือผู้บริหารการศึกษาในระดับต่างๆ ให้เสียความรู้สึกที่จะเป็น "ครู" ที่แท้จริงต่อไปอีกเลย ๖ ประการ ดังนี้
.
ประการที่ ๑ ต้องมองโลกตามความเป็นจริง (Assertive) คือเห็นเด็กเป็นเด็ก ไม่ใช่ผู้ใหญ่ในร่างเด็กตัวเล็ก ไม่คาดหวังว่าเขาจะรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีความรับผิดชอบเท่ากับผู้ใหญ่ที่เจริญเติบโตทางสติปัญญาแล้ว (ผู้ใหญ่สมัยนี้ส่วนมาก จิตใจอารมณ์ยังเหมือนเด็กน้อยๆอยู่เลย) และเด็กเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่รอเรามาช่วยพัฒนาศักยภาพ ไม่ควรมีการชี้ถูก ชี้ผิด กับเด็กแบบตายตัว แต่ควรให้รู้ว่าถูก ผิด ควร ไม่ควร ขึ้นอยู่กับเป้าหมายชีวิตที่เขาเลือกเดิน หรือให้รู้ว่าทุกอย่างจริงๆ ตัดสินกันที่กาลเทศะบุคคล ไม่ใช่ระเบียบกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อความสะดวกของโรงเรียนและคณะครูเพียงส่วนเดียว
.
"ครู" ที่แท้จริง ไม่กลัวว่าสิ่งที่จะทำ หรือพัฒนาการเรียนรู้เป็นสิ่งผิด (เว้นแต่การไม่เข้าสอน) ไม่ต้องกลัวใคร(ผู้อวดรู้ดี)ในโรงเรียนให้มากเกิน ทั้งผู้บริหาร หรือหัวหน้างานทางฝ่ายวิชาการทุกระดับที่ชอบบังคับให้เราต้องสอนตามที่เคยทำๆกันมา เพราะกฎหมายทางการศึกษา เช่น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ หลักสูตรการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆของกระทรวงศึกษาธิการ ระเบียบการส่งผลงานเลื่อนวิทยฐานะครู ล้วนแต่ส่งเสริมเปิดโอกาสให้ "ครู" ที่แท้จริงคิดค้นหาวิธีการสอนที่ดีๆ ใหม่ๆ เพื่อนำมาพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพในจัดการศึกษาทั้งนั้น
.
"ครู" ที่แท้จริง ต้องกล้าคิด กล้าทดลอง กล้าเปลี่ยนแปลง การสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงจะเกิดขึ้น มิฉะนั้น เพื่อนครูก็จะได้วิธีการเดิม ๆ ที่ล้าหลัง และไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ทุกขณะ สิ่งที่เหมาะในอดีต อาจจะเป็นอุปสรรคและปัญหาในปัจจุบันก็ได้
ความเชื่อมั่น และความตั้งใจที่จะช่วยเหลือพัฒนาศักยภาพของเด็กอย่างจริงจัง จะช่วยให้ "ครู" ที่แท้จริง มีจินตนาการในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ หรือคิดสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ ๆเสมอ
.
ประการที่ ๒ ต้องสามารถจัดระบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย สอดคล้องกับธรรมชาติและศักยภาพผู้เรียน ดังนั้น การรู้จักวิเคราะห์ผู้เรียนจากข้อมูลต่างๆ จึงเป็นภารกิจสำคัญมากของ “ครู” ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็น การสอบถามสภาพปัญหาการเรียนที่ผ่านมา ทดสอบพื้นฐานความรู้ก่อนเรียน การทดสอบเพื่อหาสไตล์การเรียน (Style Learning) การทดสอบวัดสติปัญญา (IQ) การทดสอบทางอารมณ์ (EQ) การทดสอบวัดความถนัดทางอาชีพ หรือ อาจจะต้องทดสอบไปถึงบุคลิกภาพ-จิตใจก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะยิ่งรู้จักเด็กได้ละเอียดถี่ถ้วน ก็ยิ่งช่วยเหลือเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เด็กบางคนเรียนรู้บางเรื่องได้ด้วยตนเอง สามารถคิดวิเคราะห์ หรือจัดลำดับความคิดก็เข้าใจแล้ว เด็กบางคนจะเรียนรู้ได้ดีเมื่อทำพร้อมกับเพื่อน ๆ บางคนก็ชอบเรียนคนเดียว เด็กบางคนเรียนรู้ได้ดีจากสื่อ เด็กบางคนก็อาจต้องเรียนรู้จากการทำ เด็กบางคนอาจเรียนเข้าใจเร็ว เด็กบางคนอาจเข้าใจช้าๆ ดีไม่ดีเมื่อรู้จักพื้นฐานเด็ก อาจะต้องไปช่วยรื้อฟื้นความรู้ตั้งแต่เบื้องต้นก็ได้ครับ
.
ประการที่ ๓ ต้องสามารถจัดทำแผนการจัดการเรียนที่รู้ยืดหยุ่นได้ เผื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่ได้คิดไว้ เพราะนักเรียนของเราเป็นมนุษย์ไม่ใช่วัตถุที่ไร้ชีวิตชีวา การเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นได้เสมอ “แผนการเรียนที่ยืดหยุ่น” มีความหมายอีกทางหนึ่ง คือ โอกาสทางการเรียนรู้ ที่มาบรรจบกับความต้องการของผู้เรียน และสัมพันธ์กับผลลัพธ์หรือมาตรฐานการเรียนรู้ของสังคมได้ครับ
.
ประการที่ ๔ ต้องสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น กิจกรรมในการเรียนรู้น่าสนุก ตื่นเต้น ท้าทาย แปลกใหม่ กระตุ้นความสนใจ มีชีวิตชีวา มีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ และเกิดการแข่งขันกันเอง การทำแบบนี้ของครู จะช่วยลดข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจทำให้เด็กมีความทุกข์ในชั้นเรียน และมีทัศนะไม่ดีต่อการจัดการเรียนรู้ของครู การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเรียนปนเล่น (Play and Learn) นอกจากจะสนุก สร้างบรรยากาศที่ดีในห้องเรียนแล้ว ยังทำให้เกิดการผ่อนคลายแก่ทุกคน เด็ก ๆ จะอยากมาโรงเรียน ไม่หนีเรียน ยิ่งถ้าครูเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนสามารถเรียนรู้ได้จากการทำกิจกรรม หรืองานที่เขาต้องออกแบบวางแผนเอง ลงมือทำเอง แก้ปัญหาเอง สรุปทบทวนบทเรียนปัญหาเอง ก็ยิ่งทำให้เด็กๆ พัฒนาศักยภาพตัวเองได้สูงสุด หรือ อาจจะเกินวัยก็เป็นได้ ทำนองสร้าง “อัจฉริยภาพ”นั่นแหละครับ
.
และถ้า “ครู” พยายามหาสื่อ หรือจัดทำสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยสร้างสีสันความน่าสนใจ สามารถเป็นเครื่องผ่อนแรง ทำให้การเรียนรู้ง่าย คล่องตัว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น แบบฝึกหัดหรือใบงาน ซึ่งเป็นตัวแทนเป้าหมายขั้นตอนวิธีการสอนของครู ในการมอบหมายกิจกรรมการเรียนรู้แก่นักเรียน ต้องทำให้สวยงามมีสีสัน ดึงดูดความสนใจ มีกระบวนการขั้นตอนตามลำดับการเรียนรู้ อย่าสักแต่ทำให้เสร็จมันจะกลายเป็น “ใบรำคาญ” ของนักเรียน
.
การมอบการบ้าน "ครู" จริงๆ จะพยายามยืดหยุ่นให้เด็กทำได้เต็มตามศักยภาพ แต่ไม่มากจนเป็นภาระหนักเกินวัยเด็ก ถ้าครูสามารถทำให้การบ้านวิชาต่างๆ บูรณาการกับวิชาอื่น ๆ ได้ ก็ยิ่งดีใหญ่ หรือคณะครูควรตกลงกันทั้งโรงเรียนเรื่องการบ้านของนักเรียนให้ชัดเจน โรงเรียนที่ผมเคยรับผิดชอบบริหารจัดการ ระดับประถมศึกษา ผมจะให้วิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษมีการบ้านทุกวัน วิชาภาษาไทยให้มีการบ้านสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง วิชาวิทยาศาสตร์ให้มีการบ้าน ๒ สัปดาห์ครั้ง ส่วนวิชาอื่นๆผมให้มีการบ้านได้เพียงเดือนละ ๑ ครั้ง ส่วนในระดับมัธยม ผมให้วิชาวิทยาศาสตร์สั่งการบ้านเพิ่มได้ทุกสัปดาห์ ซึ่งวิธีนี้จะลดภาระงานของเด็กลงได้มาก ไม่เดือดร้อนผู้ปกครองมากนักที่ต้องมาช่วยลูกหลานทำงานส่งครู โดยเฉพาะวิชาการงานฯ และศิลปะ (ที่ให้ภาษาไทยสัปดาห์ละครั้ง เพราะวิชาภาษาไทยมีเรียนสัปดาห์ละ ๖ ชั่วโมง ทุกชั่วโมงมีการเรียนรู้ตามทักษะทางภาษา และชั่วโมงสุดท้ายให้มีการทดสอบหน่วยนั้นๆทันที การบ้านวิชาภาษาไทย คือให้ไปอ่านหนังสือในวันเสาร์อาทิตย์ เรื่องอะไรก็ได้ แล้วสรุปย่อส่งครูในวันจันทร์ วิธีนี้ทำให้นักเรียนมีความสามารถทางภาษาเพิ่มขึ้น และยังส่งเสริมการอ่านตามโครงการนโยบายกระทรวงอีกทางหนึ่ง)
.
ประการที่ ๕ ต้องทำให้การเรียนรู้...เกิดจากใจที่เมตตา...หวังดีและปรารถนาดี..... นั่นคือการใช้ความรัก ความเข้าใจ ความเมตตา เป็นพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน การสอนด้วยความรักและเมตตา จะเป็นรากฐานที่สำคัญยิ่งของการศึกษาที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ "ครู" ที่แท้จริงจะปฏิบัติ ดังนี้
๕.๑ เอาใจใส่ไต่ถามห่วงใยต่อนักเรียนเสมอทุกวัน ทั้งในและนอกห้องเรียน หรือนอกโรงเรียนยิ่งดี
๕.๒ ยอมรับจนเชื่อมั่นว่านักเรียนแต่ละคน คือคนที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้ และเป็นคนใฝ่ดี
๕.๓ ให้ความสนใจอย่างจริงจังกับปัญหา และคำถามของนักเรียน
๕.๔ ยอมรับความเป็นคน และความแตกต่างของนักเรียน
๕.๕ ให้เสรีภาพในการตัดสินใจเลือกเองในการทำกิจกรรมอย่างมีเหตุผล
๕.๖ ไม่ควรสรุปว่า นักเรียนเป็นคนไม่ดี (เลว) ไม่มีความสามารถ (โง่) ไม่น่าคบ (ขี้เกียจ) และไม่น่ารัก (เหลวไหล)
.
ประการที่ ๖ ผมขอเรียนว่า "ครู" ไม่ว่าจะเป็นระดับไหน ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนทั้งโรงเรียนให้สำเร็จโดยตัวคนเดียวได้ ถ้าพอเห็นว่าทั้งโรงเรียนคิดอย่างเดียวกัน มีเอกภาพทั้งเป้าหมายและวิธีการเหมือนกัน ก็ลงมือเลย ผมถือว่าเพื่อนครู โชคดีมากที่เจอโรงเรียนในฝันอย่างนี้ แต่ถ้าพูดก็แล้ว นำเสนอก็แล้ว ชักชวนแล้ว มีคนทำบ้าง ก็อย่าท้อใจ แอบลงมือทำตามความต้องการเลยครับ ไม่ช้าผลดีก็จะเห็นเป็นที่ประจักษ์เอง ดูอย่างคุณครูชาตรี สำราญ กว่าทั้งโรงเรียนจะเห็นด้วยใช้เวลานานมาก แต่อย่าหาเรื่องทุกข์ใส่ตัว ด้วยการไปคาดหวังให้ครูทั้งหมดทำตามเลยครับ เพราะผมก็เคยมีประสบการณ์อย่างนี้มาแล้ว ทุกข์ตลอด เครียดตลอด ตอนนี้ทำใจได้แล้วครับ
.
ในชีวิตครูของผม ผมเจอคนที่มา “ประกอบอาชีพครู” หลายประเภท เช่น
แย่ที่สุด คือ ขยะยถากรรม พวกนี้มีอาชีพมาทำงานในโรงเรียน พวกนี้จะมาแต่ร่างกาย ลืมเอาจิตวิญญาณความรักเพื่อนมนุษย์มาด้วย การเรียนของนักเรียนจึงเป็นไปตามยถากรรม จึงต้องทำใจปลงว่า คงเพราะวิบากกรรมที่ชาวบ้าน และนักเรียนสร้างมาในทางที่ไม่ดี จึงทำให้มาเจอคนประเภทนี้มาบรรจุที่โรงเรียนชุมชนของเด็กแห่งนี้ “ปลงซะเถอะ แม่จำเนียร”
.
แย่มาก คือ ผู้คุม พัสดีเรือนจำ พวกนี้ชอบเห็นเด็กเป็นเทวดาแต่กำเนิด ต้องไม่ทำความผิดอะไรเลย ถ้าผิดหรือพลาดขึ้นมา จะถือเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดคอขาดบาดตายได้ จึงดีแต่คอยบ่น คอยด่า คอยเข้มงวด กวดขัน คอยจับผิดไม่วางตา (แต่พวกที่เรียกตัวเองว่า “ครู” ก็แอบทำความชั่วร้ายไม่ใช่น้อยทีเดียว)
.
ปานกลาง คือ พี่อ่านหนังสือ พวกนี้ชอบอธิบายความรู้ตามหนังสือเรียน บางทีก็ไม่จำเป็น ตลอดชีวิตที่ผมเป็นครูมา เห็นพวกนี้มากที่สุด ทุกวันนี้เวลาไปตรวจเยี่ยมโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาอื่นๆ ก็ยังเห็นทำกันเป็นกิจวัตรประจำวัน (พวกนี้ไม่ยอมเข้าใจ และรับรู้ว่าหนังสือแบบเรียน คือ สื่อ ไม่ใช่หลักสูตร) ผมถือว่าพวกนี้เสมือนหนึ่ง รุ่นพี่สอนรุ่นน้องเท่านั้น (บางทีรุ่นพี่ยังอธิบาย ดีกว่าผู้ที่เรียกตัวเองว่าครูก็มีไม่ใช่น้อย)
.
ดีพอใช้ คือ อาจารย์ผู้สอน พวกนี้ชอบอธิบายแนะนำให้เห็นชัดเจน มีการยกตัวอย่างประกอบ หรือทำให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่ก็ยังสอนอธิบายตามหนังสือแบบเรียนอยู่ และที่ดี คือ คอยเคี่ยวเข็ญให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมอย่างจริงจัง จนกว่านักเรียนจะรู้จริงหรือทำได้
.
ดีมาก คือ ครูผู้ฝึกพวกนี้มักคิดว่าการสอนที่ดีต้องให้นักเรียนได้ลงมือฝึกฝนปฏิบัติตามหลักการ และขั้นตอนของการเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ มีเทคนิควิธีการสอนที่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ (จิตวิทยา) ผมยกย่องครูเหล่านี้ และผมใฝ่ฝันอยากเห็นผู้ที่รับอาสามาฝึกคนมีทัศนคติและการกระทำอย่างนี้ แต่...หายาก
.
ดีที่สุด คือ ครูผู้จัดการเรียนรู้ ครูพวกนี้ไม่ค่อยสอน ค่อยอธิบาย ชอบทำอยู่ ๓ อย่าง คือ
๑. ชอบมอบหมายงาน หรือกิจกรรมให้นักเรียน โดยงานหรือกิจกรรมนั้นมีเงื่อนไขและเป้าหมายผลลัพธ์ที่ชัดเจน และเป็นไปตามตัวชี้วัด และแผนที่วางไว้
๒. ขยันตรวจสอบ เยี่ยมเยือนระหว่างการทำกิจกรรม คอยซักไซ้ไล่เรียงการทำกิจกรรมทุกขั้นตอน ถ้านักเรียนทำไม่ได้ หรือตอบไม่ได้ ก็จะให้นักเรียนไปพิจารณาหาสาเหตุที่มาจนกว่าแก้ไขได้
๓. ตัดสินผลการประเมินจากผลงานที่ทำจริงๆ ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ก็จะไม่ให้ผ่าน ให้กลับไปแก้ไขจนกว่าจะถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้
ส่วนมาก.....ครูพวกนี้ต้องแอบทำไม่ให้ฝ่ายวิชาการ หรือฝ่ายบริหารรู้ เพราะมักจะถูกห้ามทำ หรือถ้าขืนทำก็จะถูกสกัดกั้นไม่ให้ทำ ด้วยการอ้างว่าไม่มีโรงเรียนไหนทำอย่างนี้ หรืออ้างระเบียบอะไรก็ไม่รู้ แล้วแต่จะนึกได้ บางทีก็ห้ามด้วยการพูดว่า “ผม-ฉันเป็นผู้อำนวยการนะ” ครูเหล่านี้ ถ้ายังใจสู้ ก็ต้องพยายามสร้างชื่อเสียงในระดับที่สูงขึ้น เช่น ระดับจังหวัด ระดับชาติ ก่อน จึงพอจะมีบารมีที่ทำให้ครู-ผู้บริหารเกรงใจบ้าง เมื่อทำได้ ก็มักต้องควักกระเป๋าตัวเอง มาทำสื่อต่างๆ เอง บางทีก็หาทุนมาจากคนที่เห็นด้วยมาให้นักเรียนได้ลงมือทำกิจกรรม เพราะจะหาผู้บริหารโรงเรียน หรือผู้บริหารระดับต่างๆ มาสนับสนุนนั้นเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะยิ่งระดับประเทศคงต้องงมเข็มในมหาสมุทร (ส่วนสหรัฐอเมริกามีแล้วมากมาย แต่ที่ดังมาก คือ ครูเรฟ ผู้ที่สนใจลองหาหนังสือ "ครูนอกกรอบ ห้องเรียนนอกแบบ" มีการแปลและจัดพิมพ์เผยแพร่โดย สสค.) แต่แปลกนะครับ พอผลงานที่ครูพวกนี้แอบทำ ประสบผลสำเร็จ มีชื่อเสียงแพร่หลาย พวกครูหรือผู้บริหารที่สั่งห้าม กลับแอบอ้างว่าตัวเองมีส่วนร่วมในการทำงานนี้ด้วยทั้งนั้น
.
ผมหวังว่า ครูผู้จัดการเรียนรู้คงงอกเงย ผลิดอกออกใบมากขึ้นในสังคมไทย และผมหวังว่าเมื่อมีครูผู้จัดการเรียนรู้เกิดขึ้น สังคมไทยจะเป็นสังคมที่ใช้เหตุผล จากหลักการ แนวคิดตามหลักสัจธรรมของธรรมชาติมาใช้ในการดำเนินชีวิต ไม่ใช่ใช้แต่เหตุผลจากความรู้สึก อารมณ์ชอบไม่ชอบของตัวเอง
.
ดังเช่นคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยยุคปัจจุบัน ที่อยู่ดีๆ ก็แบ่งชนชั้น ดูถูกประชาชน มี ๒ มาตรฐาน พวกตัวเองทำผิด สารพัดผิดไม่เป็นไร ถ้าอีกพวกหนึ่งทำเหมือนกันบ้าง ต้องผิด ต้องเลว ต้องจับติดคุก ต้องฆ่าฟันให้ตายหมด
.
เฮ้อ! สงสารสังคมไทย ที่บรรพบุรุษอุตส่าห์ใช้พระพุทธศาสนากล่อมเกลาจิตใจคนในชาติ จนกลายเป็นคนที่มีจิตใจไม่เห็นแก่ตัว ยอมรับความจริง ไม่หลงตัวตน มีเมตตากรุณารักคนทั้งโลก จึงทำให้ชาติไทย คนไทยในอดีตโดดเด่นเรื่อง "จิตใจ" ซึ่งปรากฏบนใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้ม จริงใจไม่เสแสร้ง เห็นคนทุกชาติในโลกเป็นคนเสมอ
.
แต่...ปัจจุบันสังคมไทยกลายเป็นสังคมที่มีแต่ความเกลียดชัง โกรธแค้น ผูกอาฆาตมาดร้าย ฟุ่มเฟือย ทำตัวเหลวไหล คลี่งไคล้อบายมุขมากขึ้น เห็นบางชาติ บางคนเป็นเทวดา และเอาแต่กล่อมเกลาความคิดให้คนในชาติอยากได้แต่คนดีมาปกครองประเทศ เรียกร้องใฝ่หาอยากได้คนดีมาเป็นพ่อ แม่ พี่น้อง ครู เพื่อน คู่ครอง ยกตัวเองเป็นคนดี แต่เวลาทำผิดก็ไม่รับผิด อ้างเหตุผลข้างๆคูๆ ทำนองฉันเป็นคนดี แล้วไม่มีวันทำผิด เพราะฉันมีเหตุผลที่ดี เหตุผลที่จำเป็นจึงต้องทำเช่นนั้น
.
พวกคนดี(อ้างเอาเอง)เหล่านี้ คิดว่าคนอื่นต้องดีต่อฉัน แต่ฉันไม่จำเป็นต้องทำดีต่อคนอื่น เพราะฉัน คือ "คนดี" (เหมือนพวกที่ดีแต่วิ่งหารักแท้ แต่หาไม่ได้ก็โวยวาย หาว่าไม่มีใครรักฉันจริง เพราะเข้าใจว่า “รักแท้” คือคนที่มารักตนเอง ต้องตามใจตนเอง ไม่ขัดใจตนเอง เช่น เด็กๆทุกวันนี้ พอขัดใจหน่อย ดุ ตำหนินิดหน่อย แกบอกว่าพ่อแม่ไม่รักแกแล้ว)
.
ในทัศนะผม เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่ และสังคมไทยต้องได้รับบทเรียนที่เจ็บปวดจาก "คนดี" ที่เสแสร้ง สร้างภาพอีกนาน เพราะคนไทยสังคมไทย ถูกสั่งสอน ปลูกฝังให้ยึดติดกับเรื่องคนดี ๓ เรื่อง ด้วยกัน
เรื่องที่ ๑ การแสวงหาคนดีสมบูรณ์แบบ ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในโลกความจริง
เรื่องที่ ๒ อยากให้คนดีคนนั้น เป็นคนดีตลอดไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เรื่องที่ ๓ อยากให้ทุกคนเป็นดี โดยใช้กลยุทธ์ วิธีการแบบง่ายๆ เช่น สอน ว่า ชี้แนะ บ่นก็พอ ถ้าไม่มีใครเปลี่ยนตาม ก็กล่าวหาว่าคนๆนั้น ไม่มีจิตสำนึกที่ดี (แบบเดียวกับที่พวกครูทำกันหน้าเสาธงทุกวันนี่แหละ) ไม่ต้องไปฝึกฝนควบคุมจิตใจ หรือมีกระบวนการพัฒนาเป็นคนดีอย่างจริงให้วุ่นวายทำไมล่ะ
.
อย่างนี้แล้วสังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเรื่อง "คนดี" เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด นี่ยังดีว่า สังคมไทยยังมีหลวงปู่หลวงพ่อสายปฏิบัติออกมาอบรมสั่งสอนชี้แนะทางที่ถูก ให้ละคลายอัตตาลงบ้าง ปัญหาเมืองไทยจึงไม่มากและยาวนานเหมือนบางประเทศ แต่ต่อไป คงหาไม่ได้แล้ว เพราะพระแบบนี้หายากขึ้นทุกที มีแต่นักบวชที่สอนแต่เรื่อง "คนดี" กับ "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" เต็มไปหมดทั้งประเทศ แถมผู้นำประเทศก็ไม่ส่งเสริมพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ส่งเสริมแต่ลัทธิศาสนาอื่นให้มีอิทธิพลในสังคมไทยมากขึ้น
.
ได้แต่อุทานว่า “เฮ้อ” เวรกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ กับสังคมไทย เท่านั้นแหละครับ
ครูเรฟ "ครูนอกกรอบ ห้องเรียนนอกแบบ" เป็นครูที่ดิฉันประทับใจและได้นำหลักการมาปรับใช้ในชั้นเรียนมีความสุขมาก และชอบวิธีคิดของอาจารย์มาก จะติดตามบทความดีๆและนำมาใช้ตามบริบทของตนเองและเด็กๆค่ะ