“มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ” เราได้ยินคำกล่าวนี้มาจนเคยชิน แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า คำกล่าวนี้มีความถูกต้องเพียงครึ่งเดียว ที่ถูกนั้นควรจะกล่าวเสียใหม่ว่า “มนุษย์ที่ได้รับการฝึกแล้วเป็นสัตว์ประเสริฐ” ทั้งนี้ กล่าวตามนัยแห่งพระพุทธพจน์ที่ว่า “ทนฺโต เส ฏฺโฐ มนุสฺเสสุ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ฝึกตนแล้วเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่มนุษย์” หรือพระพุทธพจน์อีกแห่งหนึ่งที่ว่า “วิชฺชาจรณสมฺปนฺโณ โส เสฏฺโฐ เทวมานุเส” แปลว่า ผู้ที่ถึงพร้อมด้วยวิชชา (ความรู้แจ้ง) และจรณะ (ความประพฤติดีงาม) เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา”
หากสังเกตพระพุทธพจน์ที่ยกมาทั้งสองข้อความให้ดี ก็จะพบว่า ที่เราเชื่อกันมาว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ” นั้น ไม่ใช่จู่ๆ เกิดมาแล้วประเสริฐกันเลยทีเดียว แต่มนุษย์จะเป็นสัตว์ประเสริฐได้ย่อมขึ้นอยู่กับ “เงื่อนไข” คือ การที่มนุษย์นั้นๆ ได้ผ่านกระบวนการ “ฝึก/ศึกษา” มาแล้วเป็นอย่างดีต่างหาก
มนุษย์ที่ยังไม่ได้รับการฝึกการศึกษา จึงยังกล่าวไม่ได้เต็มปากนักว่า เป็นสัตว์ประเสริฐที่แท้จริง ต่อเมื่อใดก็ตาม ได้ผ่านการฝึกการศึกษามาเป็นอย่างดีแล้ว เมื่อนั้นแหละจึงจะกล่าวได้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐอย่างเต็มภาคภูมิ
ในกระบวนการฝึกการศึกษาเพื่อให้คนยกสถานภาพ เป็นมนุษย์ผู้เป็นสัตว์ประเสริฐนั้น มีปัจจัยที่จะเอื้อให้การฝึกดังกล่าวนั้นประสบความสำเร็จอยู่ ๒ ปัจจัยด้วยกัน
หนึ่ง คือ กัลยาณมิตร
สอง คือ วิธีคิดที่ถูกต้อง (โยนิโสมนสิการ)
ปัจจัยเอื้อให้คนเป็นสัตว์ประเสริฐนี้ทั้งสองประการนี้ พระพุทธองค์ทรงอุปมาว่าเป็นดัง “แสงเงินแสงทองของชีวิต” ซึ่งเป็นเหมือน “บุพนิมิตของชีวิตดีงาม” ใครก็ตามที่มีทั้งกัลยาณมิตรและมีวีคิดที่ถูกต้องก็เท่ากับว่า เขาคนนั้นมีหลักประกันของชีวิตที่ดีงามแล้ว
อนึ่ง ควรกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยว่า สำหรับผู้ที่เพียรแสวงหากัลยาณมิตรนั้น ไม่ควรมัวแต่แสวงหากัลยาณมิตรจากภายนอกเพียงอย่างเดียว เพราะตัวของเรานั้นเอง ก็สามารถเป็นกัลยาณมิตรภายในที่ดีเยี่ยมของตัวเราเองได้เหมือนกัน แต่จะเป็นได้อย่างไร มากน้อยเพียงไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่า กำลังแห่งสติปัญญาของเรานั้นมีอยู่มากน้อยเพียงใดด้วยเช่นกัน
จากหนังสือ : อัญญมณีแห่งชีวิต
โดย : ท่านว.วชิรเมธี
จะลองหามาอ่านครับ.. ขอบคุณมาก