บันทึกการเดินทาง ตอน ในห้วงแห่งความเวิ้งว้างและทางตัน
เส้นทางชีวิตการทำงานตลอดมาข้าพเจ้าพร่ำบอกพี่น้องเครือข่ายให้เชื่อในการทำดี แม้จะไม่มีใครเห็น แม้จะไม่มีใครเชื่อว่าเราทำดีเพื่อลูกเพื่อหลานเพื่อบ้านของเราเอง เพราะการทำงานของข้าพเจ้ากับพี่น้องเครือข่ายคือการต่อสู้ที่ไม่ค่อยมีประชาชนคนใดใคร่อยากจะเข้ามามีส่วนหนักหรอก ด้วยเรื่องยาเสพติดเป็นปัญหาเชิงทับซ้อนทั้งผลประโยชน์ การเมือง อิทธิพล แล้วประชาชนใดเหล่าจะกล้ากับเรื่องเหล่านี้ แต่พวกเขากล้าด้วยความเชื่อบนฐานคิด ทำเพื่อลูกหลานของตัวเอง แม้นจะมีอันตรายก็ตาม
การเดินงานย่างเข้าสู่ปีที่ 10 ก็ต้องพบกับคำว่า “ทางตัน” กับแนวคิดของการเคลื่อนที่ขาดแรงหนุนอย่างที่ภาคประชาชนทำ ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบได้ การทำงานที่ต้องยึดศูนย์กลางคือประชาชน ชุมชน ให้เป็นเจ้าของปัญหา เจ้าของเรื่อง สู่คนปฏิบัติ ซึ่งการยึดชุมชนและประชาชนเป็นศูนย์กลางเป็นสิ่งที่นโยบายของนักการเมืองทุกยุคทุกสมัยต้องเอ่ยอ้างในการหาเสียง และจะกำหนดเป็นวาระแห่งชาติตลอดมา แต่ประชาชนและเสียงของเขาจะมีความสำคัญเพียงวันเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็หายไปกับสายลมที่พัดผ่าน....ไป
หากจะให้นิยามการเคลื่อนงานของภาคประชาชนว่า การขายหรือทำความเชื่อให้เป็นจริงก็ได้ แล้วการเคลื่อนงานของภาคประชาชนกับการขายความคิด ความเชื่อแบบนี้ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เพราะหากเราย้อนไปดูข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงไหนก็ตามแต่ ในการกำหนดนโยบายสู่การปฎิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ นั้น ล้วนแล้วแต่หนีไม่พ้นตัวเลข ตัวเลข และตัวเลขที่ไม่ได้มองถึงวิธีการ กระบวนการ ว่าตัวเลขนั้นมันแก้ไขปัญหาหรือลดปัญหาได้จริงไหม
วันก่อนมีโอกาสพูดคุยกับนายธนาคารระดับบริหารคนหนึ่ง ท่านบอกว่า ก่อนหน้านี้ตัวเองลำบากมากกับการปรับตัวในการทำงานที่ถูกแทรกแซงจากการเมือง นโยบายที่เข้ามาควบคุมเพื่อให้ได้ตัวเลขตามที่พวกเขากำหนด เมื่อผู้ปฎิบัติแจ้งไปตามความเป็นจริงสิ่งที่สะท้อนกลับมาคือต้องให้ได้เท่าที่กำหนด ผลสุดท้ายนักบริหารท่านนี้ต้องโกหกไปด้วยความรู้สึกละอายกับตัวเลขที่แจ้งไป แต่เขาก็ต้องทำ เขาบอกต่อว่า ก่อนหน้านี้ทำอย่างไรก็เสนองานหรือโครงการอะไรไม่เคยผ่านด้วยความเถรตรง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วครับ...
และหลายวันก่อนมีโอกาสได้ฟังวลีหนึ่งของอุสมาน ลูกหยี ที่มาพูดคุยในหัวข้อ รัฐไทยในอนาคต จัดโดยนักศึกษาแม่โจ้ที่เรียนในศูนย์อำเภอหาดใหญ่ ได้บอกว่า “นักการเมืองพูดแต่วิธีการ นักวิชาการพูดแต่กระบวนการ นักปฎิบัติพูดปัญหา 3 วงนี้ไม่เคยมานั่งคุยพร้อมกันสักที” ฟังแล้วรู้สึกว่า อืม...มันก็จริงเนาะ ถึงแม้หลายครั้งหลายคนพยายามที่จะให้ทั้งสามส่วนมาพูดคุยกันแต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักที อาจจะพอสรุปได้ว่าในประเทศนี้มีคนรักประเทศเยอะมาก ซึ่งความรักแต่ละคนก็แสดงออกต่างกันไปตามสถานะและจุดที่เขายืน ล้วนแสดงความรักที่จะทำให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าทั้งนั้น เมื่อแรงผลักมากขนาดนี้แล้วทำไมประเทศไทยยังไปไม่พ้นวนของผลประโยชน์สักที
ตอนนี้ฉันเชื่อเหลือเกินว่า อาจจะคิดอะไรไม่ออก แต่ในที่สุดสิ่งดี ๆ จะกลับมาหาประเทศ และคนที่ทำดี แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันกับคำว่า “คนดี ทำดี” มันจะใช่แนวคิดนี้กับคนชุดนี้หรือจะเป็นเส้นทางของภาคประชาชนหรือไม่..ยังไงก็สู้ต่อไปเพื่อลูกหลานของเราเอง
"ฟังเสียงเหมือนจะท้อและทดถอย
สาวน้อยน้องรัก ส ศรัณ
ภาคประชาชน จน..จน..จนทุกวัน
แต่โหมหรางนั้น วันเป็นหมื่นเขาขายกัน
ปากพะยูนหนักแล้วน้องสาวเหอ
นายอำเภอมาประชุมให้พวกฉัน
ช่วยกันให้รายชื่อแก่นายท่าน
จะสั่งการลงมาปราบให้ราบเตียน........(เชื่อม้ายน้อง)
บังเห้อ..น้องเชื่อค่ะ
เสียงไม่ได้บอกว่าท้อ แต่ขอถอยสักก้าวเพื่อกระโดดผ่านความเหนื่อยล้า
เติมพลังให้ตัวเองสักพัก...เพราะโลกใบนี้ึคิดแล้วไม่ใช่ของเราเพียงคนเดียว
ขอสงบจิตสงบใจสร้างกำลังใจให้ตัวเอง...อิอิ
เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ทุกเดือนแต่ไม่เอาลงในหน้าบันทึกของตัวเองเลย
ตลกหม้ายบังว่า......คิดถึงนะค่ะ
ขอบคุณเพื่อนพ้องพี่น้องที่มอบกำลังใจให้...ขอบคุณค่ะ
น้อง ผ่านปากยูนวันไหน ยกหูโทรมา กินน้ำชาคุยกันสักหิดเรื่องยาเสพ ติดพัทลุง
อิชาอัลลอฮ์....