คำพังเพยที่มีผลมากต่อสังคมไทย
คำพังเพยสั้นๆ เพียงสองสามคำ อาจมีผลต่อพฤติกรรมสังคมอย่างมหาศาล (ไม่ว่าไทยหรือเทศ) เช่น คำว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” หรือ “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท” เป็นต้น
พูดไปสองไพเบี้ยฯ นี้ เป็นคำพังเพยที่เป็นที่นิยมมาก ผมเชื่อว่ามั ทำให้คนไทยเรากลายเป็นคนไม่กล้าพูด กล้าแสดงออก ซึ่งนอกจากจะทำให้ตนเป็นคนขี้ขลาดแล้ว ยังทำให้ฝ่ายตรงข้าม กล้าที่จะทำอะไรผิดๆ เพี้ยนๆ ต่อสังคมได้ตามใจชอบ เลยไม่เกิด”การเมืองภาคประชาชน” ในระดับไมโคร ถ้าจะเกิดการเมืองระดับนี้ได้ก็ต้องรอให้มีผู้นำที่กล้าหาญ มีวาทะคม คารมเชือดเสียก่อน แต่พอมีผู้นำเหล่านี้ก็ไม่กล้าพูดค้านเขาอีก ปล่อยให้เขานำไปทำอะไรที่ตำบอนได้มาก เช่น เผาบ้านเผาเมืองเป็นต้น
ปากเป็นเอกฯ นี่ดูเหมือนจะตรงข้ามกับ พูดไปสองไพเบี้ยฯ เลยนะ แต่เปล่าหรอก มันเสริมกันเสียมากกว่า เพราะ”เป็นเอก”นี้หมายถึงพูดจาโน้มน้าวหรือป้อยอเอาใจเจ้านายเสียเป็นหลัก ก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ คำพังเพยนี้หรือเปล่าที่ส่งผลให้คนไทยเรา “เล่นกลอน” กันเก่งมาก ผมว่าเก่งที่สุดในโลก
ส่วนเลขเป็นโท นั้น เลยทำให้คนไทยโบราณไม่ค่อยสนใจศึกษาคิดค้นด้านวิทยาศาสตร์ แต่การเล่นกลอน (ปากเป็นเอก) นั้น เราเอกกว่าใครเขาหมด แม้จนวันนี้คนไทยเราแต่งกลอนกันเก่งมาก ส่วนพวกฝรั่งนั้นยากที่คนธรรมดาจะมาเล่นกลอน
ภาษิตฝรั่งนั้นตรงข้ามกับเราเลย คือ แทนที่จะ "พูดไปสองไพเบี้ย" เขาบอกว่าต้องส่งเสียงให้ดังที่สุด เพราะ "The squeakiest wheel gets the grease" (ล้อที่ส่งเสียงดังที่สุดได้รับการหล่อลื่น) ...ซึ่งผมพยายามบอกมานานว่า ฝรั่งมีนิสัยอิงตน ส่วนไทยมีนิสัยอิงนาย จะไปลอกปชต. เขา หรือ ระบบอื่นๆ เขามาใช้ทั้งดุ้นโดยไม่ปรับเสียก่อนย่อมไม่ได้ ถ้าได้ ก็จะได้รับผลพวงอย่างระบอบทักษิณนี่แหละ
...คนถางทาง (๑๘ เมษ. ๒๕๕๕)
ที่ผมอยากให้คนไทยเป็นคือ "ปากก็เอก เลขเกินโท" คือเก่งทั้งศาสตร์และศิลป ถ้าทำได้แบบนี้ เราจะเก่งที่สุดในโลก เหมือนเยอรมัน ที่เก่งทั้งวิทย์และศิลป อย่างหาใครจับได้ยาก
แหม ท่านวิไล มาเม้ท์ ก็เป็นเกียรติครับ ศาสตร์แห่งการผัดผักให้วิไล ..อ๋อย..ไม่ได้ตั้งใจให้พ้องเลยนะเนี่ย (แต่อ่านแล้วขำครับ)
ใช่ครับ พังเพย ภาษิต ผมใช้พร่าไปหน่อย ยอมรับผิดครับ
ฮ่วย..ท่านวิไล ผมนึกออกแล้ว มันน่าเป็น โหระพามากกว่า สระแหน่ เด๊อครับ (สระแหน่นั้น mint ไม่ใช่หรือครับ) ใบไม้สดฝรั่งที่ผมชอบเอามาใส่ซุปคือ oregano รสมันฉุนจัดจ้านดี