* ที่รร.ชุมพลทหารเรือก็เหมือนสถาบันอื่นๆ เพราะมีครูบาอาจารย์หมุนเวียนกันเข้ามาสอนนักเรียนกันทุกปี.แบบเก่าไปใหม่มา. ช่วงปีที่เราทร.๐๙เข้ามาเป็นน้องใหม่ก็มีครูที่เพิ่งจบมา โดยมาเป็นครูสอนด้วย เป็นนายตอนด้วย ดังรายนามต่อไปนี้ :
ตอน ๑ : ร.ต.ชุมพล ปัจจุสานนท์ รน.
ตอน ๒ : ร.ต.นาวี เปล่งวิทยา รน.
ตอน ๓ : ร.ต.ประสาร แก้วศรีสุข รน.
ตอน ๔ : ร.ต.พีระศักดิ์ วัชระมูล รน.
ตอน ๕ : ร.ต.สมชาย หมื่นศรี รน.
ตอน ๖ : ร.ต.เฉลิมศักดิ์ สุขประเสริฐ รน.
ตอน ๗ : ร.ต. ยงยุทธ นพคุณ รน.
ตอน ๘ : ร.ต.ไพศาล อัมระปาล รน.
* ต่อมานายตอน ๓ ลาออกไปทำงานที่ต่างประเทศ ที่เหลือจึงได้รับการประดับยศนายพลเรือทั้งหมด.
๒๗. นักเรียนจ่าทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง. รวม ๘ ตอน. - หน้ารร.ชุมพลทหารเรือ. ปี ๒๕๐๙.
เข้าห้องเรียนแล้วก็จะเป็นวิชาทั่วๆไปบ้าง และจะหนักไปทางวิชาสายอาชีพ..เช่น การหาที่อยู่ของเรือ การวัดแสง การใช้เครื่องมือสื่อสาร เรียนสัญญานธง ฯใกล้เวลาอาหารเที่ยงนักเรียนจึงจะได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องเรียน เพื่อไปรอแถวรับประทานมื้อเที่ยง. การเข้าแถวเพื่อไปรับประทานอาหารแต่ละมื้อนั้นไม่มีมาตรฐานขึ้นอยู่กับนายทหารยามประจำวันว่า.จะแถวหน้าบ.ก.แล้วเดินเข้าโรงอาหาร หรือให้นักเรียนไปแถวบนเนินข้างโรงอาหาร.พร้อมแล้วจึงสั่งเข้าโรงอาหาร.ต่างคนต่างความคิด. แต่จะอย่างไรก็ตามนักเรียนต้องปฎิบัติตามมิฉะนั้นให้กลับไปดูระเบียบข้อที่๑ นายต้องถูกเสมอ. ก่อนเข้าโรงอาหาร..จะมีการแจกจดหมายที่ตกค้างบ้าง. เรียกไปรับโทรเลขบ้าง ฯ มีการประกาศโทษบ้าง.ระหว่างเรียนในห้องอาจจะมีการเผลอหลับไปบ้าง.ใครถูกทำโทษก็ต้องมีการออกกำลังกันก่อนกินอาหาร.. ใครที่ไม่มีความผิดก็ต้องยืนให้กำลังใจในแถวไปเงียบๆ.. จากนั้นจึงจะเข้าโรงอาหารได้. เจริญอาหารดีเหมือนกัน. ถ้าจะให้ดีไม่ควรทำตัวเองให้เหนื่อยก่อนรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ. ผมเขียนเองครับหมอมิได้สั่ง. อิ่มแล้วก็พักสูบบุหรี่บ้าง คุยกันบ้าง เพื่อรอเวลากลับไปแถวบ่าย. ผู้ที่เกี่ยวข้องก็จะมาแถวกันที่เดิม.
๒๘. เคยมีนรจ.หล่นลงมาคอหักตาย. ครูไม่บอกว่าจริงหรือขู่. - ที่สนามฝึกรร.ชุมพลฯ ปี ๒๕๐๙
การแถวบ่ายนั้นปกติจะไม่นานเหมือนการแถวใหญ่ในตอนเช้า. เลิกแถวแล้วนักเรียนทั้งหมดต้องเข้าเรียนต่อจนเย็น. นักเรียนพรรคกลิน.จะไปฝึกงานที่ห้องเครื่องยนต์ของโรงเรียน. ทุกคนจะเรียนจนถึงเวลา๑๕๐๐ น.ก็จะเป็นชั่วโมงพละศึกษา ใครมีตารางกีฬาก็ไปแต่งชุดกีฬามารอที่ข้างรร.เพราะมีการสอนยิมนาสติค บาร์เดี่ยว บาร์คู่. มีการฝึกต่างๆ บางห้องมีการปล่อยให้นร.ออกกำลังกายกันเอง.ห้องไหนมีตารางว่ายน้ำครูฝึกจะไปรออยู่ที่ปลายแหลม.นักเรียนจะต้องลงน้ำที่นั่นแล้วว่ายน้ำเข้าฝั่ง.ระยะทางประมาณ ๘๐๐ เมตร.มีเรือบดคอยตามด้วย.เพื่อความปลอดภัย.หมดเวลาเรียนแล้วนักเรียนจะกลับมาเตรียมอาบน้ำ..แต่งตัวชุดยามเย็นเพื่อไปรอแถวรับประทานมื้อสุดท้ายของวัน. ถ้ามีการปล่อยนร.ไปร้านค้าจะต้องกลับมาแถวสองทุ่ม. เพื่อสวดมนต์และกล่าวคำปฎิญานก่อนขึ้นอาคาร.ที่บริเวณหน้าบ.ก.โรงเรียน.วันไหนนักเรียนโชคดีจะได้เจอกับนายทหารเวรที่ค่อนข้างจะเข้มก็จะไม่ปล่อยนักเรียนไปร้านค้า.บรรดาแม่ค้าพากันเหงาสิครับ ! * มีนายทหารยามสองท่านที่ไม่ค่อยปล่อยนักเรียนไปร้านค้า. ท่านแรกคือเรือเอกสุพัฒน์ สงวนกุล. ท่านจบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง ท่านอบรมนานมาก และไม่เคยมีเรื่องใดมาอบรมซ้ำเลยสักครั้ง. *ชุดยามเย็นคือกางเกงกลาสีสีกากี เสื้อน๊อตและมีผ้าคอดำผูกที่เอว.
๒๙. เสื้อซับในหรือเสื้อน๊อตของพลทหารและจ่า.
มีคนเล่าว่าท่านนั่งรถเมล์กลับบ้าน..แต่มีอุบัติเหตุระหว่างทาง. ท่านลงไปแสดงฝีมือด้วยการจดบันทึกที่เกิดเหตุ วาดรูปสถานที่เกิดเหตุ..จนทำให้ร้อยเวรไม่ต้องเหนื่อยเลย นี่ถ้าครูสุพัฒน์โอนไปทำงานให้กับ กรมตำรวจ..น่าจะรุ่งไปแล้ว. อีกท่านเป็นครูสอนวิชาทหารราบคือ ร.อ.ธำรงค์ ไก่แก้ว รน. วันไหนที่สองท่านนี้เข้านายทหารยามล่ะก็.นักเรียนเหงา ไปตามๆกัน ต่อมาท่านได้ย้ายมาเป็นผบ.ร้อยนักเรียนจ่านย.รุ่นที่ ๑๑ และได้เกษียณอายุเป็นนายพลเรือ.พี่แกอบรมตั้งแต่หนึ่งทุ่มไปเรื่อย จนเกือบจะสามทุ่มนั่นแหละ ! แล้วจึงทำการสวดมนต์..ปฎิญานตนกันเลย.จบแล้วจึงจะแยกย้ายกัน ขึ้นอาคารพัก. คำกล่าวปฎิญานของนักเรียนทหารตามสถาบันต่างๆนั้นน่าจะคล้ายๆกัน คือ..” ชาติของเราเป็นไทอยู่ได้จนถึงตัวเราคนหนึ่งนี้เพราะ..บรรพบุรุษของเรา -เอาเลือด - เอาเนื้อ - เอาชีวิตและความลำบากยากเข็ญเข้าแลกไว้ เราต้องรักษาชาติ เราต้องบำรุงชาติเราต้องสละชีพเพื่อชาติ.” จบแล้วจะตามด้วยเพลงสรรเสริญพระบารมี. ถ้าวันไหนไม่ปล่อยนักเรียนก็จะเป็นการอบรมกันเลย ไปเลิกเอาประมาณสองทุ่มครึ่ง บางครั้งอบรมเสร็จก็สวดมนต์และกล่าวคำปฎิญานกันเลย แล้วจึงแยกย้ายขึ้นไป บนอาคารกางมุ้งได้ ทำงานส่วนตัวเช่นขัดรองเท้า ฯ ดูสิ..พวกที่ขยันเรียนพี่แกยังเอาตำราขึ้นมาทบทวนเสียด้วยน๊ะ ทั้งที่ไฟก็มิได้สว่างมากนัก.ใครง่วงและอยากเข้าไปอยู่ในมุ้งก็ได้ แต่หลังสามทุ่มหรือสิ้นเสียงแตรนอนแล้วห้ามใครออกมาเดินอยู่ภายนอก.นอกจากจะไปห้องน้ำและ ผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่ เวร-ยามเท่านั้น. เคยมีนร.นอกคอกแอบหนีเที่ยวด้วยน๊ะ..แต่ถูกตรวจพบเสียก่อน..
๓๐. พ.จ.อ.พันธ์พงศ์ เลิศบุญชู. - รับประกาศนียบัตรที่สถาบันภาษา ลั๊คแลนด์ เท๊กซัส ปี ๒๕๒๘
ช่วงเวลาที่แสนเงียบนี้นักเรียนที่อยู่ในมุ้งจะได้ยินเสียงเดินเบาๆ..ของยามบนอาคาร. ตาก็จับจ้องไปที่นายทหารยามซึ่งจะต้องเดินมาตรวจตามหน้าที่. มีระเบียบว่าถ้าเกินสามทุ่มครึ่งแล้ว นายทหารยามหรือจ่ายามมักจะไม่มา..ตอนที่เป็นยามนักเรียนนั้นยังไงๆ ก็ต้องพร้อมรับตรวจ. ถ้าผ่านนาทีนี้ไปเป็นอันว่าหมดไปหนึ่งวัน.ชีวิตช่างยากเย็นเหลือเกินกว่าจะปลูกฝังวินัยเข้าไปในตัวของแต่ละคน. เย็นวันไหนถ้าไม่มีการแถวหน้าบ.ก. นักเรียนจะต้องขึ้นมาแถวสวดมนต์และปฎิญานตนก่อนนอนบนอาคาร. ภายใต้การควบคุมของนักเรียนชั้นปีที่สอง จึงจะแยกย้ายไปนอนได้.
นรจ.ทร.๐๘ - ๐๙เราโชคดีครับ. ที่มีนายตอนท่านหนึ่งเติบโตจนได้เป็นถึงผบ.ทร. ด้วยความดีของครู. พอเกษียณอายุแล้วครูได้รับการแต่งตั้งเป็น “ องคมนตรี.” หลังจากสอบขึ้นชั้นปีที่สองก็เป็นการฝึกภาคทะเล. โดยเป็นการฝึกรวมกันทั้งนรจ.ปี๑และ๒. นร.ทุกนายจะมีโอกาสได้กินอยู่หลับนอนบนเรือรบอย่างจริงจัง.ประมาณ๔๕วัน. ผมอยากบอกว่าการมาเป็นทหารเรือนั้นน่าจะดีกว่าหลายเหล่าทัพ..เพราะต่อมามีการจัดให้บรรดาทหารเกณฑ์..ในแต่ละผลัดได้ลงไปกินนอนในเรือประมาณ ๓-๕วัน.เรียก..หลักสูตรเจนทะเล. พลทหารหลายนาย เริ่มออกอาการจะอาเจียนก่อนลงเรือรบไทยเสียด้วยซ้ำ.. สมัยนั้นเรือรบไทยหลายลำอาจจะยังไม่รู้จักคำว่าแอร์..ก็เป็นได้..ไหนจะเมาคลื่น ไหนจะร้อนอีกต่างหาก..ก่อนลงเรือใครที่กินอาหารมาแบบอิ่มเต็มที่ล่ะก็..ขอบอกว่าปลายิ้มกันใหญ่..เพราะเรือคงออกจากท่าไม่ไกลนักรับรองว่า..พี่หารต้องคายทิ้งกันหลายคน.ปลาจึงได้ยิ้มกัน.ไม่ใช่ปลากระป๋อง.
๓๑. เรือออกมายังไม่ไกลนัก นักเรียนเริ่มออกอาการขู่ฉลามกันแล้ว. - ทะเลสัตหีบ. ปี ๒๕๑๐
ทหารอากาศหลายนาย ตั้งแต่เข้ารับใช้ชาติจนปลดประจำการ.อาจจะไม่มีใครเคยขึ้นเครื่องบินเลยก็เป็นได้.ทหารบกนั้นไม่รู้จะบอกอย่างไรดีเพราะมีหลายหน่วย..ต่างกันออกไปอย่างไรก็ดีคติเดิมๆยังใช้ได้เสมอคือ..เป็นทหารเรือไทยได้เห็นโลกกว้าง.พลทหารประจำเรือหลายๆนายมีโอกาสไปต่างประเทศกับเรือฝึกของนักเรียนนายเรือทุกปี.ปัจจุบันนี้ก่อนทหารปลดประจำการ มีบริษัทเดินเรือหลายแห่งมาขอรับตัวเพื่อไปทำงานในเรือเดินต่างประเทศกันเลย..เจ้าของบริษัทส่งจนท.มาทำการฝึกอบรมให้เสร็จ. อย่างน้อยก็เชื่อในความมีระเบียบวินัย มากกว่าที่จะรับมาจากบุคคลภายนอกที่ไม่รู้จักมาก่อน. ผมถูกจัดไปลงเรือบางประกง.ลำเก่า.รับจากสหรัฐอเมริกา. ลำต่อมาสั่งต่อจากประเทศจีน. การฝึกส่วนใหญ่ก็เป็นการฝึกทางทหารเรือโดยเฉพาะ เช่นนร.ต้องฝึกหัดพายเรือกรรเชียงประมาณ ๒๐ไมล์ทะเล. เดินทางไกล. ฝึกยิงปืนใหญ่. ปัง - ปัง- ปัง. ใช้กระสุนปากเป็นการฝึกเพื่อให้นร.รู้จักการใช้มุมสูง - มุมกระดก และการใช้ - การฟังคำสั่งต่างๆ. นอกจากนั้นจะมีการฝึกการใช้สัญญานธง.การส่งอุปกรณ์และคน..จากเรือลำนี้ไปยังเรืออีกลำ.เรียกว่าสถานีไฮไลน์. ก่อนการสอบประจำปี มีการประกาศให้นักเรียนจ่าสามารถเปลี่ยนเหล่าได้..นร.หลายคนกลัวที่จะต้องมาอยู่ที่รร.จ่านย. จึงเปลี่ยนเหล่าเสียเลย. หมู่เรือฝึกออกจากท่าเรือแหลมเทียน โดยมุ่งหน้าลงใต้ก่อนแล้วกลับมาทางตะวันออก. พรรคนาวินก็จะมีการฝึกถือท้าย - เดินเข็มและอื่นๆ ที่เกี่ยวกับพรรคเหล่าของตนเอง.นักเรียนที่น่าสงสารและร้อนที่สุดคือ..บรรดานักเรียนพรรคกลินที่ต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องเครื่องยนต์นอกนั้นก็เป็นพวกปากเรือคือเหล่าปืน.
๓๒. เรือรบไทย. - นำทหารและนักเรียนจ่า ไปฝึกภาคทะเลประจำปี.
นักเรียนจ่าพรรคนาวิกโยธินก็เหนื่อยไม่น้อย เพราะต้องฝึกรวมกับทุกพรรคเหล่า สำหรับการฝึกที่นร.ต้องเกี่ยวข้องเป็นส่วนรวมก็ไม่พ้นการประจำสถานีออกเรือ.ประจำสถานีเทียบเรือ ประจำสถานีดับเพลิง ประจำสถานีรับน้ำ - น้ำมัน ตลอดจนประจำสถานีไฮไลน์. ส่งคนหรืออุปกรณ์ไปยังเรืออีกลำหนึ่งโดยการให้เรือวิ่งตีคู่กัน.แล้วส่งทางสายนั่นเอง ! นอกจากนั้นยังมีการฝึกการรับ-ส่งสัญญานธงบ้าง สัญญานไฟบ้าง เดินทางไกลบ้าง.ประจำสถานีรบเพื่อให้นักเรียนคุ้นเคย และได้รู้ขั้นตอนการปฎิบัติในขั้นพื้นฐาน. เมื่อออกไปรับราชการแล้วจะต้องฝึกคล้ายๆกันอีก เมื่อไปประจำเรือแต่ละลำ. สิ่งที่นักเรียนเกลียดและต้องปฎิบัติเสมอๆคือช่วงเช้าระหว่างเรือจอดนั้นทางเรือจะประกาศให้นักเรียนอาบน้ำได้..หลายคนดีใจสิครับ.เพราะเหนียวตัวมาหลายวันแล้ว..แต่ทุกคนต้องผิดหวัง ทางเรือให้นร.มายืนรวมกันที่หัวเรือแล้วใช้เครื่องสูบน้ำทะเลมาฉีดให้.ทั้งหนาวและเค็มทีเดียว. บางคนอู้และถูกจับจึงถูกสั่งให้กระโดดลงมาจากหัวเรือ สูงเอาการครับ. ใครที่ดื้อหรือขัดคำสั่งก็จะโดนลงโทษที่โหดกว่านี้ทหารเรือจะเรียกว่า “แตะน้ำแตะฟ้า.” ผู้เขียนจำได้ว่าเคยเขียนแทรกไปในเรื่องที่นำลงบล็อกแล้ว..แต่ลืมแล้วว่า..ชื่อเรื่องอะไร ? ไม่เป็นไรครับเพราะบางท่านอาจจะเพิ่งเข้ามาอ่านหรืออ่านแล้วลืมแล้ว..ขออธิบายเสียอีกครั้งดังนี้ * ช่วงกลางของลำเรือ..ปกติถ้าเรือจอดจะมีบันไดลิง เพื่อไต่ขึ้นหรือลงเรือเล็ก นร.ที่ถูกทำโทษจะต้องไต่บันไดลิงลงไปแล้วนำมือลงไปแตะน้ำทะเล แล้วปีนกลับขึ้นมาที่เดิมพร้อมกับปีนบันไดขึ้นไปบนยอดเสาหรือปล่องท่อไอเสีย..บันไดนี้จะติดตั้งขนานไปกับปล่องหรือเสาธง.พอขึ้นไปสุดต้องเอื้อมมือขึ้นไปในอากาศแล้วนับ..หนึ่ง..จึงเป็นการแตะน้ำและแตะฟ้าอย่างสมบูรณ์มีค่าหนึ่งครั้ง.ที่เหลือต้องทำซ้ำไปตามที่ครูฝึกสักว่า..กี่ครั้ง ?
๓๓. ลัดไปเกาะสีชัง - จนกระทั่งกระโจมไฟ.. ขอบคุณภาพจากอาจารย์หมงทร.๐๙
เรื่องการเมาคลื่นนั้น..มีให้เห็นเสมออย่าว่าแต่นร.เลยครับครูฝึกหลายๆคนเวลาลงเรือแล้ว บางท่านไม่ยอมออกมาควดใครเลย มิใช่ใจดีแต่อย่างใด ? พี่แกเมาคลื่นนอนหลบอยู่ในห้องพักต่างหาก.ช่วงที่เรือหลวงบางประกงแล่นตัดอ่าวไปฝั่งตะวันออก เรือต้องแล่นผ่านคลื่นสูงใหญ่พอสมควร.. ทางเรือไม่จัดให้มีการฝึกใดใด ? ปล่อยให้นร.นั่งบ้าง-นอนบ้างใต้ป้อมปืนหรือตามพื้นที่ซึ่งไม่กีดขวางการปฎิบัติงานของทางเรือ. ผมกับเพื่อนๆแอบมานอนใต้ป้อมปืน๔๐มม.ของเรือ หลับบ้างตื่นบ้าง..จนถึงวินาทีฉุกเฉิน.ทนไม่ไหวเลยปล่อยอาหารมาแบ่งให้ปลากินบ้าง..เพื่อนผมซึ่งอยู่ใกล้ๆกันหัวเราะชอบใจครับที่ผมเมาคลื่นแล้วอาเจียนออกมาก่อน แต่สวรรค์ไม่ลำเอียงทำให้เขาอาเจียนตามมาติดๆ พี่แกไม่ทันเตรียมตัวสิครับแถมยังเป็นคนรักความสะอาดกลัวเรือรบไทย จะด่างพร้อยด้วยรอยเปื้อนของตัวเอง..ดูสิ ! พี่แกหยิบหมวกประจำป้อมปืนมาแล้วปล่อยอาหารทั้งหมดไปรวมกันในหมวกใบนั้น.เคยได้ยินไหมล่ะ ? ที่เขาพูดเสมอๆว่าเหนือฟ้ายังมีก้อนเมฆ. ทีนี้ผมเป็นฝ่ายหัวเราะบ้างแม้จะไม่เข้ากับคำพูดที่ว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า..เพราะตอนที่หัวเราะนั้นผมยังมึนอยู่ครับ. ใครที่เมาคลื่นแล้วอาเจียนแบบนี้..ภาษาทหารเรือเขาจะเรียกว่า “ขู่ฉลาม.” มีจ่ารุ่นพี่ผมเมามากครับ.เมาหล้ามิใช่เมาเรือ.ชะโงกมาอาเจียนบนชั้นสองของอาคารพัก.เสียศูนย์สิครับ.เพราะท่อนบน ยื่นออกไปมากกว่าท่อนล่าง..หล่นลงมาม่องสิก้องด้อง. เผาไปแล้ว. ดังนั้นใครอ่านตรงนี้จบแล้ว..อย่าผ่านไปเฉยๆ..อย่ามองข้ามความปลอดภัย..เพราะอะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมออย่าต้องมาโทษ..เรื่องเวรกรรมเลยน๊ะ. ไม่ระวังเองต่างหาก. การฝึกทุกอย่าง..ก็ต้องมีเหนื่อยมีท้อครับเป็นธรรมดา..หลังจากอาบน้ำแล้วจะลืมทุกอย่างแถมเวลาที่นำมาเล่า..ดูสิยังขำกันไม่หาย. เวลาฝึก๔๕วันก็ได้ผ่านไปจนเรือกลับเข้าฝั่ง.
๓๔. ประจำสถานีไฮไลน์. - ระหว่างการฝึกภาคทะเล.ในอ่าวไทย. ปี ๒๕๑๐
นักเรียนปีสอง ก็มักจะใช้เวลาว่างซ้อมการประดับยศ.จ่าโท. ตำรวจน้ำฝากเรียนก็จะได้รับการประดับยศสิบตำรวจโทบางคนหน้าตายังอ่อนเพราะอายุน้อย..แถมรุ่นผมพอจบแล้วยังเคยถูกตำรวจจริงจับกุมข้อหาว่า.เป็นตำรวจเก๊..นักเรียนปีหนึ่งก็ซ้อมเหมือนกัน..แต่ซ้อมการประดับยศเพิ่มเป็นนักเรียนจ่าปีที่สอง. ช่วงเวลานี้การเข้มงวดหรือการควดต่างๆก็เริ่มลดลง เพราะพวกเรากำลังจะโตขึ้นเป็นนร.ปีสอง. ส่วนนร.ปีสองเองกำลังจะหมดพันธะและกลายเป็นข้าราชการประจำกองทัพเรือ.เวลาที่เหลือจึงมักเป็นการซ้อมสวนสนามบ้างการเตรียมตัวถ่ายรูปหมู่บ้าง.ช่วงนี้นักเรียนทุกคนมีความสุข เพราะกำลังจะประสบความสำเร็จในชีวิต ระดับหนึ่ง. ครูฝึกเองก็คงเริ่มเบาลงด้วยประการทั้งปวง เพราะแทบจะไม่ต้องควดใครอีกแล้ว จนกว่านักเรียนปีที่หนึ่งชุดใหม่จะหมุนเวียนเข้ามาอีกเป็นวัฎจักรสืบไป. การฝึกภาคทะเลจบแล้ว.นักเรียนทั้งสองชั้นก็ต้องกลับมาที่โรงเรียนอีกครั้ง มีการปล่อยนักเรียนพักหรือปิดเทอมใหญ่รวม ๑๕ วัน.ใครเคยมีสถานะภาพเป็นนักเรียน พอพูดถึงการปิดภาคหรือปิดเทอมทีไร ? ใครไม่ชอบถือว่าเป็นคนผิดปกติครับ รถจากกองขนส่งทหารเรือมารอรับนักเรียนทั้งสองชั้น..มุ่งหน้ากลับบ้านโดยมีปลายทางที่รร.วัดธาตุทอง พระโขนง กรุงเทพฯ ใครมีบ้านอยู่ทางระยอง จันทบุรีและตราด ทางรร.จะปล่อยให้เดินทางกลับบ้านและกลับมาโรงเรียนเองต่อไป..ลงรถแล้วนักเรียนทุกคนต้องแยกย้ายกันเดินทางเอง.โดยสารไปกับรถบขส.หรือรถร้อน.ตอนนั้นผมจำได้ดีครับรถบขส.กรุงเทพฯ - ชลบุรี ยังเป็นรถที่ทำด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่.
๓๕. ซ้อมมาหลายวันแล้ว วันนี้วันจริงเอาให้ดีเลยน๊ะ. - หน้ารร.ชุมพลทหารเรือ ปี ๒๕๑๐
พอขึ้นรถแล้วผู้โดยสารต้องก้มตัวเสมอ เพราะเป็นรถแบบเตี้ย ประตูด้านหน้าทำด้วยไม้ เบาะนั่งเป็นสองแถวและต้องนั่งแถวละสามคน เวลาฝนตกกระเป๋าต้องมาคลี่ผ้ากันฝนลง อย่างทุลักทุเลพอสมควร ใครที่เกิดยุคหลังนี้จึงถือว่าทันสมัยครับ. แอร์ล้วนๆ. ปีพ.ศ.นั้นอย่าไปพูดถึงรถปรับอากาศกันเลย..แค่นึกภาพ. ยังนึกไม่ออกเลยว่า..เป็นอย่างไร ? ขอให้ทุกคนเดินทางโดยสวัสดิภาพน๊ะครับ.. เราได้พักผ่อนกันเต็มที่ ๑๕ วัน แล้วกลับไปพบกันที่เก่า..เวลาเดิม.เวลาที่เรา-ท่านๆลำบากทีไร ? ดูเหมือนเวลาจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าจริงๆ แต่เวลาที่เราได้พักผ่อนหรือว่างจากการงานใดใด ? ดูสิครับเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน.นร.ทุกคนจึงต้องกลับมาพบกันอีกตามที่ทางรร.ประกาศไว้เมื่อ ๑๕วันก่อน. รถพร้อมนักเรียนพร้อมเราจึงกลับมาอยู่บนรถหกล้อทหารของขส.ทร.จ่าพลขับนำรถออกจากลานจอดของรร.วัดธาตุทองเป็นขบวนมุ่งหน้ากลับสู่เกล็ดแก้วบ้านเรา. มาตามถนนหมายเลข ๓หรือถนนสุขุมวิทนั่นเอง. ประมาณสามชั่วโมงต่อมา..นักเรียนทุกคนลงจากรถมาเข้าแถว - เชคยอดและฟังการชี้แจงต่างๆ ก่อนที่จะมีการประดับยศในสัปดาห์ต่อไป งานที่นักเรียนทั้งสองชั้นต้องทำร่วมกันต่อไปคือ การซ้อมเดินสวนสนามที่สนามของรร. ซึ่งเป็นลานดินพื้นแข็งอยู่ระหว่างรร.กับร้านค้า. เราต้องซ้อมกันอยู่หลายวันจนกระทั่งวันจริงมาถึง.การสวนสนามก็ผ่านไปด้วยดี นักเรียนปีหนึ่งทุกพรรคเหล่าก็ได้รับการประดับยศเป็นนักเรียนจ่าชั้นปีที่สอง และยังเรียนอยู่ที่เดิมอีกหนึ่งปี.
สวัสดีครับ...
(เจอกันครั้งแรก ไม่สวัสดี เดี๋ยวจะถูกเรียกออกไปหน้าแถว...!!??)