มองโรคในแง่ดี ตอนที่ 3


ธรรมะจากขอทาน

เมื่อตอนที่ 2 ได้เล่าถึง เริ่มปรับความคิดของตัวเองด้วยการคิดบวก  แต่ก็ยากนะจะให้อยู่ดีๆ คนๆหนึ่งซึ่งเคยปกติ ทำโน่น นี่ นั่นได้สารพัด  แต่กลับกลายต้องเป็นเหมือนคนพิการ  มานั่งคิดบวกกับทุกเรื่อง คนคงไม่คิดว่าเราทำใจได้เขาคงว่าเสียสติไปแล้วมากกว่า ก่อนนั้นก็มีจุดเปลี่ยนความคิดเหมือนกัน อย่างที่เกริ่นตอนแรกว่า โรคนี้ถ้าเป็นตอนอายุมากเป็นความเสื่อมของ cell สมองตามวัย แต่พวกอายุน้อยๆ  นี่พบได้น้อยมาก มักเกิดจากต้นเหตุที่สมอง เช่น เนื้องอก มะเร็ง  หรือมีพวกสารทองแดงเกาะที่ก้านสมองทำให้ส่งกระแสประสาทออกมาไม่ได้ นี่เป็นคำอธิบายจากแพทย์ท่ี่ดูแลอยู่ จึงจำเป็นต้องส่งไปmri และ mra (ดูเนื้อสมอง และหลอดเลือดสมอง ) ช่วงนั้นเกิดคำถามพลุดขึ้นมามากมายในสมอง  ถ้า เป็น...ถ้าเป็น...ๆๆๆๆๆๆ แล้วจะทำอย่างไรลูกเพิ่งคลอดได้ 5 เดือน  ยิ่งคิดยิ่งเศร้า คราวนี้ควบคุมตัวเองไม่ได้เศร้าทั้งบ้านวันไปตรวจ MRI แพทย์ส่งตรวจที่เอกชน เพราะมหาราชไม่มี รู้สึกกลัวสุดๆ  ต้องนอนอยู่ในอุโมงเป็นชั่วโมงๆ  ความรู้สึกเหมือนเรานอนอยู่กลางป่ากว้างที่เหน็บหนาว วังเวง  ความคิดฟุ้งซ่านเข้ามาสารพัด ตอนรับผลกลับพยายามอ่านผลการตรวจก็ไม่พบความผิดปกติใดๆในสมอง และหลอดเลือดสมอง ยิ่งกังวลหนัก ทำยังไงดี ? หานสาเหตุไม่ได้ วันนั้กลับมาบ้าน ด้วยความรู้สึกที่แย่สุดๆ เงียบตลอกทางที่นั่งรถมากับคุณสามี  คิดๆๆๆๆว่าจะทำยังไง ตอนนั้นเป็นหน้าหนาว อากาศหนาวสุดๆ  ขณะนั้นเอง ขณะที่ขับรถผ่าน สี่แยก ไฟแดง หอนาฬกาของ อ.พิมาย ฉันมอง เห็นขอทานคนหนึ่ง ซึ่งฉันจะเห็นเป็นภาพที่ชินตามาก แกไม่มีญาติพี่น้อง  แกอยู่ตัวคนเดียว แกคือ ตาแดง ที่คนทั้งพิมายก็รู้จักแกดี ว่าเป็นคนที่ไม่มีบ้าน ไม่มีญาติ  ตอนหนุ่มๆ แกเป็นคนขยัจะรับจ้างเข็ญผักในตลาด ที่อยู่แกก็จะอาศัยนอนในตลาด  แกจะมีกระเป๋าใส่เสื้อผ้า เป็นถุงผ้าร่มมอมๆ และวิทยุทราซิสเตอร์คู่ชีพ แกนั่งอยู่ข้างทางสี่แยก ในเสื้อแขนสั้นตัวเดียว  อากาศหนาวมาก  แต่แกไม่สะทกสะท้าน เหมือนประหนึ่งไม่สนใจกับร้อนหรือหนาว  ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็แว๊บขึ้นมาบนหัว  ฉันกำลังคิดอะไร  ฉันห่วงอะไร ฉันกลัวอะไร  ความตายหรือการพลัดพราก ทำไมฉันต้องกลัว ฉันมีพร้อมทุกอย่างในชีวิต ครอบครัวที่มีความสุข  ไม่มีหนี้สิน  เงินเดือนพอใช้พอเหลือเก็บ บ้านก็มีอยู่  ฉันเกิดมาคุ้มแล้ว  ถ้ากลัวตาย กลัวจาก  จะกลัวทำไมในเมื่อ ตายตอนไหน ก็ตายเหมือนกัน  จากตอนไหนก็ต้องจากเหมือนกัน ไม่อย่าขาดจากสามีก็ต้องตายจาก  แล้วฉันห่วงอะไร  เวลาที่เหลือมันคือกำไรแล้ว  เพียงแต่ฉันจะได้กำไรมากหรือน้อยก็เท่านั้น อย่ายึดมั่ถือมั่น  ไม่มีอะไรเป็นของเราสักอย่าง  เกิดมาก็มาคนเดียว  เวลาไปก็จะกลัวอะไรที่จะต้องไปคนเดียว  ลูกคลอดออกมาก็ไม่ได้ตัวติดกับเราแล้ว  คิดได้เท่านี้ฉันก็ยิ้มกับคุณสามี  เขาถามทำไมเหรอ  ฉันตอบว่า "วันนี้ฉันมีความสุขที่สุด ฉันดีใจที่เป็นโรคพาร์กินสัน  ฉันไม่เคยคิดว่าฉันจะมีความสุขได้ขนาดนี้  วันนี้เราไปฉลองกัน "คุณสามีบอกฉลองอะไร  ก็ฉลองว่า มีโรคเป็นของตัวเองไง ไม่เชยนะนี่  สามีได้แต่นั่งหัวเราะ แล้วเขาก็บอกว่า ดีใจที่เรายิ้มได้ เท่านี้ก็ไม่กังวลมาแล้ว ............ ฉันต้องขอขอบคุณตาแดง  ขอทานพิมายที่ สอนธรรมะจากธรรมชาติของตาแดง ........ ยังมี บทเรียนที่ทำให้คิดบวก อีกจากสิ่งรอบๆตัว  ไว้เล่าให้ฟังตอนต่อไป 

หมายเลขบันทึก: 480644เขียนเมื่อ 1 มีนาคม 2012 17:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 กรกฎาคม 2013 05:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เห็นทุกข์ เห็นธรรม ย่อมนำตนส่งผลประเสริฐพรค่ะ

แวะมาฝากไว้ว่า ที่นี่ (ลอนดอน) มีคนเป็นเยอะค่ะ

ตัวเองไม่รู้ละเอียด มีเพื่อน ๆ และรุ่นน้องจากไทยมาเรียนเกี่ยวกับโรคนี้กันหลายคนค่ะ

แม่เคยเล่าถึงความรู้สึก เมื่อเข้าตรวจ MRI

คล้ายๆกันเลยค่ะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท