ครั้งหนึ่ง นักเรียนไทยในต่างแดนผู้หนึ่งนำความไปปรับทุกข์กับนักเรียนไทยอีกผู้หนึ่งว่า เพื่อนชาวต่างชาติบางคนที่สนิทสนมกันพอสมควรแล้ว เวลาทักทายกันบางทีก็ลูบหัวเขาด้วย เขาควรจะอธิบายอย่างไรดี เพื่อนๆเหล่านั้นจึงจะเลิกจับหัวเขาโดยไม่มีอะไรบาดหมางกันทีหลัง
การที่เขาอึดอัดไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นคนไทยเท่านั้น แต่เพราะเขาเป็นนักดนตรีปี่พาทย์ต่างหาก
ขอรวบรัดเลยว่า เรื่องนี้จบด้วยดี ไม่มีใครแตะต้องหัวเขาอีก และมิตรภาพก็ยังคงอยู่
ชายไทยจำนวนไม่น้อย ถือสาเรื่องการจับหัว ในขณะที่บางคนก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับศิลปินสายประเพณีไทยทุกประเภทในทุกภูมิภาค หัวคืออวัยวะต้องห้ามสำหรับผู้อื่น มีเพียงบุพการี ครูอาจารย์ และผู้เป็นที่เคารพนับถือของเขาเท่านั้นที่สามารถแตะต้องหัวเขาได้โดยที่เขาจะก้มหัวน้อมรับด้วยความเต็มใจและพอใจ
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะหัวเป็นที่รับมาและเก็บรักษาไว้ซึ่งสรรพศาสตร์และสรรพศิลป์ที่ครูอาจารย์ถ่ายทอดแก่ศิษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัฒนธรรมมุขบาฐ ดังปรากฏในพิธีไหว้ครู ซึ่งมักมีการเจิมหน้าผากและครอบหัวศิษย์ด้วยเศียรครู
ธรรมเนียมในการเคารพนับถือผู้ใหญ่(หมายถึงบุคคลต่างๆดังกล่าวมาแล้ว) มีในคนไทยมานานเท่าไรและอย่างไร คงต้องศึกษาในรายละเอียดกันอีกครั้งหนึ่ง(หรือจะหลายครั้งก็แล้วแต่) แต่กิริยานี้พบเห็นในหมู่คนไทยเป็นปกติอยู่ทุกวัน แม้ครอบครัวคนสมัยใหม่ก็สอนลูกๆหลานๆให้ทำอยู่ทั่วไป และเท่าที่พบนั้น ผู้เยาว์หลายคนหลังจากปฏิสันถารกับผู้ใหญ่แล้วมักใช้มือทั้งสองลูบหัวตัวเอง ศิษยานุศิษย์ของผมก็ทำเช่นนี้กับผมเสมอ การรับไหว้ของผู้ใหญ่จึงเป็นเสมือนพรที่ผู้เยาว์รับไปใส่หัว และนี่ทำให้ผู้ใหญ่และผู้เป็นที่เคารพนับถือมีสิทธิ์แตะต้องหัวได้เพราะมีสถานภาพสูงเสมอหัว
นอกจากนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบุคคลก็มีสถานะสูงเสมอหัวหรือเหนือหัวเช่นกัน ดังนั้น การแตะต้องหัวใครคนใดคนหนึ่งจึงเป็นการละเมิดทั้งบุคคลผู้นั้น ทั้งบุคคลสำคัญและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเคารพนับถือ และนี่เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้สำหรับคนไทยจำนวนไม่น้อย
การที่คนไทยเรียกพระมหากษัตริย์ว่า พระเจ้าอยู่หัว (หรือบางทีก็ว่า เจ้าเหนือหัว) ก็ด้วยเหตุปัจจัยทางวัฒนธรรมดังกล่าวข้างต้น และ สำหรับคนไทยทั้งมวลที่ประกาศว่า เรารักในหลวง นั้น เขาอาจจะเห็นว่าการแตะต้องมาตรา ๑๑๒ ในรัฐธรรมนูญ เท่ากับตบหัวกันเลยก็ได้
นี่คือเรื่องของหัวที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับประเด็นร้อนในขณะนี้
ไม่มีความเห็น