" ภาษาเป็นเครื่องนุ่งห่มของความคิด" แซมมวล จอร์นสัน นักภาษา กวี นักหนังสือพิมพ์และนักวิจารณ์ ชาวอังกฤษ ได้กล่าวประโยคนี้ไว้เมื่อ 200 กว่าปีที่ผ่านมา แต่ทว่าความแห่งคำนี้ยังมีความหมายอยู่แม้ทุกวันนี้ และคล้าย ๆ กันนี้ ฮายากาวา ได้กล่าวว่า "ภาษาช่วยกำหนดความคิดและความคิดเป็นสิ่งกำหนดภาษา" แต่นั่นแหละ "การที่จะนำภาษามาใช้ให้ได้ผลนั้น ผู้ใช้จะต้องเข้าใจและเข้าถึงวัฒนธรรมของเจ้าของภาษานั้นด้วย" จีน จาคส์ รุสโซ ได้กล่าวไว้อย่างนี้ เมื่อ 200 กว่าปีผ่านมาแล้ว
นั่นหมายถึงว่า ภาษา หรือคำที่ผู้สอนจะนำมาให้ผู้เรียนเรียนนั้น ผู้สอนจะต้องรู้ด้วยว่า ผู้เรียน เข้าถึงคำนั้นไหม โสกราตีส ปราชญ์ชาวกรีกโบราณ มักจะใช้คำถามกระตุ้นให้คู่สนทนาคิดในเรื่องที่โสกราตีสตั้งประเด็นไว้ แต่โสกราตีสจะไม่มีคำตอบให้ โดยมักจะพูดว่า "โสกราตีสก็กำลังแสวงหาคำตอบนี้อยู่เช่นกัน"
คำที่จะนำมาให้ดำคิด เขียนความเรียง 3 บรรทัดนี้ ก็จะดึงมาจากคำที่ดำพูดถึงอยู่บ่อย ๆ เช่น โมโห โกรธ ใจร้าย หลอก ใจดี รางวัล ใจดำ และคำอื่น ๆ ที่ดำพูดออกมาเองโดยแรก ๆ จะมีตัวอย่างให้ดำอ่าน เช่น
ทะเลบ้า
คลื่นถาโถมเข้ากระแทกฝั่ง
เรือประมงหลบหน้า
ลมบ้า
ต้นไม้หักโค่นเป็นแนวยาว
ส่วนแบ่งฝั่งตามร่องลม
ทะเลโมโห
คลื่นลูกโตกระแทกฝั่ง
ชาวประมงนอนพักผ่อนที่บ้าน
เขียนตัวอย่างให้ดูหลาย ๆ ตัวอย่าง เพื่อดำจะได้ดูแนว แล้วหา "ทาง" เขียนตามที่ตนถนัด
เมื่อมาถึงตรงนี้ก็มีข้อคิดอยู่ว่า ผู้สอน อย่าคาดหวังว่า แผนที่ตนวางไว้นั้นจะต้องบรรลุเป้าหมาย เพราะถ้าคาดหวังแรงเกินไป ก็จะไปคาดคั้นผู้เรียนจนทำให้ผู้เรียนเบื่อหน่ายต่อการเรียนได้ ผู้สอนพึงสำเนียกอยู่เสมอว่า "ทุกอย่างไม่เที่ยง"
เมื่อไม่ตั้งความหวัง แต่ทำงานอย่างมีเป้าหมาย วันนี้ดำมาเรียนด้วยความสุข ดำอ่านตัวอย่างความเรียง 3 บรรทัดแล้วยิ้มเลือกคำว่า ยิ้ม มาเขียน
ฉันยิ้ม
ดูตลกกับเพื่อน
สนุก
และเขียนบทต่อ ๆ ไปว่า
ต้นไม้หิวน้ำ
ใบเหี่ยว
รอฉันรดน้ำ
ลมใจร้าย
พัดต้นไม้ล้ม
นกตกใจ
ดอกไม้ดีใจ
ฟังนกร้องเพลง
ให้ผลไม้เป็นรางวัล
ต้นไม้ดีใจ
ได้กินน้ำจนอิ่ม
ฉันรดน้ำให้
ฉันทำการบ้าน
ครูใจร้าย
การบ้านยาก
ฉันหิวข้าว
โมโห
นั่งไม่นิ่ง
ฉันชนะฉัน
นั่งทำการบ้าน
เสร็จทุกข้อ
ความเรียง 3 บรรทัด ทั้ง 8 บทนี้ ดำใช้เวลาร่วมชั่วโมงจึงเขียนได้ครบทั้งหมด สังเกตดำนั่งครุ่นคิดอยู่นาน แต่ละบทจึงจะเขียนได้
การเขียนความเรียงแบบนี้ ผู้เขียนจะต้องมี ความรู้ว่า คำ ๆ นั้นมีความหมายแค่ไหน อย่างไร รู้ต้องรู้อย่างเข้าใจ ต่อคำ ๆ นั้นจริง ๆ จึงจะนำมาเขียนให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ร่วมได้ นั่นหมายถึงว่าผู้เขียนต้องมีความรู้สึกต่อคำนั้น ๆ จึงจะนำคำนั้นมาเขียนให้สนองอารมณ์ตนเองและผู้อ่านได้
ความรู้ ความเข้าใจและความรู้สึกที่ผู้เรียนมีต่อคำแต่ละคำนั้น ผู้เรียนจะต้องใช้ความคิด ซึ่งระดับความคิดนั้นมีต่างกันดังนี้
ความคิด พฤติกรรม
รู้จัก ตรึกตรอง เลือกข้อเท็จจริง
รู้จริง วิเคราะห์ คิด แยกแยะ คำ-ความ
ความรู้สึกที่จะเกิดร่วม
รู้แจ้ง สังเคราะห์ – สร้างสรรค์ เกิดความรู้สึก เห็นภาพ
เห็นคำ คิดเขียนได้
ฉับพลัน
ดำยังอยู่ในขั้นคิดแบบ ตรึกตรองเวลาจะเขียนจึงต้องนึกว่า
จะเขียนเรื่องอะไร เกิดขึ้นที่ไหน มีใครเกี่ยวข้องบ้างจะใช้คำใดบ้าง คำนั้น ๆจะสื่อให้เห็นภาพอย่างไรจะรู้สึกอย่างไร
เพราะดำเพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้วิธีการคิดเขียนแบบนี้ จึงยังไม่แตกฉาน พอที่จะคิดเขียนได้ดั่งใจ
15/7/54
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume...
เป็นแนวกการสอนที่งดงาม ด้วยครู เด็กจะคิดวิเคราะห์เป็น และเรียนรู้อย่างมีความสุขและมีความรู้ความสามารในการอ่านและเขียน
แนวคิดแบบนี้ รัฐมนตรีไทยไม่รู้หรือแกล้งไม่รับรู้ คิดได้แต่แทบเลท เบื่อจัง