Advance care plan ประกอบด้วย ๓ ส่วนสำคัญ [1] คือ
๑. Patient preference สิ่งที่คนไข้ต้องการ ให้ความสำคัญ เป้าหมายการดูแลรักษา เมื่อถึงวาระสุดท้ายของตนเอง ซึ่งจะรู้ได้ ก็ต่อเมื่อคนไข้รับรู้แล้วว่า ตนเองเป็นโรคอะไร ถึงขั้นไหนแล้ว และการรักษาได้ผลเป็นอย่างไร เช่น อยากกลับไปเสียชีวิตที่บ้าน ขอให้ได้กล่าวคำขอบคุณ เสียใจ ขอโทษและให้อภัยกับใคร อยากให้ใครอยู่ด้วยหรือไม่อยากเห็นหน้าใครตอนนั้น อยากทำหรืออยากให้ใครทำอะไรให้ จะสวดมนต์ หรือเปิดเพลงอะไรให้ฟัง เป็นต้น เรื่องนี้ไม่มีข้อกฏหมายรองรับ แต่เป็นที่ยอมรับว่า มีความสำคัญกว่า และการดำเนินการเรื่องนี้จะช่วยให้การดำเนินการขั้นตอนที่สอง หรือ advance directive ประสบความสำเร็จมากขึ้น
๒. Advance decisions ส่วนนี้ก็คือ advance directive นั่นเอง คือการแสดงเจตนาว่าจะรับ/ไม่รับการดูแลรักษา เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเมื่อสูญเสียสติสัมปชัญญะไปจนไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ด้วยตนเองแล้ว ส่วนนี้คือส่วนที่กฏหมายฉบับนี้รองรับ และเป็นสิ่งที่แพทย์จะต้องวินิจฉัยก่อนปฏิบัติตามว่า คนไข้อยู่ในภาวะนั้นหรือถึงเวลาที่จะต้องปฏิบัติตามแล้วหรือยัง
๓. Proxy nomination การเลือกบุคคลใกล้ชิดแสดงเจตนาแทน เมื่อไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง อันนี้ก็ต้องวินิจฉัยก่อนว่า คนไข้อยู่ในภาวะไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองแล้วหรือยัง
Advance care plan จึงเน้นที่กระบวนการสื่อสารสองทางระหว่างผู้แสดงเจตนาหรือคนไข้กับผู้เกี่ยวข้อง เช่น คนในครอบครัว และผู้ดูแลรักษา คือบุคลากรสุขภาพ ไม่ใช่ตัวเอกสาร ผลลัพธ์ที่ควรติดตาม คือ คนไข้ได้รับการปฏิบัติตามที่แสดงเจตนาไว้หรือไม่เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ใช่ คนไข้ทำเอกสารหรือไม่
เอกสารอ้างอิง
[1] Thomas K, Lobo B. Advance Care Planning in End of Life Care 1st ed. Oxford: Oxford University Press 2010.
ไม่มีความเห็น