พ่อ คำสั้นๆ เช่นกัน แต่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากมั๊ก


พ่อ คำสั้นๆ เช่นกัน แต่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากมั๊ก

คำว่า พ่อ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า คำว่า แม่ ที่เราทุกท่านมีชีวิตที่ดีมาถึงทุกวันนี้ ก็เพราะพระคุณของ "พ่อ" ในโลกใบนี้ พ่อ เป็นสิ่งที่คู่กับ แม่ ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ก็ไม่มีตัวเรา ครอบครัวใดที่มีความสุขมีความอบอุ่นได้นั้น ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ให้ความอบอุ่นให้ความรักต่อลูกๆ ต่อคนในครอบครัว

ผู้เขียนเชื่อว่าเราทุกคนตระหนักเป็นอย่างดีว่าพระคุณของพ่อนั้นยิ่งใหญ่มหาศาล เป็นผู้ที่คอยอบรมให้ความรักให้ความเอาใจใส่ให้ทุกที่สิ่งทุกอย่างที่ลูกต้องการ พ่อ เป็นสิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่ง พ่อ เป็นสิ่งที่ลูกๆ คอยเรียกหาเมื่อได้รับความเดือดร้อน พ่อ เป็นบุคคลที่พร้อมจะให้ไม่ว่าเรื่องนั้นจะยากเรื่องนั้นจะอยู่ที่ไหน พ่อจะเป็นคนที่คอยจัดหามาให้ลูกๆ
ผู้เขียนมีเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับ พ่อ ที่ผู้เขียนได้พบเจอมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อลูกๆ จะได้ช่วยกันให้ความรักต่อพ่อมากยิ่งๆ ๆ ขึ้น

พ่อสี เป็นชาวนาที่ไม่มีความรู้มากมายเพราะเนื่องจากไม่ได้มีโอกาสเรียนหนังสือก็ด้วยเพราะฐานะที่ยากจน พ่อสีมีลูกทั้งชายและหญิงจำนวน ๕ คน ครอบครัวของพ่อสีก็เป็นปกติมาตลอดถึงแม้ว่าจะมีอาชีพเพียงทำนาเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย พ่อสีอาจจะโชคร้ายเพราะต้องมาเสียภรรยาอันเป็นที่รักเมื่ออายุพ่อสีได้เพียง ๔๐ ปี ซึ่งขณะนั้นลูกคนโตอายุ ๑๘ ปี และคนสุดท้องอายุ ๑๐ ขวบ อย่างไรก็ตาม สำหรับลูกคนโตซึ่งเป็นผู้ชายได้สมัครใจว่าจะไม่เรียนหนังสือต่อจะช่วยพ่อสีในการทำนาเพื่อเลี้ยงครอบครัวและน้องๆ พ่อสีจะต้องออกไปทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดไม่มีเวลาที่จะไปเที่ยว และพ่อสีไม่รู้เหมือนกันว่าเที่ยวเป็นอย่างไร ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อส่งเสียลูกๆ อีก ๔ คน เพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือสูงๆ มีการศึกษา มีอาชีพการงานที่มั่นคง ไม่ต้องมาทำนาทำไร่ ที่สำคัญคือ พ่อสี "ได้บอกลูกๆ ทุกคนว่า พ่อไม่มีอะไรจะให้ลูกมากมาย พ่อมีแต่ความรักความปรารถนาดีให้ลูกได้ตั้งใจเรียน ตั้งใจศึกษาเพื่อเป็นเจ้าคนนายคน จะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อที่ทำงานไม่มีวันหยุด ไม่รู้ว่าวันเสาร์และวันอาทิตย์คือวันอะไร" ลูกๆ ของพ่อสีอีก ๕ คน เติบใหญ่ขึ้นทุกวัน ทุกคนล้วนตั้งใจศึกษาหาความรู้เพื่อจะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อสี และที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่พ่อสีได้บอกลูกๆ คือ อยากให้ทุกคนได้มีโอกาสทำงานเพื่อในหลวง ทำงานเพื่อแผ่นดินรับใช้แผ่นดิน ถึงแม้ว่าอาชีพดังกล่าวจะไม่ได้ร่ำรวยก็ตามแต่ สิ่งที่พ่อสีต้องการคือเห็นลูกๆ ได้เป็น "ข้าราชการ" ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความมุมานะของพ่อสีความตั้งใจจริงของพ่อสีในการต่อสู้กับสภาพอากาศในการทำนาฟันผ่าอุปสรรคต่างๆ เพื่อลูก และในที่สุด พ่อสีและลูกชายคนโตก็ได้ส่งเสียลูกๆ อีก ๔ คน จนอาชีพ คือ คนรองรับราชการทหาร คนที่ ๓ รับราชการเป็นพยาบาล คนที่ ๔ รับราชการเป็นปลัด และคนสุดท้ายเป็นคุณครู จะเห็นว่าความรักของพ่อที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่มหาศาล ยอมที่จะลำบากทำงานอย่างไม่มีวันหยุด ให้การอบรมสั่งสอนให้ลูกๆ มีเป้าหมายในชีวิต นั้นคือ รับใช้แผ่นดินรับใช้ในหลวง และเมื่ออายุของพ่อสีได้ ๕๕ ปี พ่อสีก็ต้องจากโลกใบนี้ไปด้วยเวลาอันสั้นเหลือเกิน ก็ด้วยเพราะทั้งชีวิตพ่อสีไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้มีวันหยุด ไม่ได้มีเวลาไปตรวจสุขภาพ ไม่ได้มีโอกาสกินของดีๆ อย่างไรก็ดี พ่อสีก็มีความสุขอย่างมากที่ในชีวิตได้สร้างคนดีแก่สังคมประเทศชาติรับใช้แผ่นดิน และที่สำคัญ คือ ลูกๆ ของพ่อสี ทุกคนล้วนเป็นคนดีที่พร้อมจะทำงานเพื่อแผ่นดินไทย ถึงแม้ว่าลูกๆ ของพ่อสีจะไม่ได้เป็นคนเก่ง แต่พ่อสีได้สอนให้ลูกๆ ทุกคนเป็นคนดี ความดีที่พ่อสีทำไว้ให้แผ่นดิน คือ "สอนคนให้เป็นคนดี"

สำหรับพ่อของผู้เขียน มีชื่อว่า "พ่ออ้วน" ทั้งนี้จริงแล้วตอนเด็กๆ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าท่านไม่ได้ชื่ออ้วน แต่เป็นเพราะแม่ของท่านเปลี่ยนให้ใหม่เป็น อ้วน เพื่อจะได้มีความสมบูรณ์แข็งแรง พ่อของผู้เขียนตอนเป็นเด็กจะต้องเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ เพื่อการค้าขายทำให้ไม่ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ ดังนั้น พ่อจึงจบการศึกษาเพียง ป.๓ เท่านั้น อาชีพทางบ้านก็อย่างที่บอก คือ เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ค่ำไหนก็นอนที่นั้น เมื่อเติบโตขึ้นก็จะต้องช่วยเหลือตัวเองเนื่องจากแม่ของพ่ออ้วนนั้นเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร ซึ่งมีครั้งหนึ่งที่พ่ออ้วนได้ทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่สร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ นั้นคือ กรรมกรทำถนนเส้นจังหวัดสุรินทร์-โคราช พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า เวลากลางคืนจะมีเหมือนที่ไม่ใช้คนมากวนทำให้ไม่ได้หลับได้นอน พอตื่นมาตอนเช้าก็รีบไปหารูปในหลวงมาไว้ที่ Office (เรียกให้มันโก้ๆ ไปอย่างนั้นเอง) แล้วก็บอกกับเจ้าที่เจ้าทางว่า แผ่นดินนี้เป็นของในหลวง ในหลวงต้องการมาให้ความเจริญแก่พวกเราทุกคน ปรากฏว่าค่ำคืนนั้นพ่ออ้วนและเพื่อนๆ ก็หลับสบาย พ่ออ้วนหลังจากที่ได้ทำอาชีพสร้างความเจริญแล้วก็มุ่งหน้าสู่เมืองกรุงเพื่อเสาะหาความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ซึ่งครั้งหนึ่งท่านเคยบอกผู้เขียนว่า ท่านก็เคยเป็นเด็กสามย่าน (แถวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) แต่ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปเรียนกับเขาหรอก เพียงแต่ที่เรียกว่า เด็กสามย่าน ก็เพราะว่าท่านเคยไปถีบสามล้อแถวๆ ระหว่างสามย่านกับหัวลำโพง (แต่พ่ออ้วนก็มีความภาคภูมิใจที่ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เรียนสามย่าน แต่ลูกชายของท่านก็ได้มีโอกาสสำเร็จการศึกษาจากที่นั้น) อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว พ่ออ้วนต้องฟันผ่าอุปสรรคมากมายในการต่อสู้ และมีโอกาสได้เข้าบวชเรียนเป็นระยะเวลาหลายปี และในที่สุดก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วในที่สุดก็กลับมาที่บ้านเกิดทำการค้าขายมีครอบครัวที่อบอุ่น พ่ออ้วนเคยสูบบุหรี่แต่หลังจากที่คู่ชีวิตได้เสียชีวิตไปด้วยโรคร้ายมะเร็งที่ปอด วันต่อมาพ่ออ้วนไม่เคยสูบบุหรี่ให้เราเห็นอีกเลย แสดงว่าท่านมีจิตใจที่เด็ดเดียวเป็นอย่างมากในการที่จะละทิ้งอะไรที่ไม่ดี นั้นเป็นสิ่งที่พ่อได้สอน และได้ปฏิบัติให้เห็นว่า สิ่งใดที่เราจะละทิ้งมัน เราทำได้ ถ้าเราตั้งใจจะทำ หลายสิ่งหลายอย่างที่พ่ออ้วนได้เคยสอน ผู้เขียนก็มาได้รู้ได้เข้าใจได้สำนักเมื่อไม่นานมานี้ ตัวอย่างเช่น พ่ออ้วนให้ตื่นเช้าก่อนหกโมงเช้าเพื่อมาฟังวิทยุข่าวแห่งประเทศไทย และให้จดวันสำคัญในอดีต (ที่อ่านโดยท่านปรีชา ทรัพย์โสภา)ผู้เขียนจำได้ว่าทำอย่างนี้อยู่ทุกวัน ตั้งแต่ ป.๕ ถึง ม.๓ ซึ่งจะต้องตั้งใจฟังและตั้งใจจด เพราะถ้าอย่างนั้นจะไม่ได้อะไรเลยในวันนั้น การสอนของพ่ออ้วนดังกล่าว เป็นการฝึกให้เรามีสมาธิ ตั้งมั่นกับสิ่งที่เราสนใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ สำหรับนักเรียน นักศึกษาในปัจจุบัน ซึ่งจริงๆ แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าพ่อของทุกๆ คนล้วนแต่เป็นคนดีเป็นคนที่เราเอาแบบอย่างในการทำงานในการปฏิบัติตน สำหรับพ่ออ้วนแล้วท่านบอกอยู่เสมอว่าให้เรียนสูงๆ พ่อไม่มีโอกาส พ่อจบ ป.๒ เป็นเด็กสามย่านที่ถีบสามล้อเท่านั้น พ่อได้เรียนได้เขียนหนังสือก็เพราะวัด ดังนั้น ขอให้ลูกเรียนให้มากๆ เมื่อเรียนให้มากๆ แล้วก็จะต้องทำงานรับใช้แผ่นดินรับใช้ในหลวง อาชีพที่พ่ออยากจะให้ลูกได้เป็น คือ อาชีพรับราชการ จะเป็นอะไรก็ได้เป็น ครู เป็นตำรวจ ปลัดก็ได้ แต่จะต้องรับใช้แผ่นดิน คำๆ นี้ ที่พ่ออ้วนได้พูดใส่หูอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้เขียนได้ตระหนักว่า การได้มีโอกาสรับใช้แผ่นดิน รับใช้ในหลวง พ่อหลวงของเราชาวไทยทุกคน นั้น เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะไม่มากมาย แต่ถ้าหากเราใช้อย่างไม่มากมาย เราก็อยู่ได้ ชีวิตนี้เราต้องการอะไรไปมากกว่านี้ มีโอกาสทำให้ในสิ่งที่พ่อต้องการ สิ่งที่พ่ออยากเห็น มันก็เป็นความสุขอย่างยิ่งใหญ่ที่พ่อได้รับ หลายๆ ที่ผ่านมาในอดีตผู้เขียนก็ไม่ใช้คนดีมากมายสำหรับพ่อ เคยโกหกท่าน เคยทำให้ท่านเสียใจ ไม่ฟังท่าน ไม่ใส่ใจท่าน แต่ก็ได้ตั้งจิตขอโทษท่านให้ท่านอโหสิกรรมให้ ความผูกพันในชาติเก่าที่ผ่านมาและชาติต่อๆ ไป ก็จะยังคงอยู่นานแสนนาน สิ่งหนึ่งที่จะกระทำได้ ก็คือ ทำให้พ่อของเรายิ้มทุกเวลาที่เจอหน้าเรา ผู้เขียนคิดว่าแค่นี้ก็พอ อีกไม่นานเราก็จะต้องจากกันไปไม่เร็วไม่ช้าแล้วแต่ฟ้าจะกำหนด แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้ทำและคิดว่าเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรจะต้องฝึก คือ การที่ฝึกว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอนจะไปเมื่อไรไม่รู้ แต่สิ่งที่รู้ คือ รู้ว่าปัจจุบันเราทำอะไรอยู่แล้วก็พยายามทำให้ดีที่สุด สำหรับพ่ออ้วนเมื่อหลายปีก่อนประมาณอายุ ๘๐ ปี (ตอนนี้ท่านอายุ ๘๔) ผู้เขียนสังเกตว่าท่านกลัวความตายทำให้ผู้เขียนก็กลุ้มใจเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี จนในที่สุดผู้เขียนก็ได้ซื้อหนังสือเกี่ยวกับธรรมะต่างๆ (การเตรียมตัวก่อนตายอื่นๆ อีกมากมาย) โดยผู้เขียนอ่านแล้วก็นำไปวางทิ้งที่บ้านพ่ออ้วน (แต่ไม่ได้บังคับให้ท่านอ่าน) จนเวลาผ่านไป ๑-๒ ปี ผู้เขียนสังเกตว่าพ่ออ้วนคงจะอ่านหนังสือต่างๆ เพราะมีการพับหน้าต่างๆ จากเล่มต่างๆ ไว้ และเมื่อมาปีนี้ผู้เขียนสังเกตว่าท่านไม่กลัวความตายแล้ว และท่านก็เคยบอกว่าคนเราถึงเวลามันก็ไปของมัน ซึ่งจากคำพูดดังกล่าวทำให้ผู้เขียนมีความสุขเป็นอย่างมากที่ท่านได้เข้าใจ การเข้าใจดังกล่าวทำให้ไม่เป็นทุกข์กับสังขารที่เป็นเรื่องไม่เที่ยง นั่นเป็นบางส่วนบางตอนของพ่อ ผู้เขียนเชื่อว่าสำหรับพ่อแล้ว ทุกคนล้วนมีเรื่องราวดีๆ สำหรับพ่อของเราอย่างแน่นอน 
 
ครับ พ่อ เป็นบุคคลที่เราทุกคนต้องให้ความเคารพรัก ใครที่เคยดุด่าพ่อ คิดร้ายต่อพ่อ ผู้เขียนเชื่อว่าชีวิตของเขาจะไม่มีความเจริญก้าวหน้า ก็ได้แต่หวังว่าเราทุกคนที่มีพ่ออยู่ในขณะนี้จะได้มอบความรักให้กับพ่อทดแทนบุญคุณที่ท่านได้เลี้ยงดูเราจนเติบใหญ่มาทุกวันนี้ หากมีสิ่งใดที่เราได้กระทำไม่ดีล่วงเกินต่อพ่อของเรา ในโอกาสวันที่ ๕ ธันวามหาราช ที่เป็นวันพ่อแห่งชาติที่จะถึงนี้ ผู้เขียนขอเชิญทุกท่านได้มาร่วมจิตรวมใจกันบอกรัก "พ่อ" ของเราให้ท่านมีความสุขตลอดไป และประการสำคัญ คือ เราคนไทยทุกคนทุกหมู่เหล่ามาตั้งจิตอธิษฐานให้ "พ่อหลวงของเรา ในหลวงของเรา ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมพรรษายิ่งยืนนานตราบนานเท่านาน"
วันนี้ เรามา "ตั้งต้น ตั้งใจ" ทำดีเพื่อ "พ่อ" กันเถอะครับ
มนูญ ศรีวิรัตน์
หมายเลขบันทึก: 469783เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2011 07:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 22:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท