เมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสบรรยายเกี่ยวกับการใช้ความรู้ไม่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต ทำให้เกิดปัญหาติดตามมาอย่างมากมาย
แล้วผมก็ย้อนมาพูดถึงการติดยึดในพิธีกรรมที่ทำตามๆกันจนไม่รู้ว่าที่ไปที่มาคืออะไร
..
ผมมีความคิดแว๊บไปถึงพิธีกรรมก่อนการฌาปนกิจศพ
ที่มักจะมีพิธีการสำคัญมากๆ ที่ดูเหมือนจะขาดไม่ได้ คือ
"ขั้นตอนของ พิจารณาผ้าบังสกุล"
- ที่พระสงฆ์ที่ได้รับนิมนต์มาก็จะเดินไปหยิบผ้าจีวรที่วางไว้หน้าศพ
- แล้วก็สวดบทพิจารณาว่า "อนิจจังวัฏฎสังขารา...." สามจบ
- แล้วก็หยิบผ้าไป
- โดยส่วนใหญ่ไม่เห็นศพด้วยซ้ำ
บางศพมีการพิจารณาอย่างยืดยาวหลายชุด เป็นสิบๆชุด
- พระแต่ละรูปที่ได้รับนิมนต์มาในงานศพ ก็ต้องเดินเวียนพิจารณาผ้าบังสกุลอีกหลายรอบ "ผ้าบังสกุล"ก็ยังไม่หมด
- จะพิจารณากี่รอบ ศพก็ยังไม่ปรากฏให้พระท่านได้พิจารณาตามคำสวดพิจารณา "สังขาร" สักที
- .
- แสดงว่าพระสามารถพิจารณาสังขารของศพได้ โดยไม่ต้องเห็นศพ เพียงการจินตนาการก็ได้
- .
- แต่ที่น่าประหลาดใจมาก คือ เจ้าภาพก็มิได้นิมนต์ให้ท่านพิจารณาสังขารศพ
- .
- แต่....เขานิมนต์ให้ท่านพิจารณาผ้าจีวร ที่สมมติอย่างเลื่อนลอยว่าเป็น "ผ้าบังสกุล" ต่างหาก
ทำให้ผมค่อนข้างจะสงสัยมากๆ ว่า พิธีกรรมที่ทำแบบนี้นั้น ทำแบบ "พูดอย่างทำอย่าง" ไปเพื่ออะไรกันแน่
- จะพิจารณาผ้าจีวร ที่สมมติไปลอยๆว่าเป็น "ผ้าบังสกุล"
หรือ
- พิจารณาสังขารของศพคนตายกันแน่
อย่างหนึ่งอย่างใดผมก็จะไม่สงสัยครับ
เพราะ ผมตีความตามคำศัพท์แล้ว
เข้าใจว่า
- ผ้าบังสกุล ก็คือผ้าห่อศพ และเปื้อนฝุ่น
แต่พระสงฆ์ก็จะขอนำผ้าห่อศพไปใช้
- พอดึงผ้าห่อศพออกมาก็จะพบศพเปลือยเปล่า ปราศจากสิ่งปิดบัง ทำให้พระท่านได้มีโอกาสได้พิจารณาสังขารของศพ
- .
- แต่ท่านอาจไม่ได้พิจารณาผ้าบังสกุล
- เพราะ.....ในคำสวดเท่าที่ผมพอจับความได้คร่าวๆนะครับ ก็ไม่มีวรรคใดเลยกล่าวถึงผ้าบังสกุลที่เจ้าภาพนิมนต์ให้ท่านพิจารณาเลย
ผมจึงไม่เข้าใจในหลายประเด็นมากๆเลย เช่น
- ทำไมเราจึงเรียกผ้าจีวรเหล่านั้นว่า ผ้าบังสกุล ทั้งๆที่ ผ้านั้นไม่เคยห่อศพใดๆ หรือเปื้อนฝุ่นมาก่อน และไม่คิดที่จะใช้ในการห่อศพแต่อย่างใด ยกเว้นจะนับพระที่รับผ้าไปเป็นศพด้วยเท่านั้น ที่ผมไม่เชื่อว่าใครจะคิดเช่นนั้น
- ทำไมเราต้องมีผ้าบังสกุลหลายๆชั้น ที่(คาดว่า)จะใช้ในการห่อศพ ถึงกับต้องมีการพิจารณาตั้งหลายรอบ บางศพ พิจารณาเป็นสิบๆรอบก็ยังไม่หมด ผมจึงสงสัยว่า เป็นการประจานศพไหมว่า ยังมีกิเลสหนา ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ ก็ยังมีผ้าห่อศพไม่รู้กี่ชั้น พระไปดึงออกมาตั้งหลายรอบแล้ว ก็ยังเหลืออีกมากมาย
- สุดท้ายยังมีผ้ามหาบังสกุล ชิ้นใหญ่ที่สุด เป็นชิ้นสุดท้ายก่อนที่จะเห็นศพเปลือยเปล่าพร้อมที่จะเผาหรือทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยไปก็แล้วแต่ ที่ผมคิดไปเองว่าน่าจะเป็นผ้าชั้นในสุด ที่ไม่น่าจะเป็นชิ้นใหญ่ ที่ตามธรรมชาติควรจะเป็นชุดชั้นในด้วยซ้ำ
- เมื่อมีผ้าบังสกุลจำนวนมาก พระท่านที่ได้รับนิมนต์รูปแรกๆ น่าจะยังไม่เห็นศพ เพราะยังมีผ้าห่ออีกหลายชั้น ท่านอาจจะพิจารณาผ้าบังสกุลได้โดยสะดวก เพราะยังไม่เห็นสังขารของศพที่มีผ้าบังอยู่ แต่.....ทำไมท่านจึงไม่พิจารณาผ้าบังสกุลตามคำนิมนต์ แต่กลับไปพิจารณาศพแทน
- ในทางปฏิบัติ ศพส่วนใหญ่ก็ถูกปิดบังอยู่ในโลง ที่จะมีหรือไม่ก็ได้ เช่น บางแห่งก็ทำพิธีเผาหลอก ไม่มีศพ การพิจารณาผ้าบังสกุลก็เป็นการหลอกๆ จะถือเป็นการหลอกลวงได้หรือไม่ โดยเฉพาะ การพิจารณาผ้าห่อศพ ที่ผมยังไม่เคยทราบหรือได้ยินว่ามีพระรูปใดกล่าวถึงผ้าบังสกุลตามที่ได้รับนิมนต์ให้ไปพิจารณาผ้าบังสกุล แม้แต่รูปเดียว
แต่ ผมมีความเชื่ออย่างมั่นใจว่าพิธีกรรมต้องมีเหตุ มีที่มา
ผมจึงพยายามเดาๆเอาว่าน่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของพิธีกรรม จนแทบไม่มีใครคิดตามว่า ความหมายที่แท้จริงคืออะไร
มีแต่การปฏิบัติต่อๆกันมา
และไม่มีใครถามว่าทำไมต้องทำ หรือทำไปเพื่ออะไร ไม่ทำได้ไหม ไม่ทำจะมีปัญหาอะไร หรือทำอย่างอื่นแทนได้ไหม
เพราะ ในสังคมปัจจุบันเรามักเน้นพิธีกรรมแบบหลับหูหลับตากัน
จนไม่รู้ว่า
- อะไร ทำไปทำไม
- ไม่ทำจะเสียอะไร
- ทำแล้วได้อะไร
- ถ้าทำอย่างนี้ไม่สะดวกควรจะทำอย่างไร
และเป็นที่มาของความยุ่งยากในชีวิตในแทบทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็น
- การอยู่ในสังคม
- การเข้าสังคม
- การพัฒนาตัวเองและชุมชน
- การประกอบอาชีพ
- การใช้ทรัพยากรของตนเองและสังคม
- การปฏิบัติตัวในด้านต่างๆ
บางครั้ง พิธีกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเรายุ่งยาก สับสน ต้องทำทั้งๆที่ไม่พร้อม จึงสร้างความสับสนวุ่นวายพอสมควร
แต่ถ้ามองผิวเผิน พิธีกรรมก็ดูเหมือนจะสร้างความเรียบร้อยในสังคมได้มากๆทีเดียว
แต่ถ้ามองลึกๆ จะเห็นความยุ่งยาก ซับซ้อน และบางทีก็สร้างปัญหาให้กับคนในสังคม ทั้งระดับปัจเจก และระดับชุมชนได้มากมายทีเดียว
โดยเฉพาะกับคนที่ไม่เคยคิด ไม่เคยเข้าใจชีวิต มีแต่วิ่งตามคำพูดคนอื่น วิ่งตามพิธีกรรมแบบไม่ลืมหูลืมตา ทำได้ไม่ได้ก็ต้องทำ
จนเป็นที่มาของปัญหาหนี้สิน และปัญหาทางสังคมมากมาย
หลังจากชี้ประเด็นข้อดีข้อด้อยของการปฏิบัติตามพิธีกรรมแล้ว
ผมจึงได้สรุปปิดท้าย ในการบรรยายเมื่อวันก่อนว่า
เราควรอยู่ด้วยความรู้และความเข้าใจ ทั้งตัวเอง และสังคม
เราจึงจะมีปัญหาในชีวิตน้อยลง และมีชีวิตที่เบาสบายขึ้น ทั้งในส่วนของตัวเรา ครอบครัว ชุมชน และสังคมครับ
ด้วยความเคารพ จึงอยากฟังความเห็นของท่านผู้รู้ครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้ามากครับ
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย ดร. แสวง รวยสูงเนิน ใน ความรู้เพื่อชีวิต
I am reminded of a passage in the song "the Sound of Silence" (I am sure you know that one).
"... and the people bowed and prayed to the Neon God they made..."
and that ancient wisdom may be lost in context of modern ways of life.