ในกระบวนการเยียวยาหรือการช่วยเหลือทางด้านจิตใจนั้น
ผู้ให้การช่วยเหลือ ต้องถามตนเองก่อนนะว่า "ที่เราลงมือเยียวยานั้น ใจของเรานั้นเป็นอย่างไร"
ในทัศนะของข้าพเจ้า เชื่อว่า กว่า ๙๐% ของผู้เยียวยามาด้วยหัวใจเต็มร้อย
นั่นก็คือ เป็นผู้ที่มีใจรักและมีความกรุณาอันเต็มเปี่ยมที่จะช่วยเหลือเยียวยาผู้คน ให้ผ่อนคลายออกไปจากความทุกข์ทางใจทั้งสิ้นทั้งปวง
เมื่อไรก็ตามหากผู้เยียวยา ทำงานด้วยใจ เมื่อนั้นจะมีพลังนำพาอย่างมากมาย
และสภาพจิตใจแห่งการทำงาน จะดำเนินไปอย่างไม่ย่อท้อ
การเยียวยาหรือการช่วยเหลือ
หากว่าเราทำด้วยธรรม จะเป็นสิ่งที่มีพลังอย่างดียิ่ง ใจของเรานั้นจะเต็มไปด้วยความเมตตาและความกรุณา ทำไปแล้วจะไม่ตาดหวังว่าจะต้องได้รับการตอบแทน
ไม่หวังแม้แต่คำชื่นชม หรือรางวัลใดใดตอบแทน
แต่หากว่าเราทำด้วยกิเลส
ทำไป ช่วยเหลือไปหากไม่เป็นไปตามที่เราตั้งใจ ใจของเราก็จะขุ่นหมองมัวไป
ทำไปก็จะมีแต่ความไม่ชอบใจ ทำไปโกรธไป หงุดหงิดไป...ต่างๆ นานา
ดังนั้น ผู้ให้การเยียวยา...
ต้องคอย ตรวจสอบใจตนเองเสมอว่า ที่เราทำไปนั้น
"เราทำด้วยธรรม หรือเราทำด้วยกิเลส"
...
๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๔
ตรงนี้สะท้อนใจติ๋ว กับช่วงแรกที่ลงมือทำงาน แบบทุกข์มากเพราะจมไปกับความโกรธ จนไม่มีปัญญา แต่พอเห็นแล้ว การลงมือดำเนินการต่อแบบเต็มที่เต็มกำลัง เหลือเพียงเหนื่อยเพียงกาย แต่ใจยังมั่นคงค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ